กลับมา..หารัก

-

เขียนโดย wangruk

วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 เวลา 21.55 น.

  3 ตอน
  0 วิจารณ์
  2,411 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 00.50 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) การกลับมา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บรรยากาศในหอพักช่วงสอบปลายภาค ช่างเงียบสงบราวกับไม่มีใครอยู่ เพราะทุกคนต่างกำลังตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือเตรียมสอบ สำหรับสลิลเองก็เช่นกัน เธอกำลังขะมักเขม้นอยู่กับหนังสือกองโต ที่ดูเหมือนอ่านเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด

 

“ฮัลโหลค่ะแม่” สลิลรับสายจากผู้เป็นแม่

“กินข้าวหรือยังลูก” เสียงปลายสายไถ่ถามด้วยความเป็นห่วง

“ยังเลยค่ะ ลิลอยากกินอาหารฝีมือแม่จังเลยค่ะ” หญิงสาวอ้อนผู้เป็นแม่

“เสียงอ้อนขนาดนี้ แม่จะไม่ทำให้ได้ยังไงล่ะ”

“เย้ งั้นลิลจะรอนะคะ แม่ทำมาเผื่อทั้งอาทิตย์เลยก็ได้นะ”

“จ๊ะ แม่จะรีบทำแล้วเอาไปให้นะ” หลังจากจิตรารับปากลูกสาวว่าจะทำอาหารไปให้ เธอก็รีบเข้าครัวพร้อมกับนวลที่คอยเป็นลูกมือ

“เดี๋ยวนวลเอาไปให้คุณหนูที่หอเองนะคะ” นวลแม่บ้านคนสนิทของจิตราอาสา

“ไม่เป็นไรจ้ะ เดี๋ยวฉันเอาไปให้เอง อยากเห็นหน้าด้วย ไม่ได้เจอมาเป็นอาทิตย์แล้ว คิดถึง”

“งั้นนวลจะโทรเรียกชัยให้ขับไปส่งนะคะ”

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวฉันนั่งแท็กซี่ไปเอง ป่านนี้ลิลรอแย่แล้ว”

ในขณะที่สลิลกำลังตั้งใจอ่านหนังสือ อยู่ๆ เสียงท้องก็ร้องดังขึ้น จนเธอรู้สึกตัว เธอขำตัวเอง ที่จู่ๆ ท้องของเธอก็ร้องประท้วงขึ้นมา สลิลมองดูนาฬิกาแล้วจึงหยิบโทรศัพท์โทรหาผู้เป็นแม่

“แม่อยู่ไหนแล้วคะ ใกล้ถึงหรือยัง”

“จ๊ะ ใกล้แล้ว อยู่ตรงสี่แยกใกล้กับหอพักลูกนี่เอง”

“รีบมานะคะ ลิลคิดถึง” สลิลยังพูดไม่ทันจบ จู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรชนเข้าอย่างแรง

สลิลตกใจกับเสียงที่ได้ยินอยู่ชั่วครู่ จนเธอได้สติจึงต้องตะโกนเรียกแม่ซ้ำๆ

“แม่ แม่ แม่คะ แม่!”

สลิลสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยอาการเหนื่อยหอบ เหงื่อท่วมตัว พร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม เหตุการณ์ในฝันที่เป็นเรื่องจริงของหญิงสาว แม้ว่ามันจะผ่านมานานแล้ว แต่เธอก็ไม่มีวันลืม หลังจากที่เธอตะโกนเรียกแม่ซ้ำๆ ก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา นั่นเพราะรถแท็กซี่คันนั้นถูกพุ่งชนด้วยรถบรรทุกที่ฝ่าไฟแดง เป็นเหตุให้คนขับรถแท็กซี่และผู้โดยสารที่นั่งมาเสียชีวิตทันที สำหรับคนอื่นอาจจะคิดว่า คนขับรถบรรทุกเป็นคนผิด นั่นอาจจะใช่ในทางกฎหมาย แต่สำหรับสลิล เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของเธอ เธอเป็นคนทำให้แม่ตาย เพราะเธอขอให้แม่ทำอาหารมาให้ ถ้าตอนนั้นเธอแค่รับสาย แล้วบอกคิดถึงท่าน แค่นั้นแม่จะไม่ตาย

หลังจากเหตุการณ์นั้น สลิลเสียใจมากและได้แต่โทษตัวเอง จนผู้เป็นพ่อและป้านวลต้องคอยปลอบใจ และอยู่ข้างๆ หญิงสาวตลอดเวลา เพราะทุกคืนหญิงสาวจะฝันถึงเหตุการณ์ในวันนั้นซ้ำไปซ้ำมาจนนอนไม่หลับ ซึ่งกว่าที่ทุกอย่างจะดีขึ้น หญิงสาวก็ต้องใช้เวลาหลายเดือน กว่าที่สภาพจิตใจจะกลับมาเป็นปกติ

และในคืนนี้ คืนแรกที่เธอกลับบ้านในรอบหลายเดือน เธอก็ต้องเผชิญกับฝันร้ายนี้อีกครั้ง ความจริงแล้วเธอยังคงฝันถึงเหตุการณ์นี้ในบางครั้งที่เธอรู้สึกคิดถึงแม่มากๆ แต่สลิลไม่เคยเล่าให้วิทย์กับนวลฟัง เพราะเธอรู้ดีว่าทั้งสองเป็นห่วงเธอมาก หญิงสาวทำได้แค่ข่มตาหลับทั้งน้ำตา เฝ้ารอให้ฝันร้ายนี้ผ่านพ้นไป

 

 

ท่าอากาศยานที่หนาแน่นไปด้วยผู้คนทั้งในและนอกประเทศทำให้ผู้ที่ยืนรออยู่ ต้องชะเง้อหาคนที่เขาเฝ้ารอการกลับมาอย่างยาวนานด้วยท่าทีร้อนรน ไม่นานชายหนุ่มร่างสูงที่เขาเฝ้ารอก็เดินออกจากทางออกของผู้โดยสาร วิทย์โบกมือเรียกธีร์วัฒน์ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ธีร์วัฒน์สังเกตเห็นทันทีที่เดินออกมา เขาจึงรีบก้าวเท้ายาวพร้อมกับสัมภาระมาหาผู้ที่เขาเคารพเหมือนพ่อ

“สวัสดีครับอา” ธีร์วัฒน์ยกมือไหว้ด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ “สวัสดี โตขึ้นเยอะเลยนะ หลังจากที่เจอกันครั้งสุดท้าย” ชายหนุ่มจำได้ว่าวิทย์ไปหาเขาเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เขาเพิ่งเรียนจบใหม่ๆ และเป็นคนเดียวที่ไปแสดงความยินดีกับเขาในวันเรียนจบ

“ไป อาจะพาไปที่พัก ธีร์จะได้พักผ่อน” วิทย์เดินนำหน้าธีร์วัฒน์ไปยังรถที่จอดรออยู่

ระหว่างทาง ทั้งสองคุยกันเรื่องข้อตกลงที่ธีร์วัฒน์เสนอให้วิทย์ ก่อนที่ชายหนุ่มจะตอบตกลงมาทำงานที่นี่

“ตามที่ธีร์ขอ หมอทุกคนไม่มีใครรู้ว่าธีร์เป็นใคร พวกเขารู้แค่ว่าธีร์เป็นหัวหน้าทีมแพทย์ที่มาจากอเมริกาเท่านั้น”

“แล้วคนที่รู้เรื่องผมมีใครบ้างครับ” ธีร์วัฒน์ถามด้วยน้ำเสียงเข้ม

“มีแค่อากับคุณตรีคณะผู้บริหารเก่าอีกคนเท่านั้นเอง”

“แค่ 2 คนแค่นั้นใช่มั้ยครับ” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงย้ำ

“อื้อ สลิลก็ยังไม่รู้เลย”

“หือ สลิล ใครครับ” ธีร์วัฒน์หันไปถามชายที่นั่งข้างๆ

“อ่อ ลูกสาวอาไง ธีร์จำได้มั้ยที่ตอนเด็กๆ เคยเล่นด้วยกันน่ะ” ชายหนุ่มไม่กล้าตอบ เพราะตนจำไม่ได้ และไม่คุ้นชื่อนี้เลย

“เดี๋ยวก็คงได้เจอกัน เพราะลิลเป็นหนึ่งในหมอของศูนย์ด้วย” วิทย์พูดด้วยน้ำเสียงภูมิใจในตัวลูกสาว

เพียงไม่นานก็มาถึงคอนโดหรูใจกลางเมืองที่เป็นที่พักประจำของธีร์วัฒน์ระหว่างที่เขาทำงานอยู่ที่นี่ อาวิทย์แนะนำทุกอย่างแก่เขา ทั้งห้างที่ใกล้ที่สุด ร้านอาหาร และร้านสะดวกซื้อต่างๆ

หลังจากอาวิทย์กลับไป ธีร์วัฒน์จึงเดินสำรวจรอบๆ ห้อง ห้องนี้ดูเหมือนจะเล็กกว่าห้องเก่า แต่กลับดูมีชีวิตชีวามากกว่า เพราะผ้าม่านสีขาวที่ทำให้ห้องนี้ดูสว่าง เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ทั้งโต๊ะ โซฟา ชั้นวางหนังสือ ล้วนแล้วแต่เป็นสีขาว รวมทั้งบนโต๊ะของห้องโถงกลางและโต๊ะกินข้าวในห้องครัวก็มีแจกันดอกไม้วางอยู่ ผนังของห้องทั้ง2 ข้างมีภาพวาดสีน้ำมันแขวนอยู่ นั่นทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเดินอยู่ในพิพิธภัณฑ์ แต่ธีร์วัฒน์ก็ไม่ได้ใส่ใจนัก เพราะพื้นที่ส่วนนี้ เขาคงไม่ได้ใช้มัน ธีร์วัฒน์เปิดประตูเข้าไปในห้องห้องหนึ่งทางซ้ายมือ ที่เหมือนจะถูกจัดไว้ให้เป็นห้องทำงาน เพราะมันมีชั้นหนังสือที่ใหญ่กว่าอันข้างนอก และโต๊ะทำงานอันใหญ่ที่มีคอมพิวเตอร์จัดวางไว้อย่างเรียบร้อย ชายหนุ่มโล่งใจที่ผนังของห้องว่างเปล่า ไม่มีภาพวาดหรือกรอบรูปแขวนอยู่

ชายหนุ่มเอาสัมภาระทุกอย่างออกมา ซึ่งของส่วนใหญ่ที่เขาเอามาเป็นหนังสือและเอกสารต่างๆ เขาจัดแจงเรียงหนังสือบนชั้นวางหนังสือ พร้อมกับเอกสารวางเรียงไว้บนโต๊ะ รวมทั้งโปสเตอร์ผังร่างกายมนุษย์ ชายหนุ่มหยิบออกมากาง เพื่อเตรียมติดเข้ากับผนังทั้ง 2 ข้าง ซึ่งกว่าที่ธีร์วัฒน์จะจัดของทั้งหมดเสร็จก็ทำให้ชายหนุ่มแทบหมดแรง

หลังจากธีร์วัฒน์จัดของทั้งหมดเสร็จ ท้องฟ้าข้างนอกก็ดูจะเริ่มมืดลง เขาจึงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมออกไปทานข้าว เนื่องจากอาวิทย์บอกว่า มีห้างที่อยู่ใกล้ๆ นั่งรถไฟฟ้าไปเพียงสองสถานีเท่านั้น เขาเลยตัดสินใจจะไปหาอะไรกินที่นั่น ถึงแม้เขาจะไม่ได้อยู่เมืองไทยมานาน แต่ก็ดูจะปรับตัวได้เร็ว และเรียนรู้ได้ไวกับสิ่งต่างๆ แม้กระทั่งภาษาไทย เขายังพูดได้อย่างคล่องแคล่วไม่มีผิดเพี้ยน แม้จะหลงลืมบางคำไปบ้างแต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา

ตลอดทางที่ชายหนุ่มก้าวออกจากคอนโด เขามักจะถูกลอบแอบมองจากผู้คนที่เดินผ่านไปมา เพราะคนตัวสูงที่แม้บัดนี้จะอยู่ในชุดเสื้อยืดสีดำธรรมดา ก็ไม่สามารถปิดบังสัดส่วนของรูปร่างนั้นได้ และถึงแม้ชายหนุ่มจะเป็นคนผิวขาว แต่เพราะคิ้วที่หนาเข้ม ดวงตาที่คมกริบ ทำให้ใบหน้านั้นดูโดดเด่นชวนมอง

เมื่อมาถึงห้าง ธีร์วัฒน์ตรงไปที่แผนผังของห้างทันที เพื่อดูว่าร้านที่เขาต้องการจะไปอยู่ตรงไหน หลังจากนั้น เขาก็ตรงดิ่งไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งทันที ซึ่งแน่นอนว่าร้านอาหารที่เขาเลือกคือร้านอาหารไทย ธีร์วัฒน์สั่งอาหารอย่างคล่องแคล่ว ประหนึ่งว่าตัวเองอยู่ที่นี่มาทั้งชีวิต

หลังจากทานอาหารเสร็จ ธีร์วัฒน์แวะเข้าร้านหนังสือก่อนกลับตามวิสัย ร่างสูงเดินไปยังโซนประเภทหนังสือที่เขาต้องการ จุดมุ่งหมายของเขาคือหนังสือเล่มหนึ่งบนชั้นที่เขาเห็นตั้งแต่เดินเข้าร้าน ในระหว่างที่เขาเดินเข้าไปใกล้ มือใหญ่ก็กำลังเอื้อมหมายจะหยิบหนังสือ จู่ๆ ก็มีมือเล็กอีกมือเข้ามาคว้าไป แต่ด้วยความไวทำให้ธีร์วัฒน์คว้าส่วนหน้าปกไว้ได้ทัน ทำให้ทั้งสองมือยื้อหนังสือเล่นนั้นกันอยู่พักสัก จนเจ้าของมือเล็กต้องเอ่ยขึ้นมา

“เอ่อ ขอโทษนะคะ หนังสือเล่มนี้ฉันหยิบก่อนค่ะ”

“ผมว่าผมหยิบก่อนนะ” เจ้าของมือใหญ่เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทำให้คนตรงข้ามรู้สึกฉุนขึ้นมานิดๆ

“คุณจะหยิบก่อนได้ยังไง ก็เห็นอยู่ว่าฉันหยิบก่อนแล้วคุณก็มาแย่งจากมือฉันเนี่ย” หญิงสาวพูดพร้อมมองมือทั้งสองที่กำลังจับหนังสืออยู่

“มือผมจับหนังสืออยู่ ไม่ได้จับมือคุณสักหน่อย” สีหน้าที่เรียบเฉย คำพูดที่ดูจะกวนประสาท ทำให้หญิงสาวเริ่มโมโห

“เอ้านี่คุณกวนฉันหรอ” น้ำเสียงของหญิงสาวแสดงออกชัดเจนว่ากำลังไม่พอใจ

“ผมกำลังพูดด้วยเหตุผลแบบที่ปัญญาชนเขาทำกัน” ทั้งคำพูดที่เหมือนหลอกด่า กับหน้าตานิ่งๆ ทำให้หญิงสาวหมดความอดทน ไม่ว่ายังไงหนังสือเล่มนี้ก็ต้องเป็นของเธอ!

“หนังสือเล่มนี้มันของฉัน” ร่างบางออกแรงกระชากเต็มที่ในจังหวะเดียวกันกับที่ร่างใหญ่ปล่อยมือจากหนังสือพอดี ทำให้ร่างหญิงสาวกระเด็นลงไปกระแทกกับพื้นท่ามกลางสายตาของฝูงชนในร้านเป็นพยาน

“คุณเป็นคนหยิบก่อนจริงๆ ผมคงเข้าใจผิดไปเอง” ร่างสูงพูดด้วยท่าทีนิ่งๆ แต่มีแววขบขันในสายตา เขาเดินออกจากร้านไปทันที ทิ้งให้ร่างบางที่ยังคงกองอยู่ที่พื้นแทบจะขบฟันตัวเองด้วยความเจ็บและโมโหสุดขีด

ถ้าแค่เจ็บตัวอย่างเดียวก็ไม่เท่าไหร่ แต่ต้องอับอายขายขี้หน้าต่อหน้าฝูงชนเนี่ยซิที่ทำให้เธอโมโห หลังจากออกมาจากร้านขายหนังสือที่เธอแทบจะหมุดหัวลงทะลุพื้นตอนเดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น หญิงสาวจึงรีบหยิบออกมาจากกระเป๋าสะพาย

“ค่ะพ่อ”

“หือ ทำไมเสียงดูหงุดหงิดอย่างงั้นล่ะลูก พ่อโทรไปขัดจังหวะอะไรรึเปล่า” หญิงสาวยังปรับอารมณ์ไม่ทันหลังจากพึ่งผ่านเหตุการณ์สะเทือนใจมา

“ป่าวค่ะ พอดีเมื่อกี้ลิลเจอคนบ้าค่ะ น่าจะไม่ค่อยเต็ม” หน้าของผู้ชายคนนั้น สลิลยังจำได้ดีทุกกระเบียดนิ้ว

“หือ เขาทำอะไรลูกล่ะ” แม้คำพูดของพ่อจะดูเป็นห่วงแต่น้ำเสียงกลับปนขำ

“เอาไว้กลับไป ลิลค่อยเล่าให้ฟังแล้วกันนะคะ ลิลเสร็จธุระแล้ว กำลังกลับค่ะ”

“จ๊ะ พ่อก็โทรมาถามว่าจะกลับหรือยัง แค่นี้นะ เจอกันที่บ้าน” สลิลวางสายจากผู้เป็นพ่อ ก่อนจะเดินกระเพกออกไปเรียกแท็กซี่ เพราะแรงกระแทกทำให้เธอรู้สึกเจ็บแปลบๆ ที่เอว หึ ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น อย่าให้เจออีกนะ แม่จะเอาคืน!

 

ศูนย์รักษามะเร็งของโรงพยาบาลธิติเวช ถูกสร้างเชื่อมกับตึกของโรงพยาบาลธิติเวชเดิม ซึ่งในส่วนของศูนย์มะเร็งจะอยู่ทางด้านหลัง ถูกออกแบบในลักษณะเดียวกัน

ขณะนี้ภายในตัวตึกถูกเตรียมพร้อมสำหรับการใช้งาน แม้จะยังไม่ถึงเวลาเปิดอย่างเป็นทางการ แต่เนื่องจากทางศูนย์ต้องมีการอบรมทีมแพทย์ และบุคลากรที่เกี่ยวข้องทั้งหมดก่อน ทำให้วันนี้ทางโรงพยาบาลธิติเวชดูจะคึกคักไปทั้งตึก

สลิลตื่นเช้ากว่าปกติ เพราะวันนี้เป็นวันแรกของการอบรม เธอตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวไปโรงพยาบาล หญิงสาวกำลังบรรจงรวบผมเกล้าขึ้นอย่างชำนาญ เผยให้เห็นลำคอยาวระหง และใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางน้อยๆ ยิ่งทำให้ดวงหน้าของเธอดูสดใส เสื้อเชิ้ตสีอ่อนกับกางเกงขายาวทำให้หญิงสาวดูทะมัดทะแมง พร้อมกับการเริ่มงานเต็มที่

ผู้เป็นพ่อชวนให้ลูกสาวนั่งรถไปด้วยกัน แต่เพราะสลิลไม่อยากให้เป็นประเด็น เธอจึงปฏิเสธ และเลือกที่จะนั่งแท็กซี่ไปเอง ผู้เป็นพ่อเข้าใจเหตุผลของลูกสาวเป็นอย่างดี เขาจึงไม่เซ้าซี้ต่อ

เมื่อถึงเวลานัดหมาย คณะผู้บริหาร ศาสตราจารย์แพทย์ และบุคลากรทุกคนก็เริ่มทยอยเข้ามาในห้องสัมมนา เพื่อที่จะได้มีการกล่าวแนะนำบุคลากรอย่างเป็นทางการ เริ่มจากศาสตราจารย์แพทย์ที่กล่าวแนะนำก่อน และหัวหน้าทีมแพทย์ สลิลสังเกตเห็นว่ามีแค่หมอภาคย์เท่านั้นที่ขึ้นกล่าวแนะนำตัว แล้วหัวหน้าทีมแพทย์อีกคนล่ะอยู่ไหน ขณะที่หญิงสาวกำลังมองหาอีกคน เธอก็ถูกเรียกให้ขึ้นไปแนะนำตัวพร้อมกับคนอื่นๆ

“สวัสดีค่ะ ดิฉัน แพทย์หญิง สลิล วัฒนกิตติ ค่ะ” หญิงสาวโค้งหัวเล็กน้อย ก่อนจะยื่นไมค์ให้กับนายแพทย์อีกคนที่ยืนอยู่ข้างเธอ แม้หญิงสาวจะรู้สึกประหม่าตอนพูดนามสกุลของตัวเอง แต่ผลตอบรับจากคนฟังไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย อาจเป็นเพราะผู้ที่นั่งฟังต่างก็ทราบว่าการเข้ามาทำงานของหมอสาวผู้นี้ มาจากความสามารถที่แท้จริง

หลังจากเสร็จสิ้นการแนะนำบุคลากรเป็นที่เรียบร้อย หมอภาคย์ หัวหน้าทีมแพทย์ก็พาเหล่าทีมแพทย์สำรวจและแนะนำห้องต่างๆ ของศูนย์ แพทย์หนุ่มที่มีหน้าตายิ้มแย้ม นัยน์ตาสดใส ทำให้เขาดูใจดี และเป็นมิตร อีกทั้งมุกตลกที่เขาขยันหยอดในขณะแนะนำส่วนต่างๆ ของศูนย์ ยิ่งทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลาย ไม่ตึงเครียด สลิลรู้ดีว่าแพทย์หนุ่มผู้นี้ ช่างมีนิสัยขัดกับบุคลิกภายนอก เพราะร่างที่สูงใหญ่ อีกทั้งผิวและหน้าตาคมเข้มตามมาตรฐานชายไทยที่ดูน่าเกรงขามนั้น แท้จริงแล้วกลับเป็นคนตลกอย่างเหลือเชื่อ ทั้งความอ่อนโยนและใจดี ทำให้เขาเป็นที่รักกับคนไข้และเพื่อนร่วมงานเสมอ

ตั้งแต่หญิงสาวเข้าเรียนแพทย์ หมอภาคย์ก็คอยช่วยเหลือและให้คำแนะนำกับเธอในฐานะรุ่นพี่มาโดยตลอด รวมถึงตอนที่แม่ของหญิงสาวเสียชีวิต ภาคย์ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่อยู่ข้างๆ เธอ

เมื่อเสร็จขั้นตอนในช่วงเช้า เวลาก็ล่วงเลยจนถึงเวลาพักเที่ยง ตามตารางของวันนี้ ในช่วงบ่ายทีมแพทย์จะต้องเข้าอบรมกับคณะศาสตราจารย์แพทย์และหัวหน้าทีมแพทย์ ซึ่งกว่าที่จะถึงเวลาเข้าอบรม ก็อีกเกือบชั่วโมง ทำให้สลิลได้มีโอกาสนั่งคุยกับรุ่นพี่ที่เธอไม่ได้เจอมานาน

ชั้นล่างสุดของศูนย์ นอกจากจะเป็นส่วนของประชาสัมพันธ์แล้ว ยังมีส่วนที่ถูกจัดไว้เป็นพื้นที่ของร้านกาแฟอีกด้วย

“เป็นยังไง โรงพยาบาลที่โน่นคงใช้งานเธอคุ้มเลยซิ” หมอหนุ่มพูดพร้อมยื่นแก้วกาแฟให้หญิงสาว

รุ่นพี่หนุ่มรู้ดี เพราะเขาเองก็ผ่านประสบการณ์แบบนั้นมาเช่นกัน

“ก็พอตัว แต่ก็มันส์ดีค่ะ รู้สึกว่าตัวเองได้เป็นหมอจริงๆ”

“อยู่ที่ไหนเธอก็เป็นหมอทั้งนั้นแหละหน่า” ภาคย์แกล้งแหย่หมอสาว เพราะจริงๆ แล้วเขาเข้าใจความหมายที่แท้จริงของเธอดี

“เห้อ อย่ามาทำเป็นพูดเลย พี่เองก็เคยพูดแบบนั้นไม่ใช่หรอ” ทั้งสองคนต่างพูดคุยแลกเปลี่ยนกับการทำงานที่ผ่านมา จนหญิงสาวนึกขึ้นได้จึงเอ่ยถามออกไป

“พ่อบอกว่า หัวหน้าทีมแพทย์มี2 คนไม่ใช่หรอคะ แล้วทำไมวันนี้มีพี่คนเดียวล่ะ”

“อ๋อ เขาจะเข้ามาอบรมตอนบ่ายน่ะ” สลิลยังไม่ทันได้ถามต่อ ภาคย์ก็ถูกผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเรียกเข้าไปคุย

 

ก่อนหน้านี้หลายวัน ธีร์วัฒน์และภาคย์ต้องเข้ามาที่นี่ เพื่อมาแนะนำตัวซึ่งกันและกัน รวมถึงเข้ามาศึกษาพื้นที่ทั้งหมดของที่นี่ เพื่อที่จะได้แนะนำให้กับทีมแพทย์ แต่ดูเหมือนว่าการเจอกันของทั้งคู่ จะไม่ค่อยเป็นไปด้วยดีนัก

“หมอภาคย์ นี่หมอธีร์ หัวหน้าอีกคนที่จะมาทำงานร่วมกับเรา” อาจารย์หมอท่านหนึ่งกล่าวแนะนำ

ภาคย์ทราบอยู่แล้วว่าจะมีแพทย์หนุ่มมาจากอเมริกา ซึ่งเขาก็รู้จักชื่อนี้ดี นายแพทย์ธีร์ วัตสัน แพทย์คนไทยที่มีชื่อเสียงอยู่ในนิวยอร์ก

“สวัสดีครับ ผมภาคย์ หัวหน้าทีมแพทย์ ยินดีที่ได้ทำงานร่วมกับคุณ” ภาคย์ยื่นมือออกไปหมายว่าคนตรงข้ามจะยื่นออกมาเช่นกัน แต่เปล่าเลย คนตรงข้ามแค่มองใบหน้าที่เป็นมิตรของเขานิ่งๆ เท่านั้น ทำให้ภาคย์ต้องยกมือขึ้นเกาคอเพื่อเป็นการแก้เก้อ

“แค่นี้ใช่มั้ยครับที่ผมต้องรู้” ธีร์วัฒน์หันไปถามอาจารย์หมอที่ยืนอยู่ข้างๆ ทำให้คนที่ถูกเมินรู้สึกหน้าชานิดๆ

“ผมจะเข้ามาอบรมในช่วงบ่าย ส่วนในช่วงเช้าให้หัวหน้าอีกคนรับหน้าที่ไปก็แล้วกันครับ” คนที่เพิ่งแนะนำชื่อถึงกับพูดไม่ออก ไม่รู้จะรู้สึกแย่กับประโยคไหนก่อนดี รวมถึงอาจารย์หมอที่ดูจะกระอักกระอ่วน แต่ก็ทำได้แค่ยิ้มและพยักหน้ารับ

“งั้นผมขอตัว” ธีร์วัฒน์ยกมือไหว้ผู้อาวุโสคนเดียวในที่นี้ และเดินออกจากวงสนทนาไป ปล่อยให้ภาคย์และผู้อาวุโสคนเดียวมองหน้ากันด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย

 

ภายในห้องสัมมนาชั้นบนสุดของตึก เหล่าคณะแพทย์และบุคลากรในตำแหน่งต่างๆ กำลังนั่งรอการอบรมพร้อมกับอุปกรณ์จดบันทึก หญิงสาวแปลกใจที่ในห้องสัมมนามีคนเข้ามาฟังมากมาย ทั้งบุคคลภายในที่ดูจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับศูนย์มะเร็ง หรือแม้กระทั่งบุคคลภายนอกที่ดูเหมือนจะมาจากโรงพยาบาลอื่นด้วยซ้ำ แม้ขนาดของห้องสัมมนาจะค่อนข้างใหญ่ แต่บัดนี้มันกลับดูเล็กและคับแคบ เพราะที่นั่งถูกจับจองไปจนเกือบหมด สลิลจึงเลือกนั่งแถวหลังสุดเพราะมันยังพอมีที่ว่างให้เธอ

เมื่อนาฬิกาบอกเวลาบ่ายโมงตรง ศาสตราจารย์แพทย์ท่านหนึ่งก็ขึ้นกล่าวเปิด พร้อมกับหน้าจอโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่เริ่มฉาย หลังจากใช้เวลาในการบรรยายไปประมาณ 45 นาที ศาสตราจารย์แพทย์ท่านนี้ก็กล่าวเชิญผู้บรรยายคนถัดไป

“ผมขอเชิญ นายแพทย์ธีร์ วัตสัน หัวหน้าทีมแพทย์ศูนย์มะเร็งของโรงพยาบาลเราขึ้นบรรยายในหัวข้อต่อไปครับ” คนกล่าวยังพูดไปทันจบ เสียงปรบมือก็ดังขึ้นอย่างพร้อมใจ

ผู้ที่ถูกเชิญนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ร่างสูงในชุดสูทสีเข้มลุกขึ้นจากแถวหน้าสุด ขายาวก้าวขึ้นไปยืนหน้าโปรเจคเตอร์ด้วยท่าทีที่นิ่งและสุขุม พร้อมกับโค้งตัวเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มบรรยาย ในขณะนั้น สลิล ผู้ที่นั่งอยู่แถวหลังสุด กำลังเพ่งมองชายที่ยืนอยู่หน้าห้องด้วยความสงสัย ในวินาทีนั้นภาพใบหน้าของชายที่ทำให้เธอต้องอับอายในร้านหนังสือก็โผล่เข้ามา หญิงสาวจดจำใบหน้านั้นได้ดี ถึงแม้วันนี้เขาจะเซตผมขึ้นอย่างดี แต่เธอก็จำได้ไม่ลืม

‘ผู้ชายคนนั้นเนี่ยนะจะมาเป็นหัวหน้าฉัน ตายล่ะหว่า’ หญิงสาวนั่งแทบไม่ติด เธอจึงลุกออกไปสงบสติอารมณ์ข้างนอก สลิลเดินงุ่นง่านไปมา ทำให้ภาคย์ที่เพิ่งเดินออกมาเพื่อคุยโทรศัพท์เข้ามาทัก

“ลิล ออกมาทำไมล่ะ หมอธีร์บรรยายน่าเบื่อหรอ” บัดนี้หญิงสาวไม่รู้ว่าจะปั้นหน้าแบบไหนดี จึงได้แต่ส่ายหน้าให้คนที่เข้ามาถาม

“เป็นอะไรหรือป่าว สีหน้าไม่ดีเลยนะ” ภาคย์ถามรุ่นน้องด้วยความเป็นห่วง

“ป่าวค่ะ ลิลสบายดีค่ะ”

“อืม ถ้างั้นก็รีบกลับเข้าห้องเถอะ พอบรรยายจบ หมอธีร์จะเรียกคุยกับทีมแพทย์ทั้งหมด”

“ห้ะ” สลิลรู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่าเข้าอย่างจัง

‘นี่ต้องเจอเขาซึ่งหน้าวันนี้เลยหรอ ยังไม่ได้ทำใจเลยนะ’ หญิงสาวไม่มีทางเลือก จึงเดินกลับเข้าห้องไปแต่โดยดี แม้ใจจริงเธอจะอยากหนีกลับ แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะหน้าที่ที่สลิลตระหนักดี ตอนนี้เธอต้องแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันให้ได้

ระหว่างการบรรยาย สลิลควบคุมสติตั้งใจฟังและจดบันทึกอย่างดี เธอต้องยอมรับว่าคนบรรยายนั้นเก่ง ทั้งข้อมูลที่เขาเลือกมานำเสนอ และวิธีการพูดที่ชัดถ้อยชัดคำ ไม่มีความประหม่าเลยแม้แต่น้อย ทำให้คนฟังนั่งฟังเพลินจนไม่รู้เลยว่าเวลานั้นผ่านไปเกือบ 3 ชั่วโมงแล้ว

เมื่อการบรรยายจบลง ผู้ที่มาก็เริ่มทยอยออกจากห้อง แต่ดูเหมือนว่านายแพทย์หนุ่มยังต้องรับมือกับผู้ฟังบางคนที่เข้ามาพร้อมกับคำถามที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหัวข้อในวันนี้เลยด้วยซ้ำ ทำให้คณะศาสตราจารย์ต้องเข้ามาเบี่ยงเบนความสนใจ เพื่อให้ธีร์วัฒน์หลุดออกจากวงล้อมของฝูงชน

 

ทีมแพทย์ทั้งหมดถูกเรียกตัวไปยังห้องประชุมที่อยู่ติดกับห้องสัมมนา เนื่องจากหัวหน้าทีมแพทย์คนสำคัญมีเรื่องอยากจะคุยกับทุกคน

ขณะนี้แพทย์ทุกคนมีท่าทีตื่นเต้นที่จะได้พบกับธีร์วัฒน์ ยกเว้นแต่สลิล ที่แม้บัดนี้ร่างบางจะนั่งหลังตรงด้วยท่าทีมั่นใจ แต่ในใจเธอกลับมีความกังวล ถ้าเป็นไปได้ เธอไม่อยากจะเจอเขาเลยจริงๆ

เพียงไม่นาน นายแพทย์ในเสื้อสูทสีเข้มที่ทุกคนเฝ้ารอก็เปิดประตูเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ทำให้ทุกคนรวมถึงสลิลต้องยืนขึ้น เพื่อทำความเคารพ

“ทุกคนไม่ต้องไหว้ผม แค่ยืนฟังก็พอ” คำพูดนั้นทำให้ทุกคนหน้าเหวอ พร้อมกับรีบเก็บมือเข้าที่เดิม

สลิลที่ยืนอยู่หลังห้องเกือบจะหลุดปากพูดออกมา ‘หน้าแบบนี้ ปากแบบนี้มันไม่เกี่ยวกับสติปัญญาเลยจริงๆ’

“ผมคงไม่ต้องแนะนำตัวแล้ว ขอเข้าเรื่องเลยแล้วกัน” ขณะนี้ไม่มีใครในห้องกล้าส่งเสียง แม้กระทั่งเสียงหายใจ

“ผมขอให้พวกคุณเข้าใจเอาไว้ว่าผมไม่ได้มาเพื่อสอนใคร ถ้าพวกคุณมีอะไรสงสัย ก็หาทางเรียนรู้เอาเอง ไม่ต้องถามผม” บรรยากาศที่เงียบอยู่แล้ว ก็ยิ่งเงียบเข้าไปอีก น้ำเสียงเข้มนั้นมันช่างน่าขนลุกเสียจริงๆ

“และเวลาที่ผมพูด พวกคุณต้องฟังและจดตามให้ดี ผมขอแค่นี้” ทันทีที่ธีร์วัฒน์พูดจบ เขาทำท่าเหมือนจะเดินออกไป ทำให้สลิลถึงกับโล่งใจ ที่เขายังไม่ทันได้สังเกตเห็นเธอ หรือเห็นแล้วไม่สนใจก็ไม่รู้ แค่เขาไม่เข้ามาชี้หน้าด่าเธอก็ดีแล้ว

ยังไม่ทันที่สลิลจะสูดหายใจเข้าเต็มปอดดี ธีร์วัฒน์ก็หันกลับมาและจ้องเขม็งมาที่เธอ ผู้ซึ่งยืนอยู่หลังห้อง

เขาเดินตรงมาทางเธอ จนคนถูกจ้องแทบจะหยุดหายใจไปอีกครั้ง ธีร์วัฒน์หยุดยืนอยู่หน้าเธอก่อนจะเหลือบมองบัตรประจำตัวของหญิงสาวที่เหน็บอยู่ตรงหน้าอก

“หมอสลิล” เขาเอ่ยชื่อเธอด้วยน้ำเสียงที่ตีความยาก

“ค่ะ” หญิงสาวไม่กล้าสบตาเขาด้วยซ้ำ ได้แต่มองผนังกำแพงข้างหลังคนตัวสูง

“ตอนผมเริ่มบรรยาย คุณออกไปไหนมา” เสียงหนักนั้น ดูจะไม่พอใจ

แม้ในขณะนั้นธีร์วัฒน์กำลังมีสมาธิอยู่กับการบรรยาย แต่เขาก็สังเกตเห็นว่าหญิงสาวที่นั่งอยู่หลังห้อง ลุกออกไปด้วยท่าทีร้อนรน

“เอ่อ ฉันไปเข้าห้องน้ำค่ะ” สลิลไม่อยากโกหก แต่ถ้าบอกว่าออกไปสงบสติอารมณ์ก็กลัวว่าจะเป็นเรื่อง

“ผมขอดูสมุดที่คุณจดการบรรยายของผมหน่อย” แม้จะแปลกใจที่คนตรงหน้าขอดูสมุด แต่สลิลก็ยื่นให้เขาแต่โดยดี

ธีร์วัฒน์เปิดดูสมุดแต่ละหน้าอย่างใจเย็น แม้หมอสาวคนนี้จะทำให้เขาไม่พอใจที่เดินออกไประหว่างที่เขาบรรยาย แต่เนื้อหาที่เขาบรรยายทั้งหมดหญิงสาวกลับจดได้อย่างละเอียดและครบถ้วนดี

ธีร์วัฒน์ยื่นสมุดคืนให้หมอสาว ก่อนจะเดินออกไปจากห้องโดยไม่พูดอะไรสักคำ ทำให้ทุกคนในห้องรวมถึงเจ้าของสมุดต่างก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา