เมื่อคิมหันต์มาเยือน

9.0

เขียนโดย ตะวันอัศวิน

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 22.31 น.

  25 ตอน
  0 วิจารณ์
  8,853 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 00.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

20) เฝ้ารอคอย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บ่ายวันนั้นเมฆฝนปกคลุมท้องฟ้าจนมืดครึ้ม หลังเรียนเสร็จผมเร่งฝีเท้าออกจากตึกคณะ ไม่สนใจเสียงร้องเรียกและท่าทางงุนงงของเพื่อน ๆ ขณะมุ่งตรงไปหน้ามหาวิทยาลัย ยังตำแหน่งที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะตั้งอยู่ ผมเปิดประตูเข้าไป วางกระเป๋าหนังสือลงบนพื้น กดหมายเลขอันคุ้นเคย ใบหน้ากลัดกลุ้มสะท้อนเลือนรางอยู่ในกระจกใสรอบด้านขณะฟังเสียงรอสาย

ผมตัดสายและกดหมายเลขปลายทางอีกครั้งอย่างรวดเร็ว อีกครั้งและอีกครั้ง จนกระทั่งไม่มียอดเงินคงเหลืออยู่ในบัตร ผมวางหูโทรศัพท์ลงบนแป้น ดึงบัตรออกจากช่องเสียบด้านล่างมาเก็บใส่กระเป๋าสตางค์ แล้วน้ำหนักแห่งความทุกข์ใจก็กดผมให้ทรุดลงไปนั่งกอดเข่าบนพื้น ฝนเริ่มลงเม็ดหนักขึ้นทุกนาที

ผมดึงรูปถ่ายที่พับจนเป็นรอยออกมาจากกระเป๋าสตางค์ เด็กผู้ชายสวมชุดนักเรียนมัธยมปลายสี่คนกำลังส่งยิ้มให้ ทว่ามีเพียงคนเดียวที่ผมมองด้วยสายตาโหยหาเป็นพิเศษ

เป็นเวลาสามเดือนแล้วที่คิมหันต์ขาดการติดต่อ จู่ ๆ อีกฝ่ายก็เงียบหายไปโดยไม่มีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเลยตั้งแต่ผมเรียนมาจนถึงปีสาม เราสองคนหล่อเลี้ยงความสัมพันธ์ลับ ๆ ด้วยการโทรศัพท์และส่งจดหมายหากันตลอด และผมก็ไม่เคยต้องรอการติดต่อจากเขาเกินสัปดาห์เลย

ทำไมคิมหันต์ถึงไม่ติดต่อมา?

นี่คือคำถามเดียวที่วนเวียนในหัวตลอดช่วงสองสามเดือนมานี้ ผมเอาแต่ครุ่นคิดจนส่งผลกระทบต่อสมาธิในการเรียน เพื่อนหลายคนสังเกตเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของผม จึงพากันเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย ผมรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้งในน้ำใจของพวกเขา หากแต่ก็ไม่อาจบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมอยู่ตอนนี้

มีข้อสันนิษฐานมากมายที่ผมคาดเดา เช่น เขาอาจยุ่งกับการเรียนจนไม่มีเวลาว่าง บางทีอาจป่วยหนัก หรือประสบอุบัติเหตุ ซึ่งอย่างสุดท้ายทำเอาผมหายใจไม่ทั่วท้องทุกครั้งที่นึกถึง แต่ถ้าหากคิมหันต์ป่วยหรือบาดเจ็บหนักจริง ๆ ผมก็น่าจะได้ข่าวคราวจากคุณพ่ออรรถพลหรือใครบ้างแล้ว

ผมพับเก็บรูปถ่ายใส่กระเป๋าตามเดิม แล้วจึงซุกหน้ากับหัวเข่า ฟังเสียงดังกระหึ่มของสายฝนจากข้างนอกตู้โทรศัพท์ ละอองฝนจำนวนมากกระเซ็นผ่านช่องว่างด้านล่างเข้ามา ผมไม่สนว่ามันจะทำให้เสื้อกับกางเกงนักศึกษาเปียกชื้นจนตัวสั่น บางทีฝนเย็นเฉียบอาจช่วยชะล้างความโศกเศร้าภายในใจไปได้บ้าง

ผ่านไปสักพักผมจึงเงยหน้าขึ้นมองโทรศัพท์

ผมควรจะโทรไปถามคุณพ่ออรรถพลดีไหมนะ?

ความจริงผมคิดเรื่องนี้ตั้งแต่เดือนแรกที่คิมหันต์เงียบหายไปแล้ว อยากโทรไปถามใจแทบขาด แต่ก็กลัวว่าตัวเองอาจทำอะไรออกนอกหน้านอกตาเป็นพิเศษ จะมีเพื่อนสักกี่คนนึกเป็นกังวลจนถึงขนาดโทรมาถามข่าวคราวของคิมหันต์จากท่าน บางทีคุณพ่ออรรถพลอาจไม่ได้คิดอะไรมาก ทว่าผมกลับอดไม่ได้ที่จะระมัดระวังการกระทำ หากความแตกขึ้นมา ผมยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความสาหัสในสภาพอ่อนแอเช่นนี้

แต่สายตาของผมยังคงจับจ้องอยู่ที่หูโทรศัพท์ ราวกับมันกำลังสะกดจิตให้ผมยกมันขึ้นมาแนบหู และก่อนที่สมองจะรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ร่างกายของผมก็ผุดลุกขึ้นยืนโดยอัตโนมัติ มือขวาควานเหรียญในกระเป๋ากางเกงและหยอดใส่ช่องรับเงิน ก่อนจะกดหมายเลขโทรศัพท์ถึงอธิการบ้านเณรเซนต์ดอมินิก

“ฮะ...ฮัลโหล สวัสดีครับ ขอสายพ่อพลหน่อยครับ” ผมบอกเสียงสั่น ๆ  ก่อนจะทำหน้าผิดหวังในวินาทีต่อมา “อ่อครับ ไม่เป็นไรครับ ไว้วันหลังผมจะติดต่อมาใหม่”

ผมกระแทกหูโทรศัพท์ลงบนแป้นพลางหายใจเข้าออกถี่เร็ว อารมณ์หลายอย่างกำลังสุมอยู่ในทรวงอก เบ้าตาเริ่มร้อนและเอ่อคลอด้วยน้ำสีใส โชคชะตากำลังเล่นตลกอะไรอยู่นะ พอรวบรวมความกล้าได้ คุณพ่ออรรถพลก็ดันออกไปทำธุระที่วัดใหญ่

ผมถอดแว่นออก ทรุดนั่งกับพื้นเปียกชื้นอีกครั้งและสะอื้นไห้จนไหล่สั่นไหว น้ำตาที่อดกลั้นเอาไว้ตลอดคาบเรียนหลั่งไหลออกมาไม่หยุด ผมเอามือข้างหนึ่งทาบหน้าอกเพื่อช่วยบรรเทาความเจ็บปวด

ใครก็ได้บอกผมทีว่าคิมหันต์สบายดี ช่วยบอกผมให้โล่งใจทีว่าเขาไม่ได้คิดจะทิ้งผมไป เพราะนั่นคือข้อสันนิษฐานเลวร้ายที่สุดที่ผมพยายามหลีกเลี่ยงที่จะคิดมาโดยตลอด

ผมนั่งร้องไห้อยู่ในนั้นนานหลายนาที ปลดปล่อยความรู้สึกทุกอย่างออกมา และขณะกำลังนึกสงสัยว่าผมกับฝนใครจะหยุดก่อนกัน ตอนนั้นเองประตูตู้โทรศัพท์ก็เปิดออก ผมเงยหน้าขึ้น เพ่งมองหญิงสาวในชุดนักศึกษาที่กำลังยืนถือร่มสีดำ ใบหน้าอ่อนหวานฉายแววตกใจขณะมองมายังผม ผมยืนขึ้นทันที ใช้หลังมือเช็ดน้ำตาลวก ๆ และสวมแว่น

“เกิดอะไรขึ้น! รัน…ร้องไห้ทำไม?!” ธิดาถามอย่างตกใจ

ผมไม่กล้ามองหน้าเธอ และแน่นอนว่าไม่กล้าตอบคำถามนี้เช่นกัน

เหนือสิ่งอื่นใด ธิดารู้ได้อย่างไรว่าผมอยู่ที่นี่ ซึ่งการที่เธอโผล่มาคือสิ่งสุดท้ายที่ผมจะนึกถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพเช่นนี้

“ไม่มีอะไรหรอกดา ไม่มีอะไรจริง ๆ” ผมพูดพลางก้มเก็บกระเป๋าหนังสือขึ้นมาสะพายหลัง

“ไม่มีอะไรได้ยังไง รันร้องไห้จนตาบวมตุ่ยขนาดนี้” เธอพูดพร้อมกับน้ำตาคลอที่ค่อย ๆ เอ่อคลอ คราวนี้เป็นฝ่ายผมที่เริ่มตกใจบ้าง

“ดารู้ได้ไงว่ารันอยู่ที่นี่” ผมเปลี่ยนเรื่อง พยายามควบคุมตัวไม่ให้เสียงสั่น

เธอกะพริบตาเร็ว ๆ

“ดาเจอจูนที่หน้าคณะอักษร จูนบอกว่ารันน่าจะมาที่ตู้โทรศัพท์เพราะเห็นว่ามาบ่อย ตอนนี้ฝนก็ตกหนักมาก ดาคิดว่ารันน่าจะกำลังติดฝนก็เลยออกมารับ” ธิดาเสียงสั่นเครือ ขณะพูดหยาดน้ำตาก็ไหลริน แล้วเธอก็ดึงแขนผมให้เข้าไปยืนในร่มด้วยกัน “ไปกันเถอะ เดี๋ยวเดินไปส่งที่หอ”

ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ขณะมองใบหน้าใสเปื้อนน้ำตาของธิดา จู่ ๆ สติสัมปชัญญะก็ดูเหมือนจะกลับคืนมาโดยสมบูรณ์ ความเศร้าโศกมลายหายไป ทิ้งไว้เพียงความละอายขายหน้า

ผมดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าเสื้อและยื่นให้เธอ

“ดาเอานี่ไป เดี๋ยวรันถือร่มเอง” ผมรับคันร่มมาจากมือเรียวของหญิงสาว “ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะ ดาอย่าร้องไห้เลย”

ธิดาซับน้ำตาด้วยผ้าเช็ดหน้าสีฟ้าของผม

“แล้วรันร้องไห้ทำไมล่ะ”

ผมไม่ตอบ แต่กลับโอบหลังเธอเพื่อส่งสัญญาณให้เริ่มออกเดินฝ่าสายฝน

เมื่อหลายปีก่อนผมส่งจดหมายไปหาธิดาเพื่อแจ้งข่าวดีเรื่องมหาวิทยาลัย พร้อมกับถามหาข่าวคราวจากฝั่งโน้นด้วยเช่นกัน และก็ไม่คาดคิดว่าจดหมายตอบกลับของเธอจะทำให้ผมดีใจแทบตาย ผมอ่านจดหมายนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก จนสุดท้ายก็ยอมเชื่อสายตาตัวเองว่าธิดาสอบติดมหาวิทยาลัยแห่งเดียวกันกับผม

เนื่องจากเธอไม่มีโทรศัพท์บ้าน ดังนั้นเราจึงติดต่อกันผ่านลายลักษณ์อักษรตลอดจนกระทั่งถึงฤดูเปิดภาคการศึกษา ผมกับธิดานัดเจอกันที่ตึกคณะพยาบาลศาสตร์ซึ่งเป็นคณะที่เธอสอบติด ผมใช้เวลาเดินหาพักใหญ่กว่าจะมาถึง รอยยิ้มดีใจบนใบหน้าของหญิงสาวยังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำของผม

ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานสักแค่ไหน ไม่ว่าผมจะอยู่แห่งหนใด ดูเหมือนธิดาจะไม่เคยห่างหายไปจากชีวิตของผมเลย เธอเป็นเหมือนดั่งทูตสวรรค์ที่คอยดูแลผมอยู่ห่าง ๆ  ให้ความช่วยเหลือในยามทุกข์ยาก และปลอบโยนในเวลาทุกข์ใจ เธอดีกับผมมากจนผมรู้สึกละอายเมื่อยืนต่อหน้า ทำให้ผมตระหนักว่าควรทำดีและดูแลเธอเพื่อให้สมกับน้ำใจอันงดงาม

ผมเคยทำแบบนั้นบ้างไหมนะ?

ธิดาเคยได้รับสิ่งดีงามจากผมบ้างหรือเปล่า?

และเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงความจริงที่ว่า ครั้งหนึ่งธิดาเคยสารภาพรักกับผมในงานวันเกิดของเธอเมื่อตอนเด็ก ท่าทางเหนียมอายของเธอ ณ ตอนนั้นทำให้ผมเขินอายตามไปด้วย แม้จะผ่านมานานมากแล้ว แต่ผมก็ไม่เคยลืมเรื่องนี้เหมือนกับเรื่องอื่น ๆ มากมายเกี่ยวกับคิมหันต์

นี่อาจเป็นเหตุผลที่ผมปฏิบัติต่อธิดาด้วยข้อจำกัด ไม่ใช่เพราะผมไม่สนใจในตัวเธอเหมือนดั่งชายทั่วไป แต่เป็นเพราะผมกลัวว่าหากทำดีมากเกินไปก็อาจเป็นการสร้างความหวังให้กับเธอ ผมไม่ต้องการให้ธิดาผิดหวังหรือเจ็บปวดเสียใจซ้ำสองเพราะผม ฉะนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมาผมจึงระมัดระวังมากเรื่องการแสดงออกต่อหน้าเธอ

“ขอบคุณนะที่มาส่ง” ผมพูดขึ้นเมื่อเราเดินมาถึงหอพักชายในมหาวิทยาลัย “ว่าแต่ไม่รอให้ฝนหยุดตกก่อนเหรอ”

“ไม่เป็นไรหรอก ดาต้องรีบกลับไปทำการบ้าน” เธอบอก ก่อนจะรับร่มคืน “เดี๋ยววันหลังจะซักมาคืนนะ”

ผมรู้ว่าเธอพูดถึงผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น

“ไม่ต้องหรอก ดาเก็บไว้เถอะ”

หญิงสาวไม่พูดอะไร เพียงแค่มองผ้าสีฟ้าอ่อนที่อยู่ในมือข้างหนึ่ง แล้วจึงพับเก็บใส่กระเป๋าสะพายข้าง จากนั้นก็กางร่มและออกไปยืนท่ามกลางสายฝนอีกครั้ง

“มีอะไรก็ปรึกษาดาได้นะ ไม่จำเป็นต้องเก็บไว้คนเดียวหรอกรู้ไหม”

ผมพยักหน้า

“เดินกลับดี ๆ นะ แล้วเจอกันพรุ่งนี้”

“แล้วเจอกัน”

หญิงสาวยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่แสดงความเป็นห่วงและกังวลอย่างเห็นได้ชัด ผมยืนมองดูร่มสีดำเลือนหายไปในสายฝน จากนั้นก็หันหลังและเดินขึ้นห้อง

 นับตั้งแต่วันนั้นจนกระทั่งหกเดือนถัดมา ผมก็ยังคงไม่สามารถติดต่อคิมหันต์ได้อยู่ดี และแน่นอนว่าไร้วี่แววที่เขาจะติดต่อมาหา และถึงแม้แทบจะไม่มีหวัง แต่ทว่าทุก ๆ เช้าวันอาทิตย์ผมยังคงเดินไปที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะหน้ามหาวิทยาลัย เสียบบัตรเงินสด และกดหมายเลขที่จำได้ขึ้นใจ ฟังเสียงรอสายจนระบบแจ้งบันทึกข้อความเสียงดังขึ้น เมื่อถึงตอนนั้นผมจึงวางหูโทรศัพท์ ผมทำแบบนี้ซ้ำ ๆ มาตลอดเก้าเดือนเต็มจนกลายเป็นกิจวัตร

เก้าเดือนที่ผมจมอยู่กับความทรมาน เก้าเดือนที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับความเศร้าโศก และแม้ว่าทุกตารางนิ้วบนหัวใจจะเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อเห็นรูปถ่ายของคิมหันต์กับจดหมายมากมายที่ได้รับจากเขา แต่ผมก็ไม่มีน้ำตาให้ไหลอีกแล้ว ราวกับมันได้เหือดแห้งไปพร้อมกับความหวังที่คิมหันต์จะติดต่อกลับมา

เช่นเดียวกับวันนี้ เช้าวันอาทิตย์ต้นสัปดาห์ของเดือนธันวาคม ผมมีนัดกับธิดาว่าจะไปอาสนวิหารอัสสัมชัญบางรัก เพื่อร่วมพิธีมิสซาต้อนรับเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า ซึ่งก็คือเทศกาลคริสต์มาสนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่ใช่เพราะธิดาเป็นคนเอ่ยชวน ผมคงไม่มีทางตอบรับเด็ดขาด ตั้งแต่คิมหันต์เงียบไป ผมก็ไม่นึกอยากเฉียดเข้าไปใกล้เขตบางรักอีกเลย ที่นั่นมีความทรงจำมากมายเกินไป ซึ่งการไปเยือนที่นั่นดูจะไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก แต่ก็เป็นเพราะธิดาอีกนั่นแหละที่ทำให้ผมเปลี่ยนใจ

“อาทิตย์หน้าเราไปร่วมมิสซาที่วัดใหญ่กันนะ ดาอยากไปเห็นที่นั่นตอนช่วงเทศกาลคริสต์มาสสักครั้ง มันต้องสวยมากแน่ ๆ เลยว่าไหม” หญิงสาวเอ่ยขึ้นขณะผมเดินมาส่งเธอที่หอพักหญิงในช่วงเย็นเมื่อสัปดาห์ก่อน เธอเงยหน้ามองผม ทำให้เห็นประกายตื่นเต้นสะท้อนในแววตาอ่อนโยนคู่นั้น

“ก็คงสวยดี แต่วัดใหญ่ทุกที่ก็ตกแต่งสวยเหมือนกันหมดนั่นแหละ”

“แต่ดาไม่เคยไปวัดใหญ่ที่กรุงเทพเลยนี่นา” เธอหยุดเดิน ผมจึงต้องหยุดด้วย ดวงตาหวานยังคงมองผมอยู่ “รันไปเป็นเพื่อนดาหน่อยนะ เพื่อนในกลุ่มไม่มีใครไปด้วยเลย”

คำชวนของเธอสร้างความลำบากใจให้ผม ตอนนี้ผมไม่มีความมุ่งมั่นร้อนรนที่จะเข้าวัดเลย ไม่แม้แต่จะสวดบทภาวนาสั้น ๆ หรือมีแก่ใจจะยกมือทำสำคัญมหากางเขน จิตวิญญาณของผมเหือดแห้งเหมือนดั่งทะเลทราย ผมกำลังกลายเป็นคนหยาบกระด้างที่ต่อต้านสังคม

แต่ถึงแม้ว่าจิตใจของผมจะเฉื่อยชา ทว่าจิตสำนึกของผมยังคงปกติดี และมันก็เรียกร้องให้ผมทำดีกับเธอ ผมอยากตอบแทนเธอด้วยบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งเมื่อเทียบกับน้ำใจและความดีงามที่ธิดาเคยมอบให้ การไปอาสนวิหารเป็นเพื่อนเธอถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก

“ว่าไง” ธิดากระตุ้นอย่างคาดหวัง

“อืม ก็ได้”

หญิงสาวยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเรียงสวย เธอเขย่งปลายเท้าอย่างดีใจ ก่อนจะจูงข้อมือให้ผมออกเดินต่อ

ผมคิดถึงเรื่องนั้นจนกระทั่งแต่งตัวเสร็จ จากนั้นจึงเดินมานั่งลงบนเตียง สอดมือเข้าไปใต้หมอนและดึงรูปถ่ายใบหนึ่งออกมา

“นายทำอะไรอยู่ที่ไหนตอนนี้” ผมพูดกับรูปถ่ายขนาดเต็มตัวที่คิมหันต์ส่งมาจากอิตาลี เขาสวมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนสีฟ้า ยืนยิ้มกว้างอยู่ข้างรูปปั้นปติมากรรม ทรงผมรองทรงทำให้เขาดูแปลกตาไปบ้างเล็กน้อย แต่ก็ยังคงดูหล่อเหลาไม่เปลี่ยน

ถ้าเป็นเมื่อหลายเดือนก่อน เพียงแค่ผมมองดูรูปใบนี้น้ำตาก็พลันไหลโดยไม่อาจควบคุม แต่ตอนนี้ผมพอทำใจได้แล้ว ผมพลิกรูปถ่ายไปมา บอกไม่ได้ว่ารู้สึกอย่างไรระหว่างโกรธหรือผิดหวังขณะมองบุคคลที่กำลังยิ้มให้ มันยากนักหรือไงกับการยกหูโทรศัพท์ หรือเดินไปส่งจดหมายสักฉบับที่ที่ทำการไปรษณีย์

ผมดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ เมื่อเห็นว่าจวนจะถึงเวลานัดหมายแล้วจึงสอดรูปไว้ใต้หมอนตามเดิม คว้ากระเป๋าเป้คู่ใจจากหัวเตียงมาสะพายข้าง จากนั้นก็ล็อกห้องและออกเดินทางไปที่จุดนัดพบ

ธิดามาถึงก่อน เธอสวมชุดเดรสสีชมพูลายลูกไม้ สะพายกระเป๋าผ้าสีขาว ผมยาวสลวยสีดำปล่อยทิ้งน้ำหนักตามธรรมชาติ เธอโบกมือเรียกขณะผมวิ่งเหยาะ ๆ ไปที่ป้ายชื่อมหาวิทยาลัยที่มีคนเดินผ่านตลอด แล้วเราสองคนก็เดินไปขึ้นรถเมล์ที่ถนนฝั่งตรงข้าม

หลังจากขึ้นลงรถเมล์สองสามสาย เดินฝ่าฝูงชนบนฟุตบาทในชั่วโมงเร่งรีบ ในที่สุดเราก็มาถึงอาสนวิหารอันสวยงามด้วยบริการของรถสามล้อ ผมกับเธอเดินตามหลังคนอื่น ๆ เข้าไปในโบสถ์ ทันพิธีรอบแปดโมงครึ่งพอดี

ผู้คนพากันหลั่งไหลออกมาข้างนอกหลังเสร็จสิ้นพิธีกรรม ผมกับธิดาเป็นส่วนน้อยที่ยังคงอยู่ที่เดิม นั่งมองดูสถาปัตยกรรมตกแต่งอันละเอียดลออ เพดานหลังคาโค้งสีทองที่มีดวงดาวประดับประดาเหมือนท้องฟ้ายามราตรี โคมไฟระย้า พระแท่นหินอ่อนแกะสลักลวดลายงดงาม และของตกแต่งมากมายสำหรับเทศกาลคริสต์มาส ทั้งหมดในนี้สุกสว่างเป็นสีทองด้วยแสงไฟ ราวกับอยู่ในพระราชวังก็ไม่ปาน

คราวก่อนผมไม่มีโอกาสได้เข้ามาในนี้ คิมหันต์กับผมเพียงแค่ขับรถผ่านตอนออกไปเล่นน้ำสงกรานต์ ตอนนั้นผมนึกสงสัยเหลือเกินว่าภายในอาสนวิหารจะสวยงามขนาดไหน จนกระทั่งได้มาเห็นกับตาจึงได้รู้

“สวยกว่าที่เห็นในรูปตั้งเยอะแน่ะ” ธิดาเอ่ยชม “อยากพาพ่อกับแม่มาที่นี่บ้างจัง”

“ใช่ สวยมากเลย”

“นี่ เราไปขอให้พระคาร์ดินัลอวยพรกันดีไหม เผื่อบุญกุศลจะช่วยให้สอบได้คะแนนเยอะ ๆ”

ผมหัวเราะ

“งมงายจังนะเรา”

ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ผมกลับลุกขึ้นเป็นคนแรกและเดินนำออกไปยังพระแท่น ซึ่งพระอัครสังฆราช (พระคาร์ดินัล)ในอาภรณ์สีม่วงกำลังยืนปกมือเหนือหัวเหล่าฆราวาสที่เข้าไปขอให้อวยพร

ไม่นานหลังจากต่อแถว ผมกับธิดาก็ได้มายืนต่อหน้านักบวชสูงศักดิ์ เราโค้งให้ท่านยื่นมือออกมาปกเหนือหัว แล้วพระคาร์ดินัลก็พูดพึมพำขอให้พระเจ้าอวยพร ซึ่งในระหว่างวินาทีอันรวดเร็วนี้ สิ่งที่ผมภาวนาในใจไม่ใช่การขอให้สอบได้คะแนนเยอะ หรือวอนขอพระเมตตาเพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์ ทว่าผมกำลังวิงวอนอย่างหนักเพื่อตัวเอง และคุณรู้ดีว่าผมต้องการอะไร

ใช่...ผมขอให้คิมหันต์ติดต่อมาหา

เขาไม่จำเป็นต้องอธิบายเหตุผลอะไรทั้งนั้น ผมจะไม่ต่อว่าเขาเลยสำหรับความเงียบตลอดเก้าเดือนที่ผ่านมา และจะไม่โกรธเขาด้วยที่ทำให้ผมร้องไห้ฟูมฟาย ความผิดและบาปของเขาที่ทำต่อผมจะได้รับการอภัยทันทีเพียงแค่คิมหันต์เอ่ยชื่อของผม

ขอเพียงให้ผมได้ยินเสียงของเขาอีกครั้ง หรือแค่เสียงลมหายใจก็ยังดี

เมื่อพระคาร์ดินัลหดแขนกลับ ผมกับธิดาทำสำคัญมหากางเขน ไหว้ขอบพระคุณ จากนั้นจึงเดินออกไปข้างนอกอาสนวิหาร

“รันมีธุระต่อหรือเปล่า” ธิดาถามขณะเรากำลังเดินไปยังถนนด้านหน้า

“ไม่มี งานทุกอย่างก็ทำเสร็จหมดแล้ว วันนี้เราว่าง”

“ถ้างั้นไปเที่ยวเป็นเพื่อนหน่อยนะ” หญิงสาวทำสายตาอ้อนวอน

ผมยิ้ม

“ได้สิครับ ดาอยากไปเที่ยวไหนล่ะ”

“นั่นสิ ดาก็ยังไม่รู้เหมือนกัน รู้แค่ว่าเบื่อ ๆ  อยากไปเปิดหูเปิดตาบ้าง”

ผมชะลอฝีเท้า ก่อนจะเหลียวมองไปทางอาสนวิหาร แล้วความคิดบางอย่างก็แล่นเข้ามาในหัว

“ไปสวนหลวงกันไหม” ผมพูดออกมาโดยแทบไม่รู้ตัว

“สวนหลวงเหรอ ก็ดีนะ ดายังไม่เคยไปเลย” หญิงสาวดูร่าเริงขึ้นมาทันที

ผมหันกลับมามองเธอ

“ดาต้องชอบแน่”

จากนั้นเราก็ไปรอรถสามล้อที่ริมถนนเพื่อจ้างพาเราไปยังสวนหลวง ร. 9

ผ่านมาสี่ปีกว่าตั้งแต่ผมมาที่นี่กับคิมหันต์ครั้งสุดท้าย กระนั้นทุกอย่างในสวนหลวงแทบจะไม่เปลี่ยนไปเลย ราวกับมันถูกแช่แข็งเอาไว้ในห้วงของกาลเวลา ธิดามองต้นไม้และธรรมชาติรายล้อมอย่างตื่นเต้น ส่วนผมเฝ้ามองดูเธอคุกเข่าดอมดมดอกไม้ด้วยท่าทางกลัดกลุ้ม

“โห สวยมาก มีแต่ต้นไม้ดอกไม้สวย ๆ ทั้งนั้น” ธิดากล่าวเสียงใส

“ไปนั่งรถรางกันเถอะ ดาจะได้เห็นวิวรอบ ๆ ไง ดีไหม” ผมเอ่ยชวน

“โอเค”

เธอกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาทางผม แล้วเราก็ไปรอรถรางที่ริมถนนใกล้ ๆ

วันนี้อากาศแจ่มใส มีแสงแดดแต่ไม่ถึงกับร้อนเกินไป อาจเป็นเพราะเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ดังนั้นหลายคนจึงไม่ค่อยกลางร่ม

เรานั่งหันหน้าเข้าหากัน มองดูนั่นนี่ไปตลอดทางขณะรถรางเคลื่อนที่ด้วยความเร็วต่ำอยู่บนถนนเลียบโล่ง ผมพาธิดาเดินชมสวนที่มีการจัดตกแต่งไว้อย่างสวยงาม และเราจะอ้อยอิ่งเป็นพิเศษเมื่อที่นั่นมีดอกไม้สวย ๆ  ธิดาชอบดอกไม้ ซึ่งผมคิดว่าเป็นอะไรที่เข้ากับบุคลิกของเธอดี

อย่างไรก็ตาม ขณะเราสองคนเดินชมสวนหรือสถานที่ต่าง ๆ  ความทรงจำเก่า ๆ ขณะผมกับคิมหันต์เดินเคียงกันที่นี่ในฤดูร้อนก็มักฉายแวบเข้ามาในหัว ทุกครั้งที่เป็นเช่นนั้น รอยยิ้มก็พลอยเหือดแห้งไปจากใบหน้า

ทำไมผมถึงทำกับตัวเองแบบนี้นะ?

ผมชวนธิดามาที่นี่ทำไมในเมื่อรู้ดีว่าตัวเองต้องเจ็บ?

แต่ก็ดูเหมือนว่าผมจะทราบคำตอบอยู่แล้ว ผมคิดถึงเขายังไงล่ะ นั่นแหละคือสาเหตุที่ผมชวนธิดามาสวนหลวงเพื่อจะได้ตามรอยอดีตอันแสนหวาน เพราะผมไม่อาจเสแสร้งหลอกตัวเองอีกต่อไปแล้วว่าไม่อยากกลับมาที่นี่อีก

“เหนื่อยหรือยัง” ผมถามเมื่อเห็นว่าหญิงสาวมีเม็ดเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก

“อืม นิดหน่อยน่ะ”

“ถ้างั้นเราไปหาที่นั่งพักก่อนเถอะ”

ผมพาธิดาออกจากเรือนเฟิร์นและกล้วยไม้มานั่งใต้ร่มไม้แถวนั้น ผู้คนเดินผ่านมาและผ่านไป มีบางคนนั่งลงใต้ต้นไม้ถัดไปทางขวา ก่อนจะมีเสียงบ่นเกี่ยวกับมดแดงลอยมาให้ได้ยิน แล้วพวกเขาก็จากไป

“รันไม่เคยเล่าให้ดาฟังเลยว่าเคยมาที่นี่แล้ว”

“ก็เมื่อก่อนเราไม่ค่อยได้เจอกันไง พอได้เจอ รันก็ลืมตลอดเลย”

ธิดาหันมามองผมและถามว่า

“คิมหันต์พามาเหรอ”

“อะ...อืม ใช่ คิมพามาตอนปิดเทอม” ผมตอบโดยเลี่ยงที่จะสบตาเธอ

“อ่อ” เธอพยักหน้า ก่อนจะเอนหลังพิงต้นไม้ “จะว่าไปคิมหันต์ก็โชคดีนะ ได้ไปเรียนหนังสืออยู่เมืองนอก -- แล้วรันยังได้ติดต่อกับคิมหันต์อยู่ไหม”

ธิดาถามอย่างใคร่รู้ไปตามประสา แต่ผมไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรระหว่าง คุยสิ เรากับคิมหันต์ทั้งโทรศัพท์ทั้งส่งจดหมายหากันตลอด กับ ไม่ได้คุยเลย ซึ่งก็ไม่ค่อยเป็นความจริงเท่าไหร่ แต่สุดท้ายผมก็ทำได้เพียงส่ายหน้า

ผมไม่เคยบอกธิดาเกี่ยวกับการติดต่อตลอดหลายปีระหว่างผมกับคิมหันต์ เธอไม่รู้อะไรมากไปกว่าการที่พวกเราเรียนจบและแยกย้ายไปเดินบนเส้นทางใหม่ หลายครั้งที่เธอพยายามขอให้ผมบอกสาเหตุที่ร้องไห้ในตู้โทรศัพท์ และก็มีหลายชั่วขณะที่ผมเกือบจะบอกเธอ มันยากที่จะเก็บความทุกข์เอาไว้เมื่อเราอ่อนแอ

บางครั้งผมก็ต้องการระบายกับใครสักคน ใครบางคนที่ผมสามารถไว้ใจได้

ผมนั่งกอดเข่า ครุ่นคิด พลางทอดมองชายหนุ่มสองคนที่กำลังเดินเข้าไปในเรือนเฟิร์นและกล้วยไม้

“ดา เรามีอะไรจะบอก”

“อะไรเหรอ”

ผมหันไปสบตาเธอตรง ๆ  หัวใจเต้นแรงแทบระเบิดด้วยความกลัว

“เกี่ยวกับเรื่องในตู้โทรศัพท์เมื่อวันนั้น”

หญิงสาวกลับมานั่งหลังตรง สีหน้ายิ้มแย้มจางหายไป ผมอนุมานว่านั่นคือสัญญาณว่าเธอพร้อมฟังแล้ว ดังนั้นจึงเริ่มเล่าออกมาช้า ๆ  เริ่มปูเรื่องตั้งแต่สมัยมัธยมมาจนถึงเรียนจบ ก่อนจะอธิบายความรู้สึกของผมที่มีต่อคิมหันต์ บอกให้เธอรู้ว่าเราเป็นมากกว่าเพื่อนกัน ธิดานิ่งเงียบมากตลอดช่วงเวลาหลายนาที ผมคอยมองดูเธอขณะพูดไปเรื่อย ๆ  ความกลัวและกังวลแทรกซึมไปทั่วอวัยวะทุกส่วนเหมือนยาพิษ

พอผมเล่าจบ ซึ่งปิดท้ายด้วยการสารภาพอย่างตรงไปตรงมาว่า ผมรักและคิดถึงคิมหันต์มากแค่ไหน ทุกอย่างรอบตัวก็ดูเหมือนจะผิดแปลกไปหมด กระทั่งแสงแดดก็ให้ความรู้สึกเย็นไปถึงขั้วหัวใจ

“พ่อพลรู้เรื่องนี้ไหม” ธิดาถามเรียบ ๆ โดยไม่มองหน้าผม

“ไม่รู้” ผมเสียงสั่น “คิดว่าไม่น่าจะรู้นะ”

หญิงสาวพยักหน้า เธอแหงนมองท้องฟ้าและเงียบไปสักพัก ผมเองก็เงียบด้วย แล้วจากนั้นเธอก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่สุดตั้งแต่ที่ผมเคยได้ยินมา

“ความรักเป็นสิ่งที่ดี และความรักก็คือความรัก ดาเดาไม่ออกหรอกว่ารันรู้สึกยังไงตลอดเวลาที่ผ่านมา แต่ดาก็อยากจะบอกกับรันเอาไว้นะ ไม่ว่าจะยังไง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น รันจะมีดาเป็นเพื่อนและเป็นกำลังใจเสมอ”

พูดจบเธอก็หันมามองผม มีประกายระยิบระยับในดวงตาที่แดงระเรื่อ ผมมองเธอด้วยสายตาเปี่ยมความรู้สึก

“ดาตกใจไหมที่เรา...เอ่อ...ไม่ได้ชอบผู้หญิง” ผมเอ่ยถามอย่างลำบากเพราะลำคอกำลังตีบตัน

เธอไม่ตอบ แต่กลับเอื้อมมือมาวางบนไหล่ขวาของผม เราจ้องมองกันเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมองใบหน้าของเธอด้วยตัวตนที่แท้จริง ไม่ใช่ใครอีกคนที่ผมสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเอง

“ดารังเกียจเราไหม”

“อย่าพูดแบบนั้น” หญิงสาวทำเสียงเข้ม “รันเป็นเพื่อนดา ดาไม่มีทางรังเกียจรันหรอก”

ผมปากสั่นระริก เมื่อรู้ว่ากลั้นไม่ไหวจึงซุกหน้ากับหัวเข่า น้ำตาที่เคยคิดว่าไม่เหลืออยู่แล้วกลับเริ่มไหลหยดใส่เลนส์แว่นจนพร่ามัว ธิดาลูบหลังผมเพื่อปลอบใจ

“ไม่เป็นไรนะ รันยังมีดาอยู่ด้วยทั้งคน”

แล้วหญิงสาวก็ซบหัวกับไหล่ของผม เธอคอยกระซิบประโยคก่อนหน้านั้นซ้ำไปซ้ำมา ขณะผมปลดปล่อยความกังวล ความกลัวและความเศร้าผ่านทางหยาดน้ำตาที่หยดลงสู่พื้นดิน

ก่อนเดินทางกลับ ผมกับธิดาตัดสินใจนั่งรถรางชมวิวรอบ ๆ สวนหลวงอีกครั้ง และมานั่งหย่อนใจที่ริมสระน้ำแห่งหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยดอกบัวหลากสี

“รันเก่งมากเลยนะที่กล้าบอกเรื่องนี้ ดามาคิด ๆ ดูแล้วมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” เธอโยนหินเล็ก ๆ ก้อนหนึ่งลงสระ ทำให้เขียดตัวหนึ่งที่นั่งบนใบบัวพลิกตกลงน้ำ

“ไม่ได้เก่งอะไรหรอก”

“เก่งสิ ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้หรอกนะ” ธิดาบอก ก่อนจะสูดหายใจเข้าออกยืดยาว “แบบนี้ก็ดีเหมือน เพราะว่าต่อจากนี้ดาจะได้ตัดใจเสียที”

ผมหันไปมองเธอ ผมรู้ว่าธิดาหมายถึงอะไร

“ขอโทษนะ”

หญิงสาวส่ายหน้า

“รันไม่มีอะไรต้องขอโทษดาทั้งนั้น แค่รันมีความสุข ดาเองก็มีความสุขด้วย” เธอยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

ผมมองตาเธอ พลางคิดในใจว่านอกจากแม่พระ คงไม่มีใครจิตใจดีไปกว่าธิดาอีกแล้ว และผมก็โชคดีมากที่ชีวิตนี้ได้เป็นเพื่อนกับเธอ ผมหวังว่าสักวันหนึ่งธิดาจะได้พบกับใครสักคนที่ปฏิบัติต่อเธออย่างดี ทุ่มเทเอาใจใส่ และไม่มีวันทำให้เธอต้องเสียใจ

“ขอบคุณมากนะ” ผมยิ้มอย่างสดใส “ขอบคุณสำหรับทุกอย่างจริง ๆ”

แม้วันนั้นผมจะไม่ได้ทำให้ธิดามีความสุขเหมือนดั่งที่ปรารถนา แต่อย่างน้อยเธอก็ได้รับสิ่งสำคัญไปจากผม และนั่นก็คือความจริง เธออาจเจ็บปวดหรือเสียใจกับการเปิดเผยนี้ แต่ผมเชื่อว่าธิดาย่อมเข้าใจ เธอเป็นคนมีเหตุผล

จากวันนั้นจนกระทั่งผมเรียนจบและได้ร่วมงานเป็นนักแปลให้กับสำนักพิมพ์มาปีกว่า คิมหันต์ก็ยังคงหายเงียบราวกับไม่มีตัวตน ในที่สุดหลังรับปริญญา ผมจึงสั่งตัวเองให้หยุดความพยายามที่จะติดต่อหาเขาทุกช่องทาง แม้หัวใจจะแตกสลายยับเยิน แต่นั่นเป็นหนทางเดียวที่จะรักษาแผลนี้ได้ ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาก็มีธิดาคอยพูดคุยและให้กำลังใจเสมอ ส่วนเพื่อนในกลุ่มคนอื่น ๆ ไม่มีใครรู้ความลับนี้เลยสักคน

ผมเก็บรูปถ่าย จดหมายและทุกอย่างเกี่ยวกับคิมหันต์ใส่กล่องใบหนึ่ง มัดมันด้วยเชือกและยัดไว้ใต้เตียงนอนที่บ้านศรีราพันธ์ มีเพียงสิ่งเดียวที่ผมอนุญาตให้เหลือไว้นั่นก็คือแหวนเงินที่นิ้วนางข้างซ้าย ผมใจไม่แข็งพอที่จะถอดมันออก และคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะถึงวันนั้น

ตอนนี้กลับมาอยู่บ้านและเปลี่ยนห้องนอนเป็นที่ทำงาน ซึ่งนอกเหนือจากอาสาขับรถรับส่งอนุชากับมาลีไปโรงเรียน ผมก็ใช้เวลาแทบทั้งวันหมดไปกับการแปลต้นฉบับภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยและเรียบเรียง งานช่วยเบี่ยงเบนความสนใจได้เป็นอย่างดี ผมไม่ต้องการให้มีพื้นที่ว่างในสมองสำหรับเรื่องอื่นใด

บางครั้งผมก็ลงไปในไร่กับพ่อแม่บุญธรรมทำเพื่อศึกษาธุรกิจครอบครัว พวกท่านกำลังวางแผนส่งผลไม้ไปขายที่ประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งผมก็ได้มาช่วยเรื่องการติดต่อประสานงานและดูแลเอกสารต่าง ๆ  ส่วนถ้าวันไหนว่างจริง ๆ ก็จะขับรถเข้าไปในตัวเมืองเพื่อหาซื้อหนังสือน่าสนใจใหม่ ๆ  หรือไม่ก็โทรไปเล่นกับเพื่อน ๆ ทั้งสมัยมัธยมและมหาวิทยาลัย

การเติบโตและความก้าวหน้าในอาชีพการงานของแต่ละคนทำให้ผมใจหาย แน่นอนว่าผมยินดีกับความสำเร็จของเพื่อน ๆ  แต่ผมก็มิอาจหักห้ามความรู้สึกโหวงเหวงภายในใจเมื่อตระหนักว่า พวกเราเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว หมดเวลากับการใช้ชีวิตจำลองในรั้วสถาบันศึกษาอันสุขสบาย

ครั้งล่าสุดที่ผมโทรไปหาธิดา เธอบอกกับผมว่ากำลังคบหาดูใจกับหนุ่มหน้าตาดีที่ทำงานอยู่ในบริษัทประกันชีวิต พวกเขาเพิ่งเริ่มคุยกันได้สามเดือนและความสัมพันธ์ก็กำลังเป็นไปได้สวย ธิดายังเสริมอย่างขำ ๆ ว่าหากความรักนี้ไปรอด เธอจะหาโอกาสพาเขามาแนะนำให้ผมรู้จัก

“ได้สิ พามาโคราชเลย รันจะได้พาทัวร์ไร่ศรีราพันธ์” ผมยืนยิ้มคนเดียวอยู่หน้าโทรศัพท์บ้าน

“รอให้ดากับแฟนว่างงานตรงกันเมื่อไหร่จะไปแน่นอน” เสียงปลายสายตอบกลับมา

หลังจากวางสายผมก็กลับขึ้นห้องไปทำงานต่อ สู่โลกแห่งความจริงอันเหงาเปล่าเปลี่ยวที่ผมต้องสู้ทนรับมือ

คนอื่นอาจมีงานการที่สนุก แต่ผมกลับเลือกที่จะคลุกอยู่กับหนังสือและคอยวิ่งธุระให้กับไร่ บางครั้งถ้ารู้สึกเหงามากจนเหลือทน การสัมผัสตัวเองก็เป็นวิธีแสนง่ายที่นาน ๆ ครั้งผมจะเลือกทำ นี่แหละคือชีวิตวัยผู้ใหญ่ของผม โดดเดี่ยว จืดจางและช่างไร้สีสัน แต่ผมก็อยู่กับมันมาได้จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมา 15 ปี

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา