คุณพฤกษ์รวยมาก (สนพ.Onederwhy)

-

เขียนโดย ฟ้ามุ่ย

วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 22.49 น.

  41 ตอน
  0 วิจารณ์
  16.86K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

22) 00 22

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

00 22

 

เขาคือ อินทรชิต เป็นได้แค่นั้น และนั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ได้รับมาจากพ่อและแม่ที่เขาไม่เคยรู้จัก

เขาเติบโตมาในกรงขังที่พี่เลี้ยงบอกเราว่ามันคือบ้าน แต่คนภายนอกกลับเรียกบ้านของเขาว่า‘สถานสงเคราะห์’ และ ‘สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า’ แต่สำหรับเขา ที่นี่เป็นเพียงที่อยู่ของเด็กมากมายที่ถูกผู้ใหญ่ทอดทิ้งให้มีชีวิตอย่างเปราะบาง ..และเขาก็คือหนึ่งในนั้น ในความทรงจำที่อยากจะลืมเลือน อินทรชิตเป็นเด็กน้อยตัวเล็กและผอมกะหร่อง ชอบเก็บตัวเงียบเชียบ ไม่มีปากมีเสียงแต่กระนั้นก็เป็นเด็กดีและขยันที่สุดคนหนึ่ง ทว่าจำนวนเด็กในบ้านที่มีมากกว่าพี่เลี้ยงถึงสิบเท่าก็ทำให้เขาถูกละเลยการดูแลอยู่บ่อยครั้ง

และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาถูกเด็กบางกลุ่มที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงกลั่นแกล้งอยู่เสมอ

อินทรชิตใช้ชีวิตในแต่ละวันให้ผ่านไปอย่างยากลำบากจากการกลั่นแกล้งของคนเหล่านี้ การเรียนหนังสือและการอ่านหนังสือจึงเป็นความสุขเพียงอย่างเดียวที่เขาในวัยหกขวบพึงมี ดังนั้นหลังจากหมดคาบเรียนในห้องเรียนของสถานสงเคราะห์ เด็กน้อยก็มักจะพาตนเองไปคลุกอยู่ในมุมหนังสือของห้องนั่งเล่นรวม หยิบเอานิทานภาพเล่มเก่าที่คนใจบุญขี้เบื่อนำมาบริจาคมาอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าแม้กระดาษจะเปื่อยยุ่ยหรือขาดหาย ถึงเขาจะอ่านไม่ออกแต่การได้ดูภาพวาดสวย ๆ แล้วจินตนาการไปต่าง ๆ นา ๆ ก็ถือเป็นความสุขเล็ก ๆ อันเรียบง่ายของเด็กน้อยที่โดดเดี่ยวคนหนึ่ง

กระทั่งการมาของ‘เจ้าสัวพนา’ ชายหนุ่มมีอายุ ท่าทางใจดีและสุขุมที่มักจะมีชายชุดดำอีกสองคนเดินตามหลังมาไหนไปไหนด้วยเสมอ พี่เลี้ยงบอกเขาว่าเจ้าสัวเป็นผู้มีพระคุณกับเรา เป็นหนึ่งในผู้ใจบุญที่มักจะบริจาคสิ่งของและเงินช่วยเหลือให้ที่นี่อยู่เสมอ ทั้งยังกำชับให้เราทุกคนเป็นเด็กดีกับคุณเขา อินทรชิตพยักหน้าเข้าใจและเชื่อฟังคำสอนของพี่เลี้ยง แต่ที่เด็กน้อยไม่เข้าใจคือเจ้าสัวมักจะแวะเวียนมาพูดคุยและให้สิ่งของต่าง ๆ กับเขาบ่อยเป็นพิเศษ

‘สวัสดีเจ้าอินทร์’ นั่นเป็นคำพูดแรกที่เจ้าสัวทักทายเขา อินทรชิตตกใจอยู่มากเพราะไม่คาดคิดว่าเจ้าสัวจะรู้ชื่อเขาอยู่ก่อนแล้ว

‘โตขึ้นเยอะเลย สบายดีไหมเรา เป็นอย่างไรบ้าง’ ครั้งที่สองเจ้าสัวเริ่มถามไถ่เขา เราเริ่มพูดคุยกันมากขึ้นและครั้งต่อ ๆ มาเจ้าสัวก็มักจะมาหาพร้อมด้วยของขวัญมากมาย เป็นครั้งแรกที่อินทรชิตรู้สึกเป็นคนพิเศษและได้รับความสนใจจากใครบางคน เด็กน้อยมีความสุขอย่างล้นปรี่ขณะนอนกอดของขวัญมากมายที่ได้รับจากผู้มีพระคุณคนนั้น แต่ทว่าพี่เลี้ยงกลับบอกว่าเขาจะรับของขวัญพวกนี้ไว้คนเดียวไม่ได้ เด็กทุกคนที่นี่ต่างก็อยากได้รับสิ่งของพวกนี้เหมือนกันกับเขา ดังนั้นแล้วเราควรเอื้อเฟื้อและมีน้ำใจกับเพื่อน ๆ พี่เลี้ยงพูดอย่างนั้นก่อนจะเอาของขวัญที่เขาได้รับไปแจกจ่ายให้เด็กทุกคน ...อย่างเท่าเทียม

สิ่งที่เหลือถึงมือเขาคือหนังสือเล่มโตเล่มหนึ่ง มีรูปภาพน่ารักสวยงามและใหม่เอี่ยม ชื่อหนังสือว่า ‘เจ้าชายน้อย’*

คืนนั้นอินทรชิตนอนกอดของขวัญชิ้นนั้นแน่นตลอดทั้งคืนเพราะกลัวว่าพี่เลี้ยงจะมาเอามันไปให้เด็กคนอื่นอีก

หลังจากนั้นเจ้าสัวก็หมั่นแวะเวียนมาหาเขาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง เดือนละสี่ครั้ง นานเข้าจนเราทั้งคู่สนิทใจและสามารถระบายหรือเล่าเรื่องที่เจอในแต่ละวันให้อีกฝ่ายฟัง วันหนึ่ง เจ้าสัวมาหาเขาเหมือนอย่างทุกทีแต่คราวนี้คุณเขาดูท่าทางอิดโรยและเศร้าหมองจนเด็กน้อยรู้สึกกังวล

‘ฉันมันคนเลว คนเลวที่ทำทุกอย่างพังไปหมด’ เจ้าสัวบอกเขาอย่างนั้นและนั่งเหม่อลอยอยู่ในสวนหย่อมของสถานสงเคราะห์ อินทรชิตในวัยหกขวบไม่สามารถทราบได้ว่าเจ้าสัวกำลังทุกข์ใจเพราะสาเหตุใด สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงแค่การนั่งอยู่ข้าง ๆ และรับฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมาเท่านั้น

หนึ่งปีหลังจากนั้น ในตอนที่อินทรชิตอายุได้เจ็ดขวบ เจ้าสัวยังคงหมั่นมาหาเขาอย่างเช่นทุกครั้ง ทว่าครั้งนี้นอกจากชายชุดดำที่มักจะตามมาด้วยเสมอแล้วยังมีเด็กชายร่างสูงโปร่ง แต่งตัวสะอาด ผิวขาวละเอียดลออและสวมแว่นตากรอบสีทองเดินลงมาจากรถยนต์คันงามด้วยอีกคน

‘ละสายตาไม่ได้’  นั่นคงเป็นคำนิยามเดียวที่อินทรชิตในวัยเจ็ดขวบนึกขึ้นได้ในหัวหลังจากเห็นอีกฝ่ายเดินตามหลังเจ้าสัวเข้ามาในสถานสงเคราะห์

‘ทำหน้าให้มันดีหน่อยพฤกษ์ เรามาทำบุญนะ อยากได้บาปหรือ’

‘ฮึ ผมไม่อยากได้บุญเสียหน่อย’ เจ้าตัวพูดอย่างนั้น ใบหน้างามงองุ้มขึ้นมาคล้ายกับว่าไม่พอใจอย่างรุนแรงก่อนจะเดินฉับ ๆ หายออกไปโดยทันที เจ้าสัวส่ายหน้าอ่อนอกอ่อนใจพลางหันไปสั่งชายชุดดำคนหนึ่งให้ตามหลังไป อินทรชิตเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยความคุ้นชิน เจ้าสัวที่เห็นเขาก็ยิ้มออก มือใหญ่วางลงบนศรีษะเล็ก พูดว่า

‘เป็นไง นั่นลูกชายคนโตของลุงเอง’

‘ลูกของคุณลุงหรือครับ’

‘ใช่’ เจ้าสัวถอนหายใจในขณะที่อินทรชิตใจหายวาบทันทีที่ได้รู้ว่าชายใจดีตรงหน้ามีลูกเป็นของตนเองอยู่แล้ว

อา.. นี่เขาคงสำคัญตัวผิดมาตลอดเลยสินะ เด็กน้อยเจ็บแปลบขึ้นกลางอก

‘ชื่อพฤกษ์ ปีนี้สิบสอง ปกติเป็นเด็กดีแต่ที่เห็นเขาฉุนเฉียวแบบนั้นเป็นเพราะเขาเพิ่งเสียแม่ไปน่ะ’

เจ้าสัวเล่าเรื่องลูกชายให้เขาฟังอีกเล็กน้อยก่อนจะเข้าไปเยี่ยมชม แจกจ่ายขนม ตักอาหารกลางวันให้แก่เด็กคนอื่น ๆ ในสถานสงเคราะห์ จบจากมื้อกลางวัน เจ้าสัวบอกเขาว่าต้องไปคุยธุระเรื่องเงินบริจาคและกิจกรรมในองกรค์กับผู้อำนวยการ หากเสร็จจากตรงนี้แล้วจะแวะมาหาเขาทีหลัง อินทรชิตยืนตาแป๋วพยักหน้าตอบโดยทันทีก่อนจะพาตนเองไปยังห้องนั่งเล่นรวม เวลานี้เป็นเวลาพัก เด็ก ๆ ทุกคนคงง่วนอยู่กับการวิ่งไล่จับหรือเตะฟุตบอลกันอยู่ในสนาม ห้องนั่งเล่นรวมจึงเป็นสถานที่เงียบสงบที่เด็กน้อยมักจะมานั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียวประจำทุกวัน

ทว่า ..ทันทีที่เปิดประตูเข้าไป ห้องนั่งเล่นรวมที่ควรจะไม่มีใครเข้ามาใช้งานกลับมีใครบางคนนั่งหันหลังอยู่ตรงมุมหนังสือซึ่งเป็นที่ประจำของเขา

อินทรชิตจำได้ตั้งแต่แว่บแรก ..คนตรงหน้านี้คือพฤกษ์ ลูกชายของเจ้าสัวไม่ผิดแน่

‘นั่น’ เด็กน้อยปรี่เข้าไปหา มองสิ่งที่อยู่ในมือร่างสูงด้วยสีหน้าซีดเผือด ‘ของผมครับ’

พฤกษ์ก้มลงมองสิ่งที่อยู่ในมือของตน มันเป็นวรรณกรรมเยาวชนคลาสสิกที่โด่งดังไปทั่วโลกอย่างเรื่องเจ้าชายน้อย เขาเห็นมันแอบอยู่ในซอกหนึ่งของชั้นวางหนังสือจึงหยิบขึ้นมาอ่านเล่นแก้เบื่อ

‘อะไรนะ’ ร่างโปร่งขมวดคิ้ว ก่อนนิ้วมือเรียวจะพลิกหนังสือเล่มนั้นไปมา น้ำเสียงอ่อนนุ่มพูดว่า ‘ไม่เห็นมีชื่อเขียนเลยนี่’

‘ขอผมเถอะนะครับ’ อินทรชิตไม่ละความพยายาม เด็กน้อยกุลีกุจอยกมือขึ้นไหว้ ‘ของผมจริง ๆ ’

พฤกษ์หรี่สายตาคมมอง ดูจากท่าทางที่ร้อนรนแล้วเด็กคนนี้คงไม่ได้โกหกเขา คิดอย่างนั้นร่างโปร่งจึงได้ยื่นหนังสือเล่มนั้นคืนอีกฝ่ายไปอย่างง่ายดาย แต่มิวายจะพูดซ้ำว่า

‘อะไรที่เป็นของเราก็น่าจะเขียนชื่อแสดงความเห็นเจ้าของเอาไว้นะ แบบนี้ใครเห็นเขาก็หยิบเอาไปอ่านได้’

อินทรชิตที่ได้หนังสือเล่มโปรดคืนมาก็กอดเอาไว้แนบอกแน่นโดยทันที

‘เขียนไม่ได้หรอกครับ’ เสียงหงอยพูด

‘อ้าว ที่นี่เขาไม่เรียนหนังสือกันหรือ’

‘เรียนครับ’ เด็กน้อยตอบอ้อมแอ้ม ‘แต่เขาบอกว่ามันเป็นของส่วนรวม’

‘งงจัง’ พฤกษ์ดันแว่นสายตาขึ้นก่อนจะเอียงคอ ‘เมื่อกี้บอกว่าของตัวเองไม่ใช่หรือ’

‘คุณลุงเป็นคนให้ผม ตะ แต่พวกพี่ ๆ บอกว่าต้องแบ่งให้คนอื่นอ่านด้วย’

‘ยิ่งงงใหญ่เลย’ คนฟังเกาหัวแกรก ๆ ‘ถ้าเป็นผมนะ อะไรที่ผมแน่ใจว่าเป็นของผม ผมคงไม่มีทางแบ่งให้คนอื่นหรอก จะเขียนชื่อ จะทำเครื่องหมาย แล้วถ้าใครมาหยิบไปก็เจอดีแน่’

อินทรชิตได้ยินแล้วก็ได้แต่เบ้ปากอยากจะร้องไห้อยู่รอมร่อ เป็นเพราะเขาทำอย่างที่พฤกษ์บอกไม่ได้ถึงได้เอามาซ่อนไว้ไม่ให้ใครมาหยิบไปอย่างไรเล่า

‘ผมคงทำแบบพี่ไม่ได้หรอกครับ’ เด็กน้อยกระชับอ้อมแขน

‘ปอดแหก ลองทำดูหรือยังล่ะ’ พฤกษ์พูดก่อนมือเรียวจะฉกเอาเจ้าชายน้อยไปจากอกของอินทรชิตอย่างรวดเร็ว เด็กน้อยเกือบจะร้องไห้แต่พอได้เห็นสีหน้าและดวงตาเฉี่ยวคมของอีกฝ่ายก็เป็นเขาที่ต้องหงอกลับมา

คน ๆ นี้น่ากลัวมาก ๆ เลย .. นี่คือความรู้สึกต่อมา

พฤกษ์หันไปหยิบปากกาเมจิกที่ตกอยู่เกลื่อนพื้นขึ้นมาสีหนึ่ง เลือกเอาสีดำเพราะเป็นสีที่สุภาพและเหมาะสมสำหรับการใช้งานเป็นที่สุด มือเรียวจรดปลายเมจิกลงบนหน้าปก เด็กชายหันมาหาอินทรชิต น้ำเสียงอ่อนนุ่มพูดว่า

‘ชื่ออะไร’

เด็กน้อยหน้าตาตื่น ตอบไปว่า ‘อินทร์ครับ’

‘ชื่อเล่นหรือ เอาชื่อจริงด้วยสิ’

‘อินทรชิต..’ พูดจบ พฤกษ์ก็ลงมือตวัดเมจิกบรรจงเขียนชื่อเขาอย่างใจเย็น เด็กน้อยชะโงกหน้ามองด้วยความอยากรู้อยากเห็น ก่อนดวงตาใสแจ๋วจะเป็นประกายเมื่อเห็นตัวหนังสือสีดำที่หน้าปก

อินทรชิต (น้องอินทร์)

เจ้าของชื่อรับหนังสือกลับมาถือไว้ในมือ นิ้วเล็ก ๆ ลูบไล้ไปตามลายมือตัวบรรจงสวยของอีกฝ่ายด้วยความรู้อัดแน่นคับอก

‘ลายมือพี่สวยจัง..’

พฤกษ์เชิดคอขึ้น รู้สึกภาคภูมิใจเสียเต็มประดา อินทรชิตพูดต่อว่า

‘ใคร ๆ ก็ว่าชื่อผมเขียนยาก แต่พี่เขียนได้ทั้งที่แค่ฟังผมพูดครั้งเดียว’

‘แน่ล่ะ’ ร่างโปร่งหัวเราะในคอก่อนดวงตาจะหม่นหมองลง น้ำเสียงที่อ่อนนุ่มเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบและแข็งทื่อเสียดื้อ ๆ

‘แม่ผมท่านเป็นครู’

‘แม่พี่ต้องเก่งมาก! ’ อินทรชิตโพล่งออกไปก่อนจะนึกถึงที่เจ้าสัวเคยบอกว่าพฤกษ์เพิ่งจะเสียแม่ไป เด็กน้อยรู้สึกคล้ายกับว่าตนเองพูดอะไรที่เสียมารยาทไปจึงได้หางลู่หูตกทันตาเห็น พฤกษ์หันมามอง เห็นเด็กตรงหน้าเป็นอย่างนั้นแล้วก็พลันรู้สึกคันยุบยิบขึ้นมาในใจจึงได้เปลี่ยนเรื่องคุย

‘นายก็เก่งนะ ตัวแค่นี้แต่รู้จักเจ้าชายน้อยกับเขาด้วย’

‘ไม่เก่งหรอกครับ’ เขาหน้าเจื่อนและพูดอย่างเขินอาย ‘ที่จริงยังอ่านไม่ค่อยออกเลย ..ผมชอบดูภาพมากกว่า’

‘แล้วดูรู้เรื่องหรือ’

อินทรชิตพยักหน้าหงึก ๆ แต่สักพักก็ส่ายหน้า ‘รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ได้จินตนาการแล้วสนุกดีครับ’

‘อ๋อ’ พฤกษ์ร้อง ‘จินตนาการสำคัญกว่าความรู้’

ร่างโปร่งขยับตัวเอนหลังพิงกับตู้อย่างผ่อนคลายก่อนมือเรียวจะกวักเรียกเด็กน้อยให้เข้ามาใกล้ พฤกษ์พูดว่า

‘มีเวลาอีกเยอะ ผมอ่านให้ฟังสักบทสองบทดีไหม? ’

 

 

‘..เพราะเหตุนี้ผมจึงต้องอยู่คนเดียว โดยปราศจากคนเข้าใจอย่างแท้จริง..’**

‘ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นครับ’ เด็กน้อยถามหลังจากที่พฤกษ์เริ่มอ่านเจ้าชายน้อยไปได้ไม่กี่หน้า

‘เพราะนักบินวาดรูปงูเหลือมกินช้างแต่ผู้ใหญ่บอกว่ามันคือหมวกเท่านั้นหรือครับ’

‘ไม่ใช่เสียทีเดียว’ พฤกษ์ยิ้ม ‘สิ่งที่เห็นไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดเสมอไป’ เขาอธิบายต่อไปว่า

‘ตอนนี้นายเป็นเด็ก นายก็มักจะมีจินตนาการไม่รู้จบ เป็นวัยริเริ่ม วัยสร้างสรรค์ แต่เมื่อเราโตขึ้น จินตนาการพวกนั้นจะหายไป ความสนุกก็หายไปด้วย เราจะมองทุกอย่างทื่อไปหมด เห็นอย่างไรก็ตามบอกแบบนั้น ไม่พลิกแพลง ไม่มองให้ชัด ก็เหมือนกับนักบินในวัยเด็กที่วาดงูเหลือมกำลังกินช้างแต่ผู้ใหญ่กลับมองว่ามันเป็นแค่หมวกใบหนึ่ง’

อินทรชิตกระพริบตาปริบ ๆ มอง ‘พี่ก็เป็นเด็กเหมือนผม’

พฤกษ์หัวเราะ ‘เด็กก็จริง แต่ผมไม่มีหรอกสิ่งที่เรียกว่าจินตนาการน่ะ’

ใช่.. จินตนาการและความสนุกสนานในวัยเขามันได้หายไปตั้งแต่ที่แม่เสียชีวิตแล้ว

ร่างโปร่งขยับขึ้นนั่งขัดสมาธิก่อนจะกางหนังสือลงบนพื้น เด็กน้อยคลานลงมานอนคว่ำอยู่ด้านข้าง ดวงตาใสแจ๋วจับจ้องเจ้าชายน้อยตัวจ้อย ผมสีทองที่อยู่ในหนังสือก่อนจะเคลื่อนสายตาไปยังนิ้วเรียวที่กำลังชี้ไล่ไปตามตัวอักษร

อินทรชิตค่อย ๆ ใช้หูฟังเสียงอ่อนนุ่มที่กำลังอ่านแต่ละบรรทัดอย่างตั้งใจพร้อมกับภาวนาให้เวลาแต่ละนาทีผ่านไปช้าที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ กระทั่งอีกฝ่ายอ่านจนจบบทที่สี่ พฤกษ์ก็เงยหน้ามองดูนาฬิกาบนผนังก่อนจะปิดหน้าหนังสือลงเบา ๆ และหันมาหาเด็กน้อยที่อยู่ด้านข้าง

‘หมดเวลาแล้ว ..คุณพ่อคงรออยู่’

อินทรชิตก็เพิ่งนึกได้ว่าเจ้าสัวเองก็บอกว่าหลังจากเสร็จธุระแล้วจะมาหา เด็กน้อยลุกขึ้นนั่งหลังตรงแน่ว ดวงตากลมโตมีประกาย

‘จะได้เจอกันอีกไหมครับ ผมยังอยากรู้เรื่องหลังจากนี้ เจ้าชายน้อยจะไปที่ไหนต่อ’

พฤกษ์ชะงักไปเพราะไม่เคยถูกตั้งคำถามด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวังขนาดนี้มาก่อน ใบหน้าสดใสและเปล่งปลั่งของเด็กน้อยไม่ประสีประสาตรงหน้าทำให้เขานึกถึงพงพีและมาลีวัลย์ เหล่าน้อง ๆ ที่พฤกษ์เกลียดแสนเกลียด ดวงตาภายใต้กรอบแว่นสีทองก็พลันเปลี่ยนเป็นราบเรียบและหม่นหมอง น้ำเสียงที่อ่อนนุ่มกลับแข็งทื่อขึ้นมาเสียดื้อ ๆ

‘ผมไม่รู้’ คนฟังตัวหดเล็กลงไปทันตาเห็นเมื่อได้ยินคำนั้น พฤกษ์กระพริบตาไปทีก่อนจะรู้ตัวว่าเพิ่งทำอีกฝ่ายกลัวจนหางลู่หูตกอีกแล้ว

‘งั้นเอาเป็นว่าถ้าเจอกันครั้งหน้าผมจะอ่านที่เหลือให้ฟังดีไหม’

หูที่ตกลงพลันตั้งชันขึ้นในทันที เด็กน้อยพยักหน้าหงึกหงักอย่างเอาเป็นเอาตาย

‘สัญญานะ’ เสียงเล็ก ๆ เอ่ยพลางยื่นนิ้วก้อยออกไป พฤกษ์มองนิ้วมือที่ถูกยื่นมาตรงหน้า ดวงตาสดใจเปล่งปลั่งทำให้เขารู้สึกคิดหนัก

‘ผมไม่สัญญา’ เขาเอ่ย ‘ไม่อยากสัญญากับเรื่องที่ยังไม่แน่ใจ’

เด็กน้อยทำหน้าหงอยแต่กระนั้นก็ยังดึงดัน นิ้วเล็ก ๆ ยื่นเข้ามาใกล้มากกว่าเดิม

‘สัญญากับผมนะ’ อินทรชิตพูดพลางยิ้มเศร้า ‘สัญญาเฉย ๆ ไม่ต้องทำก็ได้ สัญญาให้ผมสบายใจคนเดียวก็พอ’

พฤกษ์มองนิ้วก้อยตรงหน้าอีกครั้ง ชั่งใจอยู่สักพัก ในที่สุดก็ตัดสินใจยกนิ้วก้อยของตนเองขึ้นไปเกี่ยว เด็กน้อยยิ้มออกในทันที พูดว่า

‘พี่ ..ใจดีมาก ใจดีเหมือนคุณลุง’

ร่างโปร่งนิ่งไปเมื่ออีกฝ่ายพูดถึงพ่อที่น่าชิงชังของเขา พฤกษ์ก้มหน้าลง หลุบสายตามองหนังสือเจ้าชายน้อยที่วางอยู่บนพื้น

‘นายรู้สึกยังไงหรือตอนที่อยู่ที่นี่’

เด็กน้อยกระพริบตาปริบ ๆ มอง

‘กินอิ่ม นอนหลับ มีความสุขไหม หรือมีแค่เฉพาะเวลาที่แขกมาเยี่ยม’

‘อาหารที่นี่ก็ไม่แย่แต่ก็กินอะไรเดิม ๆ ทุกวัน ต้องเข้านอนเร็วแล้วก็ต้องตื่นเช้า ต้องเรียนแล้วก็ต้องทำงานบ้าน ต้องทำตัวให้มีประโยชน์ ..แต่ว่าผมไม่เคยตื่นสายเลยนะ พี่เลี้ยงก็บอกว่าผมเป็นเด็กดี’

อินทรชิตพูดเสียงเบาหวิว ‘แต่พวกเราจะดีใจมากเวลามีผู้ใหญ่มาแจกขนม’

พฤกษ์ได้ยินดังนั้นจึงเปลี่ยนจากนั่งขัดสมาธิมาเป็นกอดเข่า ดวงตาเฉี่ยวคมหรี่มองเด็กน้อย เสียงอ่อนนุ่มถาม

‘นายคิดว่าเด็กที่นี่ต้องการขนมจริงหรือ’

อินทรชิตไม่เข้าใจคำถาม เด็กน้อยตอบอ้อมแอ้ม

‘เด็กคนไหนก็ชอบขนมนี่ครับ..’

พฤกษ์วางคางลงบนหัวเข่าของตนเองขณะที่สองแขนโอบรัดช่วงขา ดวงตาแสนสวยภายใต้กรอบแว่นประกายความหม่นหมอง

‘ผมไม่ชอบที่นี่’ เขาพูด ‘ถูกบังคับให้มาก็ต้องมา เมื่อกี้ก็เลยเดินหนี แต่ผมไม่รู้ทางที่นี่ เห็นห้องเปิดอยู่เลยเข้ามาหาหนังสืออ่านแก้เบื่อ’

‘ทำไมหรือครับ’ เด็กน้อยเอียงคอ ‘ที่นี่ไม่ดีหรือครับ’

พฤกษ์ส่ายหน้า ‘ถ้าไม่มีสถานสงเคราะห์ เด็กแบบนายจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ? ’

เด็กน้อยสะท้านไปทั้งร่างหลังจากได้ยินคำพูดนั้น.. เด็กแบบเขาหรือ.. เด็กแบบไหนกัน เด็กที่ถูกผู้ใหญ่ทอดทิ้ง? เด็กที่เป็นส่วนเกิน? เด็กที่เกิดจากความผิดพลาด หรือว่าเด็กที่ไม่มีใครต้องการ?

‘ผมไม่ชอบการที่ต้องมายืนแจกขนมเด็กพวกนั้น ไม่ใช่เพราะรังเกียจหรืออะไรหรอกนะ แต่ผมไม่ชอบสายตาที่พวกเขามองมา’

พฤกษ์กอดตนเองแน่นขึ้น ไหล่บางเผลอห่อเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว มิหนำซ้ำสายตายังเหม่อลอยไปไกล เขาพูด

‘คุณพ่อบอกว่าการมาที่นี่ก็เหมือนกับมาทำบุญทำทาน การบริจาคคือสิ่งที่คนอย่างพวกเราทำจนเป็นนิสัย ยิ่งรวยยิ่งต้องบริจาค แต่แล้วอย่างไรล่ะ ผมมองว่าสิ่งที่คุณพ่อบอกมันน่าขยะแขยงอยู่สักหน่อย ผมมาที่นี่ สิ่งแรกที่เห็นคือแววตาโหยหาของเด็กพวกนั้น เขามองผมเหมือนผู้มีพระคุณ เหมือนพระมาโปรด ดีใจกับสิ่งของที่เราขนมาเป็นลังรถ ...ผมรู้สึกไม่ดี เด็กพวกนี้ไม่ใช่บันไดสู่สวรรค์ของคนกลุ่มหนึ่ง ไม่ได้เกิดมาเพื่อถูกคนอื่นให้ทานแล้วได้บุญกลับไป’

‘....’

‘เด็กพวกนี้ก็เหมือนกับผม เราต้องการความรักจากผู้ใหญ่ เราต้องการคำชม เราอยากให้ใครสักคนภูมิใจ มันต่างกันตรงที่ผมไม่ได้ขาดเหลือหรืออดอยาก แต่พวกนายใช่ ...พวกผู้ใหญ่เลยชอบที่จะให้ขนมมากกว่าให้ความรักกับพวกนาย เขาคิดว่าขนมคงทดแทนความอบอุ่นได้ แต่ผมคิดว่ามันกลับตอกย้ำว่าเด็กพวกนี้ขาดอะไร พวกเขาให้ทานแล้วก็อิ่มบุญกลับไป แต่หลังจากนั้นล่ะ? ’

พฤกษ์มองหน้าอีกฝ่าย อินทรชิตเบะปากคล้ายกำลังร้องไห้ พูดว่า

‘ทุกครั้งที่คุณลุงกลับไป ..ผมคิดถึงคุณลุงมาก ๆ เลยครับ’ น้ำตาเม็ดโตร่วงเผาะลงมา เด็กน้อยกำชายเสื้อตนเองแน่น

‘ละ แล้วก็คิดว่าเมื่อไหร่คุณลุงจะมาหาอีก เมื่อไหร่จะมา เมื่อไหร่จะได้คุยกันอีก เมื่อไหร่จะได้เจอ ..’

อินทรชิตนึกถึงตอนที่รู้ว่าเจ้าสัวมีลูกชายแล้วนั่นก็คือเด็กชายที่นั่งกอดเข่าอยู่ตรงหน้านี้ ในตอนนั้นเขาเหมือนว่าตนเองจะสำคัญตัวผิดไป คิดไปเองว่าได้รับความรัก ความสนใจและความโปรดปรานจากอีกฝ่าย

...เขาอยากเป็นสำคัญสำหรับใครสักคน

‘นายก็เคยคิดใช่ไหม ทำไมตัวเองถึงมาอยู่ที่นี่ ทำไมคนอื่นมีแต่ตัวเองไม่มี นายคิดว่าคำตอบคืออะไร? ’

อินทรชิตหลุบตาต่ำ น้ำตาค่อย ๆ เอ่อคลอและไหลลู่ไปกับแก้มนุ่ม

‘ไม่มีใครต้องการ ..ผมถูกทอดทิ้ง’

‘ไม่มีใครต้องการผมเหมือนกัน’ พฤกษ์พูดเสียงเรียบ ‘ถูกทิ้งมาเหมือนกันด้วย ผมเคยรักคุณพ่อมากแต่ตอนนี้ผมเกลียดเขา เขาทำให้ผมเกลียดเด็ก ทำให้ผมเป็นเด็กไม่ดี ผมอยากจะหนีไปให้ไกล ๆ แต่ทำอะไรไม่ได้เลยเพราะเป็นเด็ก’

เสียงถอนหายใจดังขึ้นผสมกับเสียงสะอื้น พฤกษ์เอียงศีรษะเอาแก้มหนุนหัวเข่า มองดูอีกฝ่ายร้องไห้ตัวโยนและพูดว่า

‘เสียใจหรือ’

อินทรชิตพยักหน้าหงึกหงัก ตอบว่า

‘ผมอยากมีพ่อแม่’

พฤกษ์จับจ้องใบหน้าน่ารักและดวงตากลมโตที่ฉ่ำวาวไปด้วยหยาดน้ำตา เสียงเรียบเอ่ย

‘นายทำให้ผมนึกถึงเด็กที่บ้าน พวกมันก็ร้องไห้แบบนี้’

‘พี่มีน้องด้วยหรือครับ’ อินทรชิตสะอื้นพลางสูดน้ำมูก

‘ไม่ใช่น้อง ..ความจริงก็ใช่ แต่ไม่อยากนับญาติด้วย’

‘ทำไมล่ะครับ ..ฮือ มีพี่น้องไม่ดีหรือ’

‘มันก็คงดีถ้าเป็นน้องที่เกิดจากแม่เดียวกัน’

‘แล้วเกิดจากแม่คนอื่นไม่ดียังไง’

‘ผมไม่ชอบแบ่งปันความรักกับใคร ผมอยากให้คุณพ่อรักคุณแม่กับผมแค่สองคน’

‘อือ’ อินทรชิตครางรับเสียงสั่น เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างก็ตามแต่บุญกรรม เด็กน้อยร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลไม่ยอมหยุด พฤกษ์ที่เห็นดังนั้นจึงยื่นมือออกไปหา ชั่งใจอยู่นานว่าควรจะลูบเส้นผมดกดำของอีกฝ่ายอย่างเอ็นดูแล้วพูดปลอบเบา ๆ เหมือนที่คนทั่วไปพึงกระทำดีหรือไม่ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาเคยทำมาก่อน เขาไม่เคยปลอบเด็ก มีแต่ทำให้เด็กร้องไห้ ไม่เคยรู้สึกเอ็นดูเด็ก มีแต่จะแกล้งให้หวาดกลัว เขาเกลียดเด็ก ๆ โดยเฉพาะเด็กที่น่าสงสารเหมือนกับพงพีและมาลีวัลย์

คิดดังนั้นพฤกษ์จึงชักมือกลับมาไว้ข้างตัว เสียงอ่อนนุ่มเอ่ย

‘หนวกหู หยุดร้องได้แล้ว’

‘ไม่ได้ร้องครับ มันไหลเอง’

‘ก็ทำให้มันหยุดสิ ทำได้ไหม’

เด็กน้อยส่ายหน้า น้ำตาไหลไม่ยอมหยุด 

พฤกษ์ทำหน้าบึ้งและบึนปากใส่

‘น่าเกลียดที่สุด’

อินทรชิตร้องไห้โฮหนักกว่าเก่าทำเอาคนใจร้ายหน้าถอดสี

‘อย่าร้อง ๆ ’ เขาพูด ‘ไม่ร้องน้าเดี๋ยวพาไปดูช้าง’

อีกฝ่ายก็ยังไม่หยุด พฤกษ์จนปัญญา เด็กชายถอนหายใจยาวเหยียด พูดขึ้นเบา ๆ

‘อะไร ผู้ชายเสียเปล่า ร้องไห้ซะน่าเกลียด’

เด็กน้อยส่ายหน้าจนเส้นผมปลิวว่อน เสียงเล็ก ๆ ติดจะสั่นเครือพูด

‘ผู้ชายก็ร้องไห้ได้ครับถ้าเสียใจ’ ใช่ และตอนนี้อินทรชิตก็เสียใจมาก ๆ ด้วย แต่พอเห็นใบหน้างองุ้มและสายตาไม่สบอารมณ์ของอีกฝ่ายเด็กน้อยก็พยายามอย่างสุดชีวิตที่จะเก็บน้ำตาและกลั้นสะอื้นเอาไว้ เขาไม่อยากถูกพฤกษ์รำคาญหรือรู้สึกไม่ดีด้วย ทว่าจนแล้วจนรอดก็ร้องไห้กระจองอแงน้ำตาไหลพรากออกมาอยู่ดี

‘ถ้าไม่หยุด ครั้งหน้าไม่อ่านให้ฟังแล้วนะ’

พฤกษ์ประกาศิต และมันก็ได้ผล อินทรชิตหยุดร้องไห้แทบจะทันทีราวกับสั่งน้ำตาได้ ดวงตากลมโตใสพิสุทธิ์มองเขาไม่กระพริบ

‘ดีมาก’ เด็กชายเชิดหน้าก่อนจะลุกขึ้นยืนตัวตรง อินทรชิตเห็นดังนั้นจึงยืนขึ้นตาม มือเล็กคว้านิ้วชี้ข้างหนึ่งของพฤกษ์และกำมันเอาไว้แน่น

‘จะไปแล้วหรือครับ’

‘จะไปแล้วล่ะ’

‘จะได้เจอกันจริง ๆ หรือครับ พี่จะมาที่นี่อีกใช่ไหม’

‘แน่นอน’ เขาโกหกเพราะเขาปฏิญาณกับตนเองเรียบร้อยแล้วว่าจะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีกเป็นหนที่สอง

‘ผมจะรอ! ’ ดวงตาใสซื่อประกายความหวังระยิบระยับ มือเล็ก ๆ ของอินทรชิตกำนิ้วชี้ของเขาแน่น พฤกษ์ที่เห็นดังนั้นก็บังเกิดความรู้สึกผิดที่โกหกอีกฝ่ายขึ้นมากลางอก ร่างโปร่งแย้มยิ้มบาง เป็นรอยยิ้มที่ละมุนละไมและจริงใจที่สุดเท่าที่จะเค้นออกมาได้

‘รู้ไหม’ เขาพูด ‘นายไม่จำเป็นต้องรอผมเพราะนายสามารถอ่านมันจนจบได้ด้วยตัวเองในสักวันหนึ่ง แต่นายก็ต้องขยันเรียนขยันอ่านด้วยนะ’

‘ผมจะขยัน’ อินทรชิตยิ้มกว้าง ‘แต่ก็จะรอพี่ด้วย’

พฤกษ์ยืนนิ่ง ดวงตาแสนสวยภายใต้กรอบแว่นสีทองค่อย ๆ หรี่ลงมองใบหน้าไร้เดียงสาของคนที่ตัวเล็กกว่า น้ำเสียงราบเรียบเอ่ย

‘ถ้าเจอกันครั้งหน้านะ’

 

‘ถ้าเจอกันครั้งหน้านะ’

เป็นคำพูดที่อินทรชิตในวัยเจ็ดขวบจดจำมาตลอด เขายืนมองเส้นผมสีดำและแผ่นหลังเพรียวบางจากบนระเบียงอยู่อย่างนั้นจนเห็นอีกฝ่ายขึ้นไปนั่งในรถและขับออกไปจนไกลสุดสายตา ..ไกลเสียจนดวงตาดวงเล็ก ๆ ของเขาไม่สามารถมองเห็นได้ว่าอีกฝ่ายจะไปที่ใด

จากวันนั้นมาเด็กน้อยก็เฝ้าฝันและรอคอย หนึ่งวัน สองวัน สาม สี่.. กระทั่งครบสัปดาห์

อินทรชิตปรี่เข้าไปหาเจ้าสัวที่ยืนยิ้มรอเขาอยู่หน้าห้อง เด็กน้อยเดินเข้าไปใกล้ ยกมือไหว้และมองหาคนที่รอคอยมาตลอดทั้งสัปดาห์

‘หาอะไรอยู่หรืออินทร์’ ชายหนุ่มถามเมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังของเด็กน้อย อินทรชิตส่ายหน้าน้อย ๆ

‘เปล่าครับ.. ’

ยอมรับอย่างใจที่ซื่อสัตย์ว่าเขาเสียใจที่พฤกษ์ไม่ได้มาในวันนี้ แต่กระนั้นเด็กน้อยก็ยังรอคอยเมื่อสัปดาห์ต่อไปมาถึง รถยนต์คันงามที่คุ้นเคยขับเข้ามาในสถานสงเคราะห์ อินทรชิตยื่นหน้าออกไปดูอย่างกระวนกระวาย ทว่าคนที่ออกมาจากรถมีเพียงแค่เจ้าสัวและชายชุดดำ

สัปดาห์นี้ ..ก็ไม่มาหรือ

อินทรชิตไม่ยอมแพ้ แม้จะผิดหวังซ้ำซากแต่เขายังคงกอดหนังสือเล่มนั้นรออีกฝ่ายในอีกสัปดาห์ต่อมา ทว่าผลมันก็ออกมาเช่นเดิมทุกครั้ง

พฤกษ์ไม่มา ..และเขาก็ยังคงรอราวกับคนโง่เขลา

‘สัญญานะ’

‘ผมไม่สัญญา’ อีกฝ่ายเอ่ย ‘ไม่อยากสัญญากับเรื่องที่ยังไม่แน่ใจ’

น้ำตาเม็ดโตร่วงหล่นลงมาหยดแล้วหยดเล่า ดูเหมือนนี่จะเป็นอีกครั้งที่เด็กน้อยสำคัญตัวผิดไป

สัญญาเฉย ๆ ไม่ต้องทำก็ได้ สัญญาให้ผมสบายใจคนเดียวก็พอ’

นั่นอย่างไรเล่า ทำไมเพิ่งจะนึกขึ้นได้ มันก็แค่คำสัญญาปากเปล่าที่โมเมขึ้นมาเองและให้อีกฝ่ายสมยอมเพื่อความสบายใจของเขา

ของเขาเพียงแค่คนเดียว..

‘อ่านอะไรอยู่หรือ ลุงอ่านให้ฟังดีไหม’ วันหนึ่งเจ้าสัวถามขึ้นในขณะที่เขากำลังนั่งดูรูปภาพในหนังสือเจ้าชายน้อย อินทรชิตยิ้มเศร้า เขาตอบเสียงหงอย ๆ ไปว่า

‘ผมอยากอ่านมันด้วยตัวเองครับ’

 

 

กระทั่งในอีกสามปีต่อมา ไม่รู้ว่าบุญหล่นทับหรืออะไร เจ้าสัวถึงได้รับอุปการะเขาเป็นบุตรบุญธรรม อินทรชิตดีใจจนไม่สามารถหุบรอยยิ้มได้ตลอดทั้งวัน ไม่มีอะไรที่น่ายินดีไปกว่าการที่เขาจะได้อยู่อย่างสบาย ไม่ต้องทำงานและได้รับการศึกษาที่ดีอีกแล้ว คิดอย่างนั้นได้เด็กชายวัยสิบขวบก็เร่งเก็บของน้อยชิ้นใส่กระเป๋าและไม่ลืมกอดหนังสือเล่มเดิมขึ้นรถยนต์คันงามที่จะพาตนเองออกไปจากกรงขังนี่เสียที

ชีวิตใหม่กำลังรอเขาอยู่ที่นั่น! และบางทีเขาอาจจะได้เจอใครบางคนอีกครั้ง

‘งั้นเอาเป็นว่าถ้าเจอกันครั้งหน้าผมจะอ่านที่เหลือให้ฟังดีไหม’

อินทรชิตหัวใจเต้นเร่าขณะที่คิดถึงประโยคนั้น ทว่าคำพูดแรกที่อีกฝ่ายพูดกับเขาหลังจากผ่านไปสามปีกลับเป็น..

‘ถ้าคุณพ่อจะยกให้มันมาเป็นวัฒนารายณ์เทียบกับผม ผมจะเป็นคนออกไปจากที่นี่เอง’

‘คุณพฤกษ์’ ในวัยสิบห้าปีนอกจากจะจำเขาไม่ได้แล้วยังมองเขาด้วยสายตาชิงชัง อินทรชิตกลัวจนตัวสั่น เด็กชายร้องไห้ออกมาขณะที่หลบอยู่ด้านหลัง‘คุณลุง’ ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้กลายมาเป็นวัฒนารายณ์อีกคนอย่างที่หลายคนคิด ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้คุณลุงต้องตามใจลูกชายคนโต ดังนั้น สถานะของเขาจึงเป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่ได้ใบบุญของเจ้าสัวพนาอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ก็เท่านั้น

‘พี่ ..พี่’ หลังจากนั้นเกือบสัปดาห์ อินทรชิตจึงทำใจกล้าทักอีกฝ่ายได้ ร่างโปร่งที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาหันขวับมามองด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์

‘แกเรียกใครว่าพี่? ’ เสียงเรียบเอ่ยก่อนจะปิดหนังสือที่อยู่ในมือดังลั่น

‘อย่ามาลามปามฉันนะ! ’ คุณพฤกษ์พูดพลางชี้หน้าเขา ‘อย่าแม้แต่จะคิด’

คุณพฤกษ์น่ากลัวเหลือเกิน.. เขาคิด ทั้งน่ากลัวและใจร้าย ทั้งทุบตีและดุด่า อินทรชิตไม่รู้ว่าอะไรทำให้อีกฝ่ายเปลี่ยนไปราวกับคนละคนแบบนี้

ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นก็ใจดีมากแท้ ๆ ..

แม้จะไม่เข้าใจแต่หลังจากนั้นอีกสองปี อินทรชิตก็คุ้นชินกับอาการคุ้มดีคุ้มร้ายของคุณพฤกษ์ไปเสียแล้ว ซ้ำยังเรียนรู้ที่จะปรับตัวจนเข้ากันได้ดีกับทุกคนในบ้านหลังนี้

คุณลุง น้องพีร์ น้องมะลิ แม่พลอย ป้าเมียม พี่ต่าย ลุงแสงและพี่บิ๊กพี่เบิ้มสองบอร์ดี้การ์ดที่ดูแลความปลอดภัยของคุณลุง ทุกคนล้วนใจดีและเอ็นดูเขามาก เด็กชายรู้สึกมีความสุขและสามารถใช้ชีวิตอย่างที่เคยวาดฝันเอาไว้ทุกอย่าง

เว้นเสียแต่… เรื่องของคุณพฤกษ์

‘!!!?? ’ อินทรชิตตกใจ ขณะที่เดินคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยกลับใจลอยจนเดินพลาดตกลงไปในสระ

‘ช่วยด้วย!! ’ เขาร้องและตะเกียกตะกายอยู่หลายครั้งแต่เท้าก็แตะไม่ถึงพื้นสระเสียที มันเป็นโชคร้ายที่เขาตัวเล็กและผอมแห้งแถมยังว่ายน้ำไม่เป็น อินทรชิตไม่รู้จะทำอย่างไรดีได้แต่ดิ้นพล่านไปมาอยู่กลางสระ แต่เหมือนยิ่งดิ้นมากเท่าไหร่ตัวของเขาก็ยิ่งจมลงไปในน้ำเรื่อย ๆ

‘แค่ก ๆ! ช่วย ..ฮ้า ช่วยด้วย!!! ’

อินทรชิตมองขึ้นไปด้านบน เห็นร่างโปร่งบางที่คุ้นตายืนอยู่บนระเบียงห้อง ๆ หนึ่ง

‘คะ คุณพฤกษ์! ’ เขาร้อง ร้องทั้งน้ำหูน้ำตาไหล ร้องเรียกสุดเสียงเพื่อให้คุณเขารับรู้ คุณพฤกษ์ต้องได้ยินเขาแน่ ๆ เขามั่นใจ

แต่แล้วทำไมถึงเอาแต่ยืนดูอยู่อย่างนั้นล่ะ

‘ช่วยด้วย!! ’ ได้โปรดอย่าเอาแต่ยืนนิ่งอยู่สิ ช่วยผมที ได้โปรด..

อินทรชิตฝืนหายใจเข้าปอดก่อนจะแหงนหน้ามองขึ้นไป ภาพแรกที่เห็นคือสายตาว่างเปล่าไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึกของคุณพฤกษ์ที่มองลงมา

วินาทีนั้นหัวใจของเขาเจ็บปวดโดยทันทีราวกับถูกกระชากออกมาจากอก

เขาไม่ช่วยเราหรอก.. นั่นคือสิ่งที่เด็กชายคิดก่อนสติจะค่อย ๆ เลือนหายไปทีละน้อยพร้อมร่างกายที่กำลังจมลงไปในสระ

‘ตู้ม!! ’

ในช่วงที่ลอยเคว้งอยู่กลางน้ำและคิดว่าต้องตายแน่ ๆ อินทรชิตกลับได้ยินเสียงอะไรบางอย่างตกลงมาดังตูม เขารู้สึกตัวอีกทีก็เป็นตอนที่ถูกลากขึ้นมานอนบนขอบสระ โชคดีที่ไม่สำลักน้ำเข้าไปมากเขาจึงไอออกมาทันทีที่ได้รับอากาศ อินทรชิตนอนหายใจรวยริน ขณะเดียวกันดวงตาพร่ามัวของเขาก็เห็นแผ่นหลังที่คุ้นเคยและรอยเท้าที่เปียกโชกเดินจากไปอย่างไร้การพูดจาใด ๆ

‘คุณพฤกษ์..’

 

______________________________

*อองตวน เดอ แซงเตกซูเปรี. (2556) . เจ้าชายน้อย. แปลโดยอำพรรณ โอตระกูล

พิมพ์ครั้งที่ 1 . กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์จินด์

**เรื่องเดียวกัน, Chapter 2

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา