เธอ(YOU)

9.8

วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2564 เวลา 19.24 น.

  11 chapter
  0 วิจารณ์
  5,550 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 22 มีนาคม พ.ศ. 2565 12.45 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) ความถูกต้อง (Rewrite)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

   

ความถูกต้อง

 

 


 

 

“โอ๊ยอิ่มมมม” เจษลินทร์มองหญิงสาวข้างๆ ที่นั่งเอนหลังลูบพุงป้อยๆ ยู ยลภัทร เพื่อนสนิทของเจษลินทร์ตั้งแต่มหาลัย เธอเป็นคนสวยที่ไม่ห่วงสวยเลยสักนิด นี๊ดสนึงก็ไม่มีเลย (ノ_・、)

“ยูจ๋า เรามีเรื่องรบกวนยูหน่อยอ่ะ” 

“กรี๊ด ถ้าอ้อนขนาดนี้ก็ได้หมดทั้งนั้นค่ะสามี เมียพร้อมขายรถขายบ้านให้เลย” ยลภัทรตอบพลางยกมือทาบอก

“เว่อร์ไม่เคยเปลี่ยน” ขุ หรือ ขุนพลเอ่ยแทรกขึ้นมา

“อิขุน เงียบปากไปเลยมึง กูเคืองตั้งแต่มึงมาร่วมมื้ออาหารระหว่างกูกับผัวแล้วเนี่ย ถ้ามึงยังเป็นกองขี้ควายอยู่แบบนี้เมื่อไหร่กูจะท้องคะสูว หลานน่ะมึงอยากอุ้มมั้ย?”

“นังยลภัทร เขาไม่เอามึงจ่ะหญิง สติ!” ขุนพลรีบเอ่ยสวน

"ขุน อย่าว่าเพื่อน เราแค่ชอบผู้ชาย ไม่ใช่ยูไม่ดีน๊า" ประโยคหลังเจษลินทร์หันไปหาหญิงสาว

“ นี่นะคะ อิขุน คนดีมันต้องแบบนี้ค่ะ สมเป็นผัวทิพย์กูที่สุด ว่าแต่สามีขา สามีชวนมันมาเป็นก้างขวางคอ ขวางหูขวางตาเมียทำไมคะเมียไม่ชอบมันเลยค่ะ” เบะปากใส่ขุนพลแล้วหันไปอ้อนเจษลินทร์

เจษลินทร์หัวเราะน้อยๆ เพื่อนของเขาทั้งสองคนทะเลาะกันเป็นประจำตั้งแต่ยังเรียนอยู่จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนเลยแฮะ

“คือเรามีเรื่องอยากปรึกษาและรบกวนให้ยูกับขุนช่วยหน่อยอ่า”

“มีเรื่องอะไรวะ” ขุนถามเมื่อเห็นเพื่อนทำหน้าจริงจัง

“อยากให้ช่วยดูนี่น่ะ” ว่าพร้อมยื่นโทรศัพท์ให้เพื่อนดูข้อมูลของคดีนางสาวJ

“เราไม่รู้เรื่องผลชันสูตรอะไรพวกนี้หรอก เลยอยากให้ยูคุณหมอนิติเวชคนสวยช่วยดูให้หน่อยว่ามันมีอะไรผิดปกติรึเปล่า

ส่วนเรื่องรูปคดี ถ้าไม่ให้ตำรวจแผนกสืบสวนดูให้ ก็ไม่รู้จะไปถามใครแล้วเนอะ”

ยูและขุนพยักหน้าเข้าใจก่อนจะพากันอ่านรายละเอียดอย่างตั้งใจ

 

 

“ผลชันสูตรก็ดูปกตินะ จากรอยช้ำตามร่างกายก็เดาได้ว่าผู้ตายคงขัดขืนเอาเรื่องอยู่ แล้วก็เสียชีวิตจากการบีบคอ แต่ก็แปลกที่บีบคอจนตาย แล้วจะแทงซ้ำทำไม” ยลภัทรเอ่ย

“ใช่มั้ย เราก็คิดเหมือนยูเลย”

“หรือเป็นฆาตกรโรคจิต?”

“ยูว่าถ้าเขาเป็นโรคจิตก็น่าจะกระหน่ำแทงหลายๆครั้งสิ แต่อันนี้แทงแค่ครั้งเดียวเอง”

“ส่วนรูปคดี ถ้าจะพูดถึงการกลับคำให้การ มันก็มีเยอะนะที่ผู้ต้องหากลับคำให้การในศาลเพราะจำนนต่อหลักฐาน แต่ถ้าจะให้มาจับผิดหาว่ามันแปลกมั้ย สำหรับกู กูว่าไม่นะ แต่ต้องดูพวกหลักฐานเพิ่มเติมอีกที เช่นพวกภาพถ่ายสถาณที่เกิดเหตุ สำนวนไรงี้” ขุนพลกล่าว

“ขุนก็เป็นตำรวจอ่ะ คงค้นข้อมูลมาอ่านดูได้ไม่ยากหรอกใช่มั้ย” เจษลินทร์เอ่ยพร้อมทำหน้าตาคาดหวังกึ่งอ้อนเพื่อนรักกลายๆ ขุนพลหัวใจอ่อนยวบลงทันที เขาไม่เคยต้านทานลูกอ้อนตาแป๋วของเจษลินทร์ได้เลยซักครั้ง

“อือ สน.เดียวกันก็ค้นข้อมูลได้แหละ ช่วงนี้ไม่ค่อยวุ่นเท่าไหร่เดี๋ยวดูให้ ว่าแต่ทำไมอยู่ๆมาสนใจคดีเมื่อสามปีที่แล้วล่ะ?”

“อ่อ เราอยากจะพิสูจน์อะไรนิดหน่อยอ่ะ ไว้แน่ใจแล้วเดี๋ยวเล่าให้ฟังนะ”

ขุนพลและยลภัทรพยักหน้ารับอีกครั้ง หัวข้อสนทนาถูกเปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่นๆอยู่พักใหญ่ สามเกลอจึงได้พากันแยกย้ายสลายม๊อบ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

วันถัดมา เจษลินทร์นั่งขมวดคิ้วจ้องโทรศัพท์อยู่นาน พายุโซเชียลกระหน่ำด่าและตำหนิแฝดน้องของเขาตามที่จิรากรเคยบอกไว้ ตอนนี้ชาวเน็ตขุดทั้งประวัติผู้ต้องสงสัยและประวัติของจิรากรมาวิพากษ์วิจารณ์ก่นด่ากันอย่างร้อนแรงบนโซเชียล

พวกคนที่ด่านี่ก็นะ ไม่รู้อะไรก็ขอด่าไว้ก่อนเหมือนโกรธกันมาแต่ชาติปางไหน ขอแค่ได้คอมเม้นท์อ่ะ บางคนด่าเพียงเพราะเห็นชาวบ้านทำก็เลยทำตามกระแส มีคนกดไลค์หน่อยก็ฮึกเหิมเชียว โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าเรื่องราวความจริงมันเป็นมายังไง หรือว่าสิ่งที่ตัวเองพ่นออกมามันส่งผลต่อคนอื่นมากแค่ไหน บางคอมเม้นท์ถึงขนาดขู่ฆ่าก็มี!!

เกินไปมาก! แคปหน้าจอฟ้องเรียงตัวเลยดีมั้ยเนี่ย การทำงานมันต้องเป็นไปตามขั้นตอนโว้ยยย’ !!! เจษลินทร์กำหมัดแน่น อยากจะตอบกลับข้อความร้ายๆพวกนั้น แต่ก็รู้ว่าคงเสียเวลาเปล่า เพราะถ้าคนเหล่านั้นมีวิจารณญาณจริงคงไม่พิมพ์ออกมาแบบนี้หรอก โต้ตอบไปคงเหมือนคุยกับคนบ้ากระมัง

ในขณะที่ข่มใจตัวเองให้ลดความหัวร้อนลงนั้น ก็มีข้อความหนึ่งเด้งขึ้นมา

 

 

Unknown: ไงเริ่มขุดหาคดีพ่อตัวเองบ้างรึยัง หรือว่ายังกลัวอยู่?

: ได้ข่าวว่าตอนนี้น้องชายคุณอยู่ในสถานการณ์ที่ตัดสินใจลำบาก เขาจะสั่งฟ้องคนบริสุทธิ์เหมือนพ่อเขามั้ยนะ?

Jecelyn: คุณนี่มารยาทแย่และปากร้ายตลอดเลยนะ แต่วันนี้จะยอมให้อภัยก็ได้ในฐานะที่คุณเป็นแฟนคลับน้องชายผม

: ถึงจะเป็นแฟนคลับที่ไม่รู้ใจเขาเสียเลยก็เถอะ น้องผมน่ะจะไม่สั่งฟ้องคนบริสุทธิ์แน่นอน ผิดก็ว่าไปตามผิดสิ

Unknown: ถ้ามันมีเรื่องอื่นเข้ามาเกี่ยวล่ะ? ถ้ามันมีเหตุจำเป็นที่ทำให้เขาต้องฟ้องคนบริสุทธิ์ล่ะ คุณจะแน่ใจได้ยังไงว่าน้องคุณยังจะเป็นคนใสสะอาดอยู่?

Jecelynไม่มีทางหรอก ต่อให้จะมีเหตุผลอะไร ยังไงน้องผมก็ต้องเลือกความถูกต้องอยู่แล้ว ผมมั่นใจ

Unknown: มาพนันกันมั้ยล่ะ? เราลงว่าเขาต้องสั่งฟ้องแน่นอน

Jecelyn: คุณจะเอาอะไรมาเดิมพัน? ถ้ามันน่าสนใจผมจะรับพิจารณา

Unknown: เราจะยอมบอกคุณก็ได้ว่าคดีที่อยากให้คุณขุดคือคดีไหน

Jecelyn: ว้า ไม่น่าสนใจเลย เพราะผมรู้แล้วแหละว่าเป็นคดีไหน

: งั้นเปลี่ยนเป็นข้อมูลที่คุณมีในมือ เกี่ยวกับคดีที่คุณมั่นใจนักมั่นใจหนาว่าพ่อผมทำผิดดีมั้ย?

Unknown: ก็น่าสนใจดี ถ้าคุณแพ้ล่ะ? คุณต้องยอมทำตามคำสั่งของเราหนึ่งข้อดีไหม

Jecelyn: ได้เลยเจ้าเด็กแสบ! นายแพ้แน่ไอ้น้อง!!

Unknown: เรียกคนอื่นน้องระวังได้ยกมือไหว้ทีหลังนะ

Jecelyn: หึ ผมเรียนจิตวิทยามานะ เผื่อคุณไม่รู้

Unknown: น่าสนใจนี่ ไหนว่ามาสิว่าที่คุณเรียนมาจะช่วยให้คุณเดาอะไรได้บ้าง

Jecelyn: ดูจากการกระทำและข้อความของคุณแล้วคุณเป็นคนประเภทมุทะลุ เอาแต่ใจ และอยากเอาชนะ ใช้วิธีเรียกร้องความสนใจเข้าหาพวกผม ถ้าเด็กกว่านี้ก็คงจะไม่กล้าใช้วิธีนี้ ถ้าโตกว่านี้ก็คงจะใช้วิธีอื่นที่ผู้ใหญ่เขาทำกัน งั้นผมขอเดาว่าคุณน่าจะอายุประมาณ24– 26 ปี  

: ส่วนเพศ ก็น่าจะเป็นผู้ชาย เพราะผู้หญิงคงจะไม่ใช้วิธีพุ่งชนแบบคุณและคงจุกจิกมากกว่านี้

 

 

ชายหนุ่มพอได้อ่านข้อความก็ชะงักไป เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายสามารถเดาตัวตนของเขาได้ถูกต้อง แถมรู้แล้วด้วยว่าเขาอยากให้ขุดคดีไหน เขาเหยียดยิ้มมุมปาก

ไม่ธรรมดานี่เจษลินทร์

 

 

⋆⚝⚝⚝⚝⚝⋆

 

 

- ณ สำนักงานอัยการ - 

 

จิรากรกำลังนั่งหน้าเครียดคิดหนักกับคดีหญิงสาวที่เสียชีวิตปริศนา

ทันใดนั้นเอง ผู้ช่วยสาวคนเก่งของเขาก็วิ่งหน้าตื่นมาหา

“จันทร์ จันทร์ เมื่อกี๊เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนโทรมาบอกว่ารู้แล้วว่ารอยเลือดของคดีปริศนานั้นเกิดจากอะไร”

“หายใจก่อนค่อยพูดก็ได้น้ำขิง” แม้ในใจจะอยากรู้คำตอบจนเนื้อเต้น แต่จิรากรก็เอ่ยบอกหญิงสาวอย่างใจเย็น

“รอยเลือด รอยเลือดในที่เกิดเหตุอ่ะ เป็นรอยตุ๊กตาเต่าเดินได้ของผู้เสียชีวิตนั่นแหละ คาดว่าเจ้าตัวคงเผลอไปแตะโดนเข้า ทำให้เจ้าตุ๊กตานั่นเดินลากเลือดไปจนตกระเบียง แถมดั๊นตกไปค้างกับกิ่งไม้ กว่าเจ้าหน้าที่จะเจอก็เมื่อวานก่อนนี่เอง เขาเอาเลือดที่ติดอยู่ในตุ๊กตาไปตรวจ DNA ดูแล้ว นิติเวชเพิ่งแจ้งว่ามันตรงกับของผู้ตายค่ะ” น้ำขิงเอ่ยอย่างตื่นเต้น

“เห้ย จริงเหรอน้ำขิง” จิรากรดีใจจนแทบกระโดด ในที่สุดก็ได้หลักฐานสำคัญเสียที

เขาเร่งกุลีกุจอจัดการเตรียมจะส่งเอกสารสั่งไม่ฟ้อง แต่ก็โดนดาริน อัยการรุ่นพี่เรียกไปคุยก่อน

“พี่ดามีไรรึเปล่าครับ”

“อื้อ เรื่องคดีตายปริศนาของหญิงสาวคนนั้นอ่ะ พี่อยากให้เราสั่งฟ้องคนส่งของนะ”

“แต่เขาไม่ผิดนี่ครับ เราจะฟ้องเขาได้ยังไง”

“พี่รู้แล้ว”

“แล้วพี่จะให้ผมสั่งฟ้องเขาทำไมครับ?” จิรากรเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

“เพราะถ้าจันทร์ไม่สั่งฟ้อง พวกชาวเน็ตและเพจต่างๆจะตำหนิจันทร์น่ะสิ”

“ยังไงนะ? ก็เรามีหลักฐานแล้วนี่ครับ”

“จันทร์คิดว่าพวกนั้นจะยอมรับเหรอ? จากที่เขารุมด่ารุมตำหนิอัยการและตำรววจมาโดยตลอด อยู่ๆเขาจะมาบอกว่า อุ๊ย!ขอโทษนะ พวกเราเข้าใจผิดกันไปเอง ที่ผ่านมาตีโพยตีพายกันไปใหญ่โตเองแหละ แบบนี้เหรอ? คิดว่าเพจดังที่เคยลงข่าวขยี้จันทร์เขาจะโพสต์แถลงคำขอโทษเหรอ?

ไม่มีหรอกจันทร์ คนพวกนั้นก็แค่จะปล่อยให้เรื่องเงียบไป ความคิดพวกแฟนคลับและคนที่มีอคติจะไม่เปลี่ยน พวกเขาจะคอยด่าจันทร์ต่อ และต่อไปถ้าจันทร์ทำคดีอะไรคนพวกนั้นก็จะคอยจับผิดและด่าการทำงานของจันทร์อยู่ดี”

จิรากรได้ฟังก็ถึงกับพูดไม่ออก

ดารินจึงพูดต่อ

“แต่ถ้าจันทร์สั่งฟ้อง ในเมื่อเขาไม่ผิด ทนายก็ต้องแก้ต่างให้เขาได้อยู่แล้ว ยังไงเขาก็หลุดคดี พวกที่เคยด่าจันทร์ก็จะได้เงียบปากไป จันทร์จะได้ไม่ต้องโดนด่าอีกไง เข้าใจที่พี่พูดแล้วใช่มั้ย? อย่าโง่เลยนะ สั่งฟ้องเถอะ เชื่อพี่” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลง แล้วยื่นมือมาตบไหล่รุ่นน้องก่อนจะเดินจากไป ปล่อยให้จิรากรจมอยู่กับความคิด

การที่โดนตกเป็นจำเลยของสังคมโดนก่นด่าสารพัดบนโซเชียลมีเดีย บางคนอาจจะมองว่าเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย แต่ถ้าได้เจอกับตัวเองแล้วจะรู้ซึ้งว่ามันไม่ง่ายเลย ที่เราจะจัดการความรู้สึกของตัวเองไม่เข้าไปอ่าน ไม่สนใจคำด่าทอมุ่งร้ายเหล่านั้น ไม่มีใครในโลกนี้ชอบโดนด่าหรอก ยิ่งเราไม่ได้ทำอะไรผิดยิ่งไม่สมควร ไม่สมควรจะต้องมาทนกับอะไรแบบนี้เลย! 

ยังถือว่าโชคดีมากๆที่จิรากรเป็นคนหวงแหนความเป็นส่วนตัว ไม่ค่อยติดโซเชียลมีเดีย ไปไหนมาไหนไม่เคยเช็กอิน แค่ลงรูปพร้อมแคปชั่นตามอารมณ์เท่านั้น แม้กระทั่งร้านขนมของมารดาเขายังไม่เคยลงในโซเชียลว่าอยู่ที่ไหน เพราะลูกค้าที่มีอยู่ก็ถือว่าไม่ได้แย่และเขาก็ไม่อยากให้แม่ทำงานหนักเกินไป จึงทำให้ผลกระทบครั้งนี้ไม่กระทบถึงคนในครอบครัว

 

 

“คิดหนักขนาดนั้นเลยเหรอ?” เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ทำให้จิรากรตกใจสะดุ้งโหยง

‘พันตำรวจโทลภัสวัฒน์คู่ปรับต่างวัยเจ้าประจำของจิรากรเอง

“อะไรกันคุณตำรวจ อย่าบอกนะว่าแอบฟังคนอื่นเขาคุยกัน?” จิรากรทำหน้าพร้อมเอาเรื่อง

“แอบฟังอะไรก่อน ผมยืนอยู่มุมนี้ตั้งแต่แรกเถอะ พวกคุณต่างหากที่มาทีหลังแล้วมองไม่เห็นผมเอง ใครจะอยากฟังเรื่องของอัยการกันเล่า” ลภัสวัฒน์เอ่ยด้วยท่าทางและน้ำเสียงเรียบเฉย

จิรากรอดหมั่นไส้กับอาการวางมาดของอีกคนไม่ได้ เลยเบะปากใส่ไปหนึ่งที พร้อมทำท่าจะเดินหนี

“จะเดินไปยื่นเอกสารสั่งฟ้องเหรอ?”

“นี่ขนาดไม่อยากรู้เรื่องของชาวบ้านเนอะ” จิรากรตอกกลับ ทำให้รอยยิ้มหยิ่งๆบนใบหน้าของนายตำรวจจางลง

“แต่เอาเถ้อะ ถ้าคุณชอบกินเผือก ผมก็จะบอกให้เอาบุญว่าผมจะสั่งไม่ฟ้อง เพราะว่าเขาไม่ผิด จบนะ!”

“อ่อ เลือกเป็นคนโง่อย่างที่อัยการคนเมื่อกี้ว่าสินะ”

“การที่ผมทำสิ่งที่ถูกต้องคือคนโง่งั้นเหรอ? ไม่อยากจะเชื่อว่าผมจะได้ยินคำนี้จากปากของตำรวจนะเนี่ย!” จิรากรเบะปากพร้อมส่ายหัวให้ลภัสวัฒน์แล้วเดินจากไป แต่เหมือนนึกอะไรขึ้นได้จึงหันกลับมาเอ่ย

“อ้อ อีกอย่างนะ ถึงชาวเน็ตอีกหลายร้อยคนจะยังรุมด่ารุมจับผิดผมอยู่ แต่ผมไม่กลัวหรอกเพราะผมไม่ได้ทำอะไรผิด! คนเราจะไปเอาใจคนทั้งโลกได้ยังไง ผมแค่ทำไปตามหน้าที่และความถูกต้อง มันถูกใจหรือไม่ถูกใจใครบ้างผมก็เลือกไม่ได้หรอก

แต่ผมเชื่อนะว่ามันจะต้องมีบ้างแหละ คนที่เมื่อรู้ว่าตัวเองทำผิดแล้วจะออกมาขอโทษ หรือคนที่เห็นสิ่งที่ผิดแล้วแก้ไขให้มันถูกน่ะ ในร้อยคน มีซักหนึ่งคนก็พอแล้วล่ะ” ว่าจบอัยการร่างบางก็สะบัดบ๊อบเดินจากไป

ปล่อยให้นายตำรวจหนุ่มยืนมองตามแผ่นหลังเล็กๆนั่น

ชิ ตัวก็แค่นั้น ทำไมเท่และน่ารักเป็นบ้าเลยวะ!’ ลภัสวัฒน์คิดในใจพลางยกยิ้มอย่างอารมณ์ดี

 

 

 

 

⋆⚝⚝⚝⚝⚝⋆

 

 

 

 

หลังจบมื้อเย็น เจษลินทร์ออกมายืนรับลมที่สนามหญ้าหน้าบ้าน ในหัวก็นึกอะไรไปเรื่อยเปื่อย

“ไงเรา งานเยอะเหรอ ช่วงนี้ดูเครียดๆ” วศินเห็นหลานชายที่เขาเองก็รักเหมือนลูกทำหน้าเครียด เลยเดินเข้ามาถามไถ่

“ไม่หรอกครับ มีเรื่องอื่นให้คิดนิดหน่อย” เจษลินทร์ตอบ

วศินพยักหน้ารับแล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ ทั้งสองแค่มองไปข้างหน้าอย่างคนกำลังใช้ความคิด

จนผ่านไปหลายอึดใจเจษลินทร์จึงเอ่ยขึ้น

“ทำไมลุงศินถึงเลิกเป็นตำรวจล่ะครับ ไม่เอาคำตอบที่ลุงเคยบอกว่าแก่แล้วนา” เขาดักคอคนเป็นลุง

“อือ นั่นสินะ ทำไมกัน” คนมีอายุทำท่าครุ่นคิด

“คงเพราะปฐวีนั่นแหละ”

“เพราะพ่อเหรอครับ? ทำไมล่ะ”

“อาจเป็นเพราะเราทำงานด้วยกันมานานล่ะมั้ง พอวันหนึ่งที่ไม่มีแล้วมันเลยหมดแรงใจ เหมือนที่วัยรุ่นเขาเรียกอะไรนะ หมดแพชชั่นมั้ย”

คนมีอายุเอ่ยน้ำเสียงเหมือนล้อเล่นแต่ก็เจือไปด้วยความเศร้า

เจษลินทร์ได้ยินดังนั้นก็อึ้งไปเล็กน้อย ทำให้นึกย้อนกลับไปตอนพ่อของเขาเกิดอุบัติเหตุ

พ่อกับแม่กำลังขับรถกลับจากดินเนอร์นอกบ้านในวันครบรอบแต่งงานของท่านทั้งสอง จิรากรกับเจษลินทร์ไม่ได้ไปด้วยเพราะอยากให้พ่อแม่ได้ใช้เวลาด้วยกันตามประสา

ในระหว่างทางนั้น อยู่ดีๆก็มีรถบรรทุกฝ่าไฟแดงพุ่งชนรถพ่อเขาอย่างจัง ทำให้พ่อเสียชีวิตคาที่ ส่วนแม่ก็บาดเจ็บพอสมควร หนำซ้ำยังจับตัวคนทำไม่ได้อีก!

เหตุการณ์ตอนนั้นทำเอาพวกเราทุกคนเสียหลักกันไปหมด เจษลินทร์เป็นคนเดียวที่ไม่ได้ร้องไห้ออกมาให้ใครเห็น เพราะทุกคนคือสภาพแย่กันมาก เขาเลยต้องเข้มแข็งเพื่อแม่และน้อง

แต่ขึ้นชื่อว่าความเจ็บปวดมันก็ไม่มีใครทนไหวหรอก เจษลินทร์แอบไปนั่งร้องไห้ปานจะขาดใจอยู่คนเดียวในห้องทำงานของพ่อ

"เจษไม่ต้องอดทนขนาดนั้นหรอกลูก เรามาอ่อนแอและค่อยๆก้าวผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกันนะนั่นคือคำพูดของแม่ตอนที่เห็นเขาแอบร้องไห้ จำได้ว่าวันนั้นพวกเขาทั้งสามร้องไห้กันหนักที่สุด ก่อนจะจับมือค่อยๆผ่านช่วงเวลายากๆนั้นมาด้วยกัน….

แต่ความเศร้าก็ไม่ได้อยู่แค่กับเจษลินทร์ จิรากร หรือเจนจิรา ตอนนั้นลุงวศินเองก็เสียใจมาก ถึงกับตรอมใจกินข้าวไม่ได้ ล้มป่วยอยู่เป็นอาทิตย์ จนน้องนินทร์ลูกสาวที่อยู่ต่างประเทศต้องบินมาหา อาการของลุงถึงได้ดีขึ้น

 

 

เจษลินทร์ถอนหายใจยืดยาว พ่ออยู่ในที่ที่ดีแล้ว เหลือแค่คนอยู่นี่แหละต้องใช้ชีวิตกันต่อไป

พลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงเอ่ยถามคนที่มีอายุมากกว่า

“ลุงวศินจำคดีฆาตกรรมหญิงสาวบนรถแท็กซี่ได้มั้ยครับ ที่คดีนั้นลุงเป็นผู้ดูแล แล้วพ่อก็เป็นอัยการที่สั่งฟ้อง”

ว่าพร้อมหยิบมือถือหาข่าวในเน็ตมาให้ลุงดู

“อ้อ จำได้ ทำไมล่ะ”

“คดีนี้มันมีอะไรผิดปกติรึเปล่าครับ”

“หืม ผิดปกติเหรอ?” วศินว่าพลางเลิกคิ้วสงสัย

“ผมก็ไม่รู้หรอกครับแค่ลองถามดู ลุงศินพอจะจำรายละเอียดได้มั้ยครับ?”

“ผ่านมาก็น่าจะสามปีกว่าแล้ว ลุงเองจำรายละเอียดไม่ค่อยได้หรอก ลองหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตดูรึยัง”

“หาแล้วครับ แต่ไม่ค่อยมีข้อมูลเลย”

“ทำไมอยู่ๆมาถามถึงคดีนี้ล่ะ”

“แค่สนใจน่ะครับ” เจษลินทร์ตอบ

“คุยอะไรกันสองลุงหลาน” เจนจิราเอ่ยพร้อมเดินเข้ามาหาสองหนุ่มต่างวัย

“คุยไปเรื่อยเปื่อยแหละครับคุณเจน”

“งั้นขอแม่แทรกหน่อยนะจ๊ะ เมื่อกี้ตอนกินข้าวลืมบอก ว่าวันอาทิตย์นี้ครบรอบวันเสียของปฐวีเลยจะชวนศินไปทำบุญน่ะ”

“ไม่ลืมหรอก ไปแต่เช้าเหมือนเดิมใช่มั้ย?จะได้เตรียมตัวนอนเร็วๆ คนแก่ก็แบบนี้ นอนยากตื่นยากน่ะเจ้าเจษ” ประโยคหลังวศินหันไปเอ่ยยิ้มอบอุ่นกับหลานชาย

เจษลินทร์จึงขอตัว ปล่อยให้แม่กับลุงคุยกันเรื่องทำบุญกันตามประสา

 

 

 

 

 

 

 

TBC

 


 

 

ยังค่ะ พระเอกของอีฉันยังไม่มาอีก555555

ติชมกันเข้ามาได้นะคะ

- Love -

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา