[SIN SON] ผู้ปกครอง

-

เขียนโดย นายฮง

วันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2564 เวลา 14.44 น.

  1 ตอน
  0 วิจารณ์
  1,352 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 เมษายน พ.ศ. 2564 14.46 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ตอนที่ 1 พ่อบอกจะมารับผม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

พวกคุณรักพ่อไหม? พ่อผู้ให้กำเนิดน่ะ…ต่อให้ทะเลาะกันแทบตายอย่างไรเขาก็คือพ่อ คงไม่มีใครไม่รักพ่อหรอกถูกไหมครับ ในความทรงจำอันแสนเลือนรางของผมปรากฏเงาชายหนุ่มร่างสูงผมยาวที่น่าจะเป็นพ่อของตัวเอง ผมเคยอาศัยอยู่กับเขาครั้งหนึ่งตอนยังเด็ก แต่นั่นก็หลายปีมาแล้วก่อนที่เขาจะถูกส่งเข้าตารางด้วยข้อหาอะไรบางอย่างที่ผมเองก็ไม่เคยได้คำตอบ ถึงอย่างนั้นเขาก็เคยเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวที่ผมมีดังนั้นผมจึงรักเขามาก

…แต่เขากลับไม่รักผม

มันเป็นความไม่ยุติธรรมที่ถูกกำหนดเอาไว้ตั้งแต่แรก

ครั้งแรกที่พอจำได้คือแผ่นหลังของพ่อที่เดินหนีข้ามถนนแล้วปล่อยให้ผมวิ่งต้อยๆ ตามออกไป ดีที่รถกระบะคันนั้นเบรกได้ทันผมเลยไม่ต้องรีบจบชีวิตลงตั้งแต่อายุ 3 ขวบ

ครั้งที่สองคือตอนที่ผมเพิ่งเข้าอนุบาลได้ไม่นาน จำได้ว่าพ่อทำทีเป็นโยนกระเป๋าเอกสารตกน้ำแล้วขอให้ผมลงไปเก็บ ด้วยความซื่อและรักเขามากผมจึงเดินลงน้ำไปอย่างไม่ลังเลเผื่อว่าถ้าเชื่อฟังแล้วพ่อจะหันมามองผมบ้าง รักผมบ้าง…แต่ผมก็คิดผิด และนั่นก็เป็นชนวนเหตุที่ทำให้ผมกลัวน้ำตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ส่วนเหตุผลที่รอดมาได้นั้นคล้ายๆ ว่าจะมีคนช่วยเอาไว้แต่ผมเองก็จำหน้าเขาไม่ได้แล้วเหมือนกัน

หลังจากนั้นข้อสันนิษฐานในเรื่องที่ว่าเขาไม่รักผมนั้นมันก็ยิ่งชัดขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ผมรักเขามากแต่ทำไมเขาถึงไม่รักผมเลย ผมเพียงแค่อยากได้ความรักจากเขาบ้าง อยากให้เขาหันมาเหลียวมองลูกในไส้คนนี้สักครั้งก็ยังดี ด้วยความปรารถนานั้นทำให้ผมเริ่มพยายามเข้าหา พยายามทำตัวเป็นเด็กน่ารักว่าง่าย แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน พยายามมากเท่าไหร่มันก็ไม่เป็นผลเลย

…และแล้วผมก็ได้คำตอบ 

เรื่องที่ว่าทำไมพ่อถึงไม่รักผมเลย จริงๆ นั่นก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว เพราะผมไปพรากเอาคนที่เขารักมาก่อนนี่นา

“ยาล่ะ”

“อยู่นี่ครับ”

“สายชาร์ตโทรศัพท์”

“เอาไปแล้วครับ”

“เสื้อผ้า ชุดนักเรียน”

“ใส่กระเป๋าแล้วครับ”

“กางเกงใ-

“ปู่ครับผมไม่ลืมอะไรแบบนั้นหรอก…”

ผมยิ้มขืนมองชายสูงวัยที่ดูไม่เหมือนคนอายุ 65 ตรงหน้า ปู่มักจะเป็นห่วงผมแม้แต่ในเรื่องยิบย่อย จะว่าท่านก็ไม่ได้เพราะผมเองก็โก๊ะให้เห็นมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เพียงแต่ครั้งนี้ดูคุณท่านจะไม่พอใจเอามากๆ แม้จะไม่ได้เอ่ยปากห้ามก็ตาม

“ยังเปลี่ยนใจทัน”

“ไม่เปลี่ยนหรอกครับ”

“…”

“ขมวดคิ้วแล้วๆ” เห็นหน้าดุแบบนี้แต่ปู่ผมใจดีมากครับ ถึงจะปากแข็งไปนิดแต่นั่นแหละส่วนที่น่ารักของท่าน

“จะไปทำไม”

“ก็พ่อคิดถึงผมนี่ครับ”

“มันไม่ได้พูดอย่างนั้น”

“พ่อบอกว่าจะมารับผมไปอยู่ด้วยครับ”

“ก็บอกปัดไปสิ”

“ปู่ครับ…” ไม่รู้เป็นพ่อลูกกันยังไงถึงได้เหม็นขี้หน้ากันขนาดนี้

เมื่อครั้งที่พ่อโดนตัดสินโทษจำคุก ปู่ก็มาหาผมพร้อมกับบอกว่าตัวเองเป็นปู่แท้ๆ และจะรับผมไปอยู่ด้วย บอกเลยว่าตอนนั้นสับสนมากทั้งเรื่องที่พ่อติดคุกและเรื่องของปู่ ทุกอย่างมันตีกันอยู่ในหัวเต็มไปหมดแต่สุดท้ายก็ต้องยอมตามน้ำไปก่อนเพราะไม่มีทางเลือก ปู่บอกว่าพ่อเป็นลูกของท่านและผมก็เป็นหลานคนเดียวของท่าน ก่อนหน้านี้ที่ไม่เคยมาปรากฏตัวให้เห็นเลยสักครั้งเป็นเพราะตัดขาดกับพ่อมานานแล้วจึงไม่เคยได้รู้ว่าตัวเองมีหลานชาย

และวันนี้จึงเป็นวันแรกในรอบหลายปีที่พ่อลูก 2 คู่จะได้พบกันอีกครั้ง

เมื่อวานมีเบอร์แปลกโทรเข้าโทรศัพท์บ้าน พอรับสายถึงได้รู้ว่านั่นคือพ่อ ผมแทบจะปล่อยโทรศัพท์ร่วงหลุดมือ พ่อที่ไม่เคยแยแสผมคนนั้นวันนี้กลับโทรมาบอกว่าพ้นโทษแล้วและเขาอยากจะรับผมกลับไปอยู่ด้วย มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนฉุดขึ้นสวรรค์ ผมรักพ่อ รักมากพอที่จะยอมเสียทุกสิ่งที่มีเพื่อแลกพ่อมา 10 ปีที่ไม่ได้เจอกันไม่มีวันไหนเลยที่ผมจะไม่ฝันถึงเขาและในวันนี้ฝันของผมกำลังจะกลายเป็นจริง

เกสร

“ครับ?”

“พ่อเธอไม่ใช่คนดี”

ชายผมขาวโพลนเพราะความเครียดเรื่องงานจ้องตาผมเขม็งหวังจะบังคับให้เปลี่ยนใจ เป็นปกติผมคงยอมท่านไปแล้วแต่เพราะครั้งนี้เป็นเรื่องของพ่อ พ่อที่ผมโหยหามาตลอด นี่เป็นโอกาสครั้งเดียวที่พ่อจะไม่หายไปจากผมอีก และเหนือสิ่งอื่นใดเรื่องที่เขาไม่ใช่คนดีนั้น…ผมรู้อยู่แล้ว

“ครับ” ผมว่า “แต่ผมรับได้”

“เธอรับไม่ได้หรอก” ปู่ว่าก่อนจะหันหลังเมื่อเห็นรถสีดำมาจอดที่หน้าบ้าน มันเป็นรถของลูกชายเขาไม่ผิดแน่

ผมคงจะวิ่งไปถึงประตูรถแล้วถ้าไม่ติดว่าโดนอีกฝ่ายรั้งข้อมือเอาไว้เสียก่อน

“ครับปู่?”

“ถ้าเธอเห็นหรือรู้อะไร”

“…”

“อย่าโวยวายเด็ดขาด”

“ผมจะเห็นอะไรงั้นเหรอครับ” ปู่กำลังทำตัวแปลกๆ ถ้าเป็นเรื่องของพ่อปู่จะทำตัวแปลกเสมอ แม้แต่เรื่องสาเหตุที่ทำให้พ่อติดคุกปู่ก็ไม่เคยไม่แต่จะบอกผมเลยสักนิด ครั้งนี้ก็เหมือนกัน

“สัญญากับฉันสิ”

ท่านเบี่ยงประเด็นอีกแล้ว

“ผมสัญญาครับ” ถึงจะไม่รู้ว่าเพราะอะไรก็เถอะ แค่ท่านยอมกัดฟันปล่อยให้กลับไปอยู่กับพ่อก็ที่สุดของที่สุดแล้วครับ ผมไม่อยากเซ้าซี้มาก กว่าจะตะล่อมให้ยอมใจอ่อนได้นี่เล่นเอาคอแทบแห้ง

“ถ้ามีเรื่องอะไรโทรหาฉันได้ตลอด ไม่มีธุระก็โทรได้” คนแก่พูดพลางหันหน้าที่ขึ้นสีนิดๆ หนี เพราะปกติผมจะเป็นฝ่ายเริ่มเล่านู่นนี่นั่นให้ท่านฟังก่อนเสมอ พอตัวเองเป็นคนขอให้โทรหาบ้างคงจะรู้สึกเขินพิกล

“เดี๋ยวจะโทรหาบ่อยๆ เลยครับ”

“ให้จริง”

“หลานปู่พูดจริงทำจริงอยู่แล้ว” ผมฉีกยิ้ม แทบจะกระโจนไปหาร่างสูงที่เปิดประตูลงมาจากรถ และ

…เลือกที่จะยืนพิงขอบประตู

              อะไรเนี่ย?

“เอ่อ…ปู่ครับ ไม่ไปคุยกันหน่อยเหรอ” ผมเหล่มองทั้งคู่สลับกันไปมา คนหนึ่งก็ดูไม่มีท่าทีว่าจะเดินเข้าไปหา อีกคนก็ดูจะไม่แกะตัวออกจากรถง่ายๆ นี่มันสถานการณ์อะไร?

“ทำไมฉันต้องไปคุย”

“ก็…” เขาเป็นลูกคุณไง

“มันไม่ใช่ลูกฉัน”

“แต่…เขาเป็นพ่อผมนี่ครับ”

“…”

“ไม่ได้เจอกันตั้ง 10 ปีเลยนะครับ”

“มากกว่านั้นอีก”

“…”

ผมเหลียวหลังไปมองอีกคนที่ยืนพิงรถหน้านิ่งๆ อยากจะเข้าไปกอดแทบแย่แต่ก็สงสารคนแก่ ปู่เป็นคนช่างสังเกต พอถอนหายใจเฮือกใหญ่ท่านก็ดันหลังผมให้เดินเข้าใกล้รถสีดำพร้อมๆ กัน แปลกๆ ตรงที่อีกคนพอถึงครึ่งทางแล้วกลับไม่ยอมเดินตามหลานมาเสียอย่างนั้น

“พ่อ…ครับ”

ผมเงยหน้ามองร่างสูงที่สวมเชิ้ตขาวกอดอกพิงประตูรถ

คิดถึง คิดถึงมากๆ พ่อของผม พ่อคนนั้นยืนอยู่ข้างหน้าผมแล้ว

อีกคนไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่เหลือบตาสูงขึ้นไปยังคนด้านหลังผม ก่อนที่เขาจะยกมุมปากแค่นหัวเราะเบาๆ

พ่อไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมมากนักเท่าที่ผมพอจะจำเค้ารางๆ ได้ เขาเป็นคนที่หน้าตาดี ดวงตาสีดำสนิทกรอบตาเรียว จมูกโด่งแบบพอประมาน ริมฝีปากที่ดูคล้ำเพราะง่วนกับการสูบบุหรี่และหางคิ้วชี้ขึ้นทำให้ดูเจ้าเล่ห์มันดูลงตัวไปเสียหมด พ่อเป็นคนสุขุมและเยือกเย็น ไม่สิ เรียกว่าเย็นชาได้แบบเต็มปากเต็มคำ ตั้งแต่จำความได้ผมไม่เคยเห็นเขาพูดคุยอย่างสนุกสนานกับใครหรือแม้แต่หัวเราะ อาจเป็นเพราะพ่อไม่ค่อยมีเพื่อนที่คบหาด้วยเขาเลยไม่ได้แบ่งปันเรื่องสนุกๆ ให้ใครฟังนักหรือไม่ก็เขาแค่อาจจะไม่ทำมันต่อหน้าผมเท่านั้นเอง

“เมื่อไหร่ที่มึงทำตัวแย่กูจะเอาหลานคืน”

เหมือนจะเห็นประกายไฟทะลุออกมาจากตาทั้งคู่เลย…

“หึ”

พ่อส่งเสียงแค่นั้นก่อนจะเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ พ่อเป็นแบบนี้เสมอ เขาไม่ชอบพูดจาเลยไม่มีใครที่อ่านทางเขาออกได้สักคนไม่เว้นแม้แต่กระทั่งปู่ที่กำลังกำมือแน่นพยายามไม่ให้มันสั่นอยู่ ผมไม่เคยถามเรื่องที่ทั้งคู่ตัดขาดกันแต่คิดว่าคงจะต้องเกิดเรื่องร้ายแรงบางอย่างขึ้นแน่ๆ พวกเขาถึงได้เกลียดกันขนาดนี้

“ปู่ครับ…”

“โทษที” ท่านยกมือกุมขมับ “อย่าทำตามนะ”

ท่านหมายถึงเรื่องที่พูดคำหยาบครับ ผมโดนสอนให้พูดจาดีๆ มาตั้งแต่เด็ก แม้แต่กับเพื่อนผมก็ไม่เคยพูดคำหยาบด้วยเลยสักครั้ง

“ครับ”

“ไปได้แล้ว”

“เดี๋ยวจะโทรหาตอนเย็นๆ นะครับ”

“อยากกลับก็โทรบอกเดี๋ยวไปรับ”

“ปู่ล่ะก็” คนที่รู้ดีกว่าใครเรื่องที่ผมโหยหาพ่อก็ปู่นี่แหละครับ เพราะงั้นเขาถึงได้ยอมปล่อยผมไปง่ายๆ ไง

บอกลาปู่เสร็จผมก็เปิดประตูอีกฝั่งขึ้นไปนั่งแบบเกร็งๆ ถึงจะเป็นพ่อแต่ก็ไม่ได้คุยกันมานานยิ่งไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ก่อนหน้านี้ที่มันพิศวงงงงวยยากจะอธิบายด้วยแล้วยิ่งทำให้ผมไม่กล้าดี๊ด๊ามากเท่าไหร่

ประตูรถยังไม่ทันปิดดีคันเร่งก็ถูกเหยียบมิดแต่ขับออกไปได้ไม่กี่ซอยพ่อก็จอดมันที่ริมทางใกล้ๆ กับป่า

…เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดไฟ

“พ่อครับ?”

ชายหนุ่มเหลือบตามองเล็กน้อยก่อนจะหยิบบุหรี่อีกมวลส่งให้

“ผม…ไม่สูบครับ”

“หึๆ”

ยื่นบุหรี่ให้เด็กอายุ 16 เนี่ยนะ แถมยังเป็นลูกชายตัวเองด้วย คิดอะไรอยู่กันแน่

“กี่ขวบแล้ว” เขาถามพร้อมชักบุหรี่กลับ

“เอ่อ 16 ครับ”

“โรงเรียน”

“ม.เอเดนเทรียครับ”

“ฉลาด?”

“แค่กลางๆ น่ะครับ”

พ่อแค่นยิ้มอีกแล้ว แต่มันดูไม่ค่อยน่ามองสักเท่าไหร่ออกจะน่ากลัวชวนหลอนวูบวาบด้วยซ้ำ

จำได้ว่าเมื่อก่อนเขาจะไว้ผมยาวสลวยแล้วมัดรวบอวดรอยสักที่ต้นคอ ซึ่งผมเองก็จำไม่ได้แล้วว่ารอยสักนั่นรูปอะไร แต่พอมาตอนนี้ผมยาวเกินครึ่งหลังของเขากลับเหลือสั้นเพียงแค่ปรกหลังคอลงมาเท่านั้น น่าเสียดายจัง

“มองอะไร”

“อ่ะ เอ่อ”

“มองอะไร”

“มอง…ต้นคอครับ”

“มองทำไม”

“คือ…”

อีกคนยื่นหน้าเข้ามาใกล้แกมบีบบังคับ “มองทำไม”

“เอ่อ รอยสัก…”

คำตอบของผมทำให้พ่อมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็แค่นั้น เขาผละออกไปมองนอกกระจกแล้วใช้มือคีบบุหรี่ออกจากปากหยักคล้ำ

ฟู่วววว

“อุ้บ แค่กๆๆ”

“หะๆ”

“พ่อครับ…แค่ก” ผมเป็นนักกีฬานะ มาพ่นมะเร็งอัดหน้ากันอย่างนี้ได้ไง เสียสุขภาพ!

อีกคนไม่พูดอะไรต่อ เขาคาบบุหรี่ไว้ในปากแล้วย้ายมือมาจับที่พวงมาลัยก่อนจะออกรถไปด้วยความเร็วกลางๆ

…ผมไม่ได้โง่ ดูก็รู้ว่าเขาเลี่ยงที่จะตอบเรื่องรอยสักชัดๆ งั้นไม่เป็นไร ผมมีสำรองอีกคำถาม

“พ่อครับ”

“…”

“ทำไม…ถึงมารับผมล่ะครับ”

มันควรจะเป็นเรื่องปกติใช่ไหมกับการที่พ่อออกจากคุกแล้วก็กลับมารับลูกตัวเองไปอยู่ด้วยตามเดิม แต่มันไม่ใช่ในกรณีของผมกับพ่อ ผมรักพ่อแต่พ่อเกลียดผม เขาเคยเอาผมไปทิ้งไว้หลังเขาด้วยซ้ำแต่ผมก็สะบักสะบอมเดินกลับมาได้ในวันต่อมา สิ่งที่พ่อทำมีเพียงไล่ให้ผมไปอาบน้ำโดยที่ไม่แม้แต่จะชายตามอง เพราะอย่างนั้นครั้งนี้จึงถือเป็นโอกาสของเขาที่จะสามารถตัดผมออกจากชีวิต ปล่อยให้ผมอยู่กับปู่ต่อไปเรื่อยๆ ไม่ติดต่อไม่พูดคุย แต่นี่เขากลับเป็นฝ่ายโทรศัพท์มาหาผมเอง ไอ้ดีใจน่ะใช่น้ำตาไหลเลยด้วย แต่จะไม่ให้เอะใจได้ยังไง

“…”

“…”

“ใช้งาน”

“ครับ?”

“ใช้งาน” เขายื่นมือมาทางผมแต่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ถนน มุมปากกระตุกยกขึ้น

คืออะไร? ขอมือ?

ผมยื่นมือไปวางแหมะบนฝ่ามือที่ขนาดใหญ่กว่าตัวเองหลายไซส์แบบกล้าๆ กลัวๆ เพราะพ่อมักจะทำอะไรให้ผมตกใจเสมอ ซึ่งครั้งนี้ก็เหมือนกัน…

“อั่ก!”

เขาบิดข้อมือผม

“อึก…พ่อครับ ผมเจ็บ” ผมพยายามดึงมือออกแต่ยิ่งดันทุรังข้อมือก็ยิ่งเหมือนจะหลุด มันเจ็บ

“หะๆ”

ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุข้อมือของผมถูกบีบแรงขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ผมลืมไปได้ยังไงเรื่องที่พ่อชอบทำร้ายร่างกายผม เมื่อไหร่ที่เขาเครียดหรือต้องการผมจะกลายเป็นเครื่องมือระบายอารมณ์ของเขาทันที จริงๆ มันก็ไม่ได้รู้สึกแย่มากเท่าไหร่ เบาะๆ ก็แค่หยิก หนักๆ หน่อยก็แค่มีแผลหรือไม่ก็ช้ำเลือด แต่ถ้ามันทำให้พ่อรู้สึกดีขึ้นได้ผมก็เต็มใจจะให้เขาทำ

“อึก!”

“ไม่ร้องเหรอ”

หะ?

“ไม่ร้องรึไง”

ร้องอะไร ร้องไห้เหรอ ทำไมผมต้องร้องด้วยกับอีแค่โดนบิดข้อมือ

“…ไม่ร้องหรอกครับ” แต่น้ำตาเนี่ยเล็ดแล้ว

“…”

พ่อชะงัก เขามองผมด้วยสายตาว่างเปล่าก่อนจะยอมปล่อยมือแล้วหักพวงมาลัยเข้าซอย คุ้นๆ ว่าเป็นหมู่บ้านเก่าที่ผมเคยอยู่ มันไม่ค่อยเปลี่ยนไปสักเท่าไหร่ถ้าไม่นับบางหลังที่ถูกต่อเติม ส่วนบ้านของผมกับพ่ออยู่หลังสุดท้ายลึกเข้าไปในป่า 10 กว่าเมตรเลยไม่ค่อยมีคนมาป้วนเปี้ยน

โอย เจ็บข้อมือชะมัด…

พ่อเปิดประตูรถลงไปแล้วครับ ผมเลยต้องหอบข้าวหอบของตัวเองลงมาลำพังอย่างทุลักทุเลด้วยมือข้างเดียว ส่วนอีกข้าง…ดูท่าแล้วคงจะให้อะไรไปกระเทือนไม่ได้สักวันสองวัน

ผมสะพายเป้แล้วยกกล่องลังเก็บของใช้ตามพ่อเข้าไปในบ้าน สภาพมันยังคงเหมือนกับในความทรงจำผมเป๊ะๆ แม้แต่โหลปลาที่ไม่มีน้ำสักหยดก็ยังตั้งอยู่บนหิ้งพระเหมือนเดิม(ไม่รู้ทำไมต้องเอาไปไว้ตรงนั้น) ผมถือวิสาสะเอาของทั้งหมดไปกองไว้ที่ห้องในสุดซึ่งมันเคยเป็นห้องของผมมาก่อน

หยากไย่เต็มไปหมด ไหนจะฝุ่นไหนจะแมลง…10 ปีนี่มันน่ากลัวจริงๆ

พ่อบอกจะเอาผมมาใช้งานใช่ไหม คงจะหมายถึงเรื่องนี้ล่ะมั้งครับเพราะเท่าที่พอจำได้พ่อของผมนั้นแม้แต่จับไม้กวาดยังจับไม่ถูกเลย…

ผมเริ่มถกแขนเสื้อแล้วลงมือทำความสะอาด เอาแค่คร่าวๆ ให้พอดูเป็นที่อยู่อาศัยเพราะถ้าให้ทำทั้งหมดในวันเดียวคงไม่ต้องหลับต้องนอนกันพอดี

เพร้งง

“อ้ะ!?”

เป็นเรื่องแล้ว

ผมรีบวางไม้กวาดแล้วก้มลงมองซากกรอบรูปที่กระจายเกลื่อนพื้น มันคือรูปของแม่…

แอ๊ด…

ไม่ทันไรผมก็ต้องหันคอกลับไปด้านหลังอีกครั้ง คราวนี้เป็นพ่อที่ยืนกอดอกพิงขอบประตูอยู่

“เอ่อ…”

“เสียงดัง”

“ขอโทษครับ…”

พ่อเหลือบมองผมก่อนจะค่อยๆ ปลายตาไปยังเศษกระจกบนพื้น

…เขาเงียบ

พ่อไม่เคยดุหรือด่าผมสักครั้ง แต่เขามีวิธีที่ทำให้ผมเชื่อฟังได้ดีกว่านั้นมากนักจนบางทีผมล่ะอยากให้เขาเปลี่ยนไปดุด่าผมแรงๆ เลยยังดีเสียกว่า

“คือว่า…ผมขอโทษ”

“หะๆ”

“พ่อครับ-

“ทิ้ง”

“ครับ?”

“เก็บมันทิ้ง”

“แต่นั่นรูปของแม่…”

“…”

พ่อไม่พูดอะไรอีกแล้วหันหลังออกจากห้องไป ปล่อยให้ผมยืนเหวออยู่คนเดียวก่อนจะก้มลงหยิบรูปใบเล็กขึ้นมาสำรวจ มันเป็นรูปถ่ายหญิงสาวผมยาวสวมชุดเดรสสีขาว เธอเป็นคนที่สวยใช้ได้คนหนึ่ง ผมคิดว่าบางทีเธออาจจะเป็นลูกครึ่งเพราะถึงแม้จะมีผมสีดำขลับแต่ดวงตาของเธอเป็นสีน้ำตาลอ่อนอมเขียวซึ่งผมก็ได้รับมันมาเช่นกัน ผมไม่ค่อยรู้เรื่องของแม่มากนัก เรียกว่าไม่รู้เลยจะถูกกว่าเพราะนอกจากชื่อแล้วผมก็ไม่รู้อะไรไปมากกว่านี้เลย ผมเคยถามพ่อ จำได้ว่าคืนนั้นแหละที่โดนเอาไปปล่อยหลังเขา พ่อไม่ชอบให้ผมละลาบละล้วงหรือถามคำถาม ยิ่งเป็นคำถามเกี่ยวกับแม่แล้วยิ่งเป็นเหมือนสิ่งต้องห้าม

ครับ ผมฆ่าแม่…

พูดให้ถูกคือหลังจากที่เธอคลอดผมได้ไม่นานเธอก็จากไปเพราะสภาพร่างกายอ่อนแอจากการคลอดลูก สิ่งเดียวที่เธอเหลือไว้มีเพียงชื่อเกสรของผมที่เป็นคนตั้งให้และดวงตาคู่สวยที่เสมือนเป็นของต่างหน้าเท่านั้น นี่คือสิ่งที่ผมจับใจความได้จากคำพูดของพ่อ ถึงแม้ผมจะไม่ได้เป็นคนลงมือสังหารแม่ตัวเองก็จริงแต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวการสำคัญที่ดับลมหายใจเธอก็คือผม

…เพราะงี้พ่อถึงเกลียดผมไง เกลียดที่ผมพรากเอาชีวิตแม่ไป เกลียดดวงตาของผมที่เหมือนไปแย่งแม่มา เกลียดที่เห็นผมยังมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ เกลียดทุกอย่างที่เป็นผม…

แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่เขาให้ผมเรียกว่าพ่อ ถึงแม้เจ้าตัวจะไม่เคยเรียกชื่อผมสักครั้งเลยก็เถอะ

สุดท้ายผมก็เก็บรูปใบนั้นใส่กระเป๋าตังตัวเอง เหลือบมองนาฬิกาที่ฝุ่นเขลอะริมผนังก็พบว่าเลยมื้อเที่ยงมานานแล้ว ถึงว่าทำไมท้องเอาแต่ร้อง ผมเดินออกมาจากห้องก็เห็นพ่อนอนแหมะเอาหนังสือโปะหน้าอยู่บนโซฟาที่เต็มไปด้วยหยากไย่ เชื่อว่าถ้าผมไม่ทำความสะอาดให้เขาก็คงไม่คิดจะทำเอง เมื่อก่อนบ้านผมมีแม่บ้านแต่อยู่ดีๆ เธอก็ไม่มาทำงานเสียอย่างงั้น ผมเลยต้องเริ่มเรียนรู้งานบ้านเองตั้งแต่เด็กเพราะบิดาดันทำไม่เป็นแถมไม่คิดจะทำอีกด้วย

ผมเลี้ยวเข้าไปในครัว พยายามย่องไม่ให้พื้นไม้ลั่น ไม่รู้ว่าถ้าอีกคนดันตื่นขึ้นมาผมจะโดนอะไรบ้าง คนๆ นี้ยิ่งเอาแน่เอานอนไม่ได้อยู่ อยากตีก็ตีอยากหยิกก็หยิก

ผมมองหาวัตถุดิบที่พอจะใช้ทำอาหารได้ในครัว โชคยังดีที่พ่อผมรู้จักไปตลาดกับเขาเลยซื้อของมาตุนไว้อยู่บ้าง เลือกเมนูเสร็จผมก็ลงมือทำข้าวผัดแบบง่ายๆ เผื่อแผ่ไปให้อีกคนที่หลับอุตุอยู่ข้างนอกด้วย ขนาดบ้านยังกวาดไม่เป็นคิดเหรอครับว่าเขาจะทำกับข้าวได้

ทีแรกผมกะว่าจะลองไปเรียกเขาให้เข้ามากินข้าวด้วยกันในครัวแต่พอเดินออกไปดันเหลือแต่โซฟากับหนังสือ ผมเลยจำใจต้องเดินคอตกกลับมานั่งกินคนเดียว คิดว่าเขาน่าจะออกไปข้างนอกเดี๋ยวก็คงกลับ พูดๆ ไปพ่อผมนี่ก็นิสัยแปลกๆ นะ ดุ นิ่ง ไม่ชอบสังคม ไม่ชอบโดนผูกมัด ไปไหนไม่บอกไม่กล่าว เอาแน่เอานอนไม่ได้

…นี่มันแมวตัวใหญ่ๆ เลยนี่หว่า

“อ้าว รองเท้าก็ยังอยู่นี่”

ผมเก็บจานล้างแล้วเดินออกมาจากครัวตั้งใจว่าออกไปเดินดูรอบบ้านเสียหน่อย แต่ปรากฏว่ารองเท้าหนังคู่โปรดของพ่อยังกองอยู่ที่เดิมในสภาพคว่ำข้างหงายข้าง

สงสัยจะอยู่ชั้นบน

ผมยกจานข้าวผัดพร้อมแก้วน้ำใส่ถาดแล้วเดินเนิบๆ ขึ้นไปชั้นบน บ้านของผมเป็นบ้านสองชั้นซึ่งเมื่อก่อนผมจะได้รับอนุญาตให้อยู่แต่ชั้นล่างและห้ามขึ้นไปป้วนเปี้ยนที่ชั้นนบนเด็ดขาด เพราะบนนั้นจะมีเพียงห้องนอนของพ่อ ห้องทำงานและห้องเก็บเอกสารสำคัญของพ่ออยู่ ถามว่าผมรู้ได้ยังไง? เอ๋า เด็กมันก็ต้องอยากรู้อยากเห็นเป็นเรื่องธรรมดานี่ครับ

คุ้นๆ ว่าห้องแรกเป็นห้องทำงาน ห้องถัดไปเป็นห้องนอนและห้องเก็บเอกสารอยู่ลึกที่สุด แม้ตอนนี้เพิ่งจะบ่าย 2 แต่เชื่อว่าพ่อผมคงกำลังนอนแผ่อยู่บนเตียงแน่ๆ เขาเป็นคนตื่นง่ายหลับยาก เวลานอนหรือแม้แต่งีบเลยต้องขึ้นมานอนข้างบนเสมอ ส่วนเวลาทำงานของเขาจะเป็นช่วงเย็นๆ ครับ เขาจะออกจากบ้านไปแล้วกลับมาช่วงเที่ยงคืน พอตอนเช้าก็เข้าไปสิงอยู่ในห้องทำงาน เที่ยงค่อยลงมากินข้าวแล้วขึ้นไปนอน เป็นแบบนี้ทุกวัน ส่วนงานของพ่อนั้น…นั่นสิครับ พ่อผมทำงานอะไรกันนะ

ก้อกๆ

วางถาดไว้หน้าห้องเสร็จก็เคาะประตู 2 ทีก่อนจะรีบแจ้นลงมาชั้นล่าง เสียงเบาขนาดนั้นปลุกหมาที่บ้านปู่ยังไม่ตื่นเลยครับแต่เชื่อเถอะว่าแค่เสียงเดินก็ทำพ่อผมตื่นได้

ผมลงมาเก็บห้องตัวเองต่อจนสะอาดเนี๊ยบจึงออกมาทำความสะอาดตรงทางเดิน ห้องครัวและห้องโถง กินเวลาไปหลายชั่วโมงจนเริ่มปวดไหล่ ยังเหลือเช็ดกระจก ปัดฝุ่นบนผนังแล้วก็…ที่ชั้นสอง เอาไว้ทีหลังแล้วกันพ่อยิ่งไม่ชอบให้ใครไปวุ่นวายในพื้นที่ส่วนตัวอยู่ แค่ยกจานข้าวขึ้นไปเนี่ยก็ไม่รู้จะโดนอะไรบ้างแล้ว แต่ผมก็แค่อยากให้เขากินข้าวเองนี่นา

“…จะกินหรือยังนะ”

“กินแล้ว”

พ่อ!?

“อ่ะ…เอ่อ”

มาเงียบตลอดคนนี้

“ทำอะไร” เขาเหลือบมองไม้ถูพื้นในมือ

“เอ่อ เก็บห้องครับ”

“ข้าว”

“เอ้ะ?”

“ข้าว กินแล้ว”

อ๋อ…เขาคงบอกให้ผมขึ้นไปเก็บจาน แต่เดี๋ยว

“ขอโทษ…ที่ขึ้นไปครับ” พ่อเกลียดคนวุ่นวายและสิ่งที่เกลียดยิ่งกว่าคนวุ่นวายคือคนที่ล้ำเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของเขา

“ไม่ได้ว่าอะไร”

เอ้ะ “ไม่ว่า…เหรอครับ” ทั้งๆ ที่เคยห้ามขนาดนั้นอ่ะนะ

“อยากให้ว่าเหรอ”

“…”

“อยากให้ลงโทษ?” ดวงตาสีดำสนิทที่จ้องมองมามันทำให้ผมรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว พ่อเป็นคนน่ากลัว เขาสามารถทำให้ทุกคนถอยหลังได้เพียงแค่ส่งสายตา เห็นได้ชัดกับผมที่กำลังจะสาวเท้าหนี

“ผม- อ้ะ!?”

พ่อกระชากข้อมือผม ข้างเดียวกันกับที่เพิ่งจะบิดมันจนเคล็ดบนรถ

“หะๆ”

“พ่อครับ-โอ้ย!” แต่คราวนี้เขาเพิ่มสกิลการจิกเล็บลงมาด้วย เทียบไม่ได้กับครั้งที่แล้วเลย…มีเลือดแน่ๆ งานนี้

“อึก…พ่อ”

“เจ็บเหรอ”

“โอ้ย!”

“เจ็บเหรอ” เขาถามย้ำด้วยมุมปากที่แสยะออกกว่าเดิม

น่ากลัว…

“พ่อครับ ปล่อยผมเถอะ” ผมทรุดตัวลงไปกองกับพื้น แทบจะกอดขาวิงวอนให้เขาหยุดทรมานร่างกายผมสักที

“ร้องสิ”

“อึก…”

“มากกว่านี้”

“พ่อครับ…”

สิญจน์อยากได้ยินเสียงกรีดร้อง”

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา