ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)

5.3

เขียนโดย watcharakarn

วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.

  67 ตอน
  3 วิจารณ์
  31.03K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

43) ‘ขอให้พระคุ้มครอง’

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“…จะเอายังไงต่อดีล่ะคุณ” ผมเอ่ยปากถามเสียงเครียดระหว่างที่เราสองคนกำลังจดๆ จ้องๆ แผนที่อันซับซ้อนของชุมชนแอดอัดแห่งนี้ซึ่งปรากฏหลาอยู่บนแผ่นพลาสติกใสให้เราสองคนยืนงงกันเล่นๆ อยู่ตรงตีนบันไดหน้าบ้านพี่เทิดศักดิ์

 

“ก็เดินไปตามทางนี้เรื่อยๆ อย่างที่คุณตาแกบอกนั่นแหละ” เธอตอบพร้อมกับลากปลายนิ้วชี้ไปเรื่อยประกอบคำอธิบาย “แล้วก็ไปทางซ้าย ตรงไป ก่อนจะเลี้ยวขวาตรงแยกนี้…”

 

ทว่าผมกลับฟังถ้อยคำเหล่านั้นไปเพียงผ่านหู และเงยหน้ามองท้องฟ้ารับสายฝนจากเบื้องบนที่พร่างพรมทะลุร่างของพวกเราตกลงสู่พื้นดิน โดยไม่อาจสัมผัสกับความฉ่ำเย็นของหยดน้ำนับร้อยนับพันนั้นได้อีก

 

‘ที่ฝนตกน่ะ เพราะใครบางคนข้างบนนั่นกำลังร้องไห้อยู่รึเปล่านะ?’ ผมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย แลเห็นผืนเมฆสีหม่นที่กลืนกลบแสงดาวไปหมดสิ้นแล้วก็รู้สึกเหงาเศร้าขึ้นมา…ในเวลานี้ผมคิดถึงแม่และน้องสาวซึ่งอยู่ ณ ที่ๆ ไกลแสนไกลออกไปจากเมืองหลวงอันศิวิไล และภพแดนที่ผมอยู่…ป่านนี้ทั้งสองจะรู้หรือยังว่าผมได้ตายจากโลกนี้ไปเสียแล้ว

 

...โดยที่ยังไม่ทันได้ล่ำรากันเลยสักคำด้วยซ้ำ 

 

“นี่นายฟังฉันอยู่รึเปล่าวิศรุฒิ ตั้งใจหน่อยสิ” อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาเอ็ดใส่เมื่อเห็นผมมองเหม่อไปบนท้องฟ้า

 

“ผมก็ฟังอยู่นี่ไงคุณ” ผมแก้ตัวแล้วจึงรีบก้มหน้ามองแผนที่ซึ่งกางอยู่ในมือของสาริกาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะลอบชำเลืองมองไหล่เล็กๆ กลมมนผิวขาวนวลตัดกับเดรสยาวแบบคอปาดสลับสีม่วง ฟ้า น้ำเงินพันอกและเอวคอดอย่างสวยงามช่วงกระโปรงเล่นระบายเป็นชั้นๆ พลิ้วไหว ปล่อยชายยาวลากพื้นเล็กน้อย ติ่งหูเกี่ยวด้วยต่างหูระย้าซึ่งเป็นเพชรและไข่มุกเม็ดจิ๋วส่องประกายวิบวับแวววาวลงมาเป็นสาย

 

ส่วนของผมสีน้ำตาลเข้มถักเป็นเปียเล็กๆ สองข้างแล้วเกล้ารวบไว้ทางด้านหลัง เปิดรูปหน้าเรียวและเครื่องหน้าอันสะสวยซึ่งแต่งแต้มเฉดสีชมพูอ่อนเพียงบางเบาให้เห็นแจ่มชัด ดูงามพริ้งราวกับนักแสดงสาวผู้เฉิดฉายอยู่ในงานพรมแดงอย่างไรอย่างนั้น

 

ก่อนหน้านี้

 

หลังจากเราสองคนตัดสินใจที่จะเดินทางต่อโดยไม่มีประตูวิเศษอย่าง ‘เทวานิรมิต’ คอยอำนวยความสะดวกเหมือนดังเคย นางฟ้าสาวก็หันมายิ้มให้ผมที่กำลังขวัญเสียว่า

 

“ฉันขอโทษนะที่เราคงต้องยุ่งยากกันหน่อย…แต่…อะไรมันก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นแหละ” เธอพูดพลางยักไหล่ก่อนจะยื่นแขนชี้นิ้วไปบริเวณพื้นห้องที่มืดสลัวพร้อมกับทำสุ่มทำเสียงตกใจ

 

“อุ๊ยนั่นเงินตก”

 

“ห๊ะไหน?” ผมรีบหันไปมองในทันที

 

“คุณตาฝาดไปรึเปล่า…ไม่เห็นจะมีเลย” ผมบอกอย่างนึกเสียดายเมื่อเห็นว่าพื้นบริเวณนั้นว่างเปล่าไม่มีแม้แต่เหรียญสตางค์สักแดงเดียว

 

“มนุษย์หนอมนุษย์แม้ตายไปแล้วก็ยังคงไม่ลืมคำว่าเงินได้เลยสินะ” เธอปรารภเสียงเรียบก่อนจะหัวเราะคิก

 

“โธ่คุณก็…” ผมตั้งท่าจะแย้งแต่พอหันขวับมาอีกทีก็พบว่าเจ้าหล่อนแต่งองค์ทรงเครื่องใหม่เสียเรียบร้อย “อะอ่าวนี่คุณเปลี่ยนชุดอีกแล้วเหรอ”

 

“ก็ใช่น่ะสิ” เธอตอบพลางกอดอกเลิกคิ้วแล้วยิ้มยียวน

 

“สปอนเซอร์คุณเยอะจังแหะ” ผมเปรยด้วยความทึ่ง ไม่คิดว่านางฟ้าสาวจะเสกอะไรต่อมิอะไรได้ดั่งใจปรารถนาง่ายดายถึงเพียงนี้

 

“นั่นมันก็เรื่องของฉันย่ะ” เธอตอบพร้อมกับหันไปอีกทางหนึ่ง “ก่อนจะไปฉันขอไหว้พระก่อนนะ”

 

ว่าแล้วสาริกาก็ยอบกายลงกราบพระพุทธรูปที่เรียงรายอยู่บนหิ้งพระอย่างนอบน้อม เมื่อเห็นดังนั้นผมจึงก้มลงกราบตาม แวบหนึ่งที่ผมเห็นแสงระยิบระยับสะท้อนออกมาจากสร้อยเพชรเม็ดเล็กๆ ที่เรียงร้อยต่อกันรอบข้อมือขวาของเจ้าหล่อนแล้วก็นึกสงสัยว่าเธอหาเสื้อผ้าอาภรณ์และเครื่องเพชรน้ำงามเหล่านี้มาได้อย่างไรกัน

 

“นี่คุณ…ทำอะไรน่ะ” ผมซึ่งเงยตัวขึ้นมาแล้วเอ่ยถามอย่างข้องใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงนั่งพับเพียบพนมมือ หลับตานิ่งเหมือนตั้งจิตอธิษฐานอะไรสักอย่าง

 

“ฉันก็ขอให้พระพุทธองค์ท่านช่วยปกปักษ์รักษาคุ้มครองพวกเราน่ะสิ” อัปสรสาวขยับริมฝีปากซึ่งเคลือบสวยด้วยสีชมพูอ่อนวาวตอบก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นมาช้าๆ

 

“คุณเป็นถึงนางฟ้านางสวรรค์ยังต้อมานั่งขอพรพระท่านอีกเหรอ” ผมท้วงติงด้วยความกังขา “ถ้าคุณจะหาใครช่วยสักคนทำไมไม่เรียกให้เพื่อนคุณบนสวรรค์ลงมาพาพวกเราออกไปจากที่นี่ล่ะ”

 

“ฉันทำแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ….แค่ที่ทำอยู่ตอนนี้มันก็เสี่ยงมากพออยู่แล้ว หากองค์เทพเบื้องบนรู้ว่าฉันไม่ได้ลงมาแค่ทำงานอย่างเดียวแต่มาช่วยนายด้วยละก็…ฉันคง” เธอกล่าวก่อนจะเงียบไปนิดหนึ่งแล้วพูดต่อเสียงอ่อยเหมือนคนรู้สึกผิดว่า “ต้องถูกลงโทษแน่ๆ”

 

“นี่คุณ…” พอได้ยินดังนั้นผมก็พลันซาบซึ้งใจขึ้นมา “แล้วคุณมาช่วยผมทำไม”

 

“เราคงเคยทำกรรมร่วมกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อนละมั้ง” เธอตอบ

 

“คุณกับผมเนี่ยนะ!” ผมร้องเสียงดังพลางชี้นิ้วเข้าหาตัวเองด้วยไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน สาริกาออกอาการอึกอักเล็กน้อยแล้วจึงแก้เกี้ยวพร้อมกับลดมือลงสำรวมไว้บนตัก

 

“ฉันก็พูดไปเรื่อยปื่อยเอย่างนั้นเองแหละน่า เรื่องนั้นน่ะฉันคงบอกนายในตอนนี้ไม่ได้หรอกนะมันเป็นความลับ”

 

“ความลับ” พอได้ยินเช่นนั้นผมก็รีบซักไซ้เธอต่อในทันที “ความลับยังไงเหรอ…บอกผมหน่อยสิคุณ”

 

ร่างเพรียวทำเป็นหูทวนลมก่อนจะก้มกราบพระอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเงยตัวขึ้นจึงหันขวั่บมาแล้วออกปากตำหนิผมเสียยกใหญ่

 

“นายนี่แย่จริงๆ เลยนะฉันกำลังขอพรพระอยู่ก็มาชวนคุยจนฉันเสียสมาธิไปหมดแล้ว ผู้ชายอะไรไร้มารยาททำอย่างนี้มันไม่ถูกกาลเทสะรู้มั๊ย” เธอบ่นพร้อมกับยืนพรวดขึ้น ผมเลยรีบลุกตาม

 

 “ก็ผมอยากรู้นี่คุณ” ผมอ้างขณะมองอีกฝ่ายเดินกระฟัดกระเฟียดทะลุประตูไม้หายวับไปด้านนอก

 

“อะไรของเค้าวะ” ผมจึงได้แต่รำพึงออกมาเบาๆ พร้อมกับเกาหัวแกรกๆ ด้วยความงุนงง นึกโทษตัวเองแต่ก็มิวายข้องใจว่าผู้หญิงนี่อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เข้าใจยากแบบนี้เหมือนกันหมดทั้งโลกมนุษย์และบนสรวงสวรรค์เลยหรือไร

                                           ______________________________             

                         

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

ชอบอ่านนิยายแนวไทยๆ กันมั๊ย

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา