โอรีเวีย 2 ( ล่มสลาย )

6.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 เวลา 20.40 น.

  43 บทที่
  2 วิจารณ์
  23.00K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

43) เชื่อใจ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดคือเวลาที่มิตรกลายเป็นศัตรู   และมันจะน่าเศร้านักหากมีคนไม่ยอมปล่อยวาง   พยายามเรียกร้องเอาความสัมพันธ์เดิมกลับคืนมา   ดารีลนั้นเป็นดังผู้ล่า   เมื่อมองหาเหยื่อแล้วเขาไม่เคยสนใจว่าเป็นใครหรือเป็นอะไร   เขาสนแค่ต้องทำงานให้จบเพียงเท่านั้น

 

“ คนที่กล้าหาญเมื่ออยู่ต่อหน้าข้าอายุไม่ยืนนักหรอก   ตกลงแล้วพวกเจ้ามาที่โอรีเวียมีแผนอะไรกันแน่ ”

 

หนุ่มน้อยคนนั้นแยกเขี้ยวถาม

 

ฟิโลโซเฟอร์พยายามพลิกร่างหันมาเผชิญหน้ากับดารีลจนสำเร็จ

 

“ เจ้าทำไม่ได้หรอกข้าแน่ใจ ”

 

เด็กน้อยบอกเสียงเบาหวิว

 

“ อะไรที่ข้าทำไม่ได้ ”

 

คนอายุมากกว่าสงสัย

 

“ เจ้าฆ่าข้าไม่ได้หรอก ”

 

“ อะไรทำให้เจ้าเชื่อเช่นนั้น ”

 

ดารีลถาม

 

“ เช่นนั้นก็ลงมือสิ   รออะไรอยู่ละ   เพราะไม่ว่าเจ้าจะถามกี่ครั้งคำตอบก็ยังคงเดิม   ดารีลข้านั้นไม่เคยโกหกเจ้าไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม ”

 

เด็กน้อยบอก

ดารีลจึงเงื้อมีดขึ้น

 

ปิดปากเด็กชายเอาไว้ด้วยมืออีกข้า

ทั้งสองสบตากันนิ่งงันภายใต้เงาของแสงจันทร์

 

และเด็กชายตัวน้อยก็ไม่ได้มีท่าทีขัดขืนแต่อย่างใด

กลับนอนนิ่งอยู่อย่างนั้น

 

เวลาผ่านไปเป็นครู่

เมื่อฟิโลโซเฟอร์ดึงมือที่กำลังปิดปากออก

แล้วเอ่ยว่า

 

“ ข้าจะตายเพราะเลือดไหลหมดตัวนี่แหละเจ้านี่มันจริงๆ เลย ”

 

ดารีลไม่พูดอะไร

และไม่คิดจะขยับตัวเสียด้วยซ้ำ

 

เด็กชายจึงเอื้อมมือไปคว้าเอามีด

หนุ่มน้อยรูปงามคนนั้นก็ยอมปล่อยให้เขาดึงออกง่ายๆ

 

“ เห็นไหม   คนอย่างดารีลไม่มีคำว่าไม่กล้า   แต่ถ้าไม่ลงมือก็แสดงว่าตั้งใจเช่นนั้นตั้งแต่แรก ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ว่า

 

ดารีลจึงกลิ้งลงไปนอนข้างๆ

พลางยกสองมือขึ้นปิดหน้า

 

“ มีบางอย่างอยู่นอกเหนือการควบคุม   ข้าไม่อยากผิดพลาดซ้ำอีก   แต่ก็ยังหาต้นตอของสิ่งผิดปรกติไม่พบ   ถ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไปโอรีเวียก็เข้าใกล้คำว่าหายนะแล้ว ”

 

เด็กชายตัวน้อย

ค่อยๆ ดึงมือคู่นั้นออก

เพื่อจะได้เห็นใบหน้างดงามนั้นอย่างชัดเจน

 

“ เจ้าเลยเลือกที่จะสงสัยข้า ”

 

ฟิโลโซเฟอร์เอ่ยถาม

 

หนุ่มน้อยคนนั้นได้เอื้อมมือไปสัมผัสบาดแผล

ดวงตาของเขามีประกายแห่งสำนึกผิดผุดขึ้นมาเล็กน้อย

 

แหวนรูปงูที่เขาสวมอยู่ส่องประกายแวววาว

เด็กชายยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยว่า

 

“ อันที่จริงเจ้าเป็นที่หนึ่งในเรื่องการรักษาพยาบาล   และการอวยพรให้ผลผลิตงอกงามเจ้าก็ไม่เป็นรองใครแม้แต่น้อย   ทั้งยังสามารถบันดาลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล   แถมยังเล่นดนตรีได้ไพเราะจับใจ   ดารีลข้าคิดว่าเจ้าเดินทางผิดสายแล้วล่ะ ”

 

“ ทางสภาหมายหัวพวกเจ้าตั้งแต่แรกแล้ว   ข้าจึงอาสาตามสืบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ”

 

ดารีลกล่าวสวนขึ้น

 

“ จอมเวทวาลานรู้เรื่องดาบโบราณแล้วสินะ ”

 

เด็กชายย้อนถาม

 

“ ไม่รู้หรอก   เขายังไม่สมควรรู้   แต่ข้าก็ไม่ได้ไว้ใจพวกเจ้าพอๆ กับที่ไม่ไว้วางใจวาลาน ”

 

“ แล้วข้าต้องทำเช่นไรเจ้าจึงจะเชื่อ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์พยายามปลดเสื้อคลุมของคนตรงหน้า

ด้วยท่าทีแสนซน

 

“ ถึงอย่างไรจอมเวทวาลานก็ยังเชื่อในรายงานของข้า   อย่างน้อยเขาก็จะเลิกสนใจพวกเจ้าสักพัก   จนกว่าจะมีใครทำเรื่องประหลาดอีก ”

 

หนุ่มน้อยในชุดคลุมดำบอก

โดยไม่ใส่ใจกับการกระทำของเด็กชายคนนั้น

 

“ แต่ถ้าสรุปได้ว่าพวกเจ้าเป็นไส้สึก ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ปิดปากคนอายุมากกว่าเอาไว้

พลางคว้ามือบอบบางคู่นั้นมาวางบนอก

 

“ มีหลายคนที่ไม่สวามิภักดิ์ต่อวาลานข้าจะเป็นหนึ่งในนั้นจะสำคัญด้วยหรือ   เพราะข้าได้มอบทุกอย่างให้เจ้าแล้ว   หากเจ้าไม่ไว้ใจข้าก็คงไม่เหลือใครให้เจ้าไว้ใจอีกต่อไป   หลับตาเสียข้าจะทำให้รู้ว่าข้าเชื่อใจเจ้าเพียงใด ” 

 

ดารีลก็หลับตาลงอย่าว่าง่าย

เด็กน้อยจึงได้วางสิ่งหนึ่งใส่ในมือของเขา

 

และนั่นทำให้ดารีลถึงกับตกตลึง

เขาสลัดมันออกพลางลุกถอยหนีด้วยท่าทีลนลาน

ทั้งที่ยังไม่ลืมตาเสียด้วยซ้ำ

 

“ นี่คิดจะฆ่ากันหรืออย่างไร ”

 

เด็กชายรู้สึกประหลาดใจกับท่าทีนั้น

จึงเอ่ยว่า

 

“ ทำไมล่ะ   ดาบนี่เป็นของผู้ใช้เวทมนตร์ข้าหวังจะให้มันคุ้มครองเจ้า   ใยจึงคิดว่ามีเจตนาร้าย ”  

 

“ เจ้าก็รู้นี่ว่าข้าแอบฝึกตำราศาสตร์มืด ”

 

ดารีลบอก

เขากางมือเหนือดาบ

 

ดวงตาสีแดงของแหวนงูเปล่งประกายอำหิต

พอๆ กับอัญมณีที่ประดับบนด้ามดาบ

 

ทั่วทั้งห้องเกิดไอหมอกสีดำหลอกหลอน

 

เด็กน้อยรู้สึกถึงพลังที่คุกคามอย่างชัดแจ้ง

เหมือนทุกครั้งที่เขาพบเจอหมอกประหลาดนี้

 

แต่เพียงเวลาไม่นาน

แสงสีแดงก็จางลง

พร้อมกับไอหมอกที่หายวับไป

 

“ สิ่งนี้ถูกสร้างโดยผู้มีอำนาจด้านมืดที่แข็งแกร่งที่สุด   มันตอบสนองต่อมนต์ดำอย่างร้ายกาจ   ผู้ที่สามารถใช้มันได้อย่างเต็มอำนาจก็คือผู้ใช้มนต์ดำ   กับข้าที่กำลังพยายามงมโข่งในตำราที่น้อยคนจะรู้จัก   เจ้าคิดว่าอย่างข้านี่สามารถควบคุมมันได้   หรือจะเป็นฝ่ายถูกควบคุมเสียเอง ”

 

“ แต่ข้าที่ถือมันไว้ตั้งนานก็มิได้ถูกครอบงำนี่นา ”

 

ฟิโลโซเฟอร์แย้ง

 

“ หากมิใช่ผู้ใช้เวทมนตร์ดาบเล่มนี้ก็แค่ของมีคมอย่างหนึ่งเท่านั้น   ผู้ใช้มนต์ขาวก็ใช้ประโยชน์จากมันในทางที่ถูกที่ควร   แต่ข้านั้นต่างออกไป   ตัวข้าที่ยังควบคุมมนต์ดำได้ไม่ดีพอกับสิ่งที่สร้างมาเพื่อทำลายล้าง   เจ้าคงไม่อยากเห็นข้ากลายเป็นคนอื่นที่เจ้าจะไม่มีวันรู้จักอีกต่อไป ”

 

ดารีลอธิบาย

 

“ ข้าเชื่อใจเจ้าอย่างที่สุดแล้วใยเจ้าไม่เชื่อใจตนเอง   หากสิ่งนี้สามารถก่อภัยใหญ่หลวง   คนผู้เดียวที่สมควรครอบครองมันก็คือเจ้านั่นแหละ ”

 

เด็กชายกล่าว

 

“ เจ้าจะไปรู้อะไรในบางครั้งข้าก็เบื่อกับการพยายามเป็นคนดี   มีบางทีที่แอบทำตามอำเภอใจ   ในความเป็นจริงข้าก็เป็นคนเห็นแก่ตัว   มีความต้องการอยากทำเพื่อตัวเองโดยไม่สนผู้ใด ”

 

คนอายุมากกว่าเตือน

 

“ นั่นแหละที่เจ้าแตกต่าง   มีบางคนที่ปากบอกทำเพื่อส่วนรวมแต่แท้จริงนั้นทำเพื่อตนเอง   แต่เจ้าเมื่ออยากทำเพื่อตนเองก็ยอมรับว่าเพื่อตนเองไม่มีเสแสร้ง   แล้วที่เจ้าบอกว่าดาบโบราณนี้สร้างมาเพื่อทำลายล้างมันคืออะไร   เจ้ารู้ประวัติหรือ ”

 

“ ก็พอรู้บ้าง   ว่าแต่เด็กน้อยจากชนบทอันแสนไกลเคยได้ฟังนิทานตำนานซาเหวจลอร์ดบ้างหรือเปล่า ”

 

“ เคยสิ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ตอบรับอย่างกระตือรือร้น

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
4 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา