Who am i? (ฉันเป็นใคร?) ภาค change myself (พล็อตเรื่องนี้ผ่านการประกวดบทละครของโครงการ BEC ของช่อง 3

7.3

เขียนโดย Gawee

วันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2565 เวลา 11.23 น.

  10 ตอน
  9 วิจารณ์
  4,669 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 25 เมษายน พ.ศ. 2566 09.30 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) ภาคเสริม "มิโกะแห่งชั้น ม.4" ตอนที่ 1

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ภาคเสริม "มิโกะแห่งชั้น ม.4"

ตอนที่ 1 "การพบกันแห่งโชคชะตาของเรา 3 คน

 

          ณ ประเทศญี่ปุ่น

     "เรโกะจัง ฟังแม่ให้ดีนะจ๊ะ" หญิงสาวผู้เป็นแม่ของฉันพูดขึ้น ขณะที่กำลังแต่งตัวให้ฉัน

     "ค่ะ ท่านแม่" ฉันตอบกลับอย่างสงบนิ่งเฉกเช่นเดียวกับคุณหนูตระกูลชนชั้นสูงคนอื่นๆ

     "วันนี้ เรโกะจังของแม่อายุครบ 10 ปี บริบูรณ์แล้ว ลูกรู้ใช่ไหมจ๊ะ? ว่าตระกูลเราเป็นตระกูลมิโกะที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น" ท่านแม่เอ่ยขึ้นพลางหยิบชุดมิโกะสีขาวบริสุทธิ์ไม่ต่างอะไรจากผิวพรรณของฉัน

     "หนูทราบดีค่ะ ท่านแม่" ฉันหันไปยิ้มให้ผู้เป็นแม่ ฉันรู้ดีว่า ท่านแม่จะพูดอะไรต่อไป

     "เมื่อเรโกะจังอายุครบ 10 ปี ก็ต้องเข้ารับพิธีแต่งตั้งให้เป็นมิโกะอย่างเป็นทางการนะจ๊ะ เข้าใจใช่ไหม?" ท่านแม่พูดพลางหยิบกางเกงมิโกะสีแดงฉาดมาสวมให้กับฉัน

     ตอนนี้ ฉันไม่ต่างอะไรกับตุ๊กตาเด็กผู้หญิงที่ถูกแต่งตัวและนำไปวางไว้บนหิ้งบูชาในประเพณีเด็กผู้หญิง

     "ค่ะ ท่านแม่ เรโกะเข้าใจดีทุกอย่างค่ะ" ฉันตอบกลับ

     ใช่แล้วล่ะ ฉันเข้าใจดีว่ามันหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะฉันเกิดมาในตระกูลมิโกะผู้สูงส่งแห่งประเทศนี้ แต่ทว่า กลับไม่มีใครสักคนเลยที่จะถามฉันว่า ฉันเต็มใจเป็นมิโกะไหม!?

     ฉันได้แต่นึกในใจขณะที่นั่งสงบเงียบหน้ากระจกเท่านั้น ภาพที่สะท้อนในกระจกคือ ภาพเด็กผู้หญิงวัย 10 ขวบ ที่แต่งชุดมิโกะกำลังถูกหวี่ผม เส้นผมอันยาวสลวยและเงางามดุจแพรไหมล้ำค่า ช่วงเข้ากันได้ดีกับดวงตากลมโต จมูกเล็กน้อย และริมฝีปากอวบอิ่มที่ถูกแต่งแต้มด้วยทินน์สีชมพูอ่อน

     ใบหน้าของฉันในกระจกสวยงามราวตุ๊กตาเด็กผู้หญิง แต่มิใช่แค่ใบหน้าเท่านั้นที่เหมือนตุุ๊กตา แต่ชีวิตของฉันก็เป็นเฉกเช่นเดียวกับตุ๊กตาที่ไม่สามารถพูดหรือแสดงความไม่พอใจไดๆ ได้เลย การคงอยู่ของมันและฉันเป็นเพียงแค่สิ่งของที่ขยับไปตามคนที่บังคับเท่านั้น!

           1 ปีต่อมา

     จนถึงตอนนี้ ฉันได้เติบโดขึ้นอีกนิด และได้เรียนรู้เรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับมิโกะ โดยท่านแม่ของฉันเป็นผู้สอนให้ ทุกครั้งที่มีการทำพิธีฉันก็จะต้องนั่งคุกเข่าสงบนิ่งและจับจ้องไปที่ท่านแม่เพื่อจำและเรียนรู้ให้ได้โดยเร็ว

     "เรโกะจัง พ่อมีข่าวดีมาบอกด้วยน่าาาา ยิ้มหน่อยๆ" ท่านพ่อพูดขึ้นพลางเดินมาหาฉันด้วยรอยยิ้มดีใจ

     "มีเรื่องอันใดหรอค่ะ? ท่านพ่อ" ฉันละสายตาจากหนังสือภาษาไทยฉบับพกพา แล้วหันไปถามท่านพ่อ

     "พรุ่งนี้เราจะไปประเทศไทยกัน ฮ่าฮ่า ดีใจใช่ไหม?" ท่านพ่อพูดขึ้นพลางหัวเราะร่า

     "เอ๋!!!...อุ๊บ!" ฉันเผลอร้องอุทานเสียงดังแบบลืมตัว หากท่านแม่อยู่ด้วย ฉันคงถูกทำโทษให้ยืนถือกะละมังน้ำไป 2 ชั่วโมงเป็นแน่ T_T

     "ประเทศไทยหรอค่ะ? ท่านพ่อ หนูอยากไปมานานแล้ว บ้านเกิดของท่านพ่อ ฮิฮิ" ฉันพูดเสียงเบาราวกระซิบกับท่านพ่อ

     ใช่แล้วล่ะ ท่านพ่อของฉันเป็นคนไทย ท่านได้แต่งงานกับท่านแม่ ก่อนที่ท่านแม่จะเป็นมิโกะ พอท่านแม่ให้กำเนิดฉัน ท่านก็เข้าพิธีแต่งตั้งเป็นมิโกะทันที แล้วท่านพ่อก็ย้ายมาอยู่กับพวกเราที่นี้ ค่อยดูแลเรื่องต่างๆ ในศาลเจ้าโคโนเอะสาขาใหญ่ รวมถึงสาขาย่อยทั่วโลกด้วย

     "แหะๆๆ ใช่ไหมล่ะ? พ่อรู้ว่าเรโกะจังต้องอยากไป แต่เราไปทำงานนะลูก" ท่านพ่อพูดพลางลูบหัวฉันอย่างอ่อนโยน

     "เอ่ะ! ทำงานหรอค่ะ?" ฉันถามกลับ

     "ใช่จ๊ะลูกพ่อ พอดีศาลเจ้าโคโนเอะของเรากำลังจะเปิดสาขาย่อยที่ประเทศไทย เราเลยต้องไปเป็นประธานที่นั้น ท่านแม่ก็ไปด้วยนะ" ท่านพ่ออธิบาย

     "อ้าวววว! ท่านแม่ไปด้วยหรอค่ะ?" ฉันถามพลางทำหน้าผิดหวังเล็กๆ เพราะหากท่านแม่ไปด้วย ฉันคงไม่ได้เที่ยวเล่นอีกเป็นแน่

     "ไม่ต้องห่วง เดียวพ่อขอร้องแม่ให้ โอเคไหม? ฮิฮิ"  ท่านพ่อพูดพลางชูมือเป็นรูปโอเค

     "โอเคค่ะ ท่านพ่อ ฮิฮิ ตื่นเต้นๆ เมืองไทยๆๆ" ฉันพูดพลางกระโดดโลดเต้นไปมาตรงระเบียงบ้าน

     "เรโกะ!! แม่บอกกี่ครั้งเเล้วจ๊ะ!? ว่าให้สำรวมถึงแม้จะไม่มีใครอยู่ ต้องทำให้เป็นนิสัยซิจ๊ะ" ท่านแม่เดินมาดุฉัน ฉันพลาดซะแล้ว T_T

     "หนูขอโทษค่ะ ท่านแม่----" ฉันพูดพลางยืนหลังตรงและก้มโค้งให้ท่อนบนราบขนานไปกับพื้นพลางวางมือประสานกันไว้ที่ท้อง

     "ไปถือกะละมังน้ำ 1 ชั่วโมง" ท่านแม่สั่งฉันแล้วเดินจากไป

     "ีรอเดียวซิคุณ" ท่านพ่อพูดพลางเดินตามท่านแม่ไป

     จากนั้นฉันก็ไปหยิบกะละมังใส่น้ำเต็มๆ มายืนอยู่ในสวนข้างๆ เรือนใหญ่ของบ้าน โดยมีพี่เลี้ยงฉันค่อยยืนเฝ้าและให้กำลังใจอยู่ข้างๆ 

          วันรุ่งขึ้น ณ สนามบิน ประเทศญี่ปุ่น

     "เรโกะจัง หนูรออยู่ตรงนี้ก่อนนะลูก เดียวพ่อกับแม่ไปทำธุระหน่อย" ท่านพ่อพูดขึ้น ขณะที่เรายืนอยู่หน้าอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ

     "ค่ะ ท่านพ่อ" ฉันตอบกลับ

     "ฟูมิโกะ ฟูมิกะ ฝากดูคุณหนูหน่อยนะจ๊ะ เดียวฉันมา" ท่านแม่หันไปพูดกับพี่เลี้ยงฝาแฝดของฉัน

     "ค่ะ---- คุณผู้หญิง" สาวใช้ฝาแฝดพูดพร้อมกันพลางประกบซ้ายขวาฉัน

     โอ้โห้! ทำงานได้พร้อมเพรียงกันเหลือเกิน แบบนี้ฉันจะขยับไปไหนได้อีกล่ะค่าาาา!? T_T ฉันนึกในใจพลางหันไปมองฟูมิโกะกับฟูมิกะข้างๆ ฉันที่กำลังส่งยิ้มมาให้ฉัน เหมือนจะรู้ว่าฉันคิดอะไรอยู่

          5 นาทีผ่านไป

     "พ่อฮ่ะ รีบมานะฮ่ะ ผมหิวข้าวแล้ว" ผมพูดขึ้นพลางมองหน้าผู้เป็นพ่อขณะที่เรากำลังอยู่หน้าอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ

     "ได้คับๆ ต้นกล้าคนเก่งของพ่ออยู่คนเดียวได้ใช่ไหม?" พ่อถามพลางลูบหัวผม

     "โธ่! พ่อผมโตแล้วนะ อายุ 11 แล้วนะ รีบๆ ไปเถอะคับ เดียวจะรอแถวๆ นี้" ผมพูดพลางเอามือของผู้เป็นพ่อออกอย่างอายๆ ชาวบ้าน

     "ฮ่าฮ่าฮ่า พ่อหนุ่มน้อยของพ่อ ไปละ" พ่อพูดพลางหยิกแก้มผม จากนั้นก็โบกมือแล้วเข้าไปในอาคาร

     "เจ็บชะมัดเลย อู้ยยย!" ผมพููดพลางลูบแก้มแล้วหันซ้ายหันขวา

     จนกระทั่งสายตาของผมไปหยุดตรงเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เธอน่ารักและดูใสบริสุทธิ์ราวกับดอกลิลลี่ขาว ผิวพรรณขาวดุจหิมะช่างเข้ากันได้ดีกับชุดเดรสกระโปรงขาวลายลูกไม้ชมพูอ่อน เส้นผมสีดำเงางามถูกปล่อยสยายลงมาถึงกลางแผ่นหลังและประดับด้วยกิ๊บสีชมพูรูปคิตตี้

     "ว้าวววว! น่ารักจังเลย" ผมร้องว้าวพลางพึมพำกับตัวเอง ขณะที่จ้องมองเด็กผู้หญิงคนนั้นราวกับต้องมนต์สะกด

          ขณะเดียวกัน มุมเรโกะ

     "โอ๊ยยย! ร้อนมากเลย" ฉันพูดขึ้นพลางกำลังจะเดินเข้าไปในอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ เพื่อใปรอท่านพ่อกับท่านแม่ในนั้น

     "จะ....จะไปไหนค่ะคุณหนูเรโกะ?" ฟูมิโกะถามพลางเดินตามมาประกบซ้าย

     "คะ...คุณผู้หญิงบอกให้ยืนรอตรงนี้นะค่ะ คุณหนูเรโกะ" ฟูมิกะพูดพลางเดิมตามมาประกบขวา

     "ค่ะๆๆๆ หนูจะอยู่นิ่งๆ ไม่ต่างจากหุ่นเชิดเลยค่ะ พี่ๆ ทั้งสอง!" ฉันหยุดชะงักพลางพูดขึ้น

     "โธ่---- คุณหนูล่ะก็ คุณผู้หญิงเขาสั่งเพราะเป็นห่วงคุณหนูนะค่ะ" ฟูมิโกะพูดขึ้น

     "ใช่แล้วค่ะ ตุณหนูก็ช่วยเข้าใจคุณผู้หญิงหน่อยนะค่ะ" ฟูมิกะพูดเสริม

     "ค่ะๆๆๆ" ฉันตอบกลับ

     และทันใดนั้นเอง ก็มีภาพเหตุการณ์หนึ่งลอยแวบเข้ามาในหัวฉัน ในเหตุการณ์นั้น มันเกิดขึ้นที่อาคารนี้ มีรถโดยสารประจำสนามบินพุ่งเข้ามาชนอาคารโดยที่ชนเด็กผู้ชายคนหนึ่ง

     "อึ้ก!!" ฉันร้องขึ้นเสียงเบาพลางเอามือกุมศรีษะไว้

     มะ...มันมาอีกแล้ว! อาการแบบนี้? เกิดขึ้นที่นี้ซินะ เด็กผู้ชายใส่เสื้อเชิตสีฟ้า หน้าอาคารนี้ อยู่ไหนๆ? เด็กคนนั้นอยู่ไหนล่ะ!?" ฉันนึกในใจพลางรีบหันมองหาเด็กผู้ชายคนนั้น

     "คะ....คุณหนูค่ะ เป็นอะไรไปค่ะ? หรือว่า...?" ฟูมิโกะและฟูมิกะพูดขึ้นพร้อมกัน เมื่อรู้ว่าฉันเป็นอะไร

     "ชะ...ใช่! ช่วยกันหาเด็กผู้ชายใส่เสื้อเชิตสีฟ้าหน้าอาคารนี้เร็วเข้า เดียวไม่ทัน" ฉันพูดขึ้นอย่างรีบร้อน หากไม่ทันการ เด็กนั้นอาจตายได้เลย

     "ค่ะ!!" สาวใช้ทั้งสองตอบกลับพร้อมๆ กัน

     "คุณหนูค่ะ ใช่เด็กคนนั้นไหม?" ฟูมิกะพูดพลางชี้ไปที่เด็กผู้ชายใส่เสื้อเชิตสีฟ้าที่กำลังยืนมองเหม่อมาทางฉัน

     "จะบ้าหรอไง!? ยืนเหม่อไม่มองอะไรแบบนั้น!?" ฉันพูดขึ้นเสียงดัง ก่อนจะวิ่งไปที่เด็กคนนั้น พลางหันไปมองรถโดยสารสีเหลืองที่กำลังโผล่พ้นทางโค้ง แล้ววิ่งตรงมาที่เขา

          ขณะเดียวกัน มุมต้นกล้า

     เฮ้ยๆ! เด็กผู้หญิงคนนั้นวิ่งมาหาผมหรอ!? ระ...หรือว่าเธอจะชอบผมมมม!? ผมนึกในใจพลางยืนนิ่งอย่างงงๆ

     "อีตาบ้าอยากตายหรอไง? ยืนเอ๋ออยู่ได้" เด็กผู้หญิงคนนั้นพูดขณะที่วิ่งมาจับมือผม

     "หะ....ห่ะ!? หมายความว่าไง!?" ผมพูดพลางทำหน้างง

     "ยังจะมาทำหน้างงเป็นเป็ดตาแตกอยู่ได้! หลบไว" เด็กผู้หญิงคนนั้นพูดภาษาไทยแปลกๆ กับผม

     และทันไดนั้นเอง เธอก็ฉุดผมให้หลบรถโดยสารที่กำลังพุ่งตรงเข้ามาชนกับอาคารได้อย่างหวุดหวิดแบบเส้นยาแดงผ่าแปด

     แต่ด้วยความที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว จึงทำให้เสียการทรงตัวล้มลงไป เลยทำให้เราทั้งคู่ก้มลงไปนอนกองกับพื้นหน้าอาคาร

     "อะ...เอ่อออ ขะ....ขอบคุณมากนะ" ผมพูดขอบคุณไปแบบงงๆ

     "แฮ่กๆ มะ...ไม่เป็นไร นายโอเคนะ?" เด็กผู้หญิงคนนั้นพูดพลางหอบไปด้วย ลมหายใจของเธอรดหน้าอกของผมมันอุ่นมาก

     "ฉะ...ฉันไม่เป็นไร ว่าแต่เธอจะลุกได้หรือยัง? ฉันหนัก" ผมพูดขึ้น ขณะที่เธอกำลังนอนทับบนตัวผมอยู่

     "วะ...ว่าไงนะ!? ว่าฉันหนักหรอ? ฉันอุตส่าห์ช่วย เฮอะ! นี่ซินะที่คนไทยว่า ทำโทษบูชาคุณ" เด็กผู้หญิงคนนั้นพูดสุภาษิตไทยแปลกๆ อีกแล้ว

     โธ่ๆๆๆ แม่คุณ! ถ้าพูดภาษาไทยไม่เก่งก็อย่าฝืนพูดสุภาษิตเลย ฮ่าฮ่า ผมนึกในใจพลางกลั้นขำไปด้วย

      "เขาต้องพูดว่า ทำคุณบูชาโทษ" ผมพูดเสียงดังฟังชัด

     "อ้าวหรอ!? สงสัยท่านพ่อจะสอนผิดหรือฉันอาจจำผิด ฮ่าฮ่า" เด็กผู้หญิงคนนั้นพูดพลางขำกลบเกลื่อน

     "แล้วเมื่อกี้ต้องพูดว่า ทำหน้างงเป็นไก่ตาแตก ไม่ใช่เป็ด แล้วก็หลบเร็ว ไม่ใช่หลบไว" ผมแก้ไห้อีก

     "อ้าววว คำนี้ฉันมั่นใจมากเลยนะ" เด็กผู้หญิงนั้นทำหน้าไม่พอใจ พลางเปิดหนังสือภาษาไทยฉบับพกพา

     โอ้โห้! ถึงขนาดพกหนังสือภาษาไทยติดตัวเลยหรอเนี้ย!? ดูจากหน้าตาก็น่าจะเป็นคนญี่ปุ่นนี้น่า ผมนึกในใจพลางมองไปที่หนังสือนั้น

          ขณะเดียวกัน มุมเรโกะ

     "นี่ เธอเป้นคนญี่ปุ่น ทำไมพูดไทยชัดจังล่ะ?" เด็กผู้ชายคนนั้นถามขึ้น

     "ฉันเป็นครึ่งลูกไทย - ญึ่ปุ่นนะ เรื่องนั้นช่างเถอะ ลุกไหวไหม?" ฉันลุกขึ้นยืน แล้วถามขึ้นพลางยื่นมือไปให้เขาจับด้วย

     "อะ...อืม เขาต้องพูดว่า ลูกครึ่ง" เด็กผู้ชายคนนั้นพูดพลางจับมือฉันแล้วกำลังพยุงตัวขึ้น

     และทันใดนั้น ศรีษะของฉันก็ปวดขึ้นมาราวกับว่ามันจะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ สติของฉันกำลังจะดับวูบ

     อะ...เอาอีกแล้ว ครั้งนี้ปวดหนักกว่าครั้งก่อนเยอะเลย ไม่ไหวแล้ว!! ฉันนึกในใจ พลางปล่อยตัวไปตามแรงโน้มถ่วงโลก ฉันล้มลงไปนอนกองกับพื้นหน้าอาคาร

     "เฮ้ยๆๆ นี้เธอทำใจดีๆ ไว้ นี่ๆๆ" และเสียงสุดท้ายที่ฉันได้ยินก่อนจะสิ้นสติก็คือ เสียงของเขา เด็กผู้ชายที่ฉันช่วยชีวิตไว้นั้นเอง

      ณ ห้องพยาบาล ในสนามบิน

     ฉันค่อยๆ ได้สติและรู้สึกตัว พร้อมๆ กับเสียงประกาศตามสายของสนามบิน แต่ฉันยังไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะลืมตาขึ้น ตอนนี้ฉันได้แต่นอนนิ่งบนเตียงแคบๆ เท่านั้น

     "....ดูเหมือนลูกของเราจะยังแบกรับผลข้างเคียงของพลังนั้นไม่ไหวนะ" ท่านพ่อพูดขึ้น

     "ค่ะ ฉันก็คิดเช่นนั้น เพราะลูกมีพลังญาณทิพย์ตั้งแต่เด็ก ร่างกายเลยแบกรับไม่ไหว ทุกครั้งที่ญาณทิพย์ทำงาน เธอจะหมดสติทุกทีเลย" ท่านแม่พูดขึ้น

     "แต่ถ้าญาณทิพย์ทำงาน แต่ลูกเราไม่เข้าไปยุ่งก็คงไม่เป็นแบบนี้หรอก!" ท่านพ่อพูดด้วยน้ำเสียงโมโห

     "ทะ...ท่านพ่อค่ะ ยะ...อย่าพูดแบบนั้นค่ะ" ฉันค่อยๆพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ พร้อมกับเปลือกตาที่ค่อยๆ เปิดขึ้น

     "ลูก/เรโกะจัง เป็นอะไรมากไหมลูก!?" ท่านแม่และท่านพ่อพูดขึ้นพร้อมกัน

     "เรโกะไม่เป็นไรมากหรอกค่ะ" ฉันตอบกลับ

     "แล้วเด็กผู้ชายคนนั้นล่ะค่ะ ปลอดภัยไหม?" ฉันถามขึ้น เมื่อนึกได้

     "เขาปลอดภัย ฝากขอบคุณลูกด้วย แล้วเขาก็กลับเมืองไทยไปแล้ว" ท่านแม่พูดขึ้น

     "ท่านพ่อค่ะ ฟังหนูให้ดีนะค่ะ" ฉันพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังพลางกุมมือท่านพ่อไว้

     "..." ท่านพ่อนิ่งเงียบพลางมองมายังแววตาฉัน

     "หนูไม่สามารถปล่อยให้เด็กคนนั้น เอ่อ...ไม่สิ ต้องบอกว่าทุกคน ตายไปต่อหน้าต่อตาได้หรอกค่ะ ท่านพ่อ" ฉันพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจที่มาจากใจของฉัน

     "โดยเฉพาะการที่หนูรู้อยู่แก่ใจว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น มันยิ่งทำให้หนูต้องหาทางช่วยพวกเขาให้ได้ หนูไม่สามารถเมินเฉยต่อความตายของผู้คนตรงหน้าได้หรอกค่ะ" ฉันพูดพลางบีบมือผู้เป็นพ่อ

     "...." ท่านพ่อนิ่งเงียบมองมาที่ฉัน

     "เมื่อก่อนหนูคิดว่ามันคือ หน้าที่ของผู้เป็นมิโกะที่ได้รับพลังนี้มา แต่เมื่อหนูได้เห็นรอยยิ้ม และคำขอบคุณที่มาจากใจจริงของเด็กผู้ชายคนนั้น หนูกลับรู้สึกดีใจและมีความสุขที่ได้ช่วยเหลือผู้คน" ฉันพูดพลางนึกถึงรอยยิ้นของเขา

     "ฉะนั้น ท่านพ่อ โปรดให้หนูได้ทำในสิ่งที่หนูคิดว่ามันถูกต้อง และในสิ่งที่หนูมีความสุขด้วยเถอะค่ะ นะค่ะท่านพ่อ" ฉันพูดพลางบีบมือพ่อไว้

     "ตะ...แต่ว่า เรโกะลูกพ่อ ลูกอาจจะตายจริงๆ ก็ได้นะ หากยังคงทำเช่นนี้ต่อไป" พ่อพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเหมือนจะร้องไห้

     "ถึงหนูตายก็ไม่เป็นไรค่ะ ท่านพ่อ ถ้าหนึ่งชีวิตของหนูจะสามารถช่วยผู้คนได้เป็นร้อยเป็นพันชีวิต หนูก็ยินดีแลกค่ะ ท่านพ่อ" ฉันพูดพลางยิ้มอย่างจริงใจ

     "ฮื้ออออ ลูกพ่อ ลูกช่างเป็นคนที่แสนวิเศษจริงๆ ลูก" ท่านพ่อพูดพลางโอบกอดฉัน

     "โอ้ๆ ไม่ร้องนะค่ะ ท่านพ่อคนเก่ง คนดีของหนู" ฉันพูดพลางปลอบผู้เป็นบิดา

     "ฮึ้ก...แม่ดีใจจริงๆ ที่ลูกคิดได้แบบนี้ แม่ภูมิใจในตัวหนูมากเลยจ๊ะ เรโกะจังคนเก่งของแม่" แม่พูดขึ้นพลางปาดน้ำตา แล้วลูบหัวฉันอย่างอ่อนโยน

     ใช่แล้วล่ะ ฉันไม่ใช่มิโกะธรรมดาทั่วไป แต่เป็นมิโกะผู้มีพลังญาณทิพย์หยั่งรู้อนาคต เบื้องบนประทานพลังนี้มาพร้อมกับหน้าที่อันยิ่งใหญ่ให้ฉันช่วยเหลือผู้อื่น

     แต่ทว่า...การที่ฉันรู้อนาคตของคนๆ หนึ่งนั้นเท่ากับฉันได้รู้ชะตากรรมของเขาด้วยเช่นกัน และการที่ฉันยื่นมือเข้าไปแทรกแซงชะตากรรมของคนผู้นั้นเท่ากับว่าฉันได้ทำผิดกฏแห่งกรรมแล้ว

     อย่างไรก็ตาม ชะตากรรมก็คือชะตากรรม แน่นอนว่ามนุษย์ไม่สามารถหลีกหนีความตายไปได้ ฉันทำได้เพียงแค่ยื้อเวลาชีวิตของคนผู้นั้นให้ได้มีอายุขัยนานขึ้นเท่านั้นเอง แล้วท้ายที่สุดคนผู้นั้นก็ต้องพบเจอกับชะตากรรมของตนอยู่ดี

     การที่ฉันทำผิดกฏแห่งกรรม แน่นอนว่าฉันต้องได้รับการลงโทษอย่างสาสม! การยื้อเวลาชีวิตต่ออายุขัยให้ผู้อื่นต้องแลกมาด้วยการบั่นท่อนอายุขัยของฉัน

     ขณะเดียวกัน หากฉันเมินเฉยแสร้งทำเป็นไม่รู้ซะ ฉันก็จะเป็นเพียงแค่ผู้รู้ชะตากรรมเท่านั้น และไม่จำเป็นต้องถูกลงโทษใดๆ แต่...ฉันทำแบบนั้นไม่ได้จริงๆ ในฐานะมิโกะ เอ่อ...ไม่สิ ต้องบอกว่า ในฐานะมนุษย์ร่วมโลกคนหนึ่ง ฉันต้องช่วยเพราะฉันรู้แก่ใจดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น!

          ณ ประเทศไทย ศาลเจ้าโคโนเอะ สาขาย่อย

     "ฟูมิโกะ ฟูมิกะ ฝากดูคุณหนูด้วยนะ ฉันจะเข้างานพิธีในศาลเจ้าสาขาย่อย ตามประกบอย่าให้ห่างเลยนะ รู้ไหม?" แม่หันมาสั่งสาวใช้ฝาแฝดของตระกูลเรา ขณะที่ตอนนี้ เรากำลังอยู่ในลานจอดรถของศาลเจ้าโคโนเอะ สาขาใหญ่ประเทศไทย

     "รับทราบค่ะ! คุณผู้หญิง" สาวใช้ทั้งสองคนพูดพร้อมกัน พลางวิ่งมาประกบฉันซ้ายขวาตามแบบฟอร์มเดิม

     "พาคุณหนูในเล่นที่สวนสาธารณะก่อนก็ได้นะ เรโกะจังลูกพ่อ ไปเล่นที่สวนสาธารณะนะลูก" พ่อพูดกับสาวใช้ทั้งสองก่อนหันมาพูดกับฉันพลางลูบหัวฉัน

     "ค่ะ ท่านพ่อ" ฉันตอบกลับไปอย่างว่าง่าย

          ณ สวนสาธารณะ ใกล้ศาลเจ้าโคโนเอะ

     ตอนนี้ ฉันกำลังเดินเตร่ๆ ไปเรื่อยในสวนสาธารณะที่ใหญ่พอสมควร แถมร่มรื่นมากเลย สายลมอ่อนๆ พัดกลิ่นใบหญ้า ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาก

     "อะ...สนามเด็กเล่นหรอ!?" ฉันพูดขึ้น เมื่อเห็นสนามเด็กเล่นขนาดย่อมๆ ในสวนสาธารณะนี้ ก่อนจะเดินเข้าไปในสนามเด็กเล่นที่เต็มไปด้วยเครื่องเล่นต่างๆ มากมาย

     "ว้าวววว เรโกะจะเล่นอะไรก่อนดีน่า?/ว้าววว ฟ้าใสจะเล่นอะไรก่อนดีละเนี้ย?" ฉันพูดขึ้นพร้อมกับเสียงเด็กผู้หญิงพูดประโยดคล้ายฉันดังขึ้น แล้วเราก็หันหน้ามาสบตากัน

     เอ่ะ!! ทะ...ทำไมเด็กผู้หญิงคนนี้พูดเหมือนฉันเลยล่ะ!? แถมยังแต่งตัวคล้ายฉันอีก ชุดเดรสกระโปรงขาวต่างตรงสีลูกไม้ ฉันสีชมพูอ่อน เด็กนี้สีฟ้าอ่อน แถมกิ๊บติดผมนั้นอีก ฉันสีชมพูลายคิดตี้ เด็กนี้สีฟ้าอ่อนลายโดเรม่อน!! นี้มันแฝดกันชัดๆ เลยค่าาาา!? ฉันนึกในใจพลางมองเด็กผู้หญิงคนนี้ตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างอึ้งๆ ในความแฝดของเธอกับฉัน

          ขณธเดียวกัน มุมฟ้าใส

     เอิ่ม!....อะไรของยัยนี่เนี้ย!? เหมือนฉันทั้งคำพูดและการแต่งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าเลย ต่างกันแค่สีเท่านั้นเอง โอ้ยยยย! ขนลุกมากค่ะะะะ!! ฉันนึกในใจอย่างหัวเสียพลางขนลุกใปทั้งตัว

     "หนูเล่นอยู่คนเดียวได้ใช่ไหมจ๊ะ? ฟ้าใสลูกแม่" แม่ฉันพูดขึ้น

     "ได้ค่ะแม่ หนูเก่งจะตายไป ฮิฮิ" ฉันตอบกลับพลางยิ้มให้แม่ ก่อนจะชำเลืองไปที่เด็กคนนั้น

     "งั้นแม่ไปธุระก่อนนะ ถ้ามีอะไรก็โทรหาแม่ทันทีเลยนะ กด 1 ค้างไว้ เข้าใจใช่ไหมจ๊ะ?" แม่พูดพลางส่งมือถือให้ฉัน

     "ค่ะๆ เข้าใจแล้วค่ะ" ฉันตอบกลับพลางรับมือถือมาเก็บไว้ที่กระเป๋าสะพาย

     จากนั้น คุณแม่ก็เดินออกจากสนามเด็กเล่นไป คุณแม่บอกว่ามีธุระที่ศาลเจ้าญี่ปุ่นแถวๆ นี้ และอาจจะนานเลยกลัวว่าฉันจะเบื่อและงอแงเลยให้มาเล่นที่นี้รอไปก่อน

     "เห็นฉันเป็นเด็ก 5 ขวบหรอไง? แม่นะแม่" ฉันบ่นพึมพำคนเดียว พลางมองหาว่าจะทำอะไรต่อไปดี เพื่อฆ่าเวลา

     "เล่นชืงช้าล่ะกัน ฮิฮิ" ฉันพูดพลางเดินตรงไปที่ชืงช้าในสนามเด็กเล่น

     "อ่ะ / เอ๋" ฉันร้องขึ้นมาพร้อมกันเสียงเด็กผู้หญิงดังขึ้น ก่อนจะหันไปหาเด็กที่คล้ายฉันมากคนนั้น

     "นี่! ฉันจับก่อนนะ!!" ฉันพูดออกไปเสียงดัง ก็ฉันจับก่อนจริงๆ นิ

     "อะ...เออ ถ้าเช่นนั้นก็เชิญเล่นเถอะค่ะ ดิฉันขอประทานอภัยด้วยค่ะ" เด็กผู้หญิงคนนั้นพูดจาแปลกๆ เหมือนหลุดออกมาจากนิยามแนวคุณหนูยุคโบราณ พลางก้มโค้งต่ำมากท่อนบนราบขนานกับพื้นพอดีเปะ แล้วเอามือทั้งสองข้างประสานที่หน้าท้องของตัวเอง

     "อะ...เอิ่บ! ขะ...ขอบใจนะ" ฉันตอบไปอย่างอึ้งๆ กับท่าท่างที่งดงามดุจคุณหนูตระกูลชั้นสูงนั้น

          ขณะเดียวกัน มุมเรโกะ

     โอ๊ย!! น่าหงุดหงิดจริงๆ เลยให้ตายเถอะ!! ฉันจับก่อนชัดๆ ยัยเด็กแฝดของฉันนี่น่าหมั่นไส้จริงๆ ถ้าฟูมิโกะกับฟูมิกะไม่อยู่ค่อยจับตาดูฉันล่ะก็ มีไฟท์แน่นอน พูดเลย! ฉันนึกในใจ พลางเดินไปหาอย่างอื่นทำแทน

     "งั้นเล่นม้าหมุนก็ได้" ฉันพูดพึมพำกับตัวเอง ขณะชำเลืองไปมองเด็กแฝดของฉันที่กำลังเล่นชิงช้าอย่างสนุกสนามแบบไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ชิงช้าที่ถูกแกว่งขึ้นสูงพร้อมกับเสียง เอี๊ยดอ็าด ของมันทำให้ฉันอยากวิ่งเข้าไปเล่นบ้าง T_T

     "ฟูมิโกะ ฟูมิกะ ช่วยหมุนม้าหมุนให้ฉันทีซิ" ฉันพูด หลังจากขึ้นไปอยู่บนม้าหมุน

     "รับทราบค่ะ คุณหนู!!" สาวใช้ฝาแฝดตอบรับพร้อมกัน พลางวิ่งมาหมุนม้าหมุนให้ฉัน

     "ฮ่าฮ่าฮ่า เร็วอีกๆๆ" ฉันหัวเราะร่าพลางสั่งสาวใช้ทั้งสอง ฮิฮิ ม้าหมุนก็ไม่ได้แย่นะ!

          ขณะเดียวกัน มุมฟ้าใส

     หน่อยยยย!! ยัยนั้นมีสาวใช้ช่วยหมุนด้วยยยย น่าหมั่นใส้สุดๆ ฉันจะยอมไม่ได้! ณ จุดนี้ ต้องสู้ตายค่ะ!! ฉันนึกในใจ พลางแกว่งชิงช้าให้สูงขึ้นไปอีก ซึ่งอีกนิดมันจะตีลังกาได้ล่ะ ฮ่าฮ่า 

     "ฮ่าฮ่าฮ่า สูงอีกๆๆๆ / เอี๊ยดอ๊าดๆๆๆ" เสียงฉันหัวเราะร่าดังขึ้น แน่นอนฉันตั้งใจหัวเราะเสียงดังเองล่ะ หึหึ ดังขึ้นพร้อมๆ เสียงชิงช้า ก่อนจะหันไปมองเด็กผู้หญิงที่คล้ายฉันคนนั้น ด้วยสายตาเย้ยๆ

          ขณะเดียวกัน มุมเรโกะ

     นี่!! ยัยเด็กแฝดนั้นตั้งใจข่มฉันใช่ไหมมมม!? ดูๆ ดูยัยนั้นมองมา โอ๊ย จี๊ดค่ะ พูดเลยยย!! ฉันนึกในใจ พลางมองไปที่เด็กแฝดของฉัน ขณธที่ม้าหลุดก็กำลังหมุนวนอยู่อย่างนั้น

     "ฟูมิโกะ ฟูมิกะ แรงกว่านี้อีก เธอมีสองคนนะ อย่าไปยอมซิ!!" ฉันสั่งสาวใช้ทั้งสองพลางเหล่ไปที่เด็กนั้น

     "จัดให้ค่ะ คุณหนู!! จับแน่นๆ นะค่ะ" สาวใช้ฝาแฝดตอบรับ พลางเพิ่มความแรงไปอีกระดับ

     "โฮะโฮะโฮะ สนุกจังเลยยยย @_@" ฉันหัวเราะเสียงดัง แน่นอนล่ะว่า ฉันตั้งใจเสียงดัง

     และทันใดนั้นก็ปรากฏภาพเหตุการณ์หนึ่งขึ้นในหัวของฉัน ขณะที่ม้าหมุนก๋ยังคงหมุนวนไปแบบนั้น ในเหตุการณ์นั้น ชิงช้าที่เด็กผู้หญิงคนนั้นเล่นอยู่มันเกิดล้มคว่ำลงมาทับตัวเด็กคนนั้น ดูจากความแรงของชิงช้าแล้วเด็กคนนั้นไม่น่ารอดแน่นอน

     "อึ๊ก....เดียวๆๆ!! หยุดก่อนทั้งสองคน" ฉันหันไปสั่งสาวใช้ทั้งสองให้หยุดหมุนก่อน

     "เอ่ะ!? ทำไมล่ะค่ะ? คุณหนู หรือว่าไม่ไหวแล้ว? ฮิฮิ" ฟูมิโกะพูดขึ้นพลางหัวเราะคิก

     "ไม่ใช่ยะ ว่าแต่เธอหัวเราะอะไรย่ะ!?" ฉันตอบกลับ พลางลงจากม้าหมุน

     "ถ้างั้นมีอะไรหรอค่ะ?" ฟูมิกะถามขึ้นบ้าง

     "ญาณทิพย์ทำงานนะสิ ตามฉันมา" ฉันพูดพลางวิ่งไปที่ชิงช้า ขณะที่เด็กผู้หญิงคนนั้นกำลังมองมาที่ฉันอย่างงงๆ

     "หยุดชิงช้าเดียวนี้นะ!!" ฉันตะโกนบอกให้เด็กผู้หญิงคนนั้นหยุดก่อน

     "เรื่องอะไรฉันต้องหยุดล่ะ ห่ะ!? อยากเล่นหรอ?" เด็กนั้นถามกลับด้วยสีหน้ากวนประสาท

     "ฉันบอกให้หยุดเดียวนี้!! ไม่งั้นเธออาจตายได้นะ นี่!!" ฉันตะโกนกลับไป

     "เอ๊ียดอ๊าดๆ" เสียงชิงช้ายังคงดังขึ้นต่อเนื่อง ไม่มีที่ท่าว่าจะเบาลงเลย

     "หะ...ห่ะ!? นี่! อยากเล่นถึงขนาดจะฆ่าฉันเลยหรอ!? เธอบ้าหรือเปล่าเนี้ย? ถามจริง!?" ยัยเด็กแฝดของฉันพูดขึ้นพลางทำหน้าอึ้งๆ

     "เเกร๊ง" เสียงอะไรบางอย่างจากฐานของชิงช้า

      ยะ...แย่แล้ว!! น็อคหลุดหมดแล้ววววว!! โธ่เว้ย!!! ไม่ทันแน่เลย เป็นไงเป็นกัน!? ฉันนึกในใจพลางมองที่ฐานชิงช้าสลับกับเด็กคนนั้น ก่อนจะวิ่งไปที่ที่นั่งของชิงช้าที่เด็กคนนั้นกำลังแกว่งอยู่

      "หยุดดดดด!! โอ๊ย! / วะ...ว้าย อะไรเนี้ย!?" ฉันเอาตัวเข้าไปรับชิงช้าที่กำลังแกว่งถอยหลังเพื่อให้มันหลุดแกว่ง เพราะหากมันแกว่งขึ้นไปอีกรอบล่ะก็ จบไม่สวยแน่เรื่องนี้! ขณะที่เด็กคนนั้นร้องขึ้นด้วยความตกใจ

          ขณะเดียวกัน มุมฟ้าใส

     "นี่! เธอทำบ้าอะ...." ฉันหันไปโวยวายยัยเด็กนั้น พลางเหลือบไปเห็นแผลถลอกที่มือของเธอ

     "เฮ่อออ...ค่อยยังชั่ว! ทันเวลาพอดีเลย" เด็กคนนั้นพูดพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วส่งยิ้มมาให้ฉัน

     "นะ...นี่มันอะไรกัน? แล้วมือเธอ?" ฉันถามขึ้นอย่างงงๆ พลางมองไปที่มือเด็กคนนั้น

     "อ่อ แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก แค่เธอปลอดภัยฉันก็โอเคแล้ว ฮิฮิ" เด็กคนนั้นพูดขึ้น พลางส่งยิ้มจริงใจมาให้ฉัน

     "ว่าแต่...ทำไมเข้ามาขวางชิงช้าฉันละ? ทำไมต้องยอมเจ๊บตัวขนาดนี้ล่ะ? อยากเล่นชิงช้าขนาดนั้นเลยหรอ?" ฉันถามอย่างไม่เข้าใจเด็กคนนี้เลยจริงๆ

     "เปล่าหรอกค่ะ ดูนี้สิ น็อตมันหลุดหมดแล้ว ฉันถึงบอกให้เธอหยุดก่อนไง" เด็กคนนั้นพูดพลางชี้ไปที่ฐานของชิงช้าที่ตอนนี้ไม่มีน็อตยึดติดกับพื้นเลย แถมมันยังลอยขึ้นจากพื้นด้วย

     อะ...เอิ่บ! ไม่อยากคิดเลยว่า ถ้าฉันแกว่งต่อไปจะเป็นไง!? ว่าแต่ยัยนี้รู้ให้ไงล่ะ!? เห็นจากบนม้าหมุนที่กำลังหมุนเนี้ยนะ? ไม่น่าใช่นะ!? ฉันนึกในใจ พลางมองไปที่ฐานชิงช้าสลับกับเด็กคนนั้น

     "ขอบคุณมากเลยจริงๆ ไม่ได้เธอ ฉันคงแย่แน่ๆ แล้วก็ขอโทษด้วยที่เข้าใจเธอผิดไป" ฉันพูดขอบคุณจากใจจริงพลางจับมือที่ถลอกของเด็กคนนั้น

     "ว่าแต่ทั้งๆ ที่ฉันทำไม่ดีกับเธอแบบนั้น ทำไมยังช่วยฉันอีกล่ะ? แถมยังมาเจ๊บตัวเพราะฉันอีก" ฉันถามพลางหยิบสำลีแผ่นชุบแอลกอฮอล์ในกระเป๋าสะพาน

     "การที่จะช่วยชีวิตใครสักคนมันไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลใดๆ หรอก จริงไหม? ฮิฮิ" เด็กผู้หญิงวัยเดียวกับฉันพูดขึ้น เธอพูดในสิ่งที่ฉันไม่เคยคิดมาก่อนในชีวิตนี้

     "...." ฉันได้แต่นิ่งเงียบ เพราะพูดอะไรไม่ออกเลยกับจิตใจที่สูงส่งของเธอคนนี้ พลางหยิบพาสเตอร์ปิดแผลขึ้นมา

          ขณะเดียวกัน มุมเรโกะ

     โอ๊ยยยย! อาการของบทลงโทษการฝืนกฏแห่งกรรมมันมาอีกแล้ว ปวดหัวเหมือนจะระเบิดออกมาให้ได้ ฉันจะหมดสติไปแบบนี้ไม่ได้นะ!! ฉันยังอยากรู้จักเด็กคนนี้อีกนิด ฉันรู้สึกได้ว่า เธอคนนี้จะสามารถเป็นเพื่อนที่ดีของฉันได้แน่นอน!! ฉันนึกในใจ พลางมองไปที่เด็กแฝดของฉัน ขณะที่เธอกำลังปิดพาสเตอร์ยาให้ฉัน

     ไม่ไหวแล้ว!! ถ้าชะตาเราต้องกัน ขอให้เราได้มาเจอกันอีก ฉันมั่นใจเลยว่า ถึงตอนนั้น เราคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้แน่ ฉันนึกในใจ พลางกุมศรีษะไว้แน่น

     "ว่าแต่ เธอชื่ออะไรหรอ ฉัน.../ พรึ่บ!!" เสียงเด็กคนนั้นพูดขึ้น พร้อมๆ กับเสียงฉันล้มลงและหมดสติไป

     ในที่สุด ฉันก็พยุงสติของตัวเองไม่อยู่จนล้มลงไปกองกับพื้น และทันทีที่เด็กคนนั้นเข้ามาประคองฉันไว้ ภาพเหตุการณ์หนึ่งก็ได้แวบขึ้นมาในหัวฉัน เป็นภาพเหตุการณ์ของนักเรียนวัย ม.ปลาย 3 คน เดินชนกันหน้าลานน้ำพุแห่งหนึ่ง!?

5 ปีต่อมา

          ณ ประเทศไทย ศาลเจ้าโคโนเอะ สาขาหลักของไทย

     "เสร็จหรือยังจ๊ะ? เรโกะจัง เดียวไปโรงเรียนวันแรกสายน่ะ" ท่านแม่ถามฉันในขณะที่ฉันกำลังใส่รองเท้านักเรียนอยู่

     "ใกล้แล้วค่ะ ขออภัยด้วยค่ะท่านแม่ พอดีหนูไม่ค่อยชินกับเครื่องแบบนักเรียนเลย ใช้เวลานานไปหน่อยค่ะ" ฉันพูดพลางเดินออกจากเรือนใหญ่ของศาลเจ้า เพื่อมุ่งหน้าไปลานจอดรถ

     "เป็นเช่นไรบ้างค่ะ? ท่านแม่ หนูถูกระเบียบตามกฏโรงเรียนไหมค่ะ?" ฉันพูดพลางหมุนตัวให้ท่านแม่ดู

     "ดีมากจ๊ะ เรโกะจังลูกแม่ อย่าทำให้เสียชื่อเสียงตระกูลมิโกะที่เก่าแก่ของเราเด็ดขาด เข้าใจใช่ไหม?" ท่านแม่พูดพลางเดินมาลูบหัวฉัน

     "ค่ะ ท่านแม่หนูจะพยายามค่ะ" ฉันตอบกลับพลางก้มโค้งตามแบบแผนมารยาทที่ถูกต้องของชาวญี่ปุ่น

     จากนั้น เราสองแม่ลูกได้เดินไปยังลานจอดรถของศาลเจ้า และขึ้นรถมุ่งหน้าไปที่โรงเรียนใหม่ของฉันในวัย ม.ปลาย ที่เมืองไทย ประเทศบ้านเกิดของท่านพ่อฉัน ที่ฉันอยากมาอยู่นานแล้ว

     ท่านพ่อค่ะ ตอนนี้หนูได้มาอาศัยอยู่ที่เมืองไทย บ้านเกิดของท่านพ่อแล้ว แถมยังได้เรียนที่โรงเรียน ม. ปลาย ที่เมืองไทยด้วย หากท่านพ่อมองดูหนูอยู่จากเบื้องบนก็โปรดอวยพรให้หนูได้เจอเพื่อนที่ดีๆ และมีชีวิตวัย ม.ปลาย ที่แสนสุขด้วยเถอะค่ะ ท่านพ่อ ฉันนึกในใจพลางเหม่อมองไปบนท้องนภา ขณะที่ฉันกำลังนั่งรถไปโรงเรียนกับท่านแม่

     ใช่แล้วค่ะ ตอนนี้ ฉันเติบโตขึ้นมากแล้ว ฉันผ่านเรื่องราวต่างๆ มามากมาย ทั้งการสุญเสียท่านพ่อไป แล้วท่านแม่แต่งงานใหม่เพื่อค้ำจุนศาลเจ้าของเราไว้ ฉันไม่เคยโกรธท่านแม่เลยที่ทำแบบนั้น เพราะฉันเข้าใจดีค่ะ ว่าท่านแม่ทำเพื่อศาลเจ้าของตระกูลที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน รวมถึงทำเพื่อฉันด้วย และครอบครัวของพ่อเลี้ยงก็นิสัยดีกับพวกเรามาโดยตลอด

     จนในที่สุดพวกเราก็ตัดสินใจย้ายมาอาศัยอยู่ที่เมืองไทย เพื่อมาดูแลศาลเจ้าสาขาหลักของที่นี่ และเพื่อความสะดวกของธุรกิจของทางครอบครัวพ่อเลี้ยงด้วย ซึ่งแน่นอนล่ะว่า ฉันดีใจมากที่จะได้เรียนที่นี่ ฮิฮิ

          ณ โรงเรียน ประตูทิศใต้

     "ขออภัยด้วยคับ คุณผู้หญิง ทางโรงเรียนห้ามมิให้นำรถยนต์ส่วนบุคคลเข้ามาในเขตโรงเรียนคับ หากต้องการจะส่งบุตรสาวของท่าน รบกวนจอดรถที่ลานจอดรถหน้าโรงเรียน แล้วเดินเท้าเข้ามาส่งได้คับ" คุณลุงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพูดอธิบายกับท่านแม่ของฉัน ขณะที่เรากำลังจะเข้าประตูโรงเรียน

     "อ่อ ค่ะ" ท่านแม่ตอบกลับ

     "ท่านแม่ค่ะ ถ้าเช่นนั้นให้หนูลงตรงนี้ แล้วเดินเข้าโรงเรียนเถอะค่ะ ดูซิค่ะ นักเรียนคนอื่นๆ ก็ทำเช่นเดียวกัน" ฉันหันไปบอกกับท่านแม่ ก่อนจะชี้ไปที่นักเรียนคนอื่นๆ ที่กำลังเดินอยู่ริมทางฟุตบาทข้างๆ สวนสาธารณะของโรงเรียน

     "เอาอย่างนั้นก็ได้จ๊ะ ว่าแต่ให้แม่เดินไปส่งที่อาคารเรียนไหม? โรงเรียนค่อนข้างกว้าง แม่กลัวเรโกะจังจะหลงทาง" ท่านแม่พูด ก่อนหันมาถามฉันด้วยสีหน้าเป็นห่วง

     "มิเป็นไรค่ะ ท่านแม่ เรโกะมีนี่อยู่ ฮิฮิ" ฉันพูดพลางชูหนังสือแนะนำโรงเรียนที่มีแผนผังของโรงเรียนอยู่

     "ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจนะจ๊ะ เดินระวังทางด้วยนะ ลูก" ท่านแมพูดขึ้น

     "ค่ะ---- ท่านแม่ แล้วเจอกันตอนเย็นนะค่ะ หนูจะรีบกลับไปช่วยงานที่ศาลเจ้าค่ะ" ฉันบอกลาท่านแม่ ก่อนจะทำความเคารพตามแบบแผนธรรมเนียมของผู้ดีเก่า

          ณ ทางเดินในโรงเรียนทางทิศใต้

     อื้มมมม ชั้นเรียน ม.4 อยู่ในอาคาร 3 แล้วอาคาร 3 อยู่ไหนล่ะเนี้ยยยย!? นี่โรงเรียนหรือเขาวงกต? จะซับซ้อนซ่อนเงื่อนไปถึงไหนค่ะ!? @_@ ฉันนึกในใจพลางเดินก้มหน้ามองแผนผังโรงเรียน ฉันขอสารภาพเลยว่า ฉันไม่ถูกโฉลกกับพวกแผนทีี่แผนผังเท่าไรนัก

          ณ ลานน้ำพุใจกลางโรงเรียน

     "อ่ะ! นั้นสินะ ลานน้ำพุของโรงเรียน ว้าววว! สวยงามอหังการมาก" (นักเขียน : แกพูดผิดอีกแล้วนะ อลังการ ไม่ใช่ อหังการ 555+ แก้ให้นางก่อน) ฉันเงยหน้าละสายตาจากแผนผังขึ้นมามองลานน้ำพุ รูปสลักผู้หญิงท่านหนึ่งที่ยืนถือสมุดอะไรบางอย่าง ดูเด่นเป็นสง่ามาก น้ำพุที่พวยพุ่งรอบๆ รูปสลักมีประมาณ 8 จุด และทั้ง 4 ทิศจะมีรูปสลักเทพธิดาอยู่ด้วย ซึ่งรูปสลักเหล่านี้น่าจะทำจากหินอ่อนอย่างดี

     "เอ๋---- จากจุดนี้อาคาร 3 ต้อง...." ฉันพึมพำกับตัวเองพลางก้มหน้าดูแผนผัง โดยเริ่มจากลานน้ำพุก่อน แต่ทว่า ยังไม่ทันจบประโยคดี ฉันก็ชนเข้ากับอะไรบางอย่างแบบจังๆ

     "ตุ่บ ว้าย!/ตุ้บ อ้าย!/ตุ่บ อ้ากกกกก!!!" เสียงอะไรบางอย่างตกลงสู่เบี่ยงล่างพร้อมกับเสียงของคน 3 คน ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง

     "วะ...ว้าย! ขอโทษค่ะ ดิฉันระวังไม่ทัน!?" ฉันพูดขอโทษอย่างลุกลี้ลุกลนจนเรียบเรียงประโยคผิดๆ ถูกๆ ก่อนจะก้มหัวต่ำขอโทษทั้งสองคน

     "ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเองก็มัวแต่ก้มหน้าก้มตาเดิน ไม่มองทางเอง" นักเรียนหญิงผมหางม้า หน้าตาสวยและดูคล้ายฉันมาก พูดขึ้นพลางก้มหัวขอโทษฉันและอีกคนหนึ่ง

     โอ้โห้ เธอคนนี้สวยมากเลย ผมสีดำเงางามที่ถูกมัดรวบตึงไปเป็นทรงหางม้าที่แสนเรียบร้อยแต่ดูทะมักทะแม่ง กับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกลมโต เข้ากันได้ดีกับจมูกที่เล็กได้รูป และริมฝีปากอวบอิ่มนั้น ซึ่งก็ดูคล้ายกับฉันอยู่เหมือนกันนะ แถมคุ้นๆ กับความรู้สึกแบบนี้ เหมือนเคยเจอมาก่อน ฉันนึกในใจพลางมองหน้านักเรียนหญิงคนนั้น

     "นี่!! พวกเธอเดินประสาอะไร!? เอาตาไปไว้ไหนห่ะ!? แถมทำหนังสือตกใส่ทีนฉันทั้งคู่เลย อยากตายหรอ ห่ะ!?" นักเรียนชาย ผู้ที่ฉันเดินชนอีกคนพูดขึ้นอย่างโมโห

     "ขะ...ขอโทษจริงๆ ค่ะ T_T" ฉันก้มขอโทษไปยกใหญ่ พลางก้มลงหยิบหนังสือแนะนำโรงเรียน

     "อ่ะ! / เอ่ะ! / เห้ย!" เสียงของพวกเราทั้งสามคนดังขึ้น หลังจากที่ฉันรวมถึงพวกเขาทั้งสองคนก้มลงหยิบหนังสือพร้อมๆ กัน จึงทำให้ศรีษะของพวกเราสามคนชนกันเข้าอย่างจัง!! 

     และทันใดนั้นเอง ภาพความทรงจำก็ลอยแวบเข้ามาในหัวของฉัน ในตอนนั้นที่ฉันได้ช่วยเด็กผู้หญิงในเมืองไทยที่สนามเด็กเล่น ก่อนที่ฉันจะหมดสติไป ญาณทิพย์ได้ทำงานปรากฏภาพเหตุการณ์หนึ่งขึ้น และนั้นก็คือเหตุการณ์นี้นี่เอง

     นอกจากนั้น ยังมีอีกภาพความทรงจำที่ปรากฏขึ้นมา เป็นเหตุการณ์ที่ฉันได้ช่วยเด็กผู้ชายที่หน้าอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ในญี่ปุ่น

     "นะ...นี่หรือว่า? พวกเธอสองคนจะเป็น...." ฉันพึมพำกับตัวเองด้วยเสียงที่เบามาก ก่อนจะหยุดพูดไป เพราะนึกขึ้นได้ว่า ห้ามมิให้ใครรู้เรื่องพลังญาณทิพย์ของฉันเด็ดขาด หากมีคนรู้เรื่องนี้จะแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว และฉันก็จะต้องพบเจอกับชะตากรรมแบบเดิมๆ เหมือนตอน ม.ต้น อีกเป็นแน่!?

     "ขะ...ขอตัวก่อนนะค่ะ" ฉันพูด ก่อนจะก้มหัวขอลา แล้วรีบเดินออกจากบริเวณนั้นอย่างไว

     กะ...เกือบความแตกตั้งแต่เข้าเรียนวันแรกเลยฉัน T_T แต่ฉันมั่นใจว่า สองคนนั้นเป็นเด็กที่ฉันตามหามาตลอดไม่ผิดตัวแน่ๆ ฉันนึกในใจพลางเดินดูแผนผังต่อ

     คนหนึ่ง ทำให้ฉันได้เรียนรู้ว่า การช่วยเหลือผู้คนนั้น มันมีความสุขเพียงใด แค่ได้เห็นรอยยิ้มดีใจของเด็กคนนั้น ฉันขอมีความสุขที่ได้ช่วยเขาแล้ว

     ส่วนอีกคน ทำให้ฉันได้รู้ว่า การช่วยเหลือคนนั้น ไม่ว่าคนๆ นั้นจะปฏิบัติต่อเราเช่นใด มันมิใช่เรื่องสำคัญเลย ขอแค่ฉันได้ช่วยเธอไว้ และได้เห็นรอยยิ้ม ได้ยินคำพูด และได้ดูการกระทำของเธอ ฉันก็สุขใจแล้ว

     และฉันเชื่อว่าต่อไปในอนาคตข้างหน้า พวกเราสามคนจะต้องเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้อย่างแน่นอน เพราะฉันรอคอยที่จะเป็นเพื่อนกับพวกเขามานานแล้ว ฮิฮิ ฉันนึกในใจพลางเดินเข้าอาคาร 3 (ช่วยยินดีกับฉันทีค่ะ ที่ไม่หลงทางซะก่อน 555+)

     วันนี้เป็นวันแรกที่ฉันได้พบกับพวกเขาทั้งสองคนอีกครั้ง เพื่อนสนิทที่ฉันรอคอยมาโดยตลอด

     และวันนี้เป็นวันแรกที่ฉันจะได้ใช้ชิวิตวัย ม.ปลาย ในเมืองไทยที่ฉันรอคอยมานาน

 ....จบภาคเสริม มิโกะแห่งชั้น ม.4 ตอนที่ 1....

โปรดติดตาม ตอนที่ 2 

และเตรียมพบกับ เรื่องหลักตอนที่ 7

“นักเรียนใหม่ ผู้กุมความลับทุกอย่่าง”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา