Pathenon โรงเรียนมนตราพาเธนอน

-

เขียนโดย OAZIS

วันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 13.58 น.

  17 ตอน
  2 วิจารณ์
  6,230 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 19 กันยายน พ.ศ. 2564 15.16 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) เข้ารับการทดสอบ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 1

เข้ารับการทดสอบ

 

          ลากูน่าในตอนนี้นั้นเต็มไปด้วยฝูงชนที่ต่างกำลังมุ่งหน้าเดินทางไปสู่จุดหมายเดียวกัน นั่นคือ โรงเรียนมนตราพาเธนอน เนื่องจากวันนี้เป็นวันทดสอบเพื่อเข้าสู่โรงเรียนมนตราเพียงแห่งเดียวของทวีปลากูน่านี้ ผู้ปกครองทุกคนจึงอยากให้ลูกหลานของตนผ่านการทดสอบเพื่อได้เรียนที่โรงเรียนแห่งนี้กันทั้งนั้น ถึงแม้ตามความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความสามารถในการใช้เวทมนตร์ได้ จริงๆ แล้วต้องพูดว่าหากจะเทียบอัตราส่วนพวกมีพลังเวทกับพวกไร้พลังเวทแล้วล่ะก็ ต้องถือว่าพวกมีพลังเวทนั้นมีจำนวนน้อยมากๆ เรียกได้ว่าเกือบจะ 1 ใน 1000 กันเลยทีเดียว แต่ทั้งๆ อย่างนั้น เมื่อเหล่าเด็กๆ อายุครบ 18 ปี (ซึ่งเป็นคุณสมบัติในการมาเข้ารับการทดสอบ) ผู้ปกครองจึงยอมเสียเวลาสำหรับการเดินทางไกลเพื่อพาบรรดาเด็กๆ มาเข้ารับการทดสอบเพื่อคว้าโอกาสนี้ไว้

 

          หากจะถามว่าทำไมทุกคนถึงยอมเหน็ดเหนื่อยสำหรับโอกาสนี้นั้น ก็คงจะมี 2 เหตุผลด้วยกัน อย่างแรกคือ การทดสอบนี้เป็นการทดสอบที่ง่ายที่สุดสำหรับการค้นหาว่าตนมีพลังเวทหรือไม่ ส่วนอีกเหตุผลหนึ่ง คือทางเดินชีวิตหลังจบจากโรงเรียนไปจะมีทางเลือกมากกว่าเด็กทั่วๆ ไป เนื่องจากศิษย์เก่าจากโรงเรียนมนตรานั้น สามารถเลือกได้ว่าจะทำงานเกี่ยวกับเวทมนตร์ต่อไป หรือจะเลือกกลับไปใช้ชีวิตเฉกเช่นคนธรรมดา แต่แม้ว่าใครจะเลือกใช้ชีวิตแบบหลัง ก็รับประกันได้อย่างหนึ่งว่า พวกเขาเหล่านั้นจะสามารถใช้ชีวิตได้สะดวกสบายกว่าคนทั่วไปแน่นอน

 

          โรงเรียนเมนตราพาเธนอนนั้น เป็นโรงเรียนสอนเวทมนตร์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 จาก 4 โรงเรียนมนตราในลิเบอร์ตัน เนื่องมาจากพื้นที่ที่โรงเรียนใช้นั้น กินสัดส่วนไปถึง 3 ใน 10 ของทวีปลากูน่า เป็นรองแค่เพียงปราสาทลากูน อันเป็นที่พำนักของราชาแห่งลากูน่าเท่านั้น แต่หากจะวัดในด้านของชื่อเสียง พาเธนอนอาจจะเป็นโรงเรียนมนตราที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็เป็นได้ ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานที่สุด รวมถึงบรรดาศิษย์เก่าที่จบจากโรงเรียนนี้ไปล้วนเป็นจอมเวทย์ที่มีชื่อเสียงและผลงานมากมาย

 

          เสียงฝีเท้าของผู้คนมากมายต่างทยอยกันเดินเข้ามาในบริเวณของโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง ยิ่งเข้าใกล้สู่บริเวณโรงเรียนมากเท่าไร เสียงของผู้คนก็ยิ่งเซ็งแซ่มากขึ้นเท่านั้น ไม่ใช่เพียงแค่เสียงของผู้ปกครองหรือเด็กๆ หนุ่มสาวอายุ 18 ปีที่ต่างตื่นเต้นและแทบจะอดทนรอเพื่อเข้ารับการทดสอบกันไม่ไหวเท่านั้น แต่บรรดาพ่อค้า แม่ค้าที่รอคอยโอกาสที่ฝูงชนจากทั่วทั้งทวีปจะมารวมตัวกันเช่นนี้ ต่างก็ตะโกนแข่งกันเพื่อขายของที่พวกตนนำมา มีตั้งแต่อาหารที่ดูเลิศรสชวนชิม ไปจนถึงอาหารที่หน้าตาดูไม่สามารถกินได้ ของใช้เบ็ดเตล็ดทั่วไป ของใช้ส่วนตัว หรือแม้แต่สัตว์เวทมนตร์ ที่มีตั้งแต่อิมพ์ตัวเล็กๆ ไปจนถึงม้าเปกาซัสขนาดกลางที่ใช้บรรทุกสัมภาระได้ แต่ร้านค้าที่ดูจะได้รับความนิยมมากที่สุดในขณะนี้เห็นจะไม่พ้นร้านเครื่องรางนำโชคในการสอบเข้าและร้านขายหนังสือ “กลเม็ดเคล็ดลับเอาชนะใจกรรมการ” บรรยากาศและทุกสิ่งทุกอย่างดูน่าตื่นตาตื่นใจไปเสียหมด แต่ทั้งอย่างนั้น ยิ่งใกล้เวลารายงานตัวเพื่อเข้ารับการทดสอบมากเท่าไร เสียงบ่นของเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็ยิ่งทวีความถี่มากขึ้นเท่านั้น

 

          “จริงๆ นะแม่ ผมไม่ได้อยากเข้าเรียนโรงเรียนมนตราเลย น่าเบื่อจะตาย ผมเรียนด้วยตัวเองก็ได้” เจ้าของเสียงบ่นนี้มีชื่อว่า เอ็ดเวิร์ด ฟอร์บส์ เด็กหนุ่มผิวขาว ร่างกายผอมบาง ผมสั้นยุ่งเหยิงหยั่งกับรังนกสีทองบนหัว เขาเกาะแขนของแม่ตัวเองแน่น และพยายามจะฉุดกระชากหญิงสาวให้ออกไปจากบริเวณโรงเรียนนี้เสียให้ได้

 

          “ไม่เอาน่า เอ็ด” หญิงสาวดึงร่างของเด็กหนุ่มกลับมา พร้อมกับเอามือไปขยี้ผมของเขาอย่างเอ็นดู ทำเอาหัวที่ยุ่งอยู่แล้ว ดูรุงรังเพิ่มขึ้นไปอีก

          

          “แค่เข้ารับการทดสอบเอง ไม่เห็นมีอะไรเสียหายเลย อีกอย่างนะ ลูกจะรู้ได้ยังไงว่าตัวเองสามารถใช้เวทมนตร์ได้ ถ้าลูกยังไม่ได้ทดสอบ”

 

          “ทำไมผมจะไม่รู้ล่ะ นี่ผมก็อายุ 18 แล้วนะเรื่องน่าเบื่อแบบนั้นทำไมผมจะไม่รู้” เด็กหนุ่มยอมเดินตามแม่ของเขาไปอย่างจำยอม มือก็พลางจัดผมตัวเองให้เป็นทรง (ซึ่งก็ยังคงรุงรังเหมือนเดิมอยู่ดี) “แล้วแม่ก็เป็นอดีตจอมเวทย์ไม่ใช่หรอไง ทำไมผมจะใช้เวทมนตร์ไม่ได้”

 

          “นั่นมันก็ไม่แน่เสมอไปนี่นา ลูกก็รู้เรื่องการผ่าเหล่านี่ ตากับยายก็ไม่ได้มีเวทมนตร์ มันไม่ใช่สิ่งที่เราตั้งใจให้มันมีหรือไม่มีได้นะ” หญิงสาวยิ้มอย่างอ่อนใจเมื่อเห็นสีหน้าบึ้งตึงของเจ้าลูกชายจอมเบื่อโลก “อีกอย่างการได้เข้าเรียนที่นี่มันไม่ใช่แค่การได้รู้ว่าตัวเองมีเวทมนตร์นะลูก แต่มันคือการสอนให้เรารู้จักตัวเอง รู้จักการควบคุมพลังอำนาจที่เรามี และที่สำคัญ ลูกก็รู้ไม่ใช่หรอว่าคนที่ใช้เวทมนตร์ของตนเองโดยที่ไม่ได้จบมาจากโรงเรียนมนตราเขาเรียกว่าอะไร”

 

          “จอมเวทย์นอกกฎหมาย อันนั้นผมรู้ครับ” เด็กหนุ่มตอบเบาๆ ราวกับไม่อยากจะยอมรับความจริง และทำท่าจะหันไปเถียงสู้แม่อีกรอบ “แต่แม่...”

 

          “เอ็ดเวิร์ด ฟอร์บส์” ปกติแม่จะเรียกเขาว่า เอ็ด ดังนั้นการที่แม่เรียกเขาด้วยชื่อเต็มถือเป็นสัญญาณที่ทำให้เอ็ดเวิร์ดรู้ว่า หากเขายังดื้อดึงไม่ยอมฟังที่แม่พูด ชีวิตในบ้านของเขาหลังจากนี้มีอันวุ่นวายแน่นอน

 

          “เฮ้อ” เอ็ดเวิร์ดยอมรับอย่างจำนน “ก็ได้ครับ”

 

          เมื่อถึงเวลาที่กำหนด เสียงแตรก็ดังขึ้นอันเป็นสัญญาณว่าเวลาที่ทุกคนรอกันได้มาถึงแล้ว ลานกว้างหน้าโรงเรียนตอนนี้เต็มไปด้วยผู้คนนับพันที่ต่างมาจากทั่วทุกสารทิศในลากูน่า หญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาจากประตูหน้าของโรงเรียน และเปล่งคำพูดออกมา แม้จะไม่ได้มีเครื่องช่วยขยายเสียงอยู่บริเวณนั้นเลย แต่เสียงของหญิงสาวกลับดังกังวาลไปทั่วบริเวณ

 

          “สวัสดีผู้ปกครองทุกท่านและเด็กๆ ทุกคนนะคะ ฉันไดอานี่ วิคตอเรีย เป็น 1 ในรองครูใหญ่ของโรงเรียนขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่การทดสอบเพื่อเข้าโรงเรียนมนตราพาเธนอนค่ะ” เธอกวาดสายตามองไปยังฝูงชนที่ยืนเรียงรายกันเต็มลานกว้างในขณะนี้ “ก่อนอื่น เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและง่ายต่อการเรียกเข้ารับการทดสอบ ขอให้เด็กๆ ที่จะเข้ารับการทดสอบในวันนี้แยกออกมาเข้าแถวกันอย่างเป็นระเบียบทางด้านขวามือของตัวเองนะคะ ส่วนผู้ปกครองที่มาด้วยรบกวนแยกไปรวมกลุ่มกันทางซ้ายมือค่ะ”

 

          “โอกาสสุดท้ายแล้วนะแม่” เอ็ดหันไปสบตากับแม่ของตัวเอง พร้อมทำหน้าละห้อยเผื่อหญิงสาวจะเปลี่ยนใจ

 

          “โชคดีนะลูก” หญิงสาวโค้งตัวมาจูบหน้าผากของเด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยนเป็นการส่งท้าย

 

 

          เมื่อการจัดแถวของเด็กหนุ่มสาววัย 18 ปีเสร็จสิ้น รองครูใหญ่วิคตอเรียก็เริ่มกระบวนการขั้นต่อไป “ในขั้นตอนต่อไป เราจะเรียกผู้สมัครเข้าไปสัมภาษณ์และเข้ารับการทดสอบที่ห้องทดสอบด้านนี้นะคะ” วิคตอเรียพูดกับเหล่าผู้เข้ารับการทดสอบ พร้อมผายมือไปทางด้านหลังของเธอ มีอาคารทรงสี่เหลี่ยมสีครีมขนาดเล็กกะทัดรัดอยู่ ใช่ เล็ก เล็กมาก ถ้าเทียบกับขนาดของโรงเรียนนะ แต่ในสายตาของเอ็ดเวิร์ด ขนาดของมันเทียบได้กับบ้านหรูราคาแพงหลังหนึ่งได้เลยล่ะ “ในห้องทดสอบจะมีครูของทางโรงเรียนรอสัมภาษณ์ผู้เข้ารับการทดสอบอยู่นะคะ เมื่อผ่านการสัมภาษณ์ไปแล้ว ก็จะได้เข้ารับการทดสอบเวทมนตร์เป็นขั้นตอนต่อไปค่ะ การทดสอบทั้งหมดจะใช้เวลาราว 10-15 นาทีนะคะ”

 

          เด็กผู้หญิงคนหนึ่งยกมือขึ้นเป็นเชิงขออนุญาต เมื่อวิคตอเรียพยักหน้าให้แทนคำอนุญาต เด็กสาวก็ถามถึงสิ่งที่สงสัย “มีการสอบสัมภาษณ์ แสดงว่าอาจจะมีคนไม่ผ่านไปถึงรอบการทดสอบเวทมนตร์หรอคะ”

 

          วิคตอเรียยิ้มอย่างใจดี “ไม่หรอกจ้ะ ตราบใดที่เธอมีเวทมนตร์อยู่ในตัว ทางโรงเรียนก็ยินดีรับเธอเข้ามาเป็นนักเรียนของที่นี่ การสัมภาษณ์เป็นเพียงขั้นตอนพื้นฐานเพื่อทำความรู้จักกันเท่านั้น ไม่ว่าพวกเธอจะเป็นใคร มาจากไหน จะมีพลังเวทหรือไม่ ทางโรงเรียนของเราก็รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้ทำความรู้จักกับพวกเธอทุกคน” วิคตอเรียยิ้มตอบพร้อมกับหันหน้าไปทางเด็กที่เหลือในแถว “มีใครมีคำถามเพิ่มเติมอีกไหมจ๊ะ”

 

          เด็กหนุ่มคนหนึ่งยกมือขึ้น “แล้วเรื่องผลการทดสอบ เราจะรู้ได้เมื่อไรครับว่าเราผ่านการทดสอบหรือไม่ผ่าน”

 

        “เธอจะรู้ผลทันทีเมื่อการทดสอบเสร็จสิ้นจ้ะ เอาล่ะ เมื่อไม่มีใครสงสัยอะไร จะเริ่มการทดสอบแล้วนะ เดี๋ยวให้พวกเธอทุกคนทยอยกันเข้าไปในห้องทดสอบทีละคนเรียงตามแถว ถ้าเพื่อนคนที่เข้าไปก่อนเดินออกมาแล้ว ให้คนต่อไปเข้าไปได้เลยนะ” เมื่อพูดเสร็จเธอก็เดินหลบออกไป แล้วการทดสอบเพื่อเข้าโรงเรียนก็ได้เริ่มต้นขึ้น

 

         เหล่าเด็กผู้เข้ารับการทดสอบทยอยเดินเข้าไปในอาคารทดสอบทีละคน เอ็ดเวิร์ดสังเกตเห็นว่า คนที่เข้าไปแล้วเดินออกมามีท่าทางต่างกัน บางคนก็ยิ้มแย้มออกมา บ้างก็วิ่งไปแสดงความดีใจกับผู้ปกครอง บ้างก็เดินคอตกออกมา หนักหน่อยก็เดินร้องไห้ออกมาเลยก็มี เอ็ดเวิร์ดมองดูแถวผู้เข้ารับการทดสอบที่ทยอยหายไปเรื่อยๆ แล้วก็ถอนหายใจ อีกสักพักใหญ่ๆ เลยกว่าจะถึงคิวของเขา เขาอยากรีบทดสอบให้จบๆ แล้วกลับบ้านใจจะขาด

 

          “นี่ๆ นายชื่ออะไรหรอ” เสียงปริศนาดังขึ้นใกล้ๆ กับเอ็ดเวิร์ด เด็กหนุ่มพยายามมองหาต้นเสียง แล้วก็พบว่าเจ้าของเสียงเป็นเด็กหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาเป็นคนถาม

 

          เด็กหนุ่มเจ้าของเสียงมีรูปร่างสมส่วน แต่มีความสูงและความหนาของร่างกายมากกว่าเอ็ดเวิร์ด ผิวสีดำแดงกร้านลม กร้านแดด มีแผลเป็นรอยขีดข่วนเล็กน้อยตามผิวหนังนอกร่มผ้าที่เอ็ดเวิร์ดพอสังเกตเห็นได้ ผมหยักศกสีดำ สีเดียวกับดวงตากลมโตฉายแววขี้เล่น กำลังยิ้มให้กับเอ็ดเวิร์ดอยู่ พร้อมกับทำหน้าตารอคอยคำตอบ

 

          “นายคุยกับฉันหรอ” เอ็ดเวิร์ดทำหน้าสงสัยพร้อมกับชี้นิ้วมาที่ตัวเอง

 

          “ฉันจ้องหน้านายขนาดนี้จะให้ฉันคุยกับใครล่ะ ฉันชื่อ นิโคลนะ นิโคล ไรเกอร์ เรียกฉันว่านิคก็ได้” นิโคลยิ้มและยื่นมือมาตรงหน้าเพื่อขอจับมือกับเอ็ดเวิร์ด

 

          “ฉันเอ็ดเวิร์ด ฟอร์บส์ เรียกเอ็ดก็ได้” เอ็ดเวิร์ดยื่นมือไปจับกลับเป็นเชิงทักทาย สัมผัสได้ถึงความหยาบกร้านของฝ่ามือจากการทำงานอย่างหนัก

 

          “ฟอร์บส์หรอ นามสกุลนายคุ้นๆ นะ เหมือนฉันเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน” นิโคลสงสัย ทำท่าทางเหมือนพยายามจะนึกอะไรสักอย่าง

 

          “โอลิเวีย ฟอร์บส์มั้ง ที่นายเคยได้ยิน” เอ็ดเวิร์ดพูดเหมือนจะเดาใจนิโคลได้

 

          “ใช่ๆ โอลิเวีย ฟอร์บส์ อย่าบอกนะว่าเธอคือ...”

 

          “อืม แม่ฉันเอง”

 

          “ไม่จริงน่า โอลิเวีย ฟอร์บส์ จอมเวทย์ที่จบจากโรงเรียนมนตราคาลล่า ด้วยคะแนนสูงที่สุดของรุ่น แถมหลังจบออกมายังเป็นจอมเวทมนตร์สายมนตราขาวระดับท็อปๆ อีกต่างหาก แม่ของนายจริงดิ” นิโคลพูดด้วยเสียงและสีหน้าตื่นเต้น เอ็ดเวิร์ดสังเกตเห็นความระยิบระยับในดวงตาสีดำขลับนั้น

 

          เอ็ดเวิร์ดไม่ตอบ แต่กลับทำหน้านิ่งเฉยแทนคำตอบ จริงๆ เขาเจอคำถามแบบนี้มาจนชินแล้ว ทุกๆ คนที่ได้ยินนามสกุลของเขามักจะสงสัยและตื่นเต้น เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมการเป็นโอลิเวีย ฟอร์บส์จะทำให้คนอื่นๆ มีอาการมากมายขนาดนี้ มันก็ใช่ที่แม่ของเขาครั้งหนึ่งเคยเป็นจอมเวทย์ที่มีชื่อเสียง แต่นั่นมันก็ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเกิดเสียด้วยซ้ำ เรื่องชื่อเสียงหรือฝีมือของแม่เขาก็ไม่เคยเห็นกับตาสักครั้ง ส่วนใหญ่ก็จะได้รู้จากปากคนอื่นทั้งนั้น และเขายังรู้อีกด้วยว่าคำถามต่อไปที่จะออกมาจากปากของเพื่อนใหม่คนนี้จะเป็นคำถามว่าอะไร

 

          “แล้วทำไมอยู่ดีๆ แม่นายถึงเลิกเป็นจอมเวทย์ไปซะดื้อๆ เลยล่ะ ฉันได้ยินมาว่าตอนนั้นเธอมีชื่อเสียงสุดๆ ไปเลยนี่นา” เป็นอย่างที่เอ็ดเวิร์ดคิด ทุกๆ คนที่ได้รู้ว่าเขาคือลูกชายของโอลิเวีย ฟอร์บส์ต่างถามคำถามนี้เป็นคำถามที่ 2 ทั้งนั้น

 

          “ไม่รู้สิ แม่เลิกเป็นจอมเวทย์ก่อนฉันจะเกิดซะอีก อีกอย่าง ฉันว่าแม่เขาก็คงมีเหตุผลของตัวเองนั่นแหละ”

 

          “แล้วพ่อนาย...”

 

           “ว่าแต่นายล่ะ มาจากไหน ทำอะไรมาก่อนที่จะมาเข้ารับการทดสอบหรอ” เอ็ดเวิร์ดเลือกที่จะออกจากบทสนทนาน่าเบื่อนี้ด้วยการเปลี่ยนเรื่องคุย

 

          นิโคลพอจะเดาความคิดของเด็กหนุ่มตรงหน้านี้ได้จากสีหน้า เขาเลยเลือกที่จะรักษามารยาท เมื่อคนตรงหน้าไม่อยากให้ถามเรื่องส่วนตัว เขาก็ยินดีที่จะเปลี่ยนเรื่องคุย “ฉันมาจากชนบท บ้านนอกสุดๆ เลยล่ะ เรียกว่าแทบจะสุดขอบของทวีปเลย นายก็น่าจะเห็นสีผิวกับกล้ามฉันนะ” นิโคลยกแขนขึ้นมาทำท่าเบ่งกล้าม เอ็ดเวิร์ดเหลือบมองผิวสีแทน รูปร่างอันกำยำสมส่วนของนิโคลและรอยแผลเป็นขีดข่วนตามผิวหนัง เขาก็พอจะเดาได้ว่านิโคลเคยทำอะไรมาก่อน

 

          “ประมงหรอ”

 

          “ช่ายยยยย” นิโคลตอบลากเสียงยาว “อย่างที่นายก็น่าจะรู้นั่นแหละ ลากูน่าเป็นทวีปเดียวในลิเบอร์ตันที่มีการท่าและการประมงรุ่งเรืองที่สุด อย่างว่าแหละนะ ทั้งการเดินเรือและทรัพยากรในน้ำน่ะ มันเอื้อให้เราทำการประมงมากที่สุดแล้ว เห็นอย่างนี้ก็เถอะ ฝีมือการว่ายน้ำแล้วก็จับปลาของฉันเก่งอย่าบอกใครเลยนะ” นิโคลตอบพร้อมกับยืดอกอย่างภาคภูมิใจ

 

          “แล้วพ่อกับแม่นายล่ะ พวกเขา...” เอ็ดเวิร์ดถามคำถามลากเสียงยาวอย่างเกรงใจ

 

          “ใช่ พวกเขาเป็นพวกไร้พลังเวท ถึงจะไม่ได้ดังเท่ากับแม่ของนาย แต่ละแวกบ้านฉันทุกๆ คนก็รู้จักพ่อฉันหมดนั่นแหละ เขาเรียกพ่อฉันว่า นักประมงอัจฉริยะที่ 100 ปีจะมีสักคน” นิโคลยืดอกตอบพร้อมกับหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างภูมิใจ

 

          “ถ้างั้นทำไมนายถึงมาเข้ารับการทดสอบล่ะ ฟังจากที่นายเล่า ทำประมงต่อจากพ่อก็น่าจะรุ่งไม่ใช่หรอ พ่อนายบังคับมาล่ะสิท่า” เอ็ดเวิร์ดพูดแกมหยอกล้อกับนิโคล ถ้าเขาเป็นนิโคลล่ะก็ เขาเอาดีทางด้านการประมงยังจะดีซะกว่าอีก ไม่มาเสียเวลารอการทดสอบบ้าบอ น่าเบื่อแบบนี้หรอก

 

          “ไม่หรอก พ่อฉันเขาให้อิสระฉันในการตัดสินใจน่ะ แต่ฉันก็รู้ว่าลึกๆ เขาก็อยากให้ฉันมา ฉันก็เลยมาซะเลย” คำตอบที่ทำให้เอ็ดเวิร์ดได้แต่เบ้ปาก ทำไมแม่เขาไม่เห็นจะให้อิสระเขาแบบนี้บ้างเลยนะ “แต่ เอ็ด นายรู้ไหม โลกใต้ทะเลน่ะมันเป็นยังไง มันเหมือนโลกอีกใบหนึ่งเลยนะ ทั้งสิ่งมีชีวิตที่เราไม่รู้จัก พืชพรรณ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ปริศนาอีกมากมายที่รอการพิสูจน์ แม้แต่เหล่าจอมเวทย์ที่เชี่ยวชาญเรื่องสมุทรศาสตร์ยังรู้เรื่องมหาสมุทรได้ไม่ถึง 30% เลย” แววตาแห่งความตื่นเต้นได้กลับมาปรากฏบนใบหน้าอีกครั้ง เอ็ดเวิร์ดเชื่อเหลือเกินว่า ถ้าเป็นเรื่องของทะเลแล้วล่ะก็ เด็กหนุ่มข้างๆ เขาคงเม้ามอยให้ฟังได้ไม่จบไม่สิ้นแน่นอน “ไม่ว่าฉันจะมีเวทมนตร์หรือไม่มีก็ตาม ฉันอยากค้นพบทุกๆ สิ่งที่อยู่ใต้นั้น ฉันเชื่อว่าจะต้องมีหลายๆ สิ่งรอให้ฉันไปค้นพบมันอยู่อย่างแน่นอน แล้วนายล่ะ ทำไมถึงอยากเข้าเรียนที่โรงเรียนมนตราหรอ”

 

          “ฉันไม่ได้อยากเข้าเรียนที่นี่หรอก แม่ฉันบังคับมาน่ะ” เอ็ดเวิร์ดตอบกลับด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย “จริงๆ ฉันมันพวกเกลียดเวทมนตร์ด้วยซ้ำ”

 

          “ทำไมล่ะ”

 

          ยังไม่ทันที่เอ็ดเวิร์ดจะได้ตอบคำถามของนิโคล แสงสว่างจ้าก็ปรากฏขึ้นในห้องทดสอบ เสียงพูดคุยของกลุ่มเด็กๆ ที่ดังเจื้อยแจ้วพลันสงบลง ทุกคนต่างหันหน้าไปทางห้องทดสอบ สถานที่ซึ่งเป็นต้นกำเนิดแสงอันสว่างไสวในตอนนี้ แสงสว่างสีขาวเรืองแสงทะลุออกมาผ่านทางกระจกทุกบาน สว่างเสียจนเด็กๆ ที่ใกล้ถึงคิวเข้ารับการทดสอบต้องเอามือมาป้องตา แม้แต่เอ็ดเวิร์ดกับนิโคลที่อยู่ห่างออกมายังต้องหรี่ตาเพื่อรับแสงนั้น แสงสว่างจ้าอยู่อีกสักพักก็ดับลงไป เมื่อแสงดับลงไป เสียงพูดคุยก็กลับมาอีกครั้ง ทุกคนไม่เว้นแม้แต่เหล่าบรรดาผู้ปกครองของเด็กๆ ต่างกำลังพูดคุยถึงสิ่งที่เกิดขึ้น

 

          “เกิดอะไรขึ้นน่ะ” เอ็ดเวิร์ดหันไปถามนิโคล แต่เด็กหนุ่มอีกคนทำได้เพียงส่ายหน้าเบาๆ

 

          “ไม่รู้สิ ฉันว่าคงเป็นอะไรที่เกี่ยวกับการทดสอบล่ะมั้ง”

 

          สักพักร่างที่เดินออกมาจากห้องทดสอบก็ทำให้เสียงที่ฮือฮาสงบลงอีกครั้ง เด็กหนุ่มที่เดินออกมาเป็นเด็กหนุ่มผิวขาว ผมสั้นสีเงินถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ ดวงตาสีฟ้าวาวฉายแววแห่งความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม หน้าตานิ่งเฉยที่เรียกความหมั่นไส้จากเอ็ดเวิร์ดได้อย่างดี

 

          เด็กหนุ่มปริศนาที่ตอนนี้กำลังเป็นที่พูดถึงของทุกคนบริเวณรอบข้างกำลังเดินหน้าไปทางฝูงชนผู้ปกครองโดยไม่ได้สนใจกับเสียงพูดคุยถึงเขาเลยแม้แต่น้อยราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดาที่มีคนพูดถึงเขา เขาเดินไปหยุดอยู่หน้าชายชราคนหนึ่งที่กำลังยิ้มให้เขาอย่างภูมิใจ

 

          “กลับกันเถอะ” เขาพูดกับชายแก่เสียงเรียบ และหันหลังกลับเดินออกไปทันที

 

          “ครับ คุณหนู” ชายแก่รับคำพร้อมกับโค้งศีรษะให้

 

          “ไอ้หน้าตายนั่นใครน่ะ นิค ท่าทางน่าหมั่นไส้ชะมัด” เอ็ดเวิร์ดหันไปถามนิโคล แต่สายตาก็ยังไม่หลุดไปจากเด็กหนุ่มที่ตอนนี้กำลังเดินจากไปจากบริเวณโรงเรียน

 

          “นายไม่รู้จักหรอ หมอนั่นชื่อ เดรโก บลูเบน เขาชื่อดังมากเลยนะ ใครที่อยากเป็นจอมเวทย์ต้องเคยได้ยินชื่อเขามาไม่มากก็น้อยแหละ” คำตอบที่ทำให้เอ็ดเวิร์ดถึงกับหันขวับมาด้วยความไม่พอใจ

 

          “ชื่อดัง หน้าตาอย่างนั้นเนี่ยนะ ดังแถวไหน ทำไมถึงดังได้ ดังเพราะอะไร ฉันไม่เห็นจะรู้จักหรือเคยได้ยินชื่อเลย เหอะ” คำถามที่มาเป็นชุดพร้อมจบด้วยการแค่นเสียงในลำคอถึงกับทำให้คนฟังหน้าเหวอ

 

        “ใจเย็นๆ เอ็ด” นิโคลยก 2 มือมาปรามให้เด็กหนุ่มตรงหน้าใจเย็นลงหน่อย เพราะตอนนี้เอ็ดเวิร์ดทำตาขวางราวกับจะกลืนหัวเขาเลย “ทำไมจะไม่ดังล่ะ ก็พ่อแม่ของเดรโกเป็นถึงจอมเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งคู่เลยนะ เด็กๆ ที่อยากเป็นจอมเวทย์เกือบทุกคนยกให้เขาเป็นคู่แข่งทั้งนั้นแหละ”

 

          “จอมเวทย์ศักดิ์สิทธิ์” เอ็ดเวิร์ดทวนคำพร้อมทำหน้างง

 

          “เอาจริงดิ นี่นายไม่รู้จริงๆ หรอว่าจอมเวทย์ศักดิ์สิทธิ์คืออะไร ขนาดฉันเป็นเด็กบ้านนอกยังรู้เลยนะ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายส่ายหน้า นิโคลก็ได้แต่ถอนหายใจพร้อมกับอธิบายต่อ “จอมเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ก็คือจอมเวทย์ที่ขึ้นตรงกับราชาของทวีปนั้นๆ ไง เฉพาะจอมเวทย์ระดับหัวกะทิเพียงหยิบมือเท่านั้นแหละถึงจะมีโอกาสได้รับตำแหน่งนั้น แล้วนายคิดดูสิ พ่อแม่ของเดรโกเป็นจอมเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ส่วนตัวของราชาแห่งลากูน่าทั้งคู่เลยนะ จะว่าไปรองครูใหญ่วิคตอเรียที่มาประกาศเรียกก่อนหน้านี้ ก่อนผันตัวมาเป็นรองครูใหญ่ที่นี่ก็เคยเป็นอดีตจอมเวทย์ศักดิ์สิทธิ์เหมือนกันนา”

 

          “แล้วยังไง พ่อแม่เป็นจอมเวทย์มีชื่อเสียง ลูกก็อาจจะเป็นพวกไร้พลังเวทก็ได้นี่นา”

 

          “นั่นมันก็ใช่ แต่นายก็เห็นแสงสว่างจ้าที่ออกมาจากห้องทดสอบเมื่อกี้ใช่ไหมล่ะ ชั้นว่านะ นั่นน่ะผีมือของหมอนั่นแน่ๆ” นิโคลหยุดพูดเพื่อให้เวลาเพื่อนเขายอมรับความจริงที่เกิดขึ้น เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเหมือนจะยอมรับได้แล้ว (แม้หน้าตาจะดูไม่เต็มใจจะยอมรับก็ตาม) เขาก็เริ่มพูดต่อ “อีกอย่างนะ ถึงเรื่องของพลังเวทมันจะเป็นเรื่องที่ไม่แน่ไม่นอนก็เถอะ แต่เชื่อฉันเหอะ ไม่มีทางหรอกที่หมอนั่นจะเป็นพวกไร้พลังเวทได้น่ะ”

 

          แต่ก่อนที่เอ็ดเวิร์ดจะได้ถามอะไรต่อไป ก็ถึงคิวเขาสำหรับการเข้ารับการทดสอบพอดี เด็กหนุ่มจึงหันมาบอกลาเพื่อนใหม่

 

          “โชคดีนะ นิค”

 

          “หวังว่าจะได้เจอนายที่โรงเรียนนะ เอ็ด หวังว่าฉันจะผ่านการทดสอบด้วยเหมือนกัน”

 

          เด็กหนุ่มทั้งสองยิ้มให้กัน เอ็ดเวิร์ดหันไปทางบรรดาผู้ปกครองและสบตากับแม่ของเขาเข้า หญิงสาวทำหน้าขึงขังและชูกำปั้นขึ้นมาเป็นการให้กำลังใจลูกชาย เด็กหนุ่มส่ายหัว ยิ้มอย่างอ่อนใจให้กับแม่ของเขา และมุ่งหน้าเดินเข้าห้องเพื่อรับการทดสอบ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา