ฤาบุปผาลิขิตชะตารัก

-

เขียนโดย ณรีนิน

วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 16.26 น.

  44 ตอน
  2 วิจารณ์
  12.22K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2565 22.44 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

31) อย่างนี้เรียกว่าแฟนได้หรือเปล่า

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ช่วงเวลาพลบค่ำ แม่ทัพหวางชุนเทียนเดินไปที่ห้องตำรา คิดแค่ว่าจะตรวจสอบความคืบหน้าของงานที่มอบหมายให้เหม่ยหลินเท่านั้น จริงๆแล้วการจัดเก็บตำราให้เรียบร้อยเป็นหมวดหมู่ก็ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไรนัก แต่จุดประสงค์หลักคือต้องการให้หญิงสาวอยู่แต่ในห้องตำราตลอดทั้งวัน เพื่อเป็นข้ออ้างว่านางติดธุระไม่มีเวลาไปต้อนรับเหอไป่เฉิน

เมื่อกวาดสายตามองไปทั่วห้องตำราก็ไม่เห็นว่ามีใคร ร่างสูงของแม่ทัพหนุ่มกำลังจะหันหลังออกไปอยู่แล้ว แต่พลันหางตาเหลือบเห็นผ้าชายกระโปรงสีฟ้าอ่อนโผล่อยู่ด้านหลังชั้นวางตำราด้านในสุด

ชายหนุ่มสาวเท้าเดินตรงไปยังตำแหน่งเป้าหมาย เขาหลุบตามองเบื้องล่างจึงได้เห็นร่างเจ้าของชายกระโปรงที่กำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่ที่พื้น มีตำราหลายม้วนวางอยู่ข้างกาย บางส่วนถูกใช้เป็นหมอนหนุนศีรษะ หวางชุนเทียนส่ายหน้าเบาๆ อมยิ้มขบขัน ก่อนที่จะย่อตัวคุกเข่าลงอยู่ข้างกายหญิงสาวมองร่างบอบบางด้วยสายตาอ่อนโยน ชายหนุ่มเอื้อมมือเกลี่ยไรผมที่ตกลงมาข้างแก้มอย่างนุ่มนวล

จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอของใครบางคนตรงเข้ามายังห้องตำรา

“ท่านแม่ทัพ” จูผิงสาวใช้เอ่ยเรียกทันทีที่เห็นผู้เป็นเจ้านายใหญ่ของจวนอยู่ภายในห้อง นางเพิ่งกลับมาจากห้องครัวเพื่อตระเตรียมของว่างนำมาให้แก่เหม่ยหลินได้รับประทาน

“ชู่ว์” หวางชุนเทียนยกนิ้วชี้แตะที่ปากเป็นสัญญาณเตือนให้อีกฝ่ายเงียบเสียง เขาเห็นจานของว่างในมือของจูผิงจึงเข้าใจว่าเหม่ยหลินอาจยังไม่ได้รับอาหารเย็น จึงเป็นฝ่ายลุกขึ้นเดินเข้าไปถาม

“คุณหนูรับอาหารเย็นไปเพียงเล็กน้อยเจ้าค่ะข้าจึงไปเตรียมของว่างมาให้ แต่ไม่คิดว่าคุณหนูจะหลับไปแล้ว คงเพราะเหนื่อยล้ามาทั้งวันเจ้าค่ะ”

ทั้งสองคุยกันเสียงเบาด้วยไม่อยากรบกวนการนอนหลับสนิทของหญิงสาว

“ข้าจะพาคุณหนูกลับห้องเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” สาวใช้ทำท่าจะเดินเข้าไปปลุกเหม่ยหลิน

“ไม่ต้องปลุกนาง เดี๋ยวข้าจะพาเหม่ยหลินเจ้ากลับห้องเอง วันนี้เจ้ากลับไปได้แล้ว”

“ท่านแม่ทัพจะพาคุณหนูกลับห้องนอนหรือเจ้าคะ? ตอนนี้ก็มืดค่ำแล้ว...ข้าเกรงว่าจะไม่เหมาะ”

แม้ว่าคุณหนูคนสวยจะเป็นคู่หมายของแม่ทัพหวางก็ตาม แต่ก็ถือว่ายังไม่ได้เข้าพิธีแต่งงานเพื่อรับตำแหน่งฮูหยินอย่างเป็นทางการ สาวใช้จึงคิดเพียงว่าไม่ควรปล่อยให้ทั้งสองอยู่ในห้องนอนด้วยกันยามราตรี อีกทั้งนางรู้นิสัยของเหม่ยหลินดีว่าค่อนข้างระวังตัวเป็นอย่างมากที่จะไม่ทำให้ตนเองถูกติฉินนินทา จึงมักเรียกให้สาวใช้ใกล้ตัวเช่นจูผิงอยู่ข้างกายเกือบตลอดเวลา 

“เจ้ากลัวอะไร? หรือเจ้าคิดว่าข้าจะทำอะไรคุณหนูของเจ้างั้นหรือ” น้ำเสียงดังขึ้นเหมือนถูกขัดใจ

“หะ...หามิได้เจ้าค่ะ” จูผิงรีบพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก

ภายในจวนแห่งนี้มีสิ่งใดที่ผู้เป็นเจ้าของจวนเยี่ยงแม่ทัพหวางไม่มีสิทธิ์กระทำเช่นนั้นหรือ คิดได้ดังนั้นสาวใช้ไม่รีรอย่อตัวคำนับแล้วหันหลังเดินออกไปทันที

ส่วนหญิงสาวที่นอนหลับนิ่งไม่ไหวติงอยู่ด้านหลังชั้นวางคงไม่มีทางรู้ว่ามีคนกำลังคิดจะพาเธอกลับห้องนอน ร่างบางถูกอ้อมแขนแข็งแรงช้อนอุ้มลอยขึ้นจากพื้นอย่างระมัดระวังก่อนที่จะก้าวออกจากห้องตำรา

สิ่งที่หวางชุนเทียนปฏิบัติต่อเหม่ยหลินนั้นเป็นสิ่งที่คนในจวนไม่เคยเห็นเขาปฏิบัติเช่นนี้กับหญิงสาวผู้ใดมาก่อน  ครั้นเมื่อแม่ทัพหนุ่มเดินผ่าน ทั้งทหารเวรยามทั้งบ่าวรับใช้ชายหญิงที่ทำหน้าที่ในเวลานั้นต่างก็พากันก้มหน้าโดยอัตโนมัติ

ทั้งที่ระยะทางจากห้องตำราและห้องนอนของหญิงสาวก็อยู่ไกลกันพอสมควร แต่ชายหนุ่มที่อุ้มพาร่างบางเข้าสู่ห้องนอนกลับไม่มีทีท่าเหนื่อยอ่อนเลย แม่ทัพหนุ่มวางร่างอรชนลงบนเตียงนอนอย่างเบามือที่สุด และหยิบผ้าห่มคลุมไว้จนถึงหัวไหล่บอบบาง

ใบหน้าหวานล้ำยามหลับเหมือนเด็กของเหม่ยหลินน่ามองเสียจนหวางชุนเทียนไม่อาจละสายตาได้ คิดไม่ถึงเลยว่าสาวน้อยขี้เซาผู้นี้จะมีอิทธิพลต่อใจของเขาอย่างไม่น่าเชื่อ ชายหนุ่มจ้องมองแพขนตางอนเรียงตัวอยู่เหนือแก้มบางใสก่อนที่จะผ่อนลมหายใจยาว รอยยิ้มละมุนปรากฏที่มุมปาก

"ฝันดีนะ เหม่ยหลิน"

จบประโยคที่อยากพูดพลันก้มลงประทับจูบแผ่วเบาบนหน้าผากมนของหญิงสาว

 

ในขณะนั้น กัวเสี่ยนหรงที่เดินถือสัมภาระของแม่ทัพหวางสวนทางเข้ากับจูผิงพอดี สาวใช้หน้ามนเห็นนายกองหนุ่มแล้วเผลอยิ้มดีใจ

“นายกองกัว ยังไม่เสร็จงานหรือเจ้าคะ” จูผิงเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายก่อน

“อ่อ เจ้าเองหรือ ข้านำของมาส่งให้แก่ท่านแม่ทัพ อีกเดี๋ยวก็จะกลับแล้ว” กัวเสี่ยนหรงเห็นหน้าจูผิงแล้วจำได้จึงทักทายกลับตามมารยาท ครั้นสายตาเหลือบเห็นจานขนมในมือของสาวใช้ เขาก็กลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว

“ท่านกินข้าวเย็นหรือยังเจ้าคะ” สาวใช้แอบสังเกตเห็นอาการของเขาจึงลองถามดู

“เอ่อ ข้าไม่หิว” ทำท่าจะก้าวจากไป แต่ยังไม่ทันพูดขาดคำ พลันเกิดเสียงท้องร้องดัง ‘จ๊อกๆ’ เป็นระยะ ทำให้จูผิงหันกลับมามองอย่างสนใจ นางรีบก้มหน้าลอบยิ้มเพราะไม่อยากให้นายกองหนุ่มต้องอับอายเหตุเพราะคำพูดสวนทางกับอาการ นายกองหนุ่มเองก็ทำหน้าไม่ถูก ตอนนี้กลายเป็นว่าเขาที่ต้องหลบสายตาสาวใช้ผู้นี้เสียเอง

“ขนมจานนี้ข้าเตรียมไว้ให้คุณหนูเหม่ยหลินก็จริง แต่ตอนนี้นางหลับไปแล้ว นายกองกัวรับไปเถิด” จูผิงยื่นจานขนมให้อย่างเต็มใจ แต่กัวเสี่ยนหรงตอบปฏิเสธเพราะเกรงใจไม่กล้ารับทั้งที่รู้สึกว่าขนมในจานนี้ช่างน่ากินนัก

“รับไปเถิดเจ้าค่ะ ขนมอร่อยเช่นนี้หากินยากมาก” พูดแล้วก็ยัดเยียดใส่มือข้างที่ว่างอยู่ของกัวเสี่ยนหรง ครั้นจูผิงจะหันเดินต่อไปตามทาง แต่นายกองหนุ่มเอ่ยปากเรียกชื่อนางจนต้องหยุดชะงัก “เดี๋ยวก่อนจูผิง”

“มีอะไรหรือเจ้าคะ” จูผิงหันมองตามเสียงเรียก

“เจ้าบอกว่าขนมจานนี้อร่อยและหากินยาก ก็มากินด้วยกันก่อนสิ” เขายกจานขนมชูขึ้นกล่าวเชิญชวนหญิงสาวด้วยน้ำเสียงจริงใจ

จูผิงรู้สึกปลื้มจนตัวลอย ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดชายหนุ่มที่ตนเองเฝ้ามอง นางรับปากทันทีแล้วเดินไปพร้อมกัน

ภายใต้ชายคาของศาลาริมสระน้ำ ชายหนุ่มและหญิงสาวต่างใช้ช่วงเวลาที่ได้กินขนมจานเดียวกัน ถือโอกาสพูดคุยกันอย่างถูกคอ ต้องขอบคุณเจ้านายของทั้งสองที่ไม่เรียกใช้งานในยามนี้

 

เช้าวันต่อมา จูผิงเข้าไปรับใช้เหม่ยหลินตามปกติ นายหญิงของนางที่เพิ่งตื่นทำหน้างัวเงียแปลกใจอยู่พักหนึ่ง แล้วก็ถามคำถามที่จูผิงเตรียมคำตอบไว้อยู่แล้ว

“อะไรนะ! ท่านแม่ทัพเป็นคนพาข้ามาที่ห้องนอนงั้นหรือ แล้วทำไมเจ้าไม่ปลุกข้าเล่า”

เหม่ยหลินตกใจหลังจากที่รู้เรื่องราวจากจูผิง หญิงสาวจำได้เพียงว่าเมื่อคืนนั่งอยู่ในห้องตำราและคิดจะงีบหลับสักครู่ แต่สรุปว่าหลับยาวมาจนถึงเช้า พอตื่นมากลับย้ายร่างมาอยู่ในห้องนอนได้อย่างไร

“ท่านแม่ทัพห้ามไว้เจ้าค่ะ เห็นว่าคุณหนูหลับสนิทก็เลย...ก็เลยอุ้มคุณหนูกลับห้อง…” สาวใช้หัวเราะคิกๆบิดตัวไปมาเขินอายราวว่าผู้ที่ถูกอุ้มเป็นตัวเอง เหม่ยหลินนึกภาพตามที่ได้ยิน ใบหน้าของหญิงสาวก็พลันร้อนผ่าวขึ้นมาทันที

“หยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้เลย เจ้ามีความผิดอยู่นะ ปล่อยให้ท่านแม่ทัพอุ้มพาข้าเข้ามาถึงห้องนอนได้อย่างไร” เธอหันไปเอ็ดใส่สาวใช้อย่างขัดเคืองใจ

“คุณหนูอย่าคิดมากสิเจ้าคะ ก่อนหน้านี้คุณหนูก็ถูกท่านแม่ทัพอุ้มมาแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ก็เหมือนกันนั่นแหล่ะเจ้าค่ะ” จูผิงพูดพลางเดินไปที่ชั้นวางผ้าเพื่อตระเตรียมเสื้อผ้าสำหรับนายหญิง

“โธ่เอ๊ย...มันเหมือนกันซะที่ไหนล่ะ ครั้งนั้นเป็นเพราะข้าบาดเจ็บที่ขา ครั้งนี้มันไม่ใช่สักหน่อย”

หญิงสาวเอ่ยขึ้นอย่างขัดใจ หมั่นไส้สาวใช้ตัวดีที่เอาแต่เข้าข้างแม่ทัพหวาง ถึงอย่างนั้นก็ยอมลุกขึ้นยืนเตรียมเปลี่ยนชุดแต่โดยดี

“เอ๊ะ! ผ้าเช็ดหน้าของคุณหนูหายไปไหนผืนหนึ่ง” จูผิงหันไปควานหาผ้าเช็ดหน้าที่มีลายปักชื่อที่วางเรียงไว้ในตะกร้าหวาย พอยกขึ้นมานับแล้วปรากฏว่ามีไม่ครบจำนวน ผ้าเช็ดหน้าเหล่านี้จูผิงจะเก็บถนอมไว้อย่างดีเพราะเป็นฝีมือลายปักสวยงามที่คุณหนูเหม่ยหลินทำไว้ไม่มีขายที่ไหน

“หาไม่เจอก็ไม่เป็นไรหรอกจูผิง เดี๋ยวข้าทำขึ้นใหม่ก็ได้”

“น่าเสียดายมากเจ้าค่ะ ฝีมือลายปักของคุณหนูไม่เหมือนผู้ใดในเมืองหลวงนี้เลยเจ้าค่ะ ลายปักตัวอักษรชื่อแลดูพิลึกก็จริงแต่กลับน่าสนใจ ข้าเองอยากจะมีฝีมือปักผ้าอย่างคุณหนูเอาไว้ปักชื่อให้...” พูดแล้วทำท่าเอียงอาย

“เจ้าอยากปักชื่อของใครล่ะ ข้าจะสอนให้” เหม่ยหลินถือว่าการออกแบบตัวอักษรจีนให้มีหลายรูปแบบถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง เธอจึงทำลายปักตัวอักษรจีนแบบกลมมนให้ดูน่ารักมากกว่าการตวัดเส้นให้คมแบบตัวบรรจง

จูผิงดีใจที่คุณหนูคนสวยจะช่วยสอนปักชื่อลงบนผ้า นางรีบหยิบกระดาษที่พับเก็บไว้ออกมา แล้วยื่นกระดาษนั้นให้แก่เหม่ยหลิน “ชื่อนี้เจ้าค่ะ”

“กัวเสี่ยนหรง...ใช่นางกองกัวคนสนิทของท่านแม่ทัพหรือเปล่า” เหม่ยหลินอ่านชื่อในกระดาษแล้วทำตาโต หันไปย้อนถามสาวใช้อมยิ้มพยักหน้าหงึกๆ ตอบว่าใช่

“อะไรกันเนี่ย! นี่ข้าตกข่าวได้ไง เจ้ากับนายกองกัวเป็นแฟนกันงั้นรึ”

“ปะ...เป็นแฟน คืออะไรเจ้าคะ” เมื่อฟังไม่ถนัดนักจึงเอ่ยถาม

“ก็มีใจให้กันไง ใช่มั้ย! ที่บ้านเกิดของข้าเรียกว่าแฟน”

“ยัง...ยังเจ้าค่ะ ยังไม่ได้เป็นแฟนกัน ข้ามีใจให้นางกองกัวเพียงฝ่ายเดียว” สาวใช้หน้ามนรีบส่ายหน้าดิกทันทีที่รู้ความหมายของคำว่า ‘แฟน’

“จริงหรือ...ว่าแต่นายกองกัวเคยชวนเจ้าไปเดทหรือยัง” เหม่ยหลินทำหน้าทะเล้นพูดหยอกเหย้า

“เดท! เดทคืออะไรอีกเจ้าคะ”

“ก็ชวนไปกินข้าวด้วยกัน ไปเที่ยวด้วยกันสองต่อสองไง”

“ชวนกินข้าว...สองต่อสอง...”จูผิงนั่งนึกสักครู่

“ถ้านั่งกินขนมสองต่อสองก็ถือว่าไปเดทได้หรือไม่เจ้าคะ เมื่อคืนนายกองกัวมีน้ำใจชวนข้านั่งกินขนมด้วยกัน”

“ใช่ๆ ชวนกินขนมกันสองคน แสดงว่านายกองกัวต้องมีใจกับเจ้าแน่เลย” พูดพลางชี้นิ้วกระดิกขึ้นลงไปมาแสดงความเห็น

“ถ้ากินข้าวกันสองต่อสองเรียกว่าเดท...ถ้าเช่นนั้นคุณหนูกับท่านแม่ทัพก็เดทกันทุกวันน่ะสิเจ้าคะ อยู่กันสองต่อสองก็ตั้งหลายครั้ง อย่างเช่นวันที่ขี่ม้าไปเที่ยวนอกเมือง...แล้วก็เมื่อคืนนี้...อย่างนี้เรียกว่า‘แฟน’ได้แล้วสิเจ้าคะ” จูผิงจำทุกเรื่องราวระหว่างท่านแม่ทัพกับเหม่ยหลินได้ดี คำพูดของสาวใช้ทำให้คุณหนูแสนสวยพลันนึกถึงแววตาคู่คมของชายหนุ่มเวลาที่จ้องมองเธอ

“หยุดพูดได้หรือยัง รู้มากจริงนะเจ้า” เหม่ยหลินเอามือปิดปากสาวใช้ไว้อย่างหลวมๆแก้เขิน

ในขณะที่ทั้งสองสาวยังคุยเล่นกันอยู่ในห้องส่วนตัว พลันสาวใช้ประจำจวนเดินมาเคาะเรียก

“คุณหนูเหม่ยหลิน ท่านแม่ทัพรอรับประทานอาหารเช้าพร้อมคุณหนูที่ศาลาริมสระน้ำ รีบหน่อยเจ้าค่ะ” เสียงใสที่หน้าประตูห้องทำให้หญิงสาวที่อยู่ในห้องต้องหยุดฟัง

“นั่นไง ท่านแม่ทัพชวนคุณหนูไปเดท ถูกต้องหรือไม่เจ้าคะ” ว่าแล้วจูผิงก็หัวเราะคิก

“จูผิง! เจ้านี่ร้ายนักนะ” หญิงสาวถลึงตาใส่ ทั้งเขินทั้งเคืองที่ถูกสาวใช้ย้อนถาม ยังไม่ทันได้ต่อว่ากลับก็ถูกดันหลังให้รีบแต่งกายสวยงามเพื่อจะได้รีบออกไปศาลาริมสระน้ำตามคำสั่งแม่ทัพเจ้าของจวน

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา