เมื่อคิมหันต์มาเยือน

9.0

เขียนโดย ตะวันอัศวิน

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 22.31 น.

  25 ตอน
  0 วิจารณ์
  8,828 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 00.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

16) เก็บความทรงจำ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

กลางดึกคืนนั้นผมออกมายืนที่ระเบียงห้องนอน สายตาเหม่อมองไปยังความมืดสลัวเบื้องหน้าภายใต้แสงจันทร์ซีดจาง น้ำค้างเย็นยามตีสามจับเกาะผิวกายจนตัวสั่น แต่ผมกลับเมินเฉยเพราะอยากซึมซับความรู้สึกไว้ทุกอณู

คิมหันต์นอนหลับไม่รู้เรื่อง มีเสียงหายใจและเสียงกรนแผ่วเบาดังออกมา ผมมองไปที่ร่างเหยียดยาวบนเตียงและยิ้มกับตัวเอง เป็นรอยยิ้มที่แฝงทั้งความสุขและความเศร้า

เพราะไม่ว่าขณะยืนอยู่ตรงนี้ หรือเป็นตัวผมจากอนาคตมองย้อนกลับมา ทว่าเราจากทั้งสองช่วงเวลาก็ยังคงไม่อยากเชื่อเลยว่าได้หัวใจนักกีฬาสุดเก่งมาครอบครอง

ผมก็แค่เด็กหนุ่มหน้ามนธรรมดา สวมแว่นตาเฉย ๆ และมีความคิดแปลก ๆ  แถมรูปร่างก็ไม่ได้ดีจนเป็นที่น่าสะดุดตาของใคร ๆ  แล้วอะไรทำให้คนสมบูรณ์แบบอย่างคิมหันต์ตกหลุมรักผมกันเล่า

เขาบอกว่าชอบผมอยู่แต่แรกแล้ว ก็เหมือนกับที่ผมชอบเขานั่นแหละ แต่ก็ออกจะเน้นอยู่สักหน่อยว่าชอบความเป็นตัวผมที่สุด

“นายเป็นคนดี นิสัยดี และที่สำคัญ…น่ารักดี”

คิมหันต์บอกหลังจากผมเอ่ยถาม ขณะเรากำลังเดินเล่นในสวนหน้าบ้านตอนเย็นวันหนึ่ง ผมหยุดยืนนิ่งอยู่กับที่เพราะคำตอบนั้น ความรู้สึกมากมายบ่าไหลเข้ามาในหัวใจ และแน่นอนว่ามันทำให้ผมยิ้มแป้นจนแทบม้วนตัว

“นายคิดถึงคนอื่นก่อนเสมอ ขนาดชลเทพนิสัยเป็นแบบนั้นนายยังไม่ถือสาหาความมันเลย ซึ่งมันมีความหมายกับเรามากเลยรู้ไหม” เขาลูบหัวผมและยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “เราอยากให้มีคนแบบนายซักล้านคนบนโลกนี้ โลกต้องการคนแบบนาย แต่…จะมีคนที่ชื่อนิรันดร์ หทัยรักษ์แค่คนเดียวเท่านั้นที่เราอยากให้อยู่เคียงข้างเสมอ...”

จวบจนตอนนี้ก็ยังคงเป็นปริศนาว่าผมเอาชีวิตรอดจากคำพูดเหล่านั้นมาได้อย่างไร ผมน่าจะตายหรือไม่ก็เมาหัวทิ่มเพียงแค่ยืนฟังเฉย ๆ  ซึ่งก็พอ ๆ กับที่สงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไรที่ผมได้นอนกับเขา ที่ใจเราตรงกัน และเป็นไปได้อย่างไรที่สวรรค์อนุญาตให้เราจูบกันใต้ชายคาแห่งนี้ ทุกอย่างดูราบรื่นน่าเหลือเชื่อไปหมดจนทำให้ผมกลัว

เพราะว่ามันดีมากเกินกว่าที่จะเป็นความจริงในสายตาของผม และต่อให้มันเกิดขึ้นแล้วจริง ๆ ก็ตาม แต่ความรู้สึกเหล่านี้จะคงอยู่ได้ตราบนานเท่าใดกัน

ผมมองออกไปยังหลังคาเรือนดำมืดเบื้องหน้าอีกครั้ง

“…หรือบางทีเราอาจหนีไปด้วยกัน…ที่ไหนก็ได้สักแห่ง…”

                ประโยคนี้ที่มาจากคิมหันต์ยิ่งตอกย้ำความคิดดั้งเดิมของผม

มันจะเป็นไปได้หรือเปล่านะ? ฟังดูเหมือนละครน้ำเน่าเสียไม่มี ที่พระเอกกับนางเอกจับมือกันหลบหนี ช่วยกันทำมาหากินเพื่อสร้างครอบครัวลับ ๆ  และอาจย้ายไปที่อื่นหากเริ่มรู้สึกเหมือนถูกจับตามอง แต่อย่างน้อยก็ห่างไกลจากปัญหาและเรื่องวุ่นวายที่คอยบีบคั้นหัวใจ

ผมหัวเราะหึในลำคอขณะวาดภาพตัวเองกำลังเกี่ยวข้าวอยู่ในนา เก็บผลไม้อยู่ในสวนบนภูเขา และบางวันก็เอาห่อข้าวไปส่งให้คิมหันต์ที่ทุ่งอีกฟากเพราะเขาลืมมันไว้ที่บ้าน และไม่ลืมที่จะกระซิบบอกเขาให้รีบกลับมาทานมื้อเย็น ซึ่งรับรองว่ามีมากกว่าแค่อาหารน่าเบื่อบนโต๊ะแน่นอน

ช่างดูเป็นความฝันมากเลยใช่ไหมล่ะ นั่นแหละคือความคิดของคนไม่มีที่ไปอย่างผม ไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีใครให้ความช่วยเหลือเจือจุน ผมรู้ว่าคุณพ่ออรรถพลกับบรรดาพี่เลี้ยงบางคนอาจช่วยได้ แต่คงไม่ใช่สำหรับเรื่องนี้ เพราะนี่คือความลับระหว่างผมกับเขา

แต่ทำไมความคิดบ้า ๆ นี่ยิ่งทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้น รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่ง่ายและปลายทางของเราอาจจบลงด้วยการเป็นขอทาน แต่มันก็ทำให้ผมอยากเข้าไปเขย่าปลุกคิมหันต์ให้ตื่นขึ้นมาฟังสิ่งที่อยู่ในหัว พูดให้เขาเชื่อมั่นว่าเราทำได้ ผมจะทิ้งพระเจ้าและทุกสิ่งที่มีอยู่น้อยนิดไว้เบื้องหลัง ขอเพียงแค่คิมหันต์ตอบรับและมากับผม และผมจะโอบกอดเขาไว้หลังจากขึ้นมานั่งบนรถไฟที่เราต่างก็ไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางคือที่ใด

ผมเดินมานั่งลงที่ขอบเตียง เฝ้ามองแผ่นอกของเขาพองขึ้นลงสักพัก ก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งออกไปเพื่อจะเขย่าไหล่หนา แต่แล้วก็หยุดค้างกลางอากาศเมื่อมีความคิดอื่นแทรกเข้ามา

นี่ผมเสียสติไปแล้วหรือ? ผมคิดดีแล้วใช่ไหม?

ผมกำมือที่ค้างอยู่กลางอากาศแน่น

ผมเป็นใครกันที่คิดจะพรากเขาไปจากพ่อแม่ บางทีคิมหันต์อาจไม่ว่าอะไร แต่ผมจะพาลูกชายของคุณหมอผู้เกิดมาพร้อมฐานะ ชาติตระกูลและความสามารถไปทำอะไรในชนบท ซึ่งผมมั่นใจว่าที่นั่นไม่มีอะไรถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเขาสักอย่าง และผมคงเห็นแก่ตัวมากที่เก็บเขาไว้ในมุมลับไม่ให้ฉายแสงโดดเด่น

ยิ่งคิดก็ยิ่งทรมาน

“อืม...รัน...ทำไมมานั่งตรงนี้” คิมหันต์ขยี้ตาเมื่อรู้สึกตัวตื่น เขาขยับตัวในเงามืด แล้วจึงนั่งเอาหลังพิงหัวเตียง

“นอนไม่หลับน่ะ” ผมบอก “ขอโทษที่ทำให้ตื่น นายนอนต่อเถอะ”

เขาเอื้อมมือไปเปิดสวิตช์โคมไฟบนโต๊ะเล็กข้างเตียง แสงไฟสีเหลืองนวลแผ่รัศมีสว่างทั่วห้อง กระทบใบหน้าของเราซึ่งตอนนี้ดูซีดเซียว

“มานั่งนี่สิ” คิมหันต์ตบเบา ๆ ตรงที่ว่างข้างกาย

ผมทำตามอย่างว่าง่าย แล้วเขาก็วาดวงแขนมาโอบไหล่ผมไว้ สายตามองไปยังปลายเท้าของเราที่กำลังคลอเคลียกัน

“เป็นเพราะเรื่องที่คุยเมื่อตอนเย็นใช่ไหมทำให้นายนอนไม่หลับ”

ผมพยักหน้า

“ใช่ แต่ก็มีเรื่องอื่นด้วย”

มีหลายเรื่องเลยที่ผมคิดไม่ตกตลอดทั้งสัปดาห์ เช่น กลัวว่าพ่อแม่ของคิมหันต์จะรู้เรื่องของเรา คุณพ่ออรรถพล เพื่อน ๆ และคนรอบข้างจะมองอย่างไรหากรู้ว่าเราไม่เหมือนใคร รวมถึงธิดาที่แสนใจดีก็อาจปฏิบัติกับผมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

“อย่าคิดมากเลย”

“แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ ก็มันอดคิดไม่ได้นี่นา” ผมควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่น ไม่ต้องการให้ตัวเองดูประสาทเสีย

คิมหันต์ลูบหัวผมอย่างนุ่มนวล ก่อนจะเอียงศีรษะมาซบกันและกัน แบ่งปันความอบอุ่นมาสู่ผิวกายเย็นเฉียบของผม

“ก็บอกแล้วไงว่าให้หนีไปด้วยกัน” เขาพูดขึ้นมาง่าย ๆ  ราวกับการไปพักร้อนที่ไหนสักแห่ง

ผมผละออกมาจากอ้อมแขนแกร่ง พลางจ้องมองใบหน้าที่เป็นสีเหลืองอมส้มด้วยหัวใจเต้นตึกตัก

“ไม่ตลกนะคิม มันเป็นไปไม่ได้หรอก...พวกเราจะไปไหนได้” ถึงจะกล่าวเช่นนั้น ทว่าน้ำเสียงของผมกลับเจือปนความหวังเล็กน้อย

คิมหันต์เปลี่ยนมานั่งหลังตรงและขยับเข้ามาใกล้ สีหน้าดูจริงจังมาก

“เชื่อเราสิ มันเป็นไปได้ เราจะหาทางพานายข้ามไปประเทศลาว ญาติเราคนนึงอยู่ที่นั่นกับแฟนที่เป็นทอม พวกเขาคงให้อยู่ด้วยได้สักพัก แล้วเราก็ค่อยขยับขยายหาลู่ทาง...”

ผมเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ ทั้งเรื่องแผนการที่ได้ยินและข้อมูลเรื่องญาติของคิมหันต์ ถึงแม้ความหวังจะดูหอมหวานมาก แต่ผมก็ต้องข่มใจห้ามตัวเองเอาไว้เพราะไม่อยากนึกเสียใจภายหลัง

“ไม่ได้หรอก ทำไม่ได้ เราทำแบบนั้นไม่ได้” ผมบอกอย่างตื่น ๆ  ถึงจะเคยคิดเรื่องหลบหนี แต่ก็ไม่เคยถึงขั้นออกนอกประเทศมาก่อน “คือเรา...”

“รันไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องเดินทางหรอกนะ เรามีวิธีจัดการปัญหาพวกนั้นได้”

“ไม่ใช่อย่างนั้น คือเรา...ทำไม่ได้จริง ๆ”

“...” เขานิ่งเงียบ ความผิดหวังในแววตาสว่างเจิดจ้ายิ่งกว่าแสงไฟ

“ไม่อยากอยู่ด้วยกันเหรอ” คิมหันต์พูดเศร้า ๆ  ไหล่หนาลู่ตกลง

“อยากสิ ทำไมจะไม่อยากละ และเราก็อยากหนีไปให้ไกลจากบ้านเณรด้วย ไม่อยากฝืนใช้ชีวิตที่นั่นอีกแล้ว มันทรมานมากเลย แต่ว่า...” ผมสูดหายใจเข้าลึก พลางเอื้อมไปจับมืออีกฝ่ายมากุมกอบเอาไว้ “คิม อย่าทำแบบนี้เลยนะ พ่อแม่นายคงเสียใจมากแน่ ๆ ถ้าลูกชายคนเดียวหายตัวไป และก็ไม่ใช่แค่พ่อแม่ของนายเท่านั้นหรอก พ่อพลและเพื่อน ๆ ก็คงคิดแบบเดียวกัน”

ผมหวังว่าคิมหันต์คงเข้าใจเหตุผล และหวังว่าจะรู้ว่าผมรักเขามากจนไม่กล้าเห็นแก่ตัว

“แต่ถ้าขายบ้านแล้วเราก็ต้องไปเรียนต่อที่อิตาลีนะรัน ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อไหร่ แถมพ่อกับแม่ก็ดูท่าทางโอโคกับที่นั่นมาก โอกาสกลับมาเปิดคลินิกหรือทำงานในโรงบาลที่ไทยคงแทบไม่มีเลย” น้ำเสียงเขาฟังดูทรมาน ดวงตาคมไม่ละไปจากดวงตาของผมเลย มันดูเศร้ามากจนหัวใจกระตุก

ผมกระชับมืออุ่นของคิมหันต์แน่นขึ้น และแม้ว่าประโยคที่ได้ยินจะบีบหัวใจจนปวดหนึบ แต่ผมก็ทำได้เพียงแค่ตอบกลับไปด้วยเสียงแปร่ง ๆ ที่บังคับไม่ให้สั่นเครือ

“อืม ไม่เป็นไร เรารอได้” แล้วจึงยกมือหนาขึ้นมาพรมจูบอย่างรักใคร่ ก่อนจะหลุบมองพื้นห้องเพื่อหลบซ่อนน้ำสีใสในดวงตา “ไม่ว่านานแค่ไหนก็จะรอ ขอแค่อย่าลืมกันก็พอ”

ผมกลืนก้อนแข็ง ๆ ลงคอ จะร้องไห้ต่อหน้าคิมหันต์ไม่ได้เด็ดขาด ผมไม่ต้องการให้อีกฝ่ายกังวลใจ ไม่อยากให้เขานึกถึงภาพน้ำตาของผมในยามจากลา

จากนั้นความเงียบงันยามราตรีก็โรยตัวปกคลุมทั้งห้อง เสียงจักจั่นร้องผะแผ่วแว่วมาแต่ไกล ชั่วอึดใจหนึ่งที่ผมเกือบทนไม่ไหวแล้วระเบิดน้ำตาออกมา ตอนนั้นเองที่ร่างสูงใช้นิ้วมือเรียวจับปลายคางผมให้หันมาสบตากัน ก่อนจะยื่นใบหน้าเข้ามาประกบจูบ

ผมหลับตาลง ปล่อยให้ความอุ่นนุ่มบนริมฝีปากขจัดอารมณ์อ่อนไหวออกไป คิมหันต์ประคองใบหน้าผมด้วยฝ่ามือหนา สัมผัสที่มอบให้ช่างแสนอ่อนโยน อ้อมกอดที่โอบรัดร่างผมนั้นโรแมนติกจนหัวใจละลาย สุดท้ายเราก็จบลงด้วยการมีเซ็กซ์อีกรอบ แล้วต่างฝ่ายก็ผ็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน

วันนั้นคิมหันต์ไม่ได้ตื่นไปวิ่งเหมือนเคย เขานอนกกกอดผมจนกระทั่งแดดสาดส่องเข้ามาในห้อง ทอดลามมาถึงเตียงนอนหลังใหญ่ปูผ้าสีน้ำตาล

ผมรู้สึกตัวนานแล้ว เพียงแต่นอนนิ่ง ๆ เพราะอยากดูเขาในยามหลับ หายใจเข้าออกสม่ำเสมอน่าเอ็นดู ผมเก็บภาพงดงามนั้นไว้ในใจก่อนจะลุกไปอาบน้ำ แล้วจึงลงไปเตรียมมื้อเช้าสำหรับเราสองคน

ไม่นานคิมหันต์ในสภาพเปลือยท่อนบนก็ตามลงมายังห้องครัว ช่วยผมเก็บกวาดข้าวของที่กระจายบนโต๊ะทานอาหาร อันเป็นผลงานจากเหตุการณ์เร่าร้อนเมื่อวาน จากนั้นก็ลงมือทานผัดผักรวมกันเงียบ ๆ  โดยมีเพียงแค่สายตาที่มองข้ามโต๊ะแทนคำพูดสื่อสาร

หลังล้างจานเสร็จ เราก็แบ่งหน้าที่กันทำความสะอาดบ้านและเช็ดคราบร่องรอยต่าง ๆ จนสะอาดเอี่ยม เงยหน้ามองนาฬิกาอีกทีก็ปาไปเกือบสิบโมงแล้ว

ผมเบนสายตามองไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าข้างนอกมืดครึ้มตั้งเค้าว่าฝนจะตกในไม่ช้า ก่อนสองเท้าจะพาตัวเองเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น ทิ้งตัวนั่งคลายเหนื่อยบนโซฟาหนังสีน้ำตาลตัวนั้น ส่วนคิมหันต์นั่งลงบนเก้าอี้เล็กด้านหน้าเปียโน สักพักนิ้วเรียวก็ไล่กดลงบนคีย์บอร์ดมากมาย บรรเลงบทเพลงอันแสนไพเราะจนผู้ฟังเคลิบเคลิ้ม

“เล่นเพลงอะไรเหรอ เพราะมากเลย” ผมเอ่ยถามเมื่อโน๊ตตัวสุดท้ายแผ่วหายไปในอากาศ

คิมหันต์ยิ้ม

“มันไม่มีชื่อหรอก เราเพิ่งแต่งสด ๆ เมื่อกี้เอง”

“โห...สุดยอด”

“ชอบไหม” เขาถาม พร้อมกับเริ่มบรรเลงบทเพลงไร้ชื่อนั้นอีกครั้งในท่วงทำนองที่ช้าลงกว่าเดิม และเบาลงกว่าเดิมหลายระดับ

“ชอบสิ” ผมตอบสั้น ๆ ขณะตั้งใจฟังอย่างเทิดทูน แล้วสองหูก็พลันได้ยินเสียงฟ้าร้องกับเสียงเม็ดฝนกระทบบานหน้าต่างดังเปาะแปะ

“ถ้างั้นเรายกให้” เขากล่าว “และขอตั้งชื่อเพลงนี้ว่า...รักนิรันดร์ก็แล้วกัน”

ผมเหลอหลา ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อลามไปถึงใบหู ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรจึงได้แต่นั่งอ้ำอึ้ง แต่แล้วก็กล่าวขอบคุณออกมาเบา ๆ

พอบรรเลงบทเพลง ‘รักนิรันดร์’ จบแล้วคิมหันต์ก็เปลี่ยนไปร้องเพลง ‘อเมซิ่ง เกรซ’ พร้อมกับเล่นเปียโนไปด้วยอย่างไพเราะ

เมื่อเข้าสู่ท่อนที่สอง ผมจึงลุกเดินเข้าไปยืนข้างเขา มือซ้ายวางทาบบนหลังเปียโน ร่วมขับร้องประสานเสียงอย่างสบายอารมณ์

จากนั้นคิมหันต์ก็ลุกไปใส่แผ่นเสียงเข้ากับเครื่องเล่นแผ่นเสียงหัวเข็ม ก่อนจะหันมาชวนผมเต้นรำด้วยกันที่กลางห้อง ถึงจะอายแต่ผมก็ร่วมออกท่าทางไม่ขาดช่วง เราสนุกสนานจนลืมห่วงเวลาที่ดำเนินไม่เคยคอยท่า ท่ามพายุฤดูร้อนที่กำลังโหมกระหน่ำอยู่ภายนอก

สงกรานต์ปีนั้นสภาพอากาศไม่ค่อยเป็นใจนัก กรมอุตุประกาศว่าเขตปริมณฑลจะเผชิญกับพายุฤดูร้อนไปเกือบตลอดทั้งสัปดาห์ ทำให้ผมกับคิมหันต์ต้องอุดอู้อยู่แต่ในบ้าน หาอะไรทำแก้เบื่อไปเรื่อย กว่าจะได้ออกมารับแสงแดดข้างนอกอีกครั้งเทศกาลครื้นเครงก็จบลงเสียแล้ว และอีกไม่นานก็ใกล้จะถึงสิ้นเดือน

“เดี๋ยวกินข้าวเสร็จจะแวะไปสยามสแควร์สักหน่อย” คิมหันต์บอกหลังจากใช้ช้อนกวาดข้าวมันไก่คำสุดท้ายส่งเข้าปาก

“ไปซื้ออะไรเหรอ”

“ว่าจะไปซื้อฟิล์มกล้องถ่ายรูปน่ะ ตอนแรกนึกว่ามีเหลือเก็บไว้ที่บ้าน สงสัยพ่อเอาไว้อิตาลีด้วย”

ผมเซื่องซึมทันทีเมื่อได้ยินคำว่าอิตาลี และคิมหันต์คงรู้ว่าเป็นเพราะอะไรจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุย

“วันนี้แดดดีมากเลย”

“อื้ม”

“ไปซื้อฟิล์มเสร็จแล้วเราไปเที่ยวสวนหลวงกันอีกไหม” เขาถามพร้อมกับรินน้ำเปล่าใส่แก้วให้ผม “ไปถ่ายรูปเล่นกัน”

หัวใจผมชื่นบานราวกับดอกไม้ได้รับแสงแดด นอกจากจะดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น ผมยังตื่นเต้นมากอีกด้วย ในที่สุดความฝันเรื่องถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึกก็กลายเป็นจริง ผมกล่าวขอบคุณพระเจ้าเงียบ ๆ ในใจอย่างซาบซึ้ง ขณะจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาที่ดูเปล่งประกายราวกับทูตสวรรค์

“เอาสิ ๆ” ผมรีบตอบตกลง “คราวนี้จะได้ไปเดินสำรวจตรงที่ยังไม่ได้ไปครั้งก่อนด้วย”

พอเสร็จธุระที่ร้านข้าว คิมหันต์ก็ขับรถยนต์พาผมไปย่านสยามสแควร์ เมื่อมาถึงผมก็เดินตามหลังร่างสูงต้อย ๆ ไปยังร้านขายกล้องถ่ายรูปที่หัวมุมตึกแห่งหนึ่ง เขาเปิดประตูเข้าไปคุยกับคนขาย แล้วจึงหันมาพูดกับผม

“รันรอรับของอยู่ที่นี่นะ เราจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว”

“จะไปไหน” เขาเลิกคิ้วสงสัย

“ซื้อของนิดหน่อย ไม่นานหรอกเดี๋ยวก็มา” ชายหนุ่มตบท้ายด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ และเดินผ่านผมไปโดยหลังมือของเราเฉียดกัน ผมก้มหน้ายิ้มคนเดียวเพราะรู้ว่าเขาตั้งใจ

แล้วผมจึงนั่งรอรับฟิล์มอยู่ที่ร้าน ขณะคนขายกำลังค้นหาสินค้าอยู่ตามชั้นต่าง ๆ ด้านหลัง คิมหันต์หายไปประมาณสิบนาทีก็กลับมาพร้อมกับถุงขนมมากมายในมือ ผมรีบยัดถุงฟิล์มใส่กระเป๋าเสื้อก่อนจะเข้าไปช่วยเขาถือ

เราใช้เวลาเดินทางไม่นานก็มาถึงสวนหลวง ร. 9 ตอนนั้นเที่ยงกว่า ๆ แล้วเมื่อคิมหันต์เลี้ยวรถยนต์เข้าไปจอดที่จุดเดิมเหมือนครั้งก่อน ผมซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ จัดการนำถุงขนมและน้ำดื่มใส่ตะกร้าไม้สานที่คิมหันต์นำมาด้วย จากนั้นเราสองคนก็ลงจากรถและเดินเข้าไปด้านใน

ไม่แปลกใจเลยที่ทั่วอาณาบริเวณจะมีผู้คนเดินขวักไขว่ ยิ่งอยู่แต่ในร่มหลบพายุฝนนานเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งดิ้นรนออกมาหาทำกิจกรรมข้างนอก ภายใต้แสงแดดและสายลมอุ่น รายล้อมด้วยผีเสื้อและนกตัวเล็กจ้อยบินว่อนบนท้องฟ้า

คิมหันต์เดินนำหน้าผมบนสะพานแคบ ๆ อยู่ในบึงที่เต็มไปด้วยจอกแหน เขียดตัวหนึ่งส่งเสียงร้องพลางกระโดดข้ามไปมาระหว่างใบบัว มันคงทำเต็มที่เพื่อดึงดูดความสนใจผู้มาเยือน ทว่าเรากลับสนใจกันและกันมากกว่าธรรมชาติรอบตัว คอยเหลือบมองอีกฝ่ายตลอดราวกับเป็นที่พักสายตา และเนื้อตัวก็แนบชิดจนแทบจะเป็นปาท่องโก๋

“ขอมือหน่อย” คิมหันต์ยื่นมือข้างหนึ่งมาตรงหน้า

“จะทำอะไร”

“เถอะน่า”

แม้จะสงสัยแต่ผมก็ปล่อยมือข้างหนึ่งจากหูตะกร้าและยื่นออกไป ชายหนุ่มคว้าเอาไว้และประสานมือเราเข้าด้วยกัน

“วันนี้เราจะเดินจับมือกันแบบนี้แหละ ดีไหม” เขาออกแรงบีบกระชับ หัวใจผมเต้นรัวจนแทบกระดอนออกทางหู

“...”

“ดีหรือเปล่า” ชายหนุ่มยื่นหน้าเข้ามาใกล้ รอยยิ้มกว้างเผยให้เห็นฟันเรียงสวย

“มันก็...ดี” ผมกลืนน้ำลาย ก่อนจะมองทางหางตาไปมาด้วยความระแวง “แต่ถ้ามีคนมาเห็นเข้าล่ะ”

เขาไหวไหล่อย่างไม่ยีระ

“ช่างสิ เห็นแล้วจะทำไม” คิมหันต์ใช้ปลายนิ้วโป้งสากด้านเคี่ยนิ้วโป้งของผม “เลิกกังวลเถอะ วันนี้มาฮันนีมูนนะ ห้ามคิดมากเด็ดขาด”

ขณะพูดเราก็เริ่มเดินอีกครั้ง ร่างสูงแกว่งไกวมือข้างที่ประสานกันนั้นไปมาอย่างสบายใจ ผมลุ้นแทบตายตอนมีคนเดินสวน กลัวว่าจะมองเราด้วยสายตาแปลก ๆ  ทว่าก็ไม่มีใครสนใจเลย พวกเขาต่างชมนกชมไม้กับคนข้างกาย ไม่แม้แต่จะเหลียวมาทางเราด้วยซ้ำ

นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมเดินจับมือถือแขนกับผู้ชายในที่สาธารณะ โดยเฉพาะในฐานะแฟน แม้จะแอบหวังและรอคอยโอกาสนี้มาสักระยะ แต่พอเอาเข้าจริงกลับใจจะขาดตายเพราะความตื่นกลัว

ผมก็ไม่รู้จะกลัวไปเพื่ออะไร ทำอย่างกับว่าอาจพบคนรู้จักเข้าที่นี่ ซึ่งก็เป็นไปได้ในโอกาสต่ำยิ่งกว่าหิมะตกที่เมืองไทย ก็ถ้าคิมหันต์ผู้ซึ่งมีคนรู้จักในพื้นที่นี้มากกว่ายังไม่คิดมาก แล้วทำไมผมจะต้องพะวงด้วย

ฉะนั้นผมจึงผ่อนคลายขึ้นมาก ยอมออกแรงเหวี่ยงแขนตามขณะเดินบนสะพานไม้คดเคี้ยวเหมือนงู

เราสองคนคุยกันเกี่ยวกับชนิดปลาต่าง ๆ ในบึง ชวนกันมองสิ่งรอบตัวไปเรื่อย ก่อนคิมหันต์จะหยุดตรงหัวโค้งซึ่งมีฉากหลังเป็นท้องฟ้าสดใสกับดงต้นธูปฤๅษี

“เอาตะกร้ามานี่แล้วไปยืนตรงนั้น” คิมหันต์ดึงตะกร้าไม้สานไปถือและชี้ไปเบื้องหน้า ผมทำตามอย่างว่าง่าย

“เก๊กท่าหน่อย” เขาบอกขณะก้มหยิบกล้องโพลารอยด์ออกมาจากตะกร้า

ผมมองรอบ ๆ  เมื่อไม่เห็นว่ามีคนอื่นจึงเอามือซุกกระเป๋ากางเกงยีน โก่งคิ้วทำหน้าหล่อ คิมหันต์กดชัตเตอร์หนึ่งที แล้วแผ่นฟิล์มก็ไหลออกมา

คิมหันต์สะบัดแผ่นเคมีนั้นในอากาศ มันค่อย ๆ เปลี่ยนสีและปรากฏลวดลายแก่สายตา

“น่ารัก” คนตัวโตพึมพำ “ขออีกรูป ๆ”

เขาช่วยออกความคิดเรื่องท่าทางในการยืน คิมหันต์ดูถนัดเรื่องพวกนี้เหลือเกิน ไม่ต่างกับนายแบบมากประสบการณ์ แล้วในที่สุดผมก็ได้เห็นรูปถ่าย

“หล่อเว้ย” ผมชมตัวเองแก้เขิน ก่อนจะเอากล้องมาถือไว้ “นายไปยืนตรงนั้นบ้างสิ เดี๋ยวจะถ่ายให้”

คิมหันต์เข้าไปยืนตรงจุดนั้น จัดการโพสท่าโดยไม่ต้องรอให้บอก ตอนแรกผมกะว่าจะถ่ายเพียงสองสามรูป แต่คนตรงหน้าเก๊กท่าได้บาดใจมากจนมือลั่นไปห้ารูป เลยโดนบ่นยกใหญ่ว่าเปลืองฟิล์ม

“วันหลังก็อย่าทำตัวหล่อเกินหน้าเกินตาสิครับ ผมอดใจไม่ไหวหรอกนะ” ผมพูดหยอกล้อ ขณะก้มมองรูปถ่ายคิมหันต์ที่อยู่ในมือพลางยกยิ้ม

ชายหนุ่มรวบตัวผมเข้าไปในอ้อมอกด้วยความมันเขี้ยว หอมแก้มผมฟอดใหญ่หนึ่งที ก่อนจะหัวเราะหึในลำคอเมื่อเห็นผมมีท่าทีตกใจ

“งั้นคุณก็อย่าน่ารักเกินไปสิครับ ก็รู้ว่าผมไม่เคยอดใจไหว”

สีหน้าบึ้งตึงของผมเปลี่ยนเป็นละล่ำละลักและแดงระเรื่อ ผมรีบบิดตัวออกจากการโอบกอดไปยืนห่าง ๆ  ไม่น่าเลยจริง ๆ

“ไปกันเถอะ ยังมีอีกหลายที่เลยที่ยังไม่ได้ไปเลย”

ว่าแล้วผมก็ออกเดินนำหน้า โดยมีคิมหันต์วิ่งเหยาะ ๆ ตามหลังมาติด ๆ พร้อมกับตะกร้าและกล้องโพลารอยด์

เราถ่ายรูปตามจุดสวยงามมากมายระหว่างทาง ทั้งรูปเดี่ยวและคู่ แล้วจึงแวะนั่งพักใต้ต้นไม้ร่มรื่น กินขนมและดื่มน้ำหวาน พลางมองดูหญิงคนหนึ่งจับลูกน้อยของเธอให้ออกห่างจากแมวจรจัดสามสีที่กำลังขู่ฟ่ออย่างไม่เป็นมิตร

แล้วจากนั้นเราก็โบกรถรางนั่งไปยังโรงเพาะต้นกระบองเพชร มันน่าสนใจมาก แต่ภายในนั้นร้อนอบอ้าวจนไม่สบายตัว เราเดินชมได้ไม่นานก็ย้ายไปยังเรือนกล้วยไม้ ก่อนจะมานั่งหมดแรงอยู่ที่มุมแมกโนเลียที่ออกดอกบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล

“ที่นี่คนเยอะดีเนอะ” คิมหันต์พูด ใบหน้าคมเข้มที่มีเหงื่อผุดซึมหันมองรอบ ๆ

ผมมองตาม ไม่แปลกหรอกเพราะไม้ดอกที่นี่สวยมาก ใคร ๆ ก็อยากมาเชยชม ถ่ายรูปเก็บไว้ และนั่งพักหย่อนอารมณ์

ห่างออกไปไม่ไกล เด็กผู้ชายคนหนึ่งถูกพ่อร้องปรามเมื่อเห็นว่าพยายามจะโหนกิ่งไม้ เขาไม่ฟังแถมยังดื้อทำต่อไป จนกระทั่งผู้เป็นแม่เดินเข้าไปใกล้พร้อมท่าทีหมดความอดทน เด็กน้อยจึงรีบวิ่งปรู๊ดไปหลบหลังบิดา

ผมยิ้มให้กับสีสันแห่งครอบครัว แม้จะเป็นสิ่งเข้าใจยาก แต่ผมก็อยากสัมผัสมันด้วยชีวิตสักครั้ง หรือไม่ก็สร้างขึ้นใหม่ร่วมกับใครบางคน…อย่างเช่นผู้ที่นั่งเคียงข้างอยู่ตอนนี้

ดวงตะวันคล้อยต่ำลงทุกนาที เปลี่ยนหมู่เมฆเป็นสีส้มตามสีของท้องฟ้ายามเย็น นกกาโบยบินกลับรัง เช่นเดียวกับผู้คนที่ทยอยกลับบ้านแทบจะหมดแล้ว มีเพียงหนุ่มสาวจำนวนหนึ่งนั่งพลอดรักตามมุมต่าง ๆ  ส่วนผมกับคิมหันต์เดินเล่นรอบบริเวณนี้ พลางชมพระอาทิตย์ตกดินเงียบ ๆ

โลกนี้มีสิ่งล้ำค่ามากมาย แต่สำหรับผมการได้ชมวิวทิวทัศน์เบื้องหน้ากับคนรักข้างกาย คือสิ่งวิเศษสุดที่ผมให้คุณค่าและยอมรับด้วยใจ จะทำอย่างไรให้ได้มีโอกาสทำเช่นนี้เสมอและตลอดไปกันนะ ไม่ต้องกังวลว่าวันหนึ่งจะตื่นขึ้นมาในห้องนอนอันว่างเปล่า อยู่กับเตียงสีขาวและความเหงาอ้างว้าง

ผมละสายตาจากลูกไฟกลมแดงมายังชายหนุ่มรูปงาม แดดอัสดงขับให้ผิวสีเข้มยิ่งน่าหลงใหลจนตาพร่า ผมอดใจไม่ไหวจึงใช้ปลายนิ้วลูบท่อนแขนแกร่งอย่างทะนุถนอม

“เราสองคนคงไม่ได้มาอยู่ตรงนี้ถ้าไม่มีใครเริ่มก่อน” ผมกล่าวถึงวันที่ดวลหมากรุกข้างสระน้ำ วันที่เราจูบกันครั้งแรกและสารภาพทุกอย่างออกมาหมดเปลือก “แล้วดูตอนนี้สิ ได้มายืนดูพระอาทิตย์ตกดินด้วยกัน โชคดีหรือเปล่านะ”

คิมหันต์ไม่พูดอะไรในทันที เขาสูดหายใจเข้าออกอย่างนิ่งสงบ แต่ก็แฝงความเศร้าเมื่อหันมาสบตากัน

“ไม่หรอก ไม่ใช่เพราะโชคช่วยหรืออะไรทั้งนั้น พวกเราทำในสิ่งที่คิดว่าถูกต้อง สมเหตุสมผลในหนทางของมัน...ในทางของเราสองคน”

ทำไมคำพูดของเขาช่างฟังดูมีหลักการเหลือเกิน เหมือนผู้ใหญ่คนหนึ่งกำลังอธิบายเรื่องง่าย ๆ ให้เด็กฟัง และบ่อยครั้งก็ทำให้ผมรู้สึกโง่มากจริง ๆ

“นั่นสินะ” ผมเอ่ยเสียงแผ่ว

เมื่อสังเกตแล้วว่าไม่มีคน ผมจึงเลื่อนปลายนิ้วมายังสันกรามคมชัด ลูบสัมผัสตอหนวดตรงปลายคาง ลามมาถึงกลีบปากหยักได้รูป ผมอยากจูบเขามากเหลือเกิน อยากบดขยี้ปากแสนรู้นั้นให้บวมเจ่อ

แล้วคิมหันต์ก็จับมือข้างนั้นของผมมากุมไว้ ทุกอิริยาบถของอีกฝ่ายสะกดผมไม่ให้ละสายตาไปไหน

“หลับตาสิ มีอะไรจะให้” เขาบอก

“อะไรอีกล่ะ” คิมหันต์ทำให้ผมประหลาดใจได้ตลอด

“เดี๋ยวก็รู้เอง”

ผมทำตาม ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าแหวนประคำถูกดึงออกไปจากนิ้วชี้ขวา ผมลืมตาขึ้นมอง

“ถอดออก...”

หากแต่ภาพตรงหน้าทำให้สติของผมล่องลอยไปแล้ว พร้อมกับสายลมเอื่อยพัดโชย คิมหันต์คุกเข่าลงต่อหน้าผม สองมือประคองกล่องผ้ากำมะหยี่สีน้ำแดงบรรจุแหวนเงิน สะท้อนแสงเรืองรองกระทบใบหน้าที่เงยมอง แววตาอบอุ่นแฝงความมุ่งมั่นตั้งใจ ผมตัวแข็งทื่อเป็นหินไปเลย

“นิรันดร์ หมั้นกับเรานะ” ชายหนุ่มกล่าวเสียงหนักแน่น

ผมเหมือนจะเป็นลม สมองหมุนติ้วตีลังกากับประโยคที่ได้ยิน มันเกิดอะไรขึ้นกันล่ะนี่ แล้วผมฟังไม่ผิดใช่ไหมว่าคิมหันต์เพิ่งขอผมหมั้น เขาเอาเวลาไหนไปเตรียมเรื่องพวกนี้ เราก็อยู่ด้วยกันตลอดทั้งวันทั้งคืนนี่นา

“ม...หมั้นเหรอ!”

“อืมใช่ มันอาจฟังดูบ้า แต่เราอยากให้นี่เป็นคำมั่นสัญญาว่าจะไม่ทิ้งนายไง”

ผมอึ้งจนเผลออ้าปากค้าง ฝ่ายคิมหันต์กำลังรอฟังคำตอบอย่างอดทน สีหน้าเริ่มแสดงความกังวลใจ ทว่าก็ยังคงดูเด็ดเดี่ยว

“เอ่อ...”

“ได้โปรด” เขาวิงวอน

ผมมองแหวนเงินในตลับ สลับกับจ้องลึกเข้าไปในดวงแววตาวูบไหวตรงหน้า

“ตกลง” ถึงจะสับสนแต่ผมก็ยินยอม อาจเป็นเพราะใจหนึ่งไม่อยากให้อีกฝ่ายรอเก้อจนดูเสียมารยาท อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากพลาดวินาทีสำคัญแห่งชีวิต แถมไม่มีเหตุผลใดที่ผมจะต้องปฏิเสธ

ทันทีที่ผมตอบกลับไปเช่นนั้น รอยยิ้มกว้างอย่างมีความสุขก็ระบายบนใบหน้าของพวกเรา ชายหนุ่มลุกขึ้น รีบสวมแหวนเงินเรียวบางไร้อัญมณีบนนิ้วนางขวาให้ ผมมองดูมันด้วยความพิศวง ไม่อยากเชื่อเลยว่านี่ไม่ใช่ฝันกลางวัน

“ขอโทษนะ เราไม่มีอะไรมอบให้คิมเลย” ผมกล่าวอย่างรู้สึกผิดขณะพลิกฝ่ามือไปมา

“ไม่เป็นไร ๆ  แค่รันรับไว้เราก็ดีใจมากแล้ว” เขาก้มลงมาจูบขมับผมเร็ว ๆ  “รักนะครับ”

“รักเหมือนกัน” ผมตอบกลับโดยไม่ลังเล

ความตื้นตันใจทำให้น้ำสีใสเอ่อคลอ ผมกะพริบตาถี่ ๆ ก่อนจะโถมกอดร่างสูงโดยไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว คิมหันต์กอดตอบแนบแน่น โดยมีฟ้าดินกับดวงตะวันเป็นสักขีพยานรักของเรา

นับจากนั้นจนถึงวันเดินทางกลับ ผมกับเขาต่างใช้เวลาร่วมกันเต็มที่ ทำทุกสิ่งทุกอย่างราวกับเป็นวันสุดท้ายของชีวิต โดยในแต่ละวันคิมหันต์สลับใช้กล้องโพลารอยด์กับกล้องฟิล์มถ่ายรูปเอาไว้ เราสร้างอัลบั้มมากมาย แบ่งแยกตามสถานที่ที่ไปเยือน

ผมเปิดดูรูปถ่ายพวกนั้นขณะนั่งอยู่บนรถไฟ แล้วพลันนึกถึงคำพูดของคิมหันต์ขึ้นมา

“พวกเราทำในสิ่งที่คิดว่าถูกต้อง สมเหตุสมผลในหนทางของมัน...ในทางของเราสองคน”

มันเป็นอย่างนี้นี่เอง...

ผมครุ่นคิดถึงประโยคนั้นซ้ำไปซ้ำมาตลอดการเดินทางกลับจังหวัด อ. โดยมีคิมหันต์นั่งเล่นเกมบอยประกบอยู่เคียงข้าง บางครั้งก็เผลอลูบแหวนหมั้นไปมาด้วยอารมณ์อ่อนไหว แม้จะทำใจได้นานแล้วสำหรับอนาคตข้างหน้า แต่ลึก ๆ ก็ยังคงทรมานอยู่วันยังค่ำ

“เป็นอะไร ทำไมทำหน้าเหมือนจะอ้วกเลย ไม่สบายหรือเปล่า” คิมหันต์เงยหน้าขึ้นมาถามอย่างกังวล

ผมส่ายหัว

“เปล่า แค่...คิดถึงกรุงเทพฯ น่ะ”

ชายหนุ่มลูบหลังผมอย่างอ่อนโยน ส่วนผมได้แต่คิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะมีความสุขกับชีวิตต่อจากนี้ ในสถานที่ที่เราต้องแสร้งปฏิบัติต่อกันเพียงแค่เพื่อนเท่านั้น

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา