เมื่อคิมหันต์มาเยือน

9.0

เขียนโดย ตะวันอัศวิน

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 22.31 น.

  25 ตอน
  0 วิจารณ์
  8,835 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 00.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

23) จดหมาย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ผมไม่ได้กลับมาบ้านเณรอีกเลยตั้งแต่เรียนจบ นี่จึงเป็นครั้งแรกในรอบสิบห้าปีที่ได้มาเยือน ผมลงจากรถ แหงนมองท้องฟ้าอันแจ่มกระจ่าง ฟังเสียงนกร้องอย่างสดใสบนต้นไม้ ก่อนจะมองดูอาคารเรียนด้วยความคิดถึง ความทรงจำที่หลับใหลค่อย ๆ ตื่นขึ้น

มีการตัดและปลูกต้นไม้เพื่อปรับทัศนียภาพ อาคารเรียนถูกทาสีใหม่ ถึงแม้สวนหย่อมข้างสนามฟุตบอลจะถูกแทนที่ด้วยสิ่งปลูกสร้าง และโรงเก็บของถูกรื้อออกไป แต่บ้านเณรก็ยังคงเค้าโครงเดิมอยู่

ทว่าสิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือบุคลากร มีคนหมุนเวียนเข้าออกตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ล่าสุดคือตำแหน่งอธิการ ตอนนี้คุณพ่ออรรถพลเกษียณได้สามปีแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นท่านก็ยังคงอยู่ที่นี่ พักห้องเดิม และยังคงทำงานอื่น ๆ ช่วยเหลือสถาบัน ท่านเป็นผู้อุทิศตน เรื่องนี้หลายคนต่างรู้กันดี

ขณะเดินเข้าไปด้านใน ผมพยายามควบคุมไม่ให้สติแตกไปเสียก่อน ความคิดมากมายกำลังทำให้เส้นประสาทปวดตุบ นี่มันอะไรกันหนอ จู่ ๆ ก็ได้รับสายจากคุณพ่ออรรถพลให้เข้ามาคุยเกี่ยวกับคิมหันต์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตลอดระยะเวลาสิบห้าปีที่ผ่านมาผมทำได้เพียงแค่ฝันถึง

เพราะตั้งแต่วันที่ธิดาพบผมร้องไห้ในตู้โทรศัพท์ นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมติดต่อคุณพ่ออรรถพลเพื่อถามถึงคิมหันต์ ผมใช้ความกล้าทั้งหมดในชีวิตทำสิ่งนั้น และเมื่อมันล้มเหลว ความมั่นใจและทุกอย่างในตัวผมก็ล้มพังเหมือนโดมิโน ซึ่งนั่นทำให้ผมตระหนักว่าควรพึ่งพาความอดทนของตัวเอง หากผมเขียนจดหมายและโทรหาเขาบ่อย ๆ  สักวันหนึ่งผมจะได้ข่าวจากเขา

แต่ก็ไม่มีวันนั้น จนกระทั่งผ่านมาถึงวันนี้

คุณพ่อนั่งอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อนข้างโรงอาหาร ท่านโบกมือและยิ้มให้เป็นการทักทาย หัวใจผมเริ่มเต้นแรงอีกครั้ง อาจเป็นเพราะยินดีที่ได้พบบุคคลที่รักไม่ต่างจากบิดา และหวาดหวั่นที่จะได้สนทนาถึงคนรักที่หายเงียบไป

เมื่อเข้าไปใกล้จึงเห็นว่าบนโต๊ะมีกาน้ำชา แก้วชาสองใบและกล่องคุกกี้หน้าตาแปลก ๆ เปิดทิ้งไว้ ดูเหมือนท่านเตรียมไว้ต้อนรับ หรือไม่ก็บอกเป็นนัย ๆ ว่าเราอาจต้องคุยกันยาว

“รอนานไหมพ่อ” ผมถามหลังจากกล่าวสวัสดี

“ไม่หรอก พ่อก็เพิ่งมานั่งรอเมื่อตะกี้เอง”

ผมนั่งลงบนม้านั่งตัวข้าง ๆ  จากนั้นก็มองใบหน้าที่มีรอยเหี่ยวย่น แม้เมื่อวานเราจะเจอกันที่งานบวชของชลเทพ หากแต่ก็ได้คุยกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น คุณพ่อตั้งต้นรินชาใส่แก้วและส่งให้ผม

“เป็นไง คิดถึงที่นี่ไหม”

“คิดถึงครับ ไม่ได้กลับมาตั้งนาน” ผมกล่าวพลางมองรอบ ๆ

“แล้วทำไมไม่มาล่ะ พวกพ่อก็คิดเอ็งเหมือนกัน”

“งานยุ่งน่ะครับ ไม่ค่อยมีเวลา”

ขณะจิบชากันเงียบ ๆ  ผมคิดอย่างใจร้อนว่าเมื่อไหร่เราจะเริ่มคุยเรื่องคิมหันต์สักที คุณพ่อเลื่อนถาดคุกกี้ให้ผม ดวงตาคู่นั้นจ้องมองอย่างอ่อนโยน

“กินสักหน่อยสิ”

“ไม่ล่ะครับ ผมไม่หิว”

“กินเถอะ คิมมันอุตส่าห์ส่งมาให้”

ผมเกือบทำแก้วหลุดมือ คุณพ่อหยิบคุกกี้ชิ้นหนึ่งและยื่นให้ ผมจ้องคุกกี้วงกลมตรงหน้า ก่อนจะยื่นมือออกไปรับ

“เดือนที่แล้วพ่อได้รับพัสดุกล่องหนึ่ง ตอนแรกนึกว่าส่งผิดเพราะพ่อไม่คุ้นชื่อที่อยู่ผู้ส่ง แต่ที่อยู่ผู้รับจ่าเป็นชื่อพ่อจริง ๆ  พ่อไม่รู้จะเอายังไงก็เลยเก็บเอาไว้ก่อน แล้วก็ผ่านมาจนถึงเมื่อวาน มีคนรับซองเอกสารและเอามาวางในห้องพ่อ เขาวางไว้บนกล่องพัสดุนั่น พ่อก็เลยนึกขึ้นได้ว่าจะทำยังไงดี

“สุดท้ายพ่อก็ตัดสินใจแกะเปิด ข้างในมีคุกกี้หนึ่งกล่อง พอเปิดกล่องคุกกี้ก็เจอจดหมายสองฉบับ ฉบับหนึ่งจ่าหน้าซองถึงพ่อ ส่วนอีกฉบับสำหรับเอ็ง พ่ออ่านจดหมายที่เขียนถึงตัวเองก็เลยได้รู้ว่าของนี่มาจากเจ้าคิม ถึงแม้มันจะพิลึกอยู่สักหน่อยก็เถอะ แต่พ่อก็ดีใจที่เขาติดต่อมา พ่อไม่ได้ข่าวคราวจากเขานานมากแล้ว”

คุณพ่อดูเศร้าขณะพูดถึงคิมหันต์ สีหน้าของท่านไม่ต่างอะไรจากผมตอนนี้

“พ่อไม่ได้คุยกับคิมเลยเหรอครับ”

“อืม พ่อได้คุยแต่กับพ่อแม่ของเขา ซึ่งก็นาน ๆ ที”

“ทำไมล่ะครับ ผมนึกว่าพ่อติดต่อกับฝั่งโน้นอยู่ตลอด”

คุณพ่อไม่พูดอะไร เพียงแค่ส่ายหน้าและจิบชา ผมจึงพยายามคิดตาม บางทีอาจมีเหตุผลที่ซับซ้อนมากกว่าที่คาดคิด

“แล้วพวกเขายังใช้เบอร์บ้านเดิมที่อยู่เดิมอยู่ไหมครับ ผมติดต่อคิมไม่ได้เลย” ผมถามต่ออย่างไม่รีรอ ก่อนจะยื่นโทรศัพท์มือถือให้คุณพ่อดูข้อมูลในนั้น

“พวกนั้นย้ายบ้านหนหนึ่งตอนที่พ่อเจ้าคิมย้ายที่ทำงาน” คุณพ่อมุ่นคิ้วและมองหน้าผม “เอ็งไม่รู้เรื่องนี้เลยเหรอ”

“ครับ ผมไม่รู้ ผะ...ผมไม่ได้ติดต่อกับคิมมาหลายปีแล้ว”

ผมกัดคุกกี้ เคี้ยวมันช้า ๆ  ราวกับคาดว่าจะได้ลิ้มรสชาติบางอย่างที่โหยหา คุณพ่ออรรถพลยังคงมองผมอยู่ แต่สายตานั้นเปลี่ยนไป ดูเหมือนกำลังสงสาร

“ทำไมล่ะ” ท่านถาม น้ำเสียงแฝงเจตนาบางอย่างที่ฟังแล้วรู้สึกเหมือนกำลังถูกสอบสวน

“ไม่รู้ครับ จู่ ๆ เขาก็เงียบหายไป ผมติดต่อเขาไม่ได้อีกเลย” ผมหลุบสายตามองต่ำ “แต่ว่า...พ่อรู้ใช่ไหมว่าเขาสบายดี”

ผมชำเลืองมองคุณพ่อ ท่านยังคงมองด้วยสายตาสงสาร แล้วจึงยิ้มบาง ๆ

“พ่อหวังว่าเขาคงสบายดี”

จากนั้นท่านก็ล้วงเอาจดหมายออกจากกระเป๋ากางเกงและยื่นให้ผม มันถูกปิดผนึก

“ลองอ่านดูสิ”

ผมรับจดหมายมา มันถูกจ่าหน้าซองด้วยลายมือหวัด ๆ ที่ผมจำได้ไม่เคยลืม ตอนแรกผมลังเลที่จะเปิดอ่านต่อหน้าคุณพ่ออรรถพล แต่เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว ผมคิดว่าบางทีอาจถึงเวลาที่ควรจะเลิกหลบซ่อนเสียที

ถึง นิรันดร์

สบายดีไหม หวังว่านายคงสบายดีนะ

รันที่รัก ฉันอยากเจอนายเหลือเกิน อยากอธิบายให้รับรู้ แต่มันยากที่จะเล่าทุกอย่างได้หมดผ่านทางจดหมาย เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นช่างเหมือนฝันร้าย มันเลวร้ายมาก แต่เพราะนาย ฉันก็เลยยังคงมีความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป

ขอโทษสำหรับทุกอย่าง ขอโทษที่ขาดการติดต่อ นายคงโกรธ ผิดหวังและเสียใจมาก ทว่าฉันเองก็ทรมานไม่แพ้กัน ทั้งร่างกายและจิตใจ แต่กระนั้น จงรู้ไว้เถิดว่าไม่เคยเลยสักวันที่จะไม่คิดถึง ทุกสิ่งที่ทำด้วยกันยังคงอยู่ในความทรงจำเสมอ

เวลาทุกวันผ่านไปอย่างยากทุกข์ระทม กว่าจะมีโอกาสได้เขียนจดหมายอีกครั้งก็ล่วงเลยมาสิบกว่าปี หวังว่ามันคงไม่สายเกินไปที่จะติดต่อกับนายและทุก ๆ คน ขอได้โปรดอย่าลืมกัน ฉันไม่เหลือใครแล้วนอกจากนาย เพราะนายคือทั้งหมดที่ฉันมี

หากอ่านมาถึงตรงนี้และยังคงจำกันได้ ช่วยกรุณาติดต่อกลับมาที่ที่อยู่ที่แนบมาด้านหลัง ฉันจะเฝ้ารอคอยนายนะรัน หวังอย่างสุดหัวใจว่านายจะติดต่อกลับมา

ด้วยรักและคิดถึง

ผมพลิกกระดาษไปด้านหลัง จากนั้นก็เงยหน้ามองคุณพ่ออรรถพลซึ่งกำลังส่งมอบรอยยิ้มอ่อนโยน

“อยากคุยอะไรกับพ่อไหม”

ผมตัวสั่น และก่อนที่จะเอื้อนเอ่ยคำใด น้ำตาก็ไหลพรั่งพรูหยดใส่แผ่นกระดาษ ผมเริ่มร้องไห้จนตัวโยน ไม่รู้ตัวเลยว่าทรุดลงไปกองอยู่บนพื้น จนกระทั่งคุณพ่ออรรถพลพยุงผมขึ้นและสวมกอด

“ผะ...ผมคิดถึง...ขะ...เขาเหลือเกิน ผม...”

“ไม่เป็นไรนะลูก อย่าร้องไห้เลย”

แม้จะดูตกใจมาก แต่ท่านก็กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น มันทั้งอบอุ่นและอ่อนโยน แม้ความเมตตาของคุณพ่อจะทำให้ผมแทบสัมผัสได้ถึงพระเจ้า ทว่ามีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่ผมปรารถนาให้คอยซับน้ำตา ณ ตอนนี้

เสียงใบไม้พลิ้วไหว หมู่นกยังคงร้องต่อไป ขณะผมกำลังเล่าทุกอย่างให้คุณพ่ออรรถพลฟังอยู่ในสวนหย่อม ทั้งความลับ ความรัก และความหวังถูกเล่าผ่านน้ำเสียงสะอึกสะอื้น หลังจากผมหยุด คุณพ่อก็เผยให้ทราบว่าคิมหันต์ได้อธิบายความสัมพันธ์ของเราไว้ในจดหมาย และนี่คือเหตุผลหนึ่งที่ท่านตัดสินใจชวนผมเข้ามาพูดคุย

ตลอดเวลาที่นั่งเงียบ ๆ อยู่ตรงนั้น ผมซ่อนความละอายบนสีหน้าด้วยการมองไปทางอื่น สองสามครั้งที่แอบเหลือบมามองอีกฝ่าย ซึ่งก็ต้องแปลกใจเพราะคุณพ่อไม่ได้มีท่าทางเปลี่ยนไปเลย ท่านยังคงมองดูผมด้วยสายตาแบบเดิม คือเมตตาและสงสาร

“ผมขอโทษ”

“เอ็งขอโทษทำไม”

“ผมแค่อยากขอโทษ สำหรับทุก ๆ อย่างและอะไรที่เคยปิดบังพ่อ”

ชาถูกรินใส่แก้วและยื่นส่งมาให้ ผมรับไปดื่มพร้อมกับรอฟังสิ่งที่คุณพ่อจะพูดด้วยใจลุ้นระทึก

“อย่าเลย เอ็งไม่มีอะไรต้องขอโทษพ่อทั้งนั้น เรื่องพวกนั้นมันเป็นเรื่องระหว่างเอ็งกับเจ้าคิม พ่อเป็นคนนอก” คุณพ่อกล่าวอย่างอ่อนโยน “แล้วจะเอายังไงต่อ”

“อะไรเหรอครับ”

“คิดจะทำยังไงต่อจากนี้”

ผมส่ายหัว ผมเองก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป แน่นอนว่าความต้องการที่จะติดต่อคิมหันต์ยังมีอยู่ท้วมท้น แต่ในใจก็กลัวว่าหากเราได้พบกันอีกครั้ง ความรู้สึกทั้งหมดที่เคยมีอาจไม่เหมือนเมื่อตอนอายุสิบหก เราอาจกลายเป็นคนแปลกหน้าแก่กันและกันไปแล้วก็ได้

“ยังไม่รู้เลยครับ ผมอาจไม่ทำอะไรเลยก็ได้ ผมกลัว...”

คุณพ่อวางแก้วลงบนโต๊ะ

“ฟังพ่อนะรัน ถึงพ่อจะเป็นพระ ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องหัวใจต่อใคร ๆ  แต่อย่างหนึ่งที่อยากจะบอกไว้คือถ้าเอ็งจะหยุดความรู้สึกดี ๆ เพียงเพราะความกลัว นั่นอาจทำให้เอ็งเสียใจไปจนวันตายเลยก็ได้นะ” คุณพ่อยิ้มบาง ๆ “ไม่​มี​ความ​กลัว​ใน​ความ​รัก ความ​รัก​ที่​สมบูรณ์​ย่อม​ขจัด​ความ​กลัว เพราะ​ความ​กลัวคือ​ความ​คาดหมาย​ว่า​จะ​ถูก​ลงโทษ ความ​รัก​ของ​ผู้​มี​ความ​กลัว​จึง​ยัง​ไม่​สมบูรณ์ 1 ยอห์น บทที่ 4 ข้อที่ 19”

ผมอึ้งไปพักหนึ่งพลางครุ่นคิดถึงสิ่งที่เพิ่งได้ยิน นี่หมายความว่าอย่างไร ท่านเห็นชอบต่อความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคิมหันต์อย่างนั้นหรือ

“มะ...หมายความว่าไงครับ พ่อเห็นด้วยงั้นเหรอครับ” ผมถามอย่างละล่ำละลัก

“มันก็มีบางเรื่องที่พ่อไม่เห็นด้วยนะ และใช่ เรื่องที่เอ็งกับคิมแอบคบกันพ่อก็ไม่ได้บอกว่าเห็นดีเห็นงามนักหรอก” ท่านว่า “แต่นั่นก็ไม่ใช่กิจการอะไรของพ่อที่จะเข้าไปตัดสิน หรือบอกว่าสิ่งไหนผิดถูก พ่อไม่ใช่ผู้พิพากษา แต่ถ้ามีอะไรอยากให้ช่วยก็บอกได้”

ผมจิบชาและใช้ความคิด ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“พ่อครับ ผมจะตกนรกไหมที่เกิดมาเป็นแบบนี้”

“มันไม่เกี่ยวกับการที่เอ็งเกิดมาเป็นแบบนี้แล้วจะต้องตกนรก พระไม่ได้มองแค่นั้น แต่พระองค์มองลึกลงไปในนี้ต่างหาก” คุณพ่อชี้ที่หัวใจของผม “ตัวตนไม่อาจด้อยค่าจิตใจ การกระทำเท่านั้นที่เป็นตัวลิขิตชีวิตของเรา”

ผมพยักหน้า แต่ก็ยังไม่หมดความสงสัยที่ค้างคาใจ

“แล้วพ่อคิดว่าพระองค์สร้างให้ผมเป็นแบบนี้ไหม”

“พ่อไม่รู้หรอกลูก แต่พ่อเชื่อว่าพระเจ้ารักเราทุกคน” ท่านเอื้อมมือมาจับแขนผม “รันเอ๊ย เอ็งจะเป็นอะไรมันไม่สำคัญหรอก ขอแค่เอ็งเป็นตัวเองที่มีความสุข ไม่สร้างความเดือดร้อนแก่คนอื่นก็พอแล้ว”

ประโยคนั้นทำให้รู้สึกดีขึ้น คำพูดของคุณพ่อหนุนใจผมได้อย่างมหาศาล โดยเฉพาะในสถานการณ์เช่นนี้

“ถ้างั้นพ่อรังเกียจผมไหมที่เป็นแบบนี้”

ท่านดูไม่ค่อยชอบใจที่ได้ยินคำถามนั้น เห็นได้จากคิ้วสีเทาที่ขมวดเข้าหากัน

“เอ็งยังไม่รู้จักพ่อเหรอ เคยเห็นพ่อเลือกปฏิบัติไหม”

“ไม่เคยครับ”

คุณพ่ออรรถพลยิ้ม

“ถ้างั้นก็เลิกกังวลได้แล้ว พ่อยังรักเอ็งเหมือนเดิม”

ผมยิ้มกว้าง และต้องใช้ความพยายามอย่างหนักกลั้นน้ำตาเอาไว้ ก่อนจะมองไปยังวัดน้อยที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล

เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไรหนอ ที่ผ่านมาผมกลัวว่าหากสารภาพเรื่องนี้แก่คุณพ่ออรรถพล ชีวิตของผมคงจบสิ้นภายในบัดดล และความคิดนี้เองที่ทำให้ผมเก็บความลับมาได้เกือบยี่สิบปี

แต่พอมาวันนี้ ในวันที่อากาศแจ่มใส แทนที่ผมจะได้ใช้ชีวิตเสแสร้งเหมือนทุกอย่างเป็นปกติภายใต้ท้องฟ้าอันปลอดโปร่ง ผมกลับเร่งรีบมาที่นี่เพราะจะเป็นจะตายที่จะได้รู้ข่าวเกี่ยวกับเขา ทว่าความเหงาและโดดเดี่ยวที่สะสมมานานทำให้ผมเหนื่อยที่จะเก็บซ่อนมันไว้อีกต่อไป ดังนั้นทุกอย่างจึงเหมือนเขื่อนที่ถูกเปิดออก ความจริงทั้งหมดหลั่งไหลประดุจสายน้ำที่ไม่มีอะไรมาขวางกั้น คุณพ่อใช้มือตักน้ำขึ้นมาโดยไม่สนว่าจะสกปรกหรือขุ่น พิจารณามัน ก่อนจะดื่มกินโดยไม่รังเกียจเดียดฉันท์

ซึ่งเหตุการณ์คงไม่ออกมาเป็นเช่นนี้หากคนรอบข้างไม่เปิดใจ และผมคงถูกประณามสาปแช่งไปจนวันตาย แต่ผมนั้นช่างโชคดีเหลือเกิน

ผ่านไปสักพักผมจึงเอ่ยขึ้น

“ผมควรทำยังไงดี”

“แล้วเอ็งอยากทำอะไรล่ะ”

ผมหันกลับมามองคุณพ่ออรรถพล

“ผม...ผมอยากเจอคิม”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปหาเขาสิ”

“ผมไปได้เหรอ” ผมเลิกคิ้ว

“ได้สิ คิดว่าพ่อห้ามอย่างนั้นเหรอ ถ้าได้เจอกันอย่าก็ลืมบอกเจ้าคิมล่ะว่าพ่อคิดถึง”

ผมยิ้ม หัวใจพองโตด้วยความเบิกบาน ก่อนจะพับเก็บจดหมายใส่กระเป๋ากางเกง

เย็นวันนั้นผมกับปราการชวนกันไปทานอาหารที่ร้านข้างนอก ระหว่างนั่งรอพนักงานนำอาหารมาเสิร์ฟ ผมคิดไม่ตกว่าควรเล่าเรื่องที่ไปพบคุณพ่ออรรถพลให้ปราการฟังดีไหม เพราะถ้าจะมีใครที่สมควรได้รู้ ปราการเองก็เป็นหนึ่งในบรรดาคนเหล่านั้น

“การ” ผมเรียกเขา

“ว่าไง” เขาพูด ยังคงจ้องมองโทรศัพท์

“คือกู...คือแบบว่า”

“อะไร” เขาเงยหน้ามามอง

ผมเริ่มประหม่า

“วันนี้ที่กูไปหาพ่อพล กูได้ข่าวเกี่ยวกับคิมหันต์ด้วย”

“ไอ้คิมน่ะเหรอ จริงดิ! มันเป็นไงมั้งว้ะ” ปราการวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ

“กูก็ไม่รู้ว่ะ รู้แค่ว่ายังอยู่ที่อิตาลี” ผมบอก “นั่นแหละ กูอยากจะ...เอ่อ กู...”

“อะไรของมึง อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่ได้”

ผมละล่ำละลัก ใจสั่นจนแทบระเบิด มันไม่ง่ายเลยที่เอ่ยประโยคที่อยู่ในหัวออกมา ผมบีบมือที่วางบนหน้าตักจนแน่น ปราการมองด้วยสีหน้าคาดหวัง

“กูว่าจะไปเที่ยวอิตาลี มึงช่วยจองโรงแรมให้หน่อยได้มั้ย”

หมอนั่นเลิกคิ้ว

“จะไปหาไอ้คิมเหรอ”

ผมชะงักเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า

“ถ้ามีเวลาก็จะลองแวะไปหา”

“แล้วมึงจะไปช่วงไหน” ปราการถาม

“ยังไม่รู้เลย กูต้องยื่นวีซ่าก่อน”

“งั้นค่อยส่งข้อความมาบอกละกัน”

จังหวะนั้นเองอาหารที่สั่งก็ถูกนำมาเสิร์ฟ ด้วยความหิวเราจึงตั้งหน้าตั้งตารับประทาน ต่างคนต่างเงียบ จนกลายเป็นว่าสุดท้ายผมก็ไม่ได้เล่าอะไรให้เขาฟัง

วันต่อมาผมตื่นแต่เช้าเพื่อขับรถไปส่งปราการที่สถานีขนส่ง เป็นอีกครั้งที่ผมกับเขาต้องกล่าวอำลากัน ความรู้สึกโหวงเหวงเข้าแทรกซึมขณะมองปราการขึ้นไปนั่งบนรถบัส เขาโบกมือให้ผมผ่านกระจกหน้าต่าง ผมโบกตอบพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นก็หันหลังและเดินกลับไปที่รถของตัวเอง

ผมกลับไปที่โรงแรม อาบน้ำแต่งตัว สำรวจตรวจตราสัมภาระเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะดูนาฬิกาในโทรศัพท์มือถือ จากนั้นก็ดึงจดหมายของคิมหันต์จากกระเป๋ากางเกงออกมาอ่านอีกครั้ง อ่านจบแล้วก็วนกลับไปอ่านอีกรอบ หัวใจเต้นระส่ำในทรวงอก

สายตาผมจดจ่ออยู่ที่เบอร์โทรศัพท์ซึ่งกำกับใต้ที่อยู่ของคิมหันต์ มือขวากำโทรศัพท์มือถือเอาไว้แน่น อยากโทรหาเขาเหลือเกิน ทว่าตอนนี้ที่อิตาลีเป็นเวลาประมาณเกือบตีสาม ฉะนั้นผมทำอะไรไม่ได้นอกจากท่องคำว่าอดทน ขณะหิ้วกระเป๋าเป้ลงไปเช็คเอ้าท์ที่ชั้นล่าง

จากนั้นสิบห้านาทีผมก็เข้ามานั่งในรถยนต์และขับออกสู่ท้องถนน มุ่งหน้าสู่ไร่ศรีราพันธ์ซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายร้อยกิโลเมตร

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา