เมื่อคิมหันต์มาเยือน

9.0

เขียนโดย ตะวันอัศวิน

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 22.31 น.

  25 ตอน
  0 วิจารณ์
  8,827 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 00.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) การปะทะ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

วันเสาร์สัปดาห์ที่สองในเดือนสิงหาคม ผมมีนัดกับตงเปียนทำการบ้านแปลบทความของคุณพ่อฟิลิปที่สวนหย่อม เราช่วยกันระดมสมองที่โต๊ะม้านั่งหินอ่อนตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยง

ในบรรดาสิ่งที่ผมชื่นชอบ ภาษาถูกจัดอยู่ในนั้นด้วยเพราะมีความรู้สึกว่ามันเป็นศิลปะที่สวยงาม ผมคิดว่าตัวเองสามารถแปลบทความได้เป็นวัน ๆ หากมีเวลาว่างมากพอ แต่คงไม่ใช่กับเพื่อนตัวเล็กซึ่งตอนนี้ฟุบหน้าลงกับโต๊ะยอมแพ้ไปแล้ว

“มึง กูหิวข้าว” ตงเปียนเงยหน้ามองผมอย่างโอดครวญ เขาทำจมูกฟุดฟิดสูดดมกลิ่นหอมที่โชยมาจากโรงอาหาร

“ได้ดิ แต่หลังจากที่มึงแปลส่วนของตัวเองเสร็จแล้วนะ” ผมบอกโดยที่ไม่ละสายตาไปจากหน้ากระดาษ

“มึงจะรีบทำไมขนาดนั้น ไปหาอะไรกินก่อนแล้วค่อยมาทำต่อทีหลังก็ได้” เขาคร่ำครวญด้วยสำเนียงแปร่ง ๆ ฟังดูขบขัน

ถ้าเป็นคนอื่นผมคงทำหูทวนลม ทว่านี่คืออาตี๋ตงเปียนผู้ที่แม้แต่โกรธก็ยังดูน่ารัก ฉะนั้นผมจึงยอมเก็บของใส่กระเป๋าสะพายหลังสีน้ำเงินก่อนจะพากันเดินตัดสวนหย่อมไปทางโรงอาหาร

ทันทีที่เข้ามาในนี้ผมก็สอดสายตามองหาคิมหันต์โดยอัตโนมัติ ในใจแอบหวังว่าจะได้เห็นเขาสักแวบเพราะตั้งแต่ตื่นมาคิมหันต์ก็ไม่อยู่ห้องแล้ว แถมวันนี้เขากับพวกปราการก็ไม่เข้าร่วมพิธีมิสซาประจำวันอีกด้วย ผมจึงอยากรู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหนและกำลังทำอะไร

คิมหันต์ไม่อยู่ที่นี่ เลิกคิดมากได้แล้ว

ผมบอกตัวเองก่อนจะถือชามก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นไปนั่งที่โต๊ะอย่างผิดหวัง

หลังจากนั้นผมชวนตงเปียนไปทำการบ้านต่อที่สวนหย่อมอีกแห่งซึ่งอยู่ใกล้กับสนามฟุตบอล แม้ปกติจะไม่ชอบมานั่งที่นั่นเนื่องจากอาจโดนลูกฟุตบอลอัดหน้าได้ตลอดเวลา แถมยังมีต้นไม้ให้ร่มเงาน้อยกว่าสวนหย่อมข้างโรงอาหาร ทว่าวันนี้อากาศดีและแดดไม่ร้อนมาก ดังนั้นจึงถือโอกาสเปลี่ยนบรรยากาศเสียบ้าง

ขณะเดินไปตามถนนผมก็คอยมองหาคิมหันต์ไปด้วย ยังคงมีความหวังที่จะเจอเขาแถว ๆ นี้ แต่เมื่อไปถึงก็พบว่าทั้งสวนหย่อมและสนามฟุตบอลนั้นว่างเปล่า ความรู้สึกผิดหวังขยายวงกว้างครอบงำจิตใจเหมือนหมึกซึมบนหน้ากระดาษ มันทำให้ผมไม่อยากทำอะไรอีกแล้วนอกจากกลับห้องและนอนโง่ ๆ บนเตียง

และในเสี้ยววินาทีแห่งความวุ่นวายใจ ผมก็ได้ทำในสิ่งที่เคยย้ำกับตัวเองนักหนาว่าห้ามเด็ดขาด ซึ่งนั่นก็คือการถามคนอื่น

“มึงเห็นคิมหันต์บ้างไหม” ผมเอ่ยขึ้นเหมือนถามลอย ๆ  สองมือแสร้งทำเป็นรื้อของออกจากกระเป๋ามาวางบนโต๊ะปูนวงกลม

“ไม่เห็นนะ กูก็อยู่กับมึงตลอดตั้งแต่เช้า” ตงเปียนเลิกคิ้ว “แล้วมันไม่ได้บอกมึงเหรอว่าไปไหน”

ผมส่ายหน้า

“มีอะไรหรือเปล่า” เขาถาม

“ไม่มีอะไรหรอก” ผมบอกปัด “กูแค่คิดว่ามันจะเอาดิกชันนารีที่ไหนใช้ทำงาน ก็เมื่อวานมันให้กูยืมของมันมาใช้” ผมชูพจนานุกรมอังกฤษ - ไทยให้เพื่อนดู

“มันคงทำเสร็จแล้วมั้ง” ตงเปียนว่าก่อนจะเสริมต่ออย่างรวดเร็ว “แล้วมึงก็ไม่ต้องไปห่วงมันหรอก ห่วงตัวเองก่อนดีกว่าไหม ไอ้คิมมันเรียนเก่งจะตาย”

ผมนิ่งเงียบ สมองกำลังประมวลคำว่า “เก่ง” ที่เพิ่งได้ยิน

ใคร ๆ ก็รู้ว่าคิมหันต์เป็นคนเก่ง บางทีการมีพ่อแม่เป็นหมอคงช่วยอะไรได้เยอะ เขารู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษมากมายโดยแทบไม่จำต้องเปิดพจนานุกรมเลย คิมหันต์จะรู้ตัวไหมว่าเขามันเป็นอัจฉริยะ

“เอาไปเถอะ เราไม่ค่อยได้ใช้หรอก”

ผมยังจำคำพูดนั้นได้ขึ้นใจ ขณะยืนทำหน้าสงสัยหลังจากที่คิมหันต์ยื่นพจนานุกรมให้

“แน่ใจนะว่าไม่ใช้จริง ๆ” ผมถามพร้อมกับรับหนังสือปกสีแดงมาอย่างทะนุถนอม

“อืม ไม่ใช้หรอก เราเก่งแล้ว” เขายิ้มกวน ๆ ก่อนจะขอตัวไปวิ่งกับเพื่อนในทีมฟุตบอล

วาจา รอยยิ้มและท่าทางเหล่านั้นทำให้ผมเจ็บแปลบในทรวงอกด้วยความหมั่นไส้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะเขาไม่ได้พูดเกินจริงเลย

หลังจากล็อกประตูห้องแล้วผมก็กลับมานั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ จ้องมองพจนานุกรมที่วางอยู่ตรงหน้าและจัดการพรมจูบมันด้วยความดีใจเหมือนคนบ้า ก่อนจะทำการบ้านตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ผ่านไปประมาณสองชั่วโมง พระอาทิตย์คล้อยต่ำลงและท้องฟ้าเริ่มละลายเป็นสีส้มเข้ม ผมวางปากกาลงเมื่อในที่สุดก็ทำการบ้านเสร็จ ตงเปียนถึงกับร้องไชโย ผมมองเพื่อนตัวน้อยด้วยความเอ็นดูขณะเขาเต้นดุ๊กดิ๊กอย่างดีใจ จากนั้นเราก็เดินเล่นรอบ ๆ สวนหย่อมเพื่อยืดเส้นยืดสาย

“มึงกูปวดฉี่ พากูไปเข้าห้องน้ำหน่อยดิ” ตงเปียนทำหน้านิ่วเล็กน้อย

“เออ ๆ” ผมตอบ

แล้วพวกเราก็เดินตัดสนามฟุตบอลมุ่งหน้าไปยังสุขาสำหรับนักกีฬา ซึ่งผมไม่ค่อยเข้าใช้บ่อยนักเพราะมันค่อนข้างสกปรก แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับเด็กหนุ่มตัวน้อยคนนี้เลย

“กูยืนรอตรงนี้นะ” ผมบอกเมื่อมายืนอยู่หน้าห้องน้ำ

ตงเปียนพยักหน้าและรีบอ้อมไปยังโถ่ฉี่ซึ่งอยู่ด้านหลัง

ขณะยืนรอผมก็แว่วได้ยินคนกลุ่มหนึ่งส่งเสียงดังมาจากอีกฟากของกำแพงรั้วใกล้ ๆ  ร่างของผมแข็งทื่อเมื่อได้ยินน้ำเสียงอันคุ้นเคยที่กำลังตามหา ไม่จำเป็นต้องเห็นหน้าผมก็รู้ว่าเจ้าของเสียงนั้นคือใคร

แต่ว่า...พวกเขาไปทำอะไรที่หลังกำแพงโรงเรียนกันนะ?

ความสงสัยทำให้สองขาก้าวเดินไปดูให้เห็นกับตา พร้อมกับหัวใจเต้นตึกตักด้วยความตื่นเต้น แล้วทันใดนั้นก็พบเด็กหนุ่มหน้าสิวคนหนึ่งปีนข้ามกำแพงรั้วลงมายืนบนพื้นอย่างคล่องแคล่ว ปากคาบบุหรี่เอาไว้ด้วยท่าทางหาเรื่อง เขามองไปทางตงเปียนซึ่งกำลังยืนหันหลังปัสสาวะ

“ว่าไงจ้ะน้องสาว เป็นผู้หญิงทำไมถึงมายืนฉี่แบบนี้ละจ้ะ”

เมื่อเขาพูดจบก็มีใบหน้าจำนวนหนึ่งชะเง้อมองข้ามกำแพงมาดูด้วยความสนใจ คิมหันต์กระโดดข้ามกำแพงตามมาติด ๆ  เขาดูท่าทางตกใจมากเมื่อเห็นว่าเป็นผมกับตงเปียนยืนอยู่ตรงนั้น

ตงเปียนรีบจัดการธุระส่วนตัวให้แล้วเสร็จ จากนั้นจึงหันไปเผชิญหน้ากับชลเทพผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นหัวโจกที่สุดในชั้นเรียนและเคยสร้างเรื่องให้พวกคุณพ่อปวดหัวมาหลายต่อหลายครั้ง คดีโด่งดังที่สุดคือขโมยเงินตู้ทานในวัดน้อยตอนม. 4 เขาคงโดนเด้งไปนานแล้วถ้าไม่ใช่เพราะความมีเมตาของคุณพ่ออรรถพล

“กูไม่ใช่ผู้หญิง!” ตงเปียนโต้กลับอย่างไม่ชอบใจ “กูเป็นผู้ชายเว้ย!”

ชลเทพทำเสียงเพี้ยน ๆ ล้อเลียนสำเนียงของตงเปียน คนอื่น ๆ ที่ปีนขึ้นมานั่งบนกำแพงพากันส่งเสียงหัวเราะครืนใหญ่น่าเกลียด ยกเว้นคิมหันต์คนเดียว

จากนั้นปราการก็เข้ามาสมทบ เขาโยนก้นบุหรี่ลงในรางน้ำเสีย มันส่งเสียงฉ่าก่อนจะมอดดับ ก่อนจะเอามือทั้งสองข้างซุกกระเป๋ากางเกงและเดินมายืนเคียงไหล่ชลเทพด้วยใบหน้ายิ้ม ๆ ราวกับกำลังนึกสนุก

“อย่างมึงเนี่ยนะไม่ใช่ผู้หญิง แล้วผู้ชายที่ไหนเขาหุ่นอ้อนแอ้นตุ้งติ้งแบบมึง” ชลเทพรุกต่ออย่างหาเรื่อง “กูว่ามึงเรียนผิดที่แล้วว่ะ มึงน่าจะไปขอซิสเตอร์เข้าอารามแม่ชีดีกว่านะ”

ผมถลึงตามองชลเทพ สาบานได้ว่าไม่เคยรู้สึกโกรธเท่านี้มาก่อน ความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วใบหน้าและหู ผมหันไปทางคิมหันต์ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนจะทำตัวไม่ถูกก่อนจะตัดสินใจเข้าไปยืนข้างตงเปียน

“มึงเงียบไปเลยไอ้ชล” ผมเอ่ยขึ้นอย่างสุดจะทน จ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว “ทำไมมึงต้องพูดอะไรแรง ๆ แบบนั้นด้วยว้ะ หัดทำตัวดี ๆ ไม่เป็นกับเขาบ้างหรือไง”

“ผัวเมียปกป้องกันเว้ย โทษทีนะที่กูเข้ามาขัดจังหวะพวกมึงกำลังทำอะไรกัน” ชลเทพพูดอย่างกวนประสาท เขาหันไปมองเพื่อนสองสามคนที่ร่วมโห่แซวอย่างชอบใจ

“มึงก็เป็นซะอย่างเนี่ย” ผมว่า

“กูเป็นยังไง” เขาดัดเสียงกวนประสาท

“ก็เป็นคนสันดานเสียไง มึงระวังไว้เถอะเดี๋ยวจะไม่มีที่เรียน” ผมตอกกลับเสียงแข็งกร้าว

ความสนุกสนานเย้ยหยันหายวับไปจากสีหน้าของชลเทพทันที เขายกบุหรี่ขึ้นมาดูดเฮือกใหญ่จนไฟเรืองแดงฉานก่อนจะพ้นควันใส่หน้าผมด้วยท่าทางยั่วโมโห ผมกลั้นความรู้สึกอยากไอสำลักเอาไว้อย่างสุดความสามารถจนน้ำตาเอ่อคลอ

“ไม่ต้องมาเสือกเรื่องของกูไอ้รัน หึ...มึงก็ระวังจะไม่มีที่ซุกหัวนอนเหมือนกัน” ชลเทพพูดด้วยเสียงหวานผิดปกติดั่งน้ำผึ้งอาบยาพิษ จากนั้นจึงใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางที่คีบบุหรี่อยู่นั้นชี้หน้าผม “กูก็อยากจะรู้ว่าเด็กกำพร้าอย่างมึงจะทำยังไงถ้าไม่มีใครเก็บมาเลี้ยง”

สิ้นสุดประโยคนั้นบรรยากาศรอบตัวก็เปลี่ยนไป อากาศและโลกทั้งใบเหมือนจะหยุดเคลื่อนไหว เสียงหัวเราะบนกำแพงเงียบหายไป แม้แต่รอยยิ้มคึกคะนองบนใบหน้าของปราการก็ด้วย

แล้วคิมหันต์ก็ทลายความตึงเครียดด้วยการเข้ามาแทรกกลางระหว่างผมกับชลเทพ เขากางแขนออกด้วยท่าทางห้ามปราม ผมได้กลิ่นบุหรี่ฉุกกึกจากตัวของเขาจนต้องย่นจมูก ส่วนตงเปียนก็ขยับเข้าใกล้ผมเล็กน้อย

“เห้ยไอ้ชลกูว่ามันไปกันใหญ่ว่ะ” คิมหันต์ว่า “พวกมึงใจเย็น ๆ แล้วคุยกันดี ๆ ก็ได้”

แต่ ณ เวลานั้นผมเหมือนไม่ได้ยินเสียงคิมหันต์เลย หูของผมอื้ออึงด้วยอารมณ์โกรธที่กำลังเผาผลาญอยู่ในทรวงอก

“มึงอยากรู้ไหมว่ากูจะทำยังไง” ผมถามชลเทพด้วยเสียงสั่นเครือ

คิมหันต์ส่งสายตาเป็นเชิงขอร้องให้ผมหยุด แต่ผมซึ่งพ่ายแพ้ต่อการผจญเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงไม่ได้ใส่ใจภาษากายเขาแม้แต่นิดเดียว กลับทำเหมือนว่าเขาไม่ได้อยู่ที่นั่น

“มึงจะทำไม!” ชลเทพขึ้นเสียง

“กูก็จะไปบอกพ่อพลว่าพวกมึงแอบมาสูบบุหรี่ที่นี่ไง”

แม้จะพูดไปแบบนั้นแต่ผมก็ไม่คิดจะทำจริง ๆ หรอก เพราะอีกแค่ปีเดียวพวกเราก็จะเรียนจบแล้ว ผมเพียงแค่หวังว่าจะทำให้ชลเทพเกิดความเกรงกลัวบ้าง

“คิดว่ากูกลัวเหรอ” เขาท้าทาย

“มึงจะลองไหมละ”

ผมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่เป็นประกายด้วยความโกรธแค้น ม่านตาที่ลดเล็กลงนั้นทำให้ผมรู้ว่าเขายังไม่ยอมแพ้แค่นี้แน่นอน แต่ผมก็ยังคงทำใจกล้าเข้าสู้อย่างเด็ดเดี่ยว

“มึงระวังตัวให้ดี!” ชลเทพขู่อย่างอาฆาตมาดร้ายและหันไปทางตงเปียน “เรื่องไปจบแค่นี้แน่จำไว้!”

“กูจำแน่มึงไม่ต้องกลัว!” ตงเปียนว่า

แล้วต่างคนก็ต่างจ้องมองกันเขม็ง จากนั้นชลเทพก็เดินกระแทกไหล่ผมอย่างแรงตรงไปทางสนามฟุตบอล ทิ้งให้พวกเรามองหน้ากันอย่างงุนงง ซึ่งไม่นานนักปราการกับพวกที่เหลือก็รีบวิ่งตามไป ยกเว้นคิมหันต์ที่ยังคงอยู่ที่นี่

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งคิมหันต์ก็เอ่ยขึ้น

“รัน...ตง...เราขอโทษแทนไอ้ชลด้วยนะ อย่าไปถือสามันเลย” เขากล่าวอย่างสุภาพ

ผมมองเขาแวบหนึ่งก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่น ถึงจะพูดเช่นนั้นแต่ผมก็ไม่สามารถทำใจให้สบายได้ง่าย ๆ ถ้าชลเทพไม่ได้เป็นคนพูดด้วยตัวเอง

ผมกำหมัดแน่นเพื่อระงับความโกรธและเสียใจ พยายามเก็บซ่อนมันเอาไว้จากสายตาของร่างสูงตรงหน้า ไม่อยากให้เขารู้ว่าผมผิดหวังที่พบเขาแอบทำเรื่องผิดระเบียบ

ขณะที่คิมหันต์กำลังจะเอื่อมมือมาจับหัวไหล่ ตงเปียนก็คว้าแขนของผมและลากให้เดินตามไป เราก้าวฉับ ๆ ตัดสนามฟุตบอลตรงไปยังโต๊ะที่นั่งทำการบ้าน ผมทำเป็นไม่สนใจพจนานุกรมอังกฤษ - ไทยสีแดงสดเล่มนั้นและโยนมันใส่กระเป๋าพร้อมกับของอื่น ๆ  จากนั้นก็บอกลาตงเปียนและแยกย้ายกลับห้อง

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา