โอรีเวีย 2 ( ล่มสลาย )

6.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 เวลา 20.40 น.

  43 บทที่
  2 วิจารณ์
  23.00K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

38) ดอกเดซี่

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

กลางดึกคืนนั้น   ท้องถนนยังสว่างไสวด้วยตะเกียงโคมมากมายเรียงรายตามสองข้างทาง   พระจันทร์สีเงินกลมโตลอยเด่นเหนือท้องฟ้า   อากาศที่เข้าใกล้หน้าหนาวก็เย็นเฉียบพอสมควร   และกลิ่นหอมหวานจากอาหารมากมายที่ผู้คนนำออกมาขายบ้างแจกจ่ายบ้างตามแต่ใจปรารถนา

 

 

เด็กชายตัวน้อยเคยหลงทางในเมืองที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมาแล้วครั้งหนึ่ง   เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้เขาได้หนุ่มน้อยพ่อมดผู้ลือชื่อมาเป็นสหาย   หนึ่งปีผ่านไปในโอรีเวียของเขาจะไม่มีเหตุการณ์เช่นนั้นอีกถ้าไม่จำเป็น   เพราะเขาได้เรียนรู้เส้นทางต่างๆ ในเมืองแห่งนี้เป็นอย่างดีแล้ว   แต่ถ้าหากว่าเขาหลงแล้วมีคนที่หน้าตาสวยเฉียบขาดยิ่งกว่านางสตรีใดอาสาพามาส่ง   มันก็คุ้มค่าหากจะทำเป็นหลงทางอีกครั้ง

 

            ฟิโลโซเฟอร์เดินมาตามถนนสายหลัก   จนมาถึงสะพานหินข้ามลำธารสายหนึ่ง   ความทรงจำครั้งเก่าก่อนย้อนกลับมา   ชวนให้หวั่นใจอยู่ลึกๆ สตรีแสนงามในชุดสีแดงสดผู้พยายามมอบแอปเปิ้ลให้กับเขา   เด็กชายชาวซีนาร์ยมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบวี่แววของนาง  

 

แทนที่จะรู้สึกรู้สึกโล่ง   เด็กชายตัวน้อยกลับรู้สึกหวั่นไหวแปลกๆ เวลาและสถานที่เช่นนี้ดึงดูดนางแต่นางกลับเพิกเฉย   สตรีนางนั้นคงมีเรื่องอื่นให้นางสนใจ   คงมิใช่เรื่องดีแน่

 

หลังจากผ่านสะพานหินมาได้ไม่นาน   เขาก็พบกับตรอกแคบๆ แห่งหนึ่งพื้นถนนปูด้วยหินสีดำหยาบๆ บางครั้งสูงชันจนต้องตัดเป็นขั้นบันได   เส้นทางแห่งนี้เปลี่ยวทึบเพราะขนาบข้างไปด้วยผนังกำแพงสูงทำให้แสงสว่างจากดวงจันทร์ส่องลงมาไม่ถึง  

 

แต่ยังมีใครบางคนที่จิตใจดีนำเทียนหอมมาวางเรียงไว้ตลอดทาง   ให้ความสว่างกับถนนที่ไร้ความราบเรียบ   ไม่เช่นนั้นคงมีคนสะดุดหัวทิ่มได้เลือดกันบ้างแล้ว

 

แสงสว่างนวลกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเทียนทำให้บรรยากาศที่เปล่าเปลี่ยวดูไม่อึดอัด   ตามรอยแตกของหินยังมีพืชต้นเล็กๆ งอกงามขึ้นมาได้   มันกระจายเป็นหย่อมๆ ตามสองข้างทาง

 

ฟิโลโซเฟอร์ยืนมองพุ่มดอกเดซี่ด้วยความประหลาดใจ   ไม่ใช่เรื่องแปลกที่มันงอกเงยขึ้นมาได้แต่แปลกที่มันงดงามเหลือเกิน   ในช่วงฤดูใบไม้ผลิต้นไม้ชนิดนี้ผลิบานอยู่เต็มทุ่งแต่เขาไม่เคยคิดใส่ใจ   ในคืนนี้มันกลับดูน่าหลงใหลอย่างประหลาด   เด็กชายตัวน้อยเกิดความคิดหนึ่ง   เขาจึงก้มลงเด็ดมันขึ้นมาแล้วเดินทางต่อไป

 

“ เจ้ามาสาย ”

 

เสียงหนึ่งทักขึ้นก่อนที่จะทันเห็นตัว

 

“ แล้วมันใช่ความผิดของข้าหรือ ”

 

เด็กชายตัวน้อยโต้ตอบ

เขาลอดกิ่งแอปเปิ้ลเข้าไปด้านใน

 

เทียนหอมมากมายที่เรียงรายตรงโคนต้น

ทำให้ต้นแอปเปิ้นต้นใหญ่สว่างเรื่อเรืองขึ้น

 

เขาจึงเห็นดารีลนั่งห้อยขาอยู่บนกิ่งสูงในชุดคลุมยาวสีขาวที่ดูไม่คุ้นตานัก

กับรัดเกล้าเงินรูปเถาวัลย์เส้นเล็กๆ

จึงทำให้เดาออกว่ามันคือชุดสำหรับงานพิธี

 

ดารีลโยนแอปเปิ้ลลูกหนึ่งลงมาให้เขา

 

“ พิธีเฉลิมฉลองจบไปแล้วอดดูพลุไฟเลยไหมล่ะ ”

 

เขาว่า

 

“ ช่างพลุไฟสิ ”

 

เด็กชายตอบโดยไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร

 

“ อดล่องเรือด้วย ”

 

หนุ่มน้อยกล่าวต่อ

แต่ไม่ได้มีอารมณ์ขุ่นเคืองปนอยู่ในน้ำเสียงนั้น

 

“ ตอนนี้ยังทันนี่ข้าเห็นเรือเต็มคลองเว้นแต่เจ้าไม่อยาก ”

 

เด็กชายว่า

พลางปีนขึ้นไปตามกิ่งไม้

 

“ แน่ล่ะ   ตอนนี้มันดึกมากแล้วแถมอากาศยังหนาวเย็น   เกิดเจ้าทำเรือคว่ำข้าไม่แข็งตายเลยหรือ ”

 

“ ตลกละ   ข้ารู้นะว่าหากเจ้าพอใจต่อให้เป็นแผ่นน้ำแข็งเจ้าก็นอนเล่นมาแล้ว ”

 

ในที่สุดเด็กชายชาวซีนาร์ย

ก็ปีนมาจนอยู่ในระดับเดียวกับดารีลจนได้

 

เขาก้มลงมองพื้นด้วยอาการหวั่นๆ

เกิดหนุ่มน้อยคนนี้คลั่งขึ้นมาอีก

 

หากพลาดหล่นลงไป

จะถึงตายหรือไม่นะ

 

“ ไหนๆ เจ้าก็ไปถึงบ้านข้าแล้ว   ใยไม่เรียกหาข้าล่ะ   เกิดข้าไม่พบจดหมายเจ้าจะไม่รอเก้อหรือ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์เป็นฝ่ายถามขึ้นบ้าง

 

“ ช่วยไม่ได้นี่นา   ข้าแอบเข้าจากหน้าต่างชั้นบนสุด   ให้เดินลงชั้นล่างก็เสียเวลาเปล่า   อีกอย่างในช่วงเวลาแบบนี้ข้าต้องไปให้ทันงานพิธีก่อนที่จะมีผู้ใดกล่าวตำหนิ   หากคืนนี้เจ้าไม่มามันก็หมายความว่าเจ้าไม่มา   ข้าต้องใส่ใจกับเรื่องเพียงเท่านี้หรือ ”

 

ดารีลบอก

 

“ แต่ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องรอ ”

 

เด็กชายตัวน้อยว่า

แล้วยื่นดอกเดซี่ที่เพิ่งเก็บมาให้

 

“ มันคืออะไร ”

 

คนมีอายุมากกว่าเกิดความสงสัย

 

“ ข้าจำได้ว่ายังไม่เคยให้อะไรเจ้าเลย   แต่ก็นึกไม่ออกว่าควรให้อะไร   ของมีค่าต่างๆ เจ้าก็หาเองได้แต่สิ่งนี้คงยังไม่มีใครให้เจ้าอย่างแน่นอน ”

 

“ ดอกหญ้าริมทางนี่นะ ”

 

ดารีลตีหน้าย่น

 

“ มันออกจะสวยเจ้าไม่ชอบหรืออย่างไร ”

 

“ ถ้าข้าเป็นเด็กสามขวบก็คงชอบ ”

 

แต่ถึงจะกล่าวไปเช่นนั้น

เขาก็ยังรับเอามาถือไว้

 

“ เช่นนั้นเจ้าก็บอกข้ามาสิว่าเจ้าอยากได้อะไร ”

 

ฟิโลโซเฟอร์กล่าว

 

“ สิ่งที่ข้าปรารถนาเจ้าไม่มีทางมีหรอก ”

 

หนุ่มน้อยรูปงามว่า

 

“ ไม่มีก็ไม่เป็นไรนี่นาจริงไหม ”

 

เด็กชายยื่นหน้าเข้าไปใกล้

ด้วยแววตาเจ้าเล่ห์จุดประสงค์เพื่อแกล้งแหย่เล่นเท่านั้น

 

ดารีลเอียงร่างหลบ

 

“ อย่ามาทะลึ่งกับข้า   เจ้าไม่เข้าใจสิ่งนั้นหรอก ”

 

แต่แล้วก็เหลือบไปเห็นรอยแผลเล็กๆ

ที่ข้างแก้มเด็กน้อย

 

เหตุจากเมื่อวานที่เขาเกิดอารมณ์คึก

กระโดดลงลานประลองต่อหน้าเพื่อนๆ ในกลุ่ม

และต่อหน้าฟีไลร่าเด็กหญิงผมสีเงินคนนั้นด้วย

 

“ เจ้าไปทำอะไรมานี่ ”

 

หนุ่มน้อยคนนั้นแตะแผลเบาๆ ด้วยปลายนิ้ว

รอยแผลก็ค่อยๆ จางหายไป

 

“ นักรบย่อมต้องมีบาดแผลอย่าได้ใส่ใจเลย ”

 

คำตอบนั้นทำเอาดารีลตาขุ่น

 

“ ข้าลงมาแล้วตั้งหลายสนามยังไม่เคยได้สักแผล   เจ้านี่มันเหลือเกินจริงๆ แค่ลานประลองเล็กๆ ยังมีแผลได้   กว่าจะลงสนามรบจริงคอคงขาดตั้งแต่ก่อนฟ้าสาง ”

 

จริงอย่างว่า

เด็กชายเพ่งพิศดูใบหน้างดงามสมบูรณ์แบบนั้น

พบว่าไร้ริ้วรอยอย่างแท้จริง

 

“ ก็แน่ล่ะเจ้าทำแผลเก่งนี่นา   แต่อย่างน้อยแผลตรงนี้   เจ้าควรปล่อยไว้นะ ”

 

เขาชี้มือไปที่ระดับต่ำกว่าไหล่

ของหนุ่มน้อยคนนั้น

 

ดารีลทำท่าจะปัดมันออก

เด็กชายจึงชิงคว้ามือของเขาเอาไว้เสียก่อน

 

“ อย่าบอกนะว่าลบไปแล้ว   ข้าอุตส่าห์บรรจงสร้างมันขึ้นมา   ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าคงต้องลงมืออีกครั้ง ”

 

“ รอยแผลเป็นมันคือสัญลักษณ์ที่ทำให้คนจำเราได้   ข้าไม่อยากให้มีอยู่เพราะมันลำบากเวลาต้องปลอมตัว   รอยแผลพวกนั้นจะบ่งบอกตัวตนของแต่ละคน ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ถึงกับหัวเราะ

 

“ โธ่เอ๋ยดารีล   ถึงไม่มีสักแผลข้าก็จำได้   เจ้าน่ะสังเกตง่ายจะตาย ”

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
4 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา