แมวน้อยของข้าช่างดุยิ่งนัก

-

เขียนโดย จมปลัก

วันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 11.58 น.

  4 บท
  0 วิจารณ์
  2,385 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 19 กันยายน พ.ศ. 2564 13.16 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ขับไส

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 1

ขับไส

 

สำนักอี้ซวนสำนักที่พึ่งเปิดใหม่ได้มินาน แต่กลับมีวิชาวิทยายุทธที่เลิศล้ำจนประสบความสำเร็จขึ้นเป็นอันดับ 3 ของยุทธภพโดยใช้เวลาเพียงแค่มิกี่ปี ลู่ซือหลิง เจ้าสำนักอี้ซวน ที่มีฝีมือเก่งกาจจนมีแต่คนเล่าขานถึงความแข็งแกร่งของเขาโดยเฉพาะวิชาลับ ‘อู่ฮวา’ ที่เป็นที่ประจักษ์ของผู้คนที่อยากได้ลิ้มรสล้ำลองรสชาติวิชาจนมีสภาพปางตายทุกคน วิชาลับอู่ฮวาถูกได้ร่ำลือไปทั่วยุทธภพจนเจ้าสำนักทั้ง 4 เกิดความโลภอยากได้อยากครอบครองวิชานั้นขึ้นมา จนเกิดการรวมตัวของ 4 สำนักที่จะมาชิงคัมภีร์ลับไปจากลู่ซือหลิง

 

สำนักอี้ซวนตั้งอยู่บนภูเขาทั้งสามลูกทางทิศตงเปียนที่เต็มไปด้วยพืชไม้ใบหญ้านานาชนิด ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วสำนัก ฉินเชียนเฉียวรองเจ้าสำนักอี้ซวนมีสีหน้าเคร่งเครียดเพราะวันนี้เป็นวันดีที่จะจัดงานเฉลิมฉลองการกลับมาของศิษย์ของตนที่ได้คว้าที่ 1 ในงานประลองฆ่าสัตว์มาร ซึ่งทำให้สำนักอี้ซวนดูมีหน้ามีตาขึ้นมา แต่มันติดที่งานควรเสร็จตั้งแต่ยามโหย่ว[1] แต่มันเลยมา 2 ชั่วยามแล้วก็ดูไม่มีท่าจะเสร็จเสียที

 

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมงานถึงล่าช้าถึงเพียงนี้” ฉินเชียนเฉียวเอ่ยถามศิษย์ของตนพลางนวดคลึงขมับของตนไปพลางๆ

 

“เรียนซือจุน ศิษย์ได้ยินว่าอาหารที่ได้จัดเตรียมเอาไว้วัตถุดิบมาไม่ครบ ทำให้ต้องเปลี่ยนแผนไปทำอย่างอื่นแทน” ศิษย์ตอบซือจุนของตน พร้อมส่งพัดให้อย่างรู้งาน

 

ฉินเชียนเฉียวแทบไปลมล้มพับไป เขาหยิบพัดมากางออกก่อนจะมาแกว่งพัดไปมาให้สายลมช่วยปัดเป่าความเครียดนี้ออกไป

 

“ซือจุนมิต้องกังวล ข้าเห็นเจ้าสำนักลู่ไปยังห้องครัวแล้ว สิ้นเสียงคำพูดศิษย์ของตน ฉินเชียนเฉียวรีบเดินตรงไปยังห้องครัวทันที ฝีเท้าจากที่ย่ำอย่างมีจังหวะช้าเนิบๆ กลับแปรเปลี่ยนเป็นเร็วหลังจากที่มีกลิ่นไหม้ล่องลอยออกมาจากห้องครัว เขาหยุดมาตรงหน้าประตูก่อนผลักออกไปอย่างไม่สนเลยว่าประตูใบนั้นจะพังหรือไม่

 

“ลู่ซือหลิงเจ้าจะทำอะไร หยุดการกระทำของเจ้าบัดเดี๋ยวนี้!” ฉินเชียนเฉียวมองไปทั่วรอบๆ ห้องหวังว่าจะเจอคนที่กำลังตามหา ก่อนจะมาสะดุดตากับแผ่นหลังบางๆ ของสหายตนที่กำลังสั่นขึ้นลงไปมาเหมือนคนกำลังทำอะไรสักอย่าง

 

“ลู่ซือหลิงเจ้าจักทำอะไร” ฉินเชียนเฉียวเดินตรงดิ่งไปยังสหายของตนก่อนจะชะโงกหน้าดูอีกคนว่ากำลังทำอะไรอยู่ คัมภีร์ลับวิชาอู่ฮวาถูกนำมาฉีกออกเป็นชิ้นๆ นำไปเป็นกองฟืนในเตาในห้องครัวไปเสียแล้ว

 

ฉินเชียนเฉียวยืนนิ่งค้าง เขาทำอะไรไม่ถูก คัมภีร์ที่ทุกคนกำลังตามหาและพยายามแย่งชิง ถูกนำไปเป็นเชื้อเพลิงจนแทบจะไม่เหลือเค้าโครงความเป็นกระดาษ เขาตบไปยังหัวของสหายตน จนทำให้อีกคนร้องโอยออกมาด้วยความเจ็บปวด

 

“เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าทำอะไรลงไป” น้ำเสียงเย็นเฉียบถูกเปล่งออกมาจนดูน่าขนลุก ขนของลู่ซือหลิงตั้งชูพร้อมเพรียงกัน ลู่ซือหลิงค่อยๆ หันหลังไปตอบรองเจ้าสำนัก “หากเจ้ามีตาก็น่าจะรู้ว่าข้าทำอาหารอยู่”

 

กบาลของลู่ซือหลิงถูกตบดังลั่นอีกครั้ง ลู่ซือหลิงลูบหัวตนเองด้วยความเจ็บปวดเขาร้องเสียงอูยออกมาเบาๆ

“บิดาเจ้าสั่งสอนให้เจ้านำคัมภีร์อู่ฮวาไปเป็นเชื้อเพลิงหรืออย่างไร” ฉินเชียนเฉียวกล่าวพร้อมคว้าไม้ในอีกฝ่ายมาเขี่ยคัมภีร์ลับออกมา เขาถอนหายใจออกมาโล่งใหญ่อย่างน้อยหน้าหลังก็ยังพอหลงเหลืออยู่บ้าง

 

“ก็ไม้มันมิพอ ข้าก็ต้องหาสิ่งที่ใกล้ตัวข้า” ลู่ซือหลิงกล่าวออกมาอย่างไม่รู้สึกผิด พรมเช็ดเท้าบนพื้นถูกเตะขึ้นบนอากาศก่อนลู่ซือหลิงจะคว้ามันไว้

 

ฉินเชียนเฉียวที่ไม่เข้าใจกับการกระทำอีกคนก็ถามอย่างสงสัย “เจ้าจะทำอะไรอีก หยุดทำเรื่องโง่ๆ เสียที” และเขาก็ได้คำตอบ พรมเช็ดเท้าราคาแพงถูกโยนเข้าไปเป็นเชื้อเพลิงอย่างไม่ไยดี ฉินเชียนเฉียวแทบจะกรีดร้องออกมาเสียงดังลั่น เขาเข้าไปบีบคอสหายของตนแน่น “เจ้าโยนอะไรเข้าไปเจ้ารู้ตัวหรือไม่ นั่นพรมเช็ดเท้าราคาแพงที่ข้าพึ่งซื้อมาเลยนะเห้ย”

 

ลู่ซือหลิงที่เริ่มหายใจไม่ออก เขาพยายามแกะมือของฉินเชียนเฉียวที่บีบคอตนออกไป พลางไอแค่กๆ ออกมา

 

ขณะที่ฉินเชียนเฉียวกำลังบีบคอลู่ซือหลิงอยู่ ก็ไม่ได้ทันสังเกตเห็นเลยว่าคัมภีร์อู่ฮวามีเปลวไฟติดอยู่เล็กๆ ก่อนจะเริ่มลามไปทั่วพื้นไม้ ลู่ซือหลิงที่เห็นท่าไม่ดีรีบชี้ไปยังข้างหลังอีกฝ่าย “ฟะ ฟะ ไฟ แค่กๆ มะ มะ ไหม้”

 

ฉินเชียนเฉียวหันไปตามที่สหายตนชี้ก่อนที่จะเจอไฟลุกไปทั่วทั้งห้องครัว เขาหยิบสหายของตนขึ้นมาพาดไว้ที่บ่าก่อนจะรีบวิ่งออกไปข้างนอกสำนัก พลางเอ่ยตะโกนบอกศิษย์ที่อยู่ในสำนักออกมาข้างนอกด้วย

 

สำนักอี้ซวนเต็มไปด้วยความชุลมุนวุ่นวาย เหล่าศิษย์ที่พึ่งกลับมาจากงานประลองฆ่าสัตว์มารแทนที่จะได้พักเฉลิมฉลองกันอย่างมีความสุข กลับต้องมาตักน้ำไปดับกองไฟที่ลุกโชนไปทั่วทั้งสำนักตน โดยมีฉินเชียนเฉียวที่อาการไม่ค่อยดีนักเขายืนนิ่งคล้ายคนวิญญาณหลุดออกจากร่าง เรียกร้องอะไรก็มิได้ยิน ส่วนสหายตนลู่ซือหลิงกลับมีสีหน้ายิ้มแย้มพร้อมเกาหัวส่งเสียงร้องแหะๆ ออกมา

 

มิรู้สติของฉินเชียนเฉียวกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาผลักศิษย์ของตนที่ร้องเรียกตนให้ตื่นจากภวังค์ เขาเดินเข้าไปถีบสหายของตนอย่างโกรธแค้น

 

“รองเจ้าสำนักฉินโปรดใจเย็น การที่ไฟไหม้สำนักมันเป็นอุบัติเหตุ ทั้งสองอย่าได้ทะเลาะกันเลย” ช่านเฉิงเอ่ยห้ามซือจุนของตนที่จะเข้าไปต่อยลู่ซือหลิง เขากอดอีกฝ่ายไว้แน่นกลัวว่าสำนักพังไม่พอเดี๋ยวความสัมพันธ์ของทั้งสองจะพังไปด้วยอีกคน

 

“ใช่ๆ ช่านเฉิงพูดถูก” ลู่ซือหลิงพูดสนับสนุนความคิดของศิษย์ทันที แต่ดูเหมือนว่าโทสะของอีกคนจะไม่บรรเทาขึ้นเลย “ยังมีหน้ามาพูดอีก!”

 

“รองเจ้าสำนักฉิน ให้โอกาสเจ้าสำนักลู่สักครั้ง อ้อ จริงสิ พวกข้าชนะการแข่งขันประลองฆ่าสัตว์มารมา ได้รับจากเงินการประลองมาก็มากถึงแม้จะไม่พอในการสร้างสำนักให้ใหญ่เหมือนเดิม แต่อย่างน้อยก็สามารถสร้างบ้านได้หลังหนึ่ง” ช่านเฉิงหยิบถุงเงินออกมาจากใต้แขนเสื้อของตนก่อนจะเทออกมาแต่ก็พบแค่เพียงเศษฝุ่นเท่านั้นที่หล่นลงมา ช่านเฉิงหน้าเสีย เงินที่ได้จากการประลองหายไปไหนเขารีบค้นหาไปทั่วตัวของตนอย่างร้อนรน ก่อนจะมีศิษย์อีกคนวิ่งมา “ศิษย์พี่ ท่านลืมไปแล้วหรือว่าท่านให้ศิษย์น้องไปซื้อสุราเจี้ยนหนานชุนเสียหมดแล้ว”

 

จากใบหน้าเปื้อนยิ้มของช่านเฉิงกลับสลายหายไปโดยในเร็วพลัน เขาหัวเราะแก้เก้อออกมาอย่างเบาๆ ก่อนจะมานั่งสำนึกผิดกับเจ้าสำนักอี้ซวน

 

“ข้ามีทางให้เลือกระหว่างตายกับไปทำงานหาเงิน ตอบมาลู่ซือหลิง!” เสียงกระแทกกระทั้นของสหายทำให้ลู่ซือหลิงตกใจกลัว ปกติสหายตนเป็นคนใจดีและเรียบร้อย ยกเว้นเสียตอนโกรธล่ะนะ

 

“แน่นอนสิว่าข้าต้องทำงาน เจ้ารอข้าสักหน่อยก็แล้วกัน” ลู่ซือหลิงตอบ แต่อีกฝ่ายส่ายหน้า “ข้ามีเวลากำหนดลู่ซือหลิง เรามิสามารถให้ศิษย์ทั้งหมดนอนตากลมได้เป็นเดือนๆ หรอก”

 

ลู่ซือหลิงมีทีท่าเห็นด้วยกับอีกฝ่าย เขายังมีศิษย์ที่ต้องคอยดูแลหากหลับนอนข้างนอกเป็นเวลานานคงมิสบายเอาได้ “แล้วเจ้าจะให้เวลาข้าเท่าใดกัน”

 

“2 สัปดาห์”

 

“2 สัปดาห์!!!” ลู่ซือหลิงที่ได้ยินคำพูดอีกฝ่ายก็ตกใจ กว่าจะหางานได้และเก็บเงินได้ 20 ชั่งมันมิง่ายนา ลู่ซือหลิงกำลังจะเอ่ยปากเถียงอีกฝ่ายก็โดนฉินเชียนเฉียวกระโดดถีบขาคู่ตกภูเขาลงมาเสียก่อน ศิษย์ในสำนักก็ต่างพาตกใจกับการกระทำของรองเจ้าสำนักตน ฉินเชียนเฉียวที่ถูกสายตานับสิบของเหล่าศิษย์จ้องมองจึงไล่ศิษย์ตนไปวิ่งรอบสำนักเสีย 5 รอบเป็นการลงโทษ

 

‘โถ อุตส่าห์ชนะการประลองแต่กลับต้องมาวิ่งรอบสำนักนี่หรือคือสิ่งที่พวกเขาควรจะได้รับหลังจากกลับมา’ ศิษย์ในสำนักต่างคิด

 

ลู่ซือหลิงที่ถูกฉินเชียนเฉียวกระโดดถีบขาคู่กลิ้งหลุนๆ ตกลงมาเหมือนเกวียนไหลตกภูเขา สภาพของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยขี้ดินจนมิเหลือเค้าโครงของเจ้าสำนักอี้ซวนผู้ยิ่งใหญ่

 

เขากลิ้งตกลงมาหลายตลบก่อนจะมาหยุดที่หัวโขลกกับต้นไม้ โดนฉินเชียนเฉียวตบถึงสองทียังมิพอยังต้องกลิ้งลงมาหัวชนกับต้นไม้อีก ลู่ซือหลิงลุกขึ้นปัดดินที่ติดตามร่างกายเขาให้ล่วงลงไปก่อนจะมุ่งหน้าไปยังทิศหนานเปียน

 

ทิศหนานเปียน[2]เป็นทิศที่ติดกับทะเลซึ่งจะมีการทำมาค้าขายทางเรือเป็นจำนวนมาก และแน่นอนว่าชาวบ้านที่อาศัยติดกับทะเลคงต้องรวยมากเช่นกัน ลู่ซือหลิงเคยออกท่องยุทธภพกับฉินเชียนเฉียวมาก่อนย่อมรู้ว่าแต่ละแคว้นมีสิ่งใดที่เป็นเอกลักษณ์ อย่างแคว้นจินไห่จิ่งต่างเป็นที่รู้กันว่าเป็นเมืองทำมาค้าขาย การที่จะเลือกไปเมืองนี้ก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีมิใช่น้อย

 

ลู่ซือหลิงกระโดดเหาะเหินจากต้นไม้ต้นหนึ่งและข้ามไปอีกต้นเรื่อยๆ ก่อนจะมาถึงยังหน้าประตูแคว้นจินไห่จิ่งซึ่งแตกต่างไปจากเมื่อก่อน เหล่าทหารที่ยืนประจันหน้าเริ่มตรวจคนคัดกรองเข้าเมืองไปทีละคน บางคนที่แต่งตัวดูดีก็ได้เข้า บางคนแต่งตัวซกมกมีรอยขาดของเสื้อสักรูก็ไม่ให้เข้า ลู่ซือหลิงที่ไม่ได้มาแคว้นจินไห่จิ่งนานก็รู้สึกแปลกใจกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปเพราะแต่ก่อนเมืองนี้เปิดรับทุกคนไม่ว่าจนหรือรวย เกิดอะไรขึ้นกันแน่

 

ลู่ซือหลิงเห็นท่าไม่ดีเสื้อผ้าเขาทำมาจากผ้าชั้นดีก็จริง แต่สภาพเสื้อที่เปรอะเปื้อนทำให้เขาอาจจะถูกเฉดหัวออกมาได้ เขาเดินผ่านผู้คนที่ผิดหวังเป็นจำนวนมากกับการเดินทางมาตั้งไกลแต่กลับถูกผลักไสไล่ส่งออกมา ก่อนจะมายืนตรงหน้าทหารนายหนึ่ง

 

“ขอเหตุผลที่มาที่นี่ด้วย” คำพูดไม่สบอารมณ์ที่เปล่งออกมา ทหารนายนั้นพูดไป และใช้พู่กันเขียนอะไรสักอย่างบนกระดาษไป

 

“ข้าเป็นพ่อค้าที่จะมาค้าขายที่แคว้นจินไห่จิ่ง” ลู่ซือหลิงตอบ

 

ทหารขมวดคิ้วก่อนกล่าว “อีกแล้วหรอ?” ก่อนจะเขียนลงไปในใบกระดาษแล้วยื่นส่งให้กับตัวเขา “เข้าไม่ได้ ไปได้ละ”

 

ลู่ซือหลิงสับสนงงงวย เขาอยากจะตะโกนอัดใส่หน้าทหารพวกนี้ว่า ‘ไอ้ทหารสวะ ปล่อยข้าเข้าไป! ข้าแค่จะเข้าไปหางานทำมิใช่ไปลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้เสียหน่อย’

 

“ออกไปซะ เกะกะ” ทหารผลักไสร่างของลู่ซือหลิงกระเด็น เขากัดฟันกรอดด้วยความโกรธแค้น ‘ข้าจะจดจำการกระทำอันป่าเถื่อนของเจ้าไว้’

 

แน่นอนว่าคนอย่างลู่ซือหลิงไม่ละทิ้งความพยายามแต่เพียงเท่านี้ในเมื่อไม่อยากให้เขาไปค้าขายดีๆ ได้! เจ้าเลือกเองนาว่าอยากจะให้ข้าเป็นโจร

 

ยามห้าย[3] ลู่ซือหลิงเลือกที่จะเดินมาไกลหน่อย เขาเดินอ้อมมายังท้านวังหลวงก่อนจะปีนรั้วเข้าไปถึงแม้จะสูงสามจั้ง[4] แต่ก็ไม่คณามือคนอย่างลู่ซือหลิงหรอก วิชาตัวเบาวิชาพื้นฐานที่เขาเรียนมาตั้งแต่อายุเข้า 7 หนาว เขากำหนดปลายเท้าให้เบาลงก่อนจะกระโดดเหาะขึ้นไปข้างบนรั้ว ลู่ซือหลิงสอดส่องดูข้างล่างว่ามีทหารเดินผ่านไปผ่านมาแถวนี้หรือไม่ แต่กองทหารที่นี่ช่างหละหลวมนัก ท้ายวังไม่มีคนเพ่นพ่านจริงดังว่า มีแค่สองสามนายเท่านั้นแต่ดูจากสภาพแล้วคงจัดการได้มิยาก

 

มีดพกทั้ง 5 เล่ม ลอยหน้าเรียงแถวกันเป็นหน้ากระดาน ปลายมีดคนหันออกจากตัวเขาพร้อมที่จะพุ่งไปยังเป้าหมาย

 

“ไป” สิ้นเสียงของลู่ซือหลิงมีดทั้ง 5 เล่มก็พุ่งตนไปยังเป้าหมายทั้ง 3 คน ก่อนจะปาดไปยังหลังคอของทหารทั้ง 3 นาย ก่อนทหารจะสลบลงไป ปกติแล้วลู่ซือหลิงจะใช้ยาพิษเคลือบตรงปลายแหลมคมของใบมีดทุกครั้งแต่ครั้งนี้เขาเคลือบแค่ยาสลบที่จะทำให้หลับไปประมาณ 4-5 วัน เขายังไม่อยากทำร้ายคนธรรมดาพวกนี้

 

หลังจากที่มีดสั้นทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเสร็จก็กลับมาหาเจ้าของของตน มีดทั้ง 5 เล่มกลับกลายเป็นปิ่นปักผมลายดอกไม้สีฟ้าอยู่ 5 กลีบ เขาหยิบขึ้นมาปักไว้บนเส้นผมของตนเหมือนดังเดิม ไม่ทันที่ลู่ซือหลิงจะกระโดดลงไปสัมผัสพื้นดินของแคว้นจินไห่จิ่งก็ถูกจับได้เสียก่อน “ทางเข้าดีๆ มีไม่เข้า เห็นทีต้องบอกฮ่องเต้แล้วล่ะว่าควรรื้อกำแพงออกให้เสียหมด”

 

ลู่ซือหลิงมองซ้ายมองขวาหาต้นเสียงทุ้มนั้นก่อนจะมาเจอชายสวมชุดขันทีนอนอยู่ข้างล่างกำแพงตรงที่เขายืนอยู่ ชายสวมชุดขันทีเงยหน้าขึ้นมามองลู่ซือหลิงที่มีใบหน้าตื่นตูม เขาหยิบปิ่นปักผมออกมา แต่ชายขันทีคล้ายรู้ชะตากรรมของตนเองว่าจะโดนกับอะไร เขารีบเอ่ยปรามอีกฝ่ายให้ใจเย็นลง “ข้ามิบอกใครหรอกวางใจข้าได้” แต่คำพูดของขันทีมิทำให้ลู่ซือหลิงใจเย็นขึ้นเลย มีดทั้ง 5 เล่มถูกออกมาประจักษ์ตาอีกรอบก่อนที่จะพุ่งไปยังคนที่นอนสบายใจเฉิบ แน่นอนว่าหากขันทีผู้นั้นอยู่ต่อไปชะตาชีวิตของเขาขาดแน่เขารีบวิ่งหนีอยากหัวซุกหัวซุนโดยมีมีด 5 เล่มตามหลังเขาไปติดๆ

 

เมื่อลู่ซือหลิงเห็นขันทีวิ่งออกไปได้ไกลแล้ว เขารีบกระโดดลงจากกำแพงก่อนที่จะมีคนอื่นเข้ามาเห็น ในที่สุดปลายเท้าของลู่ซือหลิงก็ได้สัมผัสพื้นแคว้นจินไห่จิ่งเสียที ทุกอย่างยังคนเหมือนเดิมแคว้นนี้ยังร่ำรวยแม้แต่บ้านชาวธรรมดาก็ยังมีบ้านที่ทำมาจากไม้ชั้นดี แถมยังหรูหราใหญ่โตอีก แต่ติดที่ว่าทุกอย่างแพงไปเสียหมดโดยเฉพาะสุรานี่สิ!

 

ลู่ซือหลิงอยากจะกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ เขาอยากลองชิมเหล้าแคว้นจินไห่จิ่งดูว่าจะเลิศรสสมคำร่ำลือไหม แต่พอเห็นราคาก็อยากจะกลืนน้ำลายดังเฮือกใหญ่ สุราเหมาไถ 5 ตำลึงเงิน เหล้าเมืองอื่นยังราคาแค่ไม่กี่เหวินเอง ลู่ซือหลิงอยากจะร้องไห้ออกมา

เถ้าแก่ร้านสุราที่เห็นลู่ซือหลิงมายืนดูป้ายหน้าร้านเขานานแล้ว แถมทำท่าเหมือนคนจะร้องไห้จึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “เป็นอะไรรึ ทำไมคุณชายถึงทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อย่างงั้นเล่า”

 

“ข้ามาจากเมืองอื่นมาหาทำงานที่นี่ บ้านข้าพึ่งถูกวางเพลิงจนไฟไหม้ทั้งหลัง แถมแม่ข้ายังโดนไฟคลอกจนใกล้ตาย ข้าต้องหาเงินมารักษาแม่ข้า” ลู่ซือหลิงพยายามจะแต่งเติมเรื่องราวให้ตนเองดูน่าสงสารเข้าไว้ ใครจะเป็นคนบอกเล่าว่าคนวางเพลิงสำนักคือตัวเขาเองนี่แหละ

 

เถ้าแก่ทำหน้าครุ่นคิดสักครู่ก่อนกล่าว “ไอหยาน่าสงสารแท้ เห็นว่าคนแบกหามขึ้นเรือของกำลังขาดคนช่วยอยู่พอดี เจ้าลองไปดูก่อนก็ได้นา”

“เถ้าแก่คือข้ามีเวลาแค่ 2 สัปดาห์ แม่ข้าทนพิษแผลมิไหวแล้ว แถมข้าต้องเก็บเงินสร้างบ้านใหม่อีก” ลู่ซือหลิงกล่าวออกไป คนแบกหามค่าตอบแทนมิได้เยอะมากพอที่เขาจะสามารถทำงานแล้วได้เงินพอที่จะสร้างสำนักได้ภายใน 2 สัปดาห์นา

 

“ถ้าอย่างงั้นเจ้าคงต้องไปเป็นชายาเถ้าแก่รวยๆ หรือหากมีวาสนาดีๆ ก็คัดเลือกเข้าวังหลวงไปเป็นพระสนมฮ่องเต้” ลู่ซือหลิงที่ได้ยินคำตอบจากเถ้าแก่ก็อยากจะขำพรืดออกมา ถึงแม้เขาจะรีบร้อนต้องการเงินมากแค่ไหน แต่เขาก็มีศักดิ์ศรีความเป็นชายมากพอนา

 

ลู่ซือหลิงรีบส่ายหน้าโดยเร็วพลัน “ข้ายังอยากหาสาวงามแต่งเข้าจวนอยู่ มิเป็นไรเถ้าแก่เดี๋ยวข้าจะลองไปถามไถ่คนแถวนี้ดู”

 

เขารีบออกจากร้านสุราก่อนจะมุ่งหน้าเดินซ้ายทีขวาทีอย่างคนมิรู้ทาง มินานนักมีดสั้นก็พุ่งตรงมาหาเขาแล้วกลายเป็นปิ่นปักผมอยู่บนมือสีขาวนวลของตน เขามองดูปิ่นปักผมที่ปลายเหล็กแหลมของปิ่นมีกระดาษเสียบไว้อยู่ ลู่ซือหลิงเอากระดาษออกจากมีดแล้วลองคลี่ดู

 

ข้อตกลงค้าขายระหว่างแคว้นอู๋ห่าวกับแคว้นจินไห่จิ่ง

 

ตายแน่ๆ ลู่ซือหลิงถูกประหารชีวิตแน่ๆ ทำไมมีดสั้นของเขาถึงไปเอาข้อตกลงการค้านี้มาจากไหนกัน หรือว่าขันทีคนเมื่อกี้

ในเมื่อหากอยู่ต่อไปคงโดนตัดหัว สู้เอาของสักชิ้นติดมือไปด้วยไม่ดีกว่าหรือ

 

‘ในฐานะเจ้าสำนักอี้ซวนข้าขอประกาศตรงนี้ อาชีพหลักของเขาก็ยังเป็นเจ้าสำนักดังเดิม ส่วนอาชีพรองตัวข้านั้นเป็นโจร!’

 


ยามโหย่ว [1] =ช่วงเวลา 17.00 – 18.59 น.

หนานเปียน [2] = ทิศใต้

ยามห้าย [3] = 21.00 – 22.59 น

จั้ง [4] = 1 จั้งเท่ากับ 3.33 เมตร

 

TBC

น้องลู่ไม่ควรเข้าครัว น้องลู่ควรอยู่เฉยๆจะได้ไม่เป็นภาระของทุกคนในสำนัก

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา