คุณพฤกษ์รวยมาก (สนพ.Onederwhy)

-

เขียนโดย ฟ้ามุ่ย

วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 22.49 น.

  41 ตอน
  0 วิจารณ์
  16.87K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

15) 00 15

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

00 15

 

เสียงบิดน้ำดังขึ้นพร้อมกับป้าเมียมที่ค่อย ๆ พับผ้าพาดไว้กับขอบกะละมังหลังจากที่คอยเช็ดตัวให้เจ้านายมาตลอดทั้งคืน ป้าเมียมลุกขึ้นมาบีบนวดตามบ่าและเอวของตนเองด้วยความเมื่อยล้า เธอเอื้อมมือไปอังที่หน้าผากมนของคนป่วย ดูเหมือนความร้อนจากพิษไข้คงจะลดลงบ้างแล้ว

“คุณอินทร์คะ คุณอินทร์” ป้าเมียมเดินอ้อมไปอีกฝั่ง อินทรชิตที่นั่งหลับอยู่ข้างเตียงพอได้ยินเสียงเรียกก็สะดุ้งตื่นขึ้นเต็มตา สิ่งแรกที่เด็กหนุ่มทำคือชะเง้อมองคุณพฤกษ์ที่อยู่บนเตียง พอเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังนอนหลับตาพริ้มก็ถอนหายใจออกมายาวเหยียด

“น่าจะไม่มีอะไรแล้วแหละ นี่ก็ตีสองเข้าไปแล้ว คุณอินทร์ไปนอนเถอะค่ะ” ป้าเมียมว่าพลางหาวไปด้วย

อินทรชิตยังคงรู้สึกไม่วางใจ พูดว่า

“ป้าเมียมไปนอนเถอะครับ เดี๋ยวผมอยู่ต่ออีกนิดดีกว่า”

“แต่คุณต้องไปโรงเรียนนะคะ”

“ไม่เป็นไรครับ”

ป้าเมียมคล้ายจะพูดอะไรต่อแต่เห็นแววตาจริงจังเกินเด็กของอินทรชิตก็พลันพูดอะไรไม่ออก เธออ่อนอกอ่อนใจ เดินไปจัดผ้าห่มให้เจ้านายอีกครั้งก่อนจะพูดทิ้งท้าย

“ตามใจคุณเถอะค่ะ ถ้าไปหลับในชั่วโมงเรียนป้าไม่รู้ด้วยนะ”

เสียงประตูปิดลงพร้อมกับป้าเมียมที่เดินออกไป ทั้งห้องจึงตกอยู่ในความเงียบงัน เด็กหนุ่มเดินไปปิดไฟในห้องเหลือเพียงแค่แสงสีนวลจากโคมไฟข้างเตียงและความเย็นสบายจากเครื่องปรับอากาศ เขาค่อย ๆ นั่งลงบนขอบเตียงอย่างระมัดระวัง เพียงนั่งอยู่อย่างนั้นและจับจ้องความสนใจทั้งหมดไปที่คนป่วย อินทรชิตโคลงศีรษะมอง คุณพฤกษ์ในตอนหลับช่างราวกับภาพวาดในฝัน ผิวกายขาวผุดผ่อง เส้นผมสีดำสะอาด ใบหน้านุ่มนวล คิ้วโค้งเรียวยาว จมูกโด่งเป็นสัน ขนตาพราวระยับ เครื่องหน้าโดยรวมถูกจัดสรรมาอย่างประณีตบรรจง แต่ที่เด็กหนุ่มสนใจเป็นพิเศษคือริมฝีปากอ่อนสีแดงเรื่อที่เผยอออกมาน้อย ๆ นั่นต่างหาก เนื่องด้วยตั้งแต่เด็ก เขามักกลัวการสบตากับคุณพฤกษ์โดยตรงมาตลอด คุณเขาเป็นคนที่มีดวงตาสวย แต่ทว่าในดวงตากลับไม่มีความรู้สึกหรือสิ่งใดอยู่เลย ถ้าจะมีก็คงมีเพียงความว่างเปล่า เรียบนิ่งและเฉยเมย คล้ายกับผืนน้ำที่ไม่มีแม้แต่ปลาสักตัวให้แหวกว่ายอาศัยอยู่ ทุกครั้งที่ถูกจับจ้องด้วยดวงตาภายใต้กรอบแว่นนั่น อินทรชิตก็รู้สึกคล้ายกับว่าถูกคุณพฤกษ์อ่านความคิดจนทะลุปรุโปร่งไปเสียทุกครั้ง นั่นจึงเป็นเหตุให้เขาไม่กล้าสบสายตานั่นได้นานเลยสักครั้ง เวลาที่คุณเขาอยู่ตรงหน้า ระดับสายตาของเด็กหนุ่มจึงมักจับจ้องไปที่ริมฝีปากแดงเรื่อดูอ่อนนุ่มแทนจนกลายเป็นนิสัยไปแล้ว

อินทรชิตยื่นมืออกไปตรงหน้า กระทั่งปลายนิ้วมือแทบจะสัมผัสผิวแก้มแต่กลับหยุดการกระทำนั้นและชักมือกลับมา ในตอนนี้ เขาไม่มีความกล้าหาญพอที่จะจับต้องใบหน้านุ่มนวลนั้นได้ เด็กหนุ่มเปลี่ยนเป้าหมายมาที่มือเรียวขาวของคุณพฤกษ์ที่วางอยู่ข้างลำตัว อินทรชิตใช้สองมือของตนช้อนมือข้างนั้นขึ้นมาพร้อมกับเกลี่ยเบา ๆ ที่หลังมืออย่างอ่อนโยน คุณพฤกษ์ก็ยังคงเป็นคุณพฤกษ์ กระทั่งนิ้วมือก็ยังอ่อนนุ่ม เรียวสวยไม่มีข้อตะปุ่มตะป่ำแข็ง ๆ เหมือนผู้ชายคนอื่น เมื่อวางซ้อนกับมือของเด็กหนุ่มก็ดูเหมือนว่ามือของคุณพฤกษ์ที่อายุมากกว่าห้าปีจะมีขนาดที่ใหญ่กว่าเล็กน้อย

เขากุมมันไว้แนบแน่นราวกับว่าถ้าหากเผลอปล่อยมือจากมา คนตรงหน้าอาจเป็นเพียงภาพฝันและสลายหายไปอีกครั้ง

“คุณพฤกษ์ ..คนดีของผม”

พฤกษ์คล้ายกับได้ยินเสียงทุ้มต่ำที่คุ้นหูแว่วมาจากที่ไหนสักแห่งที่ไกลแสนไกล เขาขยับเปลือกตาไปมาเล็กน้อยก่อนจะฝืนเปิดขึ้นมาช้า ๆ สิ่งแรกที่เห็นคือวิสัยทัศน์ที่พร่ามัว ห้องทั้งห้องมืดมิดแต่หากยังมีแสงสว่างเหลืองนวลที่สาดส่องมาประปรายจากโคมไฟ นอกจากนั้นพฤกษ์ยังเห็นชายหนุ่มร่างสูงกำยำนั่งอยู่ข้าง ๆ ไม่ห่าง เมื่อหรี่ตาจนแทบเห็นทุกอย่างเป็นเส้นตรงก็พอจะเห็นเค้าโครงและรูปหน้าของอีกฝ่ายชัดเจนขึ้น

ชายหนุ่มคนนี้อยู่ในชุดสูทหรูหรา มีรูปร่างสูงใหญ่ ไหล่กว้าง เรือนร่างที่อยู่ใต้ร่มผ้าคงจะเต็มไปด้วยมัดกล้ามแข็งแรง เขามีผิวคล้ำเล็กน้อยเหมือนคนที่ชอบออกกำลังกายและเล่นกีฬาจัด รูปหน้าหล่อเหลา คมคาย ดวงตาคมกริบ รอบกายให้ความรู้สึกกดดันและดูอันตรายราวกับสัตว์ป่า

พฤกษ์หัวเราะ คร่ำครวญออกมาคล้ายคนเพ้อละเมอ

“นี่ฉันป่วยจนหลอนเห็นแกอีกคนแล้วหรือ ..ไอ้เขี้ยว”

ใบหน้าหล่อเหลาที่ค่อนไปทางดิบเถื่อนเลิกคิ้ว เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น

“อีกคน? แล้วก่อนหน้านี้เห็นใครงั้นหรือครับ”

“อัคร”

“ไอ้อัคร”

พฤกษ์นิ่วหน้า รู้สึกถึงแรงบีบรุนแรงที่ฝ่ามือ

“รักมันมากงั้นหรือครับ” อินทรชิตผ่อนแรงที่มือลงเมื่อรู้ตัวว่าตนเองเผลอกระทำรุนแรงลงไป ชายหนุ่มเปลี่ยนมากุมมือเรียวไว้หลวม ๆ พลางใช้นิ้วเกลี่ยหลังมือขาวไปมาอย่างรักใคร่ แววตาดุดันทอดมองลงมายังคนที่นอนอยู่ สีหน้าของชายหนุ่มดูรวดร้าวจนน่าสงสาร

“รักจนถึงขั้นยอมเอาชีวิตมาแลกเชียวหรือครับ”

น้ำเสียงทุ้มดูออดอ้อนอย่างน้อยอกน้อยใจ

“รู้บ้างไหมว่าคนที่อยู่ทรมานแค่ไหน”

พฤกษ์ได้แต่นอนบื้อใบ้ ส่งเสียงอะไรออกมาคล้ายกับว่าถูกกลืนหายกลับเข้าไปในลำคอเสียอย่างนั้น ก่อนจะได้ตอบโต้อะไรไปก็สัมผัสได้ถึงความร้อนผ่าวของริมฝีปากที่ทาบลงมายังหลังมือของตนเอง เขามองการกระทำของอินทรชิตด้วยความสับสน อีกฝ่ายคล้ายกับกำลังสูญสิ้นและเหม่อลอยไม่เหมือนอินทรชิตที่เขาเคยเห็นในกาลก่อนแม้แต่น้อย ในกาลก่อน อินทรชิตในวัยทำงานคือชายหนุ่มหน้าตาดีจัด ผู้เพียบพร้อมไปด้วยฝีมือและมีท่าทีจองหองอยู่เหนือคนอื่นตลอดเวลา แต่ทว่าอินทรชิตในตอนนี้กำลังคร่ำครวญและตัดพ้ออย่างสิ้นท่าอยู่ข้างกายเขาเหมือนลูกหมาที่ถูกเจ้าของทอดทิ้งอย่างไม่ใยดี

นี่มันอะไร ..งงไปหมดแล้ว ภาพหลอนอะไรกันนี่

พฤกษ์ตัดสินใจสะบัดมือนั้นออก ชายหนุ่มนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยสีหน้าเจ็บปวดอย่างลึกซึ้ง

ก่อนภาพทุกอย่างจะดับวูบไปพร้อมกับสติสัมปชัญญะ เขาได้ยินเสียงหงอย ๆ ของอินทรชิตดังขึ้น

“จนถึงตอนนี้คุณก็ยังเกลียดผมอยู่หรือครับ

เฮือก!

. . . .

ฝัน.. ความฝันเองหรอกหรือ

พฤกษ์ลืมตาโพลงขึ้นมาอย่างตื่นตกใจก่อนจะสังเกตได้ว่าตอนนี้กำลังอยู่ในห้องนอนของตนเอง เขาชันตัวนั่งพิงกับหัวเตียง คว้าแว่นสายตาที่วางไว้ด้านข้างขึ้นมาสวมก่อนจะพึงระลึกว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง

เขาจำได้ว่าฉัตรตะวันมาส่งที่บ้านก่อนจะเดินขึ้นห้องเพื่อพักผ่อน แต่ทว่ากลับรู้สึกหน้ามืดกะทันหันแล้วภาพทั้งหมดก็ตัดไปพร้อมกับสติสัมปชัญญะ กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีก็คล้ายว่ากำลังครึ่งหลับครึ่งตื่น ไม่แน่ใจว่าเพราะความฝันหรือพิษไข้ พฤกษ์เห็นอินทรชิตในวัยผู้ใหญ่ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า อีกฝ่ายนั่งจับมือเขาด้วยสีหน้ารวดร้าวอย่างไรชอบกล แต่ยังไม่ทันได้ฟังว่าชายหนุ่มพูดอะไรก็ดันสะดุ้งตื่นขึ้นมาเสียก่อน

แต่กระนั้นพฤกษ์ก็โล่งอกโล่งใจที่มันเป็นเพียงแค่ภาพฝันไม่ใช่ความจริง ทว่าพอฝันเห็นอีกฝ่ายมันก็ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรำลึกถึงความตายของตนเองในกาลก่อน พฤกษ์นิ่งไปคล้ายกำลังลอยละล่องอยู่ในภวังค์ คล้ายกับว่ามันเกิดขึ้นมานานแสนนานทั้งที่เพิ่งผ่านไปไม่กี่เดือนในร่างนี้

ตอนนั้น ..เขาตายได้อย่างไรกันนะ?

พฤกษ์เหม่อลอย เขาหวนนึกถึงในตอนที่ตนเองถูกอัคราใช้เป็นนกต่อล่อให้อินทรชิตออกมาหา ที่นั่นเป็นเหมือนอู่ทางเรือเก่าเก็บที่มีตู้คอนเทนเนอร์เกรอะกรังอยู่นับร้อย ช่วงนั้นเป็นช่วงที่อินทรชิตเพิ่งถูกเปิดเผยว่าตนเองคือหลานแท้ ๆ ที่หายสาบสูญไปของตระกูลเลิศบดินทร์ และเมื่อผลตรวจดีเอ็นเอออกมา มันจึงเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าอินทรชิตมีสิทธิ์ที่จะได้รับมรดกและทรัพย์สินต่อจากปู่เกือบทั้งหมดเพราะเป็นหลานชายที่กำเนิดจากลูกคนโต อัคราที่กำเนิดจากลูกคนรองจึงทนไม่ได้ที่พากเพียรพยายามมาแสนนานแต่กลับถูกอินทรชิตมาชุบมือเปิบไปต่อหน้าทั้งที่ไม่เคยทำอะไรสักอย่าง เขาและญาติอีกจำนวนหนึ่งจึงทำทุกวิถีทางเพื่อจะกำจัดอินทรชิตออกไป กระทั่งในที่สุดอัคราก็รู้ว่าพฤกษ์คือจุดบอดของศัตรู อัครารู้ดีว่าอินทรชิตเคารพนับถือพฤกษ์ในฐานะพี่ชายบุญธรรมมาโดยตลอดแม้ว่าเจ้าตัวจะแสดงออกว่าชิงชังน้องชายบุญธรรมคนนี้มากแค่ไหนก็ตามแต่อินทรชิตก็ยังย่องยกเจ้าตัวราวกับคนโง่งมตาบอด เขาจึงใช้พฤกษ์เป็นเหยื่อเพื่อล่อให้อีกฝ่ายติดกับโดยที่พฤกษ์ก็ไม่รู้เลยว่าอัครามีแผนการอะไรซุกซ่อนอยู่ พฤกษ์จำวันนั้นได้ดียิ่งกว่าใคร

เพราะนอกจากจะเป็นวันเกิดของอินทรชิต วันนั้นยังเป็นวันตายของเขา

พฤกษ์ลวงน้องชายบุญธรรมออกมาเจอยังสถานที่นัดหมายได้สำเร็จ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้แก่ใจดีว่านี่คือกับดักแต่ก็คล้ายว่าเต็มใจเชื่อคำพูดหลอกลวงยอมให้พฤกษ์จูงจมูกราวกับวัวในคอกที่รอวันโดนเชือด

แต่สิ่งที่พฤกษ์คาดไม่ถึงคืออัคราต้องการเอาถึงชีวิต ไม่ใช่หลอกล่อออกมาเพื่อทำร้ายร่างกายหรือทำข้อตกลงอย่างที่พฤกษ์เข้าใจ พฤกษ์ได้แต่คิดว่าตัวเขาในสถานการณ์นั้นราวกับคนโง่งม ถูกคนรักหลอกให้พาคนมาฆ่าโดยที่ไม่บอกอะไรสักคำแถมคนที่ต้องการจะฆ่ายังเป็นคนที่เขาเกลียดชังเสียด้วย แต่ถึงแม้ว่าเขาจะจงเกลียดจงชังอินทรชิตมากแค่ไหนแต่เขาก็ไม่เคยอยากให้มันมาตายแบบนี้และพฤกษ์คงเสียใจนึกโทษตนเองไปจนตายหากว่ายืนมองอัคราฆ่าอินทรชิตต่อหน้าต่อตาโดยที่ไม่ได้ทำอะไร

ทว่า ..เรื่องราวมันกลับพลิกผัน อินทรชิตที่ดูเหมือนจะเต็มใจออกมาตามคำหลอกลวงกลับวางแผนตลบหลังอัคราได้อย่างแยบยล ในเมื่ออัครามีแผน เขาเองก็มี อัครามีลูกน้อง เขาเองก็มีแถมยังมากกว่าด้วยซ้ำ และในเมื่ออัครามีปืน ..เขาเองก็มีเหมือนกัน!

และในตอนที่อัคราเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ลูกน้องที่ตามมาถูกคนของอินทรชิตจัดการจนไม่มีใครลุกขึ้นไหว เหลือเพียงพฤกษ์คนเดียวที่อินทรชิตแทบไม่แตะต้องเลยแม้แต่ปลายเล็บ ..แถมยังให้คนของตัวเองคุ้มครองเป็นอย่างดีทั้ง ๆ ที่เขาเป็นคนหลอกอีกฝ่ายให้ออกมาตายเสียด้วยซ้ำ พฤกษ์ไม่เข้าใจในสิ่งที่อินทรชิตทำเลยสักอย่างแต่ก็ไม่มีเวลาให้คิดเพราะในตอนนั้น ดูเหมือนอินทรชิตเองก็มีเป้าหมายเดียวกันกับอัครา

นั่นคือการเอาชีวิตอีกฝ่าย

เขามันเป็นคนโง่ ..เป็นคนโง่อีกครั้งที่สลัดการคุ้มครองของบอร์ดี้การ์ดเพียงเพื่อผลักอัคราให้พ้นจากวิถีกระสุนที่พุ่งดิ่งตรงเข้ามา พฤกษ์ในตอนนั้นรู้แค่ว่าไม่อยากให้ใครต้องมาตายในวันนี้แต่สิ่งที่พฤกษ์ไม่รู้คือเป้าของกระสุนนัดนั้นได้เปลี่ยนมาเป็นอกซ้ายของตนเองเสียแล้ว

เสียง ปัง! ดังขึ้นกังวานไกล

แล้วก็ทุกอย่างบนโลกก็พลันเงียบสงัดไป..

พฤกษ์ไม่ได้ยินเสียงใด ไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดของกระสุนนัดนั้นที่เจาะผ่านหัวใจด้วย ทุกอย่างมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วฉับพลันจนพฤกษ์ยังไม่ทันที่จะได้รู้สึกถึงความตายเสียด้วยซ้ำ

แต่สิ่งที่จำได้และเห็นเป็นภาพสุดท้ายจากชีวิตก่อนคือสีหน้าของอินทรชิตที่เป็นผู้ถือปืนกระบอกนั้นไว้ในมือ..

“ทำไมต้องนึกขึ้นมาตอนนี้นะ” พฤกษ์นวดขมับไปที สลัดความคิดในหัวทิ้งก่อนจะลุกยืน นิ้วเรียวเกี่ยวเอาชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มตัวยาวที่กองอยู่บนพื้นขึ้นมา เขาคิดว่าคงละเมอตื่นขึ้นมาถอดทิ้งกลางดึกเพราะความขี้ร้อนเหมือนอย่างทุกที ร่างโปร่งสวมมันและผูกเชือกปิดเอาไว้อย่างลวก ๆ พยายามมองข้ามรอยแผลเป็นบนอกไปราวกับมันไม่มีตัวตนอยู่เรือนร่าง

พฤกษ์ออกมาจากห้อง เดินลงมายังชั้นล่างด้วยความหิวโหยทั้งที่อยู่ในชุดคลุม เขาคิดว่านี่คงเป็นเวลาอาหารกลางวันแล้วจึงเดินไปเข้าไปในห้องอาหาร ป้าเมียมที่จัดโต๊ะอยู่สังเกตเห็นเขาเป็นคนแรก ก่อนที่ต่ายจะช่วยเลื่อนเก้าอี้ให้เจ้านายนั่ง

“เป็นอย่างไรบ้างคะ ดีขึ้นไหม” ป้าเมียมว่าขณะที่ตักข้าวต้มหมูก้อนโตร้อน ๆ ใส่ในชาม

“ดีขึ้นมากแล้วครับ” พฤกษ์ย่นคิ้วมองอาหารตรงหน้า พูดเสียงเนือย ๆ ว่า

“ไม่อยากทานข้าวต้มเลย ไม่มีกับข้าวอย่างอื่นหรือป้าเมียม”

“มีสิคะ! ” ต่ายกระตือรือร้น กอดถาดอาหารแนบอก พูดเสียงเจื้อยแจ้ว “วันนี้มีทั้งแกงส้มไข่ปลาสลิด หมูทอดกระเทียม ผัดพริกไก่กรอบ ยำวุ้น—”

“พอนังต่าย”

“อ้าว แต่ว่า..” หญิงสาวทำท่าจะพูดอะไรแต่เห็นป้าเมียมถลึงตาใส่ก็ก้มหน้างุดทันที พฤกษ์ที่นั่งฟังอยู่พลันตาเป็นประกายราวกับเด็กเล็ก เขาหันไปทางป้าเมียม กำลังจะอ้าปากพูดอยู่แล้วเชียวทว่าก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

“ทานไม่ได้”

แม่พลอยในชุดผ้าไหมสีนวลตาค่อย ๆ นั่งลงตรงข้าม หญิงชราดันชามข้าวต้มหอมกรุ่นเข้าใกล้เขา พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“คุณพฤกษ์ป่วยอยู่ สมควรทานของอ่อน ๆ จะดีกว่านะคะ”

พฤกษ์บึนปากเอาแต่ใจ ยกช้อนเขี่ยข้าวต้มข้น ๆ ไปมาไม่ยอมรับประทานเสียที แม่พลอยยิ้มกริ่ม หันไปหลิ่วตาให้ป้าเมียมทีหนึ่งโดยที่เขาไปทันสังเกต ป้าเมียมก็ช่างรู้งาน รีบลากแขนต่ายเข้าไปในครัว จัดแจงตักอาหารใส่อย่างละถ้วยพร้อมข้าวสวยร้อน ๆ ใส่ถาดกลับออกมา พฤกษ์ที่นั่งคนข้าวต้มเล่นจนเย็นชืด พอได้กลิ่นอาหารก็ตาลุกวาวอย่างมีความหวัง

ทว่าความหวังก็พังทลายไปเมื่อป้าเมียมและต่ายช่วยกันจัดวางอาหารลงตรงหน้าหญิงชราเพียงฝั่งเดียว พฤกษ์ตาถลนออกจากเบ้า มองกับข้าวหอมฉุยที่ถูกยกมาวางทีละจานพลางน้ำลายสอ แต่ทว่ากลับไม่มีอาหารจานใดเล็ดลอดข้ามมาฝั่งพฤกษ์ได้เลยแม้แต่จานเดียว สิ่งที่ลอยข้ามมาได้ก็เห็นจะมีเพียงกลิ่นหอม ๆ ของแกงส้มไข่ปลาสลิด กลิ่นกระเทียมจากหมูผัดกระเทียมและกลิ่นพริกฉุนจากผัดพริกไก่กรอบ พฤกษ์ก้มลงมองข้าวต้มสีขาวมีเนื้อหมูสี่ก้อนลอยตุ๊บป่องสลับกับอาหารจัดจ้านที่ละลานตาอยู่ตรงข้ามก็พลันน้ำตาตกในเสียดื้อ ๆ

“ไข่ปลานี่ได้มาจากไหนจ๊ะเมียม” แม่พลอยป้องปาก พลางตักไข่ปลาคำโตจากชามแกงส้มขึ้นมาชม

“ตลาดใกล้ ๆ บ้านเรานี่เองค่ะ หาไข่ปลาเรียวเซียวย้ากยากเลยเอาไข่ปลาสลิดมาแทน อร่อยไหมคะ”

แม่พลอยหัวเราะ “ต้องลองชิม”

พฤกษ์กลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อกยามเมื่อเห็นไข่ปลาแกล้มข้าวสวยถูกส่งเข้าสู่ปากของหญิงชรา แม่พลอยเคี้ยวอาหารไปยิ้มแย้มไป สีหน้าดูอิ่มเอมเปรมปรีดิ์ในขณะที่พฤกษ์นั่งซึมกะทือไร้วิญญาณอยู่หน้าชามข้าวต้มหมู

“อุ๊ย อร่อยมากเลยจ้ะ”

โครกกกกกกก...

พฤกษ์กำช้อนกระเบื้องในมือแน่นพลางจ้วงข้าวต้มเย็นชืดตรงหน้าทานบ้างก่อนที่ท้องไส้จะขาดไปเสียก่อน ข้าวต้มหมูก้อนโตถูกรับประทานต่อเนื่องจนพร่องไปเกือบครึ่ง หน้าตาที่ดูเหมือนจืดชืดไม่มีความดึงดูดผู้ทานทว่ากลับอร่อยล้ำจนแทบน้ำตาไหลสำหรับพฤกษ์ในตอนที่เขากำลัวหิวที่สุด ร่างโปร่งล้มเลิกที่จะรับประทานกับข้าวอย่างอื่น ก้มหน้าตั้งใจตักข้าวต้มทานโดยไม่เงยหน้าขึ้นไปมองฝั่งตรงข้ามเลยแม้แต่น้อย

หลังป้าเมียมและต่ายเก็บกวาดจานชามบนโต๊ะเรียบร้อย พฤกษ์ก็ตั้งใจจะกลับขึ้นไปบนห้องเพื่อทานยาหลังอาหาร แม่พลอยเดินขนาบข้าง จูงมือเขาขึ้นบันได้ก่อนจะพูดยิ้ม ๆ ว่า

“เอาไว้หายดีแล้ว ยายจะทำของโปรดให้คุณพฤกษ์ทานเยอะ ๆ เลยดีไหมคะ”

พฤกษ์เอียงคอก่อนมุมปากสวยจะค่อย ๆ ยกขึ้นสูงทีละน้อย

จนกลายเป็นรอยยิ้มงดงาม

 

บ่ายแก่ ๆ ของวันนั้นเอง รถยนต์คันหรูก็ขับเข้ามาจอดเทียบหน้าประตูใหญ่ ต่ายที่รดน้ำต้นไม้อยู่ทิ้งสายยางในมือก่อนจะปรี่เข้ามาหา ฉัตรตะวันลงมาจากรถพร้อมข้าวของมากมายที่นำมาเยี่ยมคนป่วยโดยเฉพาะ เขายื่นมันทั้งหมดให้ต่ายรับไว้ พูดเสียงนุ่ม ๆ ว่า

“ของฝากคนป่วยครับ มีขนมให้ทุกคนแบ่งกันทานด้วย”

“ขอบคุณคะ—” ต่ายพูดไม่ทันจบก็เป็นอันต้องแข็งค้างไปเมื่อสายตาเจ้ากรรมดันเงยขึ้นไปเห็นรอยสีแดงจ้ำหลายจุดบริเวณซอกคอของอีกฝ่าย ฉัตรตะวันไม่ได้ใส่ใจกับท่าทีนั้น เขาเพียงส่งยิ้มละไมให้ก่อนจะเดินล้วงกระเป๋าเข้าไปในคฤหาสน์

ชายหนุ่มเดินมายังห้องรับแขก ป้าเมียมที่เห็นหลังของแขกไว ๆ จึงเดินตามเข้ามาติด ๆ พอจะเอ่ยทักเท่านั้นแหละ ป้าเมียมก็มีอาการไม่ต่างกับต่ายที่เป็นเมื่อครู่นี้เลยสักนิด

“อ่า ...คะ คุณฉัตรคะ”

“สวัสดีครับป้าเมียม” ฉัตรตะวันทักด้วยน้ำเสียงร่าเริงผิดปกติ แต่ป้าเมียมกลับไม่ทันได้ฟัง สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเธอคือรอยสีแดงเป็นจ้ำ ๆ ที่ปรากฏอยู่บนซอกคอของอีกฝ่ายต่างหาก ป้าเมียมเผลอจ้องอยู่นานก่อนจะรู้สึกตัวว่ากำลังทำเรื่องเสียมารยาทเสียแล้ว เธอหน้าเจื่อน ตอบไปว่า

“มาหาคุณพฤกษ์หรือคะ”

“ครับ” ฉัตรตะวันยิ้มหวาน “คุณพฤกษ์เป็นอย่างไรบ้าง”

“ดีขึ้นมากค่ะ เพิ่งทานยาไป ตอนนี้หลับไปได้สักพักแล้ว”

“หลับอยู่หรือ” เขาทวนคำ สีหน้าร่าเริงเมื่อครู่หม่นหมองลงเล็กน้อย ป้าเมียมที่เห็นดังนั้นจึงกระตือรือร้นตอบ

“ให้ป้าขึ้นไปดูไหมคะ เผื่อคุณพฤกษ์เธอตื่นอยู่”

“อย่าดีกว่า” ฉัตรตะวันยกมือห้าม

“ให้เขาพักผ่อนเถอะครับ”

ร่างสูงถอนหายใจยาวเหยียดด้วยความเสียดายก่อนจะลุกขึ้นเพื่อเตรียมตัวกลับ

“แย่เลย” ป้าเมียมกล่าวขณะที่กำลังเดินไปส่งฉัตรตะวัน “คุณฉัตรมาเสียเที่ยวเปล่า”

ชายหนุ่มหันมายิ้ม “ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่เห็นว่าเขาดีขึ้นผมก็โล่งใจมากแล้วล่ะ อ้อ คุณแม่ทำซุปตังกุยมาฝาก ท่านว่าดีกับคนป่วย ผมให้ลุงแสงเอาไปไว้ในครัว ถ้าเขาตื่นก็ให้เขาทานตอนกำลังอุ่น ๆ นะครับ”

ป้าเมียมยิ้มเคลิบเคลิ้มกับความห่วงใยที่อีกฝ่ายมีต่อเจ้านายของตน ทั้งคู่คุยกันราวสองสามประโยคก่อนจะแยกย้ายกัน ทว่าในตอนนั้นเอง โตโยต้า แอลฟาร์ดรถตู้โดยสารประจำบ้านก็ขับเข้ามาพอดี

ป้าเมียมพูด “เด็ก ๆ กลับมาจากโรงเรียนพอดี”

หลังเครื่องยนต์ดับ เสียงประตูก็เปิดออก พงพีถือกระเป๋ากระโดดลงมาราวกับลิงกับค่าง ตามตัวมาลีวัลย์ที่ส่งเสียงหัวเราะเจื้อยแจ้ว ปิดท้ายด้วยอินทรชิตที่ทำหน้าไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด เด็กหนุ่มสบตากับฉัตรตะวันเล็กน้อยก่อนจะชะงักไปเมื่อสังเกตเห็นร่องรอยบนซอกคอที่เด่นหรา คนอายุมากกว่าเลิกคิ้วข้างหนึ่ง ดูคล้ายกับว่ากำลังท้าทายกันอย่างไรชอบกล เสี้ยววินาทีนั้นเองราวกับมีกระแสไฟฟ้าเปรี้ยงปร้างเกิดขึ้นในอากาศ สัญชาตญาณดิบปรากฏฉายชัดอยู่ในดวงตาของอินทรชิต เด็กหนุ่มขบกรามแน่นทั้งที่หน้าไม่เปลี่ยนสีเลยสักนิด

“สวัสดีค่ะ”

เสียงใสของมาลีวัลย์ดังขึ้นทำลายบรรยากาศอึมครึมของคนทั้งสอง อินทรชิตสูดหายใจลึก นับหนึ่งถึงสิบอยู่ในใจก่อนจะจ้ำอ้าวเข้าไปในบ้าน ฉัตรตะวันมองตามแผ่นหลังในชุดนักเรียนก็พลันหัวเราะ ร่างสูงย่อตัวลงนั่งเสมอเด็กหญิง พูดพลางยิ้มแย้มว่า

“ไม่มีใครสอนเขาหรือว่าควรทักทายผู้ใหญ่”

มาลีวัลย์กระพริบตาปริบ ๆ ส่วนพงพีที่ได้ยินดังนั้นจึงร้อนรนไปแล้วว่าฉัตรตะวันกำลังตำหนิตนเอง เด็กชายละล้าละลังยกมือขึ้นประนม

“สวัสดีครับ! ”

ทว่าฉัตรตะวันก็ไม่ได้แม้แต่จะสนใจเสียงเล็ก ๆ นั่น เขายังคงมองตามหลังเด็กหนุ่มที่เดินลับหายจากไปด้วยแววตาว่างเปล่า

‘ไอ้เด็กเวร’

 

เวลาอาหารเย็นตั้งโต๊ะ อินทรชิตเดินสวนกับต่ายตรงบันได เมื่อหยุดพูดคุยจึงได้ทราบว่าต่ายถูกป้าเมียมวานให้ขึ้นมาเรียกคุณพฤกษ์ลงไปรับประทานอาหารเย็น อินทรชิตที่ได้ยินดังนั้นจึงหูชี้หางกระดิกรีบอาสาไปเรียกคุณพฤกษ์ที่ห้องด้วยความสมัครโดยทันที

ก๊อก ๆ

เด็กหนุ่มใช้หลังมือเคาะประตูเบา ๆ ก่อนจะถือวิสาสะเปิดเข้าไปในครู่ต่อมา ห้องทั้งห้องเงียบสนิทมีเพียงเสียงลมจากเครื่องปรับอากาศและแสงไฟสีนวลจากโคมไฟ อินทรชิตเดินไปปลดผ้าม่านที่ระเบียงลงก่อนจะตรงไปที่เตียงขนาดใหญ่ อีกฝ่ายนอนคว่ำหน้าลงกับหมอนโชว์แผ่นหลังขาวผ่องไปจนถึงบั้นเอวอ่อนช้อย

คุณพฤกษ์นอนถอดเสื้อผ้าอีกแล้ว..

เด็กหนุ่มพลันคอแหบแห้งขึ้นมาเสียอย่างนั้นก่อนจะรู้สึกว่าปลายเท้าไปเหยียบโดนอะไรที่กองอยู่บนพื้นเข้า อินทรชิตก้มลงหยิบมันขึ้นมาคลี่ดู ปรากฏว่าเป็นเสื้อคลุมผ้าซาตินเนื้อนิ่มสีน้ำเงินที่คุณเขามักสวมใส่อยู่เป็นประจำ กลิ่นกายจำเพาะที่อบอวลแฝงเร้นอยู่ตามเนื้อผ้าก็กำจายออกมาให้ได้เชยชม เด็กหนุ่มหลับตาลงและสูดหายใจลึก กักเก็บทุกความรู้สึกสลักลึกลงไปในหัวใจดวงน้อย ๆ ก่อนลืมตาขึ้น คุณเขาขยับตัวเล็กน้อยเพื่อเปลี่ยนท่านอน ทว่าอินทรชิตกลับใจเต้นระส่ำระสายเพราะกลัวว่าคุณพฤกษ์จะตื่นมาเห็นว่าตนเองกำลังยืนดมชุดคลุมอยู่

เมื่อเห็นว่าคุณเขาไม่ตื่น อินทรชิตก็พับชุดคลุมตัวยาวและนำมันมาพาดไว้กับแขนข้างหนึ่ง ขยับกายเข้าไปใกล้ เห็นใบหน้านุ่มนวลหลับตาพริ้มก็พลันรู้สึกว่าภายในใจกำลังหวั่นไหวยวบยาบ

เขาสูดกายใจลึก สะกดกลั้นทุกอารมณ์เก็บเอาไว้อย่างมิดชิดก่อนจะตัดสินใจทำหน้าที่ของตน

“คุณพฤกษ์ครับ”

สิ้นเสียงเรียกนั้น แพขนตางามงอนที่ปิดสนิทก็เคลื่อนไหว เด็กหนุ่มจึงเรียกซ้ำ

“อาหารเย็นเสร็จแล้ว ลงไปทานกันนะครับ”

“ฮื่อออออออ” คุณพฤกษ์ครวญครางในคอ มุดหน้าหนีเข้าหาผ้าห่ม อินทรชิตอยากจะเอื้อมมือไปแตะแต่อีกใจก็หวาดกลัวคุณพฤกษ์จะโกรธเอาเลยได้แต่เจียมเนื้อเจียมตัวยืนมองอยู่เงียบ ๆ

“คุณพฤกษ์”

“ไม่อยากกิน” เสียงนุ่มติดจะงัวเงียเอ่ยพร้อมกับโผล่ใบหน้าง่วงงุนออกมาจากผ้าห่ม “..ข้าวต้ม”

“อะ ..อะไรนะครับ”

“ไม่อยากกินข้าวต้ม”

อินทรชิตใจเต้นแรงจนแทบกระเด็นกระดอนออกมาจากอก เขาไม่ได้หูฝาดหรือคิดไปเองใช่ไหมที่รู้สึกว่าคุณพฤกษ์กำลังพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน ทว่าเด็กหนุ่มใจฟูอยู่ได้ไม่นานนัก คุณพฤกษ์ที่ในตอนแรกงัวเงียเหมือนไม่อยากตื่นก็พลันเด้งตัวขึ้นมานั่งบนเตียงราวกับติดสปริงเกอร์

“แกเข้ามาในนี้ทำไม”

คุณเขาดูท่าจะตื่นดีแล้วถึงได้พูดชัดถ้อยชัดคำ สายตาที่มองมาอย่างคมกริบทำให้อินทรชิตหายใจติดขัด เด็กหนุ่มรีบพูดก่อนที่ทำให้อีกฝ่ายหงุดหงิด

“มา มา..มาเรียกคุณพฤกษ์ไปทานข้าวเย็นครับ”

อินทรชิตเม้มริมฝีปากแน่น ในใจตีโพยตีพายไปก่อนแล้วว่าอีกเดี๋ยวคงจะถูกคุณพฤกษ์ตำหนิหรือโยนอะไรใส่แน่ ๆ แต่จนแล้วจนเล่าก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น อินทรชิตรวบรวมความกล้าทั้งชีวิตเพื่อมองหน้าคุณพฤกษ์ตรง ๆ

อีกฝ่ายเพียงแค่ยื่นมือออกมาตรงหน้าและกระดิกนิ้วสองสามครั้ง

“เอาเสื้อฉันมา”

 

หลังอาหารเย็นสิ้นสุด พฤกษ์ก็ออกมานั่งอ่านหนังสือเล่นที่ห้องรับแขกรอเวลาทานยาหลังอาหารในอีกครึ่งชั่วโมง อินทรชิตจึงตะล่อมมาลีวัลย์ให้บังเอิญไปนั่งทำการบ้านกันเงียบ ๆ อยู่ที่พื้นใกล้ ๆ กับโต๊ะกระจกหน้าโซฟา ก่อนที่ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ของตนเองโดยไม่พูดไม่จา เด็กหนุ่มเขียนการบ้านไปพลางเหลือบมองเสี้ยวหน้านุ่มนวลภายใต้กรอบแว่นที่จดจ่อกับการอ่านหนังสือไปพลาง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงมีท่าทีเย็นชา อินทรชิตจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมายาวเหยียด

สนใจกันหน่อยไม่ได้หรือ ทำราวกับเขาไม่มีตัวตนอย่างไรอย่างนั้น

“พี่อินทร์เป็นอะไรคะ การบ้านยากหรือ หน้ายุ่งเชียว”

มาลีวัลย์ที่เห็นพี่ชายถอดถอนใจ เดี๋ยวลบเดี๋ยวเขียนอะไรบางอย่างอยู่ในกระดาษจึงถามขึ้น เด็กหญิงชะโงกหน้าเข้าดูการบ้านของอีกฝ่ายแต่เห็นเพียงตัวหนังสือยาวเป็นพรืดก็ล่าถอยไปด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

“คุณพฤกษ์ขา” มาลีวัลย์เรียกเสียงใสก่อนจะคลานเข่าไปเกยคางอยู่บนตัก ระยะหลังมานี้ดูเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างพฤกษ์และมาลีวัลย์จะดีขึ้นมากกว่าพี่น้องคนไหนในบ้าน มากเสียจนน้องสาวคนเล็กเริ่มมีความกล้าพอที่จะออดอ้อนพี่ชายคนโตให้เห็นบ่อยขึ้น

“หืม” หากเป็นพฤกษ์คนเก่าคงจะเฉดหัวเล็ก ๆ นี่ลงจากตักพร้อมกับตวาดใส่ให้ช้ำใจเล่นไปแล้ว แต่หลังจากหลาย ๆ เรื่องที่ผ่านมามันทำให้เขาปรับปรุงความคิดและทัศนคติของตนเองเสียใหม่จนสามารถโอนอ่อนผ่อนแรงกับเด็กหญิงได้บ้าง

“ว่าไง” พฤกษ์ปิดหนังสือที่อ่านลงก่อนจะยกมือขึ้นลูบเส้นผมยาวสลวยอย่างนุ่มนวล อินทรชิตนั่งมองภาพนั้นตาละห้อยก่อนจะบังเกิดความรู้สึกริษยาน้องสาวขึ้นมาในใจ

“พี่อินทร์ทำการบ้านไม่ได้ค่ะ คุณพฤกษ์สอนได้ไหม”

โอเค ..ให้อภัยกันได้

“นะค้าา” พฤกษ์ก้มลงมองแก้มกลมดิกที่เกยอยู่บนตักก่อนจะหันไปหาเด็กหนุ่ม

“การบ้านอะไร”

“ภาษาไทยครับ” อินทรชิตยืดตัวขึ้น ตอบเสียงอ้อมแอ้ม “ให้ถอดความจากบทประพันธ์ที่ชอบ”

“แกลุกออกไปก่อนสิ” พฤกษ์ตบเบา ๆ ที่ไหล่บางเพื่อสั่งให้มาลีวัลย์ลุกออกไปนั่งให้เรียบร้อยแต่เด็กหญิงกลับทำตัวอ่อนทิ้งหัวลงมาวางแหมะอยู่บนตักพร้อมกับกอดขาของพฤกษ์ไว้แน่น

“ลุก”

“ม่ายยยยอาวววว”

“ออกไป”

“ม่ายยยยออกกก”

“มะลิ”

“ค้าาาาาา”

มาลีวัลย์ผงกหัวขึ้นมากระพริบตาปริบ ๆ อ้อน พฤกษ์เห็นดังนั้นจึงทิ้งตัวพิงกับโซฟา คร้านจะต่อปากกับเด็กดื้อตรงหน้าจึงกวักมือเรียกอินทรชิตให้ขึ้นมานั่งใกล้ ๆ แทน

“ไอ้เขี้ยว” พฤกษ์ตบเบาะโซฟาดังปุอยู่สองสามที พูดว่า

“มานี่ ..มานั่งใกล้ ๆ”

 

(100%)

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา