แรงรัก แรงอาฆาต

-

เขียนโดย anawat

วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 เวลา 23.08 น.

  13 ตอน
  5 วิจารณ์
  2,557 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2566 09.11 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

11) บทที่11 ลาจาก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

แรงรัก  แรงอาฆาต

บทที่11 ลาจาก

 

หนึ่งสัปดาห์ต่อมา

   หลังจากวันนั้น  เมย์ก็ค่อยๆทยอยมาเก็บของออกจากบ้านไปจนหมด  พ่อกับแม่เอง  เมื่อได้ทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้ว  พวกท่านก็ไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่นัก  แต่พวกท่านก๋ยอมรับความจริง  ถึงลูกสะใภ้คนนี้จะร้ายยังไง  ท่านก็ไม่เคยว่า  แต่ในครั้งนี้  มันเกินไปจริงๆ  ในตอนี้ที่เก็บของชิ้นสุดท้ายออกไป  มาวินเห็นเมย์หันมาสบสายตากับตนอยู่นิดนึง  มันเป็นสายตาครั้งแรก  ที่เขาทั้งคู่ได้สบตากัน  และเมย์ก็ออกจากบ้านไป  และหลังจากวันนั้น  เขาก็ไม่เคยได้เจอกับเมย์อีกเลย  แต่หลังจากนั้นเพียงไม่นาน  ข่าวของเขาที่เลิกกับเมย์  ก็ได้แผ่สะพัดไปทั่ว  จนไปเข้าหูของนักข่าว  นักข่าวจึงเอาไปเขียนข่าว  โดยเนื้อหาของข่าวบอกเอาไว้ว่า

                      “นักธุรกิจหนุ่มพันล้าน  โดนสาวหลอกว่าตนเองท้อง  แต่ลูกในท้อง  กับไม่ใช่ลูกของนักธุรกิจหนุ่ม  งานนี้นักธุรกิจหนุ่ม  โดนหญิงสาวหลอกเงินจนหมดตัว  หลังจากนั้นหญิงสาวจึงเทนักธุรกิจหนุ่มไป  และหายเข้ากลีบเมฆไปอย่างไร้ล่องลอย”

   เมื่อมาวินได้อ่านข่าวนี้  ตัวของเขาก็ไม่ได้คิดอะไร  เขาคิดแต่เพียงว่า  มันคงจะเป็นเวรกรรม  ที่ตัวเขาได้เคยทำเอาไว้กับผู้หญิงหลายๆคน  เพียงเท่านั้น  เขาปล่อยเรื่องนี้ให้มันผ่านไป  ไม่ได้ติดใจแต่อย่างใด  เพราะในตอนนี้  เขาได้ชีวิตที่มีความสุขที่สุด  กลับคืนมาอีกครั้งแล้ว  เขาตัดสินใจ  เปิดตัวแฟนสาวของเขา  นั่นก็คือเอิญ  ในตอนนี้พวกเขาทั้งคู่  ได้ใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุข  เอิญอยากทำอะไร  อยากไปเที่ยวที่ไหน  มาวินพาเธอไปทุกทีเลย  หรือในบางครั้ง  ทั้งคู่ไม่อยากไปไหน  ก็อาจจะมาหาพ่อแม่ของมาวินบ้าง  ไปหาพ่อแม่ของเอิญบ้าง  แล้วแต่โอกาส  หรือบางทีชาติชายกับอลิซ  ก็มาจัดงานปาตี้ที่บ้านของมาวินบ้าง  มาวินพยายามทำให้เอิญมีความสุขที่สุด  เพื่อทดแทนช่วงเวลาที่เขาได้สูญเสียไป  ในบางครั้ง  มาวินจะชอบถามเอิญว่า

                      “อยากให้เขาทำอะไรให้อีกไหม”

                      “ก็มีอยู่เรื่องนึงนะ  ที่เขาอยากให้ตัวเองทำมาตั้งนานแล้ว” เอิญมองหน้ามาวินด้วยสายตาที่อ่อนหวาน “อโหสิกรรมให้เขาสักทีสิ”

                      “ไม่เอาหรอก” มาวินตอบด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง “ถ้าเขาอโหสิกรรมให้ตัวเอง  ชาติหน้าเขาก็ไม่ได้เกิดมาเจอตัวเองอีกน่ะสิ”

   มาวินมักจะชอบตอบแบบนี้อยู่เป็นประจำ  แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้โกรธเคืองกันแต่อย่างใด  แต่ช่วงเวลาให้ความสุข  มันมักจะสั้นเสมอ  เมื่อมีความสุข  ความทุกข์เองก็ต้องตามมาเช่นกัน  เมื่อทั้งสี่คนไปเที่ยวด้วยกัน  แต่จู่ๆมาวินก็เกิดล้มฟุบลงไป  และมือของมาวินกำไว้ที่หัวใจแน่น  ทั้งสามคนจึงรีบวิ่งมาดูมาวิน  มาวินก็บอกว่า

                      “ชั้นเจ็บหัวใจ  ไม่ไหวแล้ว”

   ได้ยินแบบนั้น  ชาติชายไม่รอช้า  ที่จะอุ้มร่างของเพื่อนเขา  วิ่งไปที่รถ  โดยที่อลิซสตาร์ทรถ  และเตรียมตัวที่จะขับ  พามาวินไปโรงพยาบาล  ส่วนเอิญ  เธอนั่งอยู่ข้างมาวิน  และกอดมาวินเอาไว้  ปากก็พูดให้กำลังใจมาวินตลอด 

                      “อดทนไว้นะตัวเอง  อีกไม่นานจะถึงโรงพยาบาลแล้ว  ตัวเองต้องไม่เป็นอะไรนะ”

   มาวินไม่มีแรงแม้แต่จะพูด  เขาทำเพียงแค่ยิ้มอ่อนให้กับเอิญ  เมื่อมาถึงโรงพยาบาล  ชาติชายรีบวิ่งไปติดต่อพนักงาน  ให้มารับตัวมาวินไป  เมื่อถึงมือหมอ  หมอเองจึงรีบเร่งที่จะรักษามาวิน  ส่วนพวกเอิญ  ทำได้เพียงภาวนา  ขอให้มาวินอย่าเป็นอะไรเพียงเท่านั้น  ไม่นานเท่าไหร่  พ่อกับแม่ของมาวิน  ก็ตามมา  และถามไถ่อาการของมาวินอย่างเป็นห่วง  แต่ยังไม่ทันที่จะคุยอะไรกันต่อมากนัก  หมอก็เดินออกมาจากห้อง icu.  ด้วยใบหน้าที่คร่ำเครียด  เอิญที่เห็นดังนั้น  เธอจึงรีบวิ่งเข้าไปหาหมอ

                      “คุณหมอค๊ะ  แฟนของหนูเป็นยังไงบ้างคะ?”

                      “เดี๋ยวตามผมไปที่ห้องผมด้วยครับ”

   สิ้นเสียงหมอ  เขาเดินนำไปที่ห้อง  พวกเอิญจึงเดินตามไป  ด้วยใจที่ระทุกไม่น้อย  เอิญคิดไปต่างๆนาๆ  ในใจภาวนาขออย่าให้มาวินเป็นอะไรหนักเลย  แต่เมื่อทั้งห้องของหมอ  เขานั่งลงอย่างคนที่หมดแรง 

                      “ช่วงนี้คนไข้ออกกำลังกาย  หรือใช่แรงมากเกินไปใช่ไหมครับ”

   คนทั้งหมดมองตามกัน  ก่อนที่เอิญจะตอบหมอไป

                      “ก็มีล่าสุด  เห็นเขาทำสวนนิดหน่อยน่ะค่ะ”

   หมอถอนหายใจออกมานิดหน่อย  ก่อนที่เขาจะตอบคนทั้งหมดกลับไป

                      “คนที่เป็นโรคหัวใจเนี่ย  เขาห้ามทำงานหักโหม  ไม่อย่างนั้นอาการมันจะแย่เอาได้  นี่ถ้าพวกคุณมาช้ากว่านี้อีกสักนิดนึง  คงแย่กว่านี้แน่”

   สิ้นเสียงหมอ  สีหน้าของคนทั้งหมด  ซีดเผือดลงไปอย่างเห็นได้ชัด

                      “แต่ตอนนี้คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้วล่ะครับ  แต่ผมอยากให้นอนโรงพยาบาลสักคืนนึง  เพื่อรอดูอาการก่อน  แล้วถ้าไม่มีอะไร  ก็สามารถที่จะกลับบ้านได้  แต่ผมจะนัดมาตรวจเป็นเดือน  ห้ามผิดนัดเด็ดขาดนะครับ”

   คนทั้งหมดรับทราบในสิ่งที่หมอสั่ง  เสร็จแล้วทั้งหมดจึงรีบไปดูอาการของมาวิน  สีหน้าของเขาเหมือนคนที่พักผ่อนน้อย  พ่อที่เห็นลูกของตัวเอง  ท่านจึงถามเรื่องของตัวเองไป

                      “ไงล่ะเรา  ทำเป็นเข้มแข็ง  คิดดินหาตุ๊กตาเนื้อคู่  สุดท้ายต้องมานอนโรงพยาบาล”

                      “โธ่พ่อก็”

   อลิซที่เห็นอาการของมาวิน  เขาจึงเกิดความโมโหเมย์  เพราะถ้าเมย์ไม่ทำของใส่มาวิน  มาวินคงไม่ต้องมานั่งขุดดิน  จนต้องเข้าโรงพยาบาลแบบนี้

                      “ยัยนั่น  ขนาดจะเลิกกันไป  ยังสร้างเรื่องให้ไม่จบไม่สิ้น”

   แม่ที่เห็นอาการของลูกตน  ได้ร้องไห้ออกมายกใหญ่  เอิญที่เห็นแม่ร้องไห้  เธอจึงเข้าไปปลอบ  และให้กำลังใจแม่

                      “ไม่เป็นไรนะค๊ะแม่  วินจะต้องหายดีค่ะ”

   ทั้งคู่ต่างเป็นห่วงมาวินไม่แพ้กัน  แม่เองก็เข้าใจเอิญ  ที่เป็นห่วงมาวิน  ทั้งคู่จึงกอดกัน  ดั่งคนสองคน  ที่เข้าใจกันมากมาย  ทั้งหมดเฝ้าอาการมาวินจนค่ำ  ชาติชายกับอลิซ  จึงขอตัวกลับก่อน  เพราะมันดึกแล้ว  ส่วนพ่อกังแม่เอง  ก็ขอตัวเช่นกัน  เพราะที่โรงพยาบาล  สามารถให้ญาติ  เฝ้าคนไข้ได้เพียงคนเดียว  ซึ่งคนที่อาสาจะเฝ้า  ก็คือเอิญ

เช้าวันต่อมา 

   เมื่อตรวจเช็คอาการจนแน่ใจอีกครั้งหนึ่งแล้ว  หมอจึงให้มาวินออกจากโรงพยาบาลได้  แต่ต้องมาตรวจตามที่หมอนัดทุกครั้ง  แต่หลังจากวันนั้น  มาวินเขาได้กลับมาพักรักษาตัวที่บ้าน  โดยในทุกๆวัน  เอิญจะเป็นคนที่คอยดูแลมาวินอยู่ตลอด  ไม่เคยห่างไปไหน  จะมีเพียงแค่เวลาทำงาน  ที่เอิญจะฝากให้พ่อแม่  ดูแลมาวินเพียงเท่านั้น  ส่วนชาติชายกับอลิซเอง  พวกเขาก็มาดูมาวินอยู่บ่อย  จากที่เคยออกไปเที่ยวกัน  ในตอนนี้  คนทั้งหมด  เปลี่ยนกิจกรรม  เป็นในวันหยุด  ทั้งหมดก็มาทำอาหาร  หรือใช้เวลาร่วมกันกับมาวิน  ที่บ้านของมาวินแทน  เพราะร่างกายของมาวินในยามนี้  ไม่ปกติเหมือนเดิมอีกแล้ว  พวกเขาจึงไม่อยากที่จะให้มาวินออกไปตรากตรำข้างนอกมากนัก  ถึงอะไรๆจะไม่เหมือนเดิม  แต่มาวินเอง  ก็มีความสุข  ขอแค่เขาได้อยู่กับเอิญ  จะอะไรเขาก็ได้หมดทั้งนั้น  โดยในคืนหนึ่ง  เอิญได้ถามมาวินเรื่องอโหสิกรรมอีกครั้ง  ในขณะที่ทั้งคู่  นั่งดูดาวอยู่ด้วยกัน  ในห้องนอนของมาวิน

                      “นี่ตัวเอง”   มาวินหันมามองตามเสียงเรียกของเอิญ “ตัวเองจะไม่อโหสิกรรมให้เขาจริงๆเหรอ”

                      “ก็...  ถ้าเขาอโหสิกรรม  ชาติหน้าเขาก็ไม่ได้เกิดมาคู่กับตัวเองน่ะสิ”

                      “ก็อย่างที่เขาบอกไปไง” มาวินทำหน้าสงสัย “เราก็สาบานใหม่  ด้วยคำสาบานที่เราจะได้เกิดมาคู่กันตลอดไปสิ”

   มาวินทำหน้าคิดอยู่ครู่หนึ่ง

                      “คำอธิษฐานใหม่เหรอ” มาวินพูดพรางทำหน้าคิดไปด้วย “ก็ดีนะ”

                      “ใช่มะ” เอิญทำหน้าดีใจ “งั้นคราวนี้  ตัวเองก็อโหสิกรรมให้เขา  แล้วเราก็มาสาบานกันใหม่ดีกว่านะ”

                      “ไม่ล่ะ” เอิญที่ได้ยินดังนั้น  จึงทำหน้าแปลกใจ “ยังไม่ใช่ตอนนี้น่ะ”

                      “เอ้าทำไมล่ะ”

   มาวินยักไหล่พรางผายมือทั้งสองข้างออกจากกัน  ด้วยท่าทางที่กวนๆ  เอิญที่เห็นมาวินกวน  เขาจึงเดินไปหยินหมอนมา  และเอามาไล่ตีมาวิน  มาวินเองก็วิ่งหนีเอิญไปรอบห้อง  ด้วยความสนุกสนานของทั้งคู่  ก่อนที่ทั้งคู่จะหมดแรง  และลงไปนอนกอดกัน  และสานสัมพันกันในค่ำคืนนั้น

   เวลาผ่านไป  แทนที่อาการของมาวินจะดีขึ้น  แต่มันกลับยิ่งแย่ลง  โดยที่หมอเอง  ก็ไม่ทราบเช่นกัน  ว่าในยามนี้  มันเกิดจากอะไรกันแน่

                      “ผมว่า  พวกคุณทำใจไว้หน่อยก็ดีนะครับ  อาการของคนไข้  แย่ลงไปทุกที  เป็นแบบนี้  อาจจะอยู่ได้ไม่เกินสองเดือน”

   มาวินที่ได้ยินอาการของตนเอง  เขามีสีหน้าที่ซีดเซียว  เขาเงียบอย่างผิดปกติ  ไม่พูดอะไรกับใครเลย  ส่วนเอิญ  เขาทำได้เพียงกอดมาวินเอาไว้  ไม่ให้แฟนหนุ่มของตนต้องเครียดไปกว่านี้  และชาติชายที่มาด้วยในวันนี้  อลิซติดงาน  เธอจึงไม่ได้มาด้วย  เขาตบไหล่เพื่อนของเขา  และพูดให้กำลังใจเพื่อนของเขา

                      “ไม่เป็นไรเพื่อน  มันต้องดีขึ้นสิวะ  ตอนนี้มึงอาจจะแค่เครียด”

   ทั้งสามคนตัดสินใจไปวัดกัน  แต่ในขณะที่ขับรถอยู่นั้น  พวกเขาต่างคิดถึงเรื่องเก่าๆที่ผ่านมาที่เคยใช้กับมาวิน  ทั้งเรื่องที่ดี  และเรื่องที่ไม่ดี  เอิญที่นั่งคู่กับมาวินอยู่นั้น  เมื่อจู่ๆน้ำตาของเธอก็ไหลออกมา  มาวินที่เห็นแฟนของตนร้องไห้  เขาจึงเข้าไปโอบกอดแฟนของเขา  เพื่อปลอบใจแฟนของเขา  ชาติชายเอง  ในตอนนี้  ตัวเขาเองก็อยากร้องไห้ออกมา  แต่เขาไม่อยากให้บรรยากาศต้องมัวหมองมากไปกว่านี้  เขาจึงข่มมันไว้  และขับรถต่อไปอย่างเงียบๆ

วัด  

   ทั้งสามคนเข้าไปทำบุญในวัด  ทำทุกที่ที่ทำได้  คำอธิษฐานของเอิญกับชาติชาย  พวกเขาขอให้มาวินหายจากอาการป่วยนี้  ส่วนมาวินเอง  ไม่มีใครรู้  ว่าเขาอธิษฐานอะไรไป  หลังจากนั้น  ทั้งสามคน  เข้าไปกราบแม่ชี  และขอบคุณแม่ชี  ที่ช่วยเหลือพวกเขามาตลอด  แม่ชีก็ทักมาวินอีกครั้ง

                      “อาการแย่ลงเหรอพี่หนุ่ม”

   มาวินทำหน้าตกใจ  เขาจึงถามแม่ชีกลับไป

.                      “แม่ชีรู้ได้ยังไงครับ?”

   แม่ชียิ้มออกมา  และตอบคำถามมาวิน

                      “ชาติก่อน” แม่ชีเริ่มเล่าเรื่องอีกครั้ง “ตัวของลูกเอง  ก็เป็นโรคหัวใจ  ที่ทำให้ลูกในชาติก่อน  ต้องไปเร็วกว่าปกติ  เพราะอาการของโรคหัวใจด้วยนั่นแหล่ะ  จะว่ามันเป็นโรคที่ติดตัวมากับลูกตั้งแต่อดีตชาติ  ก็ไม่ผิดนักหรอกนะ”

                      “นั่นหมายความว่า  ในชาตินี่เอง  ผมก็ต้อง”

   แม่ชีส่ายหัว

                      “ไม่มีใครตัดสินได้หรอก  ว่าในแต่ล่ะชาติ  ใครจะเป็นยังไง  ในชาตินี้เองก็เช่นกัน  ไม่มีใครมาตัดสินความเป็น  ความตายของลูกได้หรอก  ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับตัวลูกเอวทั้งนั้นนั่นแหล่ะ”

   สิ้นเสียงแม่ชี  ทั้งสามคนมองหน้ากันอีกครั้ง  และทั้งสามคนจึงกราบแม่ชี  และขอตัวลากลับ  ทั้งสามคนไม่ได้พูดอะไรกัน  ระหว่างที่เดินกลับมาเลย  อารมณ์ของทั้งสามคน  ต่างอึมครึมด้วยความเศร้าหมอง  ในใจของพวกเขาต่างคิดไปต่างๆนานา  เมื่อขึ้นรถมาได้  มาวินเอง  ที่ไม่อยากให้เพื่อนเขา  กับแฟนของเขาต้องเครียด เขาจึพยายามพูดให้ทั้งสองคนอารมณ์ดีขึ้นมา

                      “จะเครียดกันทำไม  แม่ชีก็บอกแล้วนี่  ว่าชั้นยังไม่ถึงที่ตายสักหน่อย”

                      “แม่ชีน่ะ  มันในทางไสยศาตร์  แต่ในทางวิทยาศาตร์  เขาก็บอกแล้วนิ  ว่ามึงอาการแย่ลงน่ะ”

   เมื่อยิ่งตอกย้ำ  ว่าอาการของมาวินแย่ลง  สีหน้าของเอิญ  กลับยิ่งเศร้าหมองลงกว่าเดิม  มาวินจึงหันมาต่อว่าเพื่อนของเขา

                      “มึงพูดอะไรของมึงเนี่ยไอ้ชาย  เห็นไหมเอิญเขาร้องไห้แล้วเนี่ย”

   สิ้นเสียงมาวิน  เหมือนชาติชายพึ่งจะนึกได้  กับสิ่งที่เขาถึงพูดไป

                      “ขอโทษด้วย” สีหน้าของชาติชาย  บ่งบอกถึงความรู้สึก  ก่อนที่เขาจะพยายามเปลี่ยนอารมณ์ในรถ “แล้วเอิญจะไปทำงานไหม  หรือกลับบ้านเลย”

                      “กลับบ้านเลย  วันนี้เราลางานไว้น่ะ”

   สิ้นเสียงชาติชาย  ภายในรถกลับมาสู่ความเงียบสงัดอีกครั้งนึง  ไม่มีใครพูดอะไรออกมาทั้งสิ้ง  มีเพียงเสียงวิทยุ  กับเสียงแอร์ภายในรถเท่านั้น  ที่มัรทำหน้าที่ส่งเสียงออกมา  เพื่อไม่ให้ในรถต้องเงียบจนเกินไป  ทั้งสามคนมุ่งหน้ามาถึงบ้านมาวิน  เมื่อทั้งสามคนเดินเข้าบ้านมาได้  พ่อกับแม่รีบตรงดิ่งเข้ามาถามไถ่ถึงอาการของมาวิน  ไม่มีใครกล้าพูดอะไรทั้งสิ้น  แต่พ่อกับแม่ที่เห็นสีหน้าของทั้งสามคน  ก็ทราบได้ทันที

                      “ไม่ดีขึ้นเลยเหรอ”

   มาวินพยักหน้ารับเบาๆ  พ่อกับแม่ที่ทราบดังนั้น  พวกเขาต่างมีสีหน้าเศร้าหมองตามเช่นกัน  คนทั้งหมดที่ยืนอยู่ตรงนั้น  ไม่มีใครขยับออกจากตรงนั้นสักคนเดียว  ทั้งหมดต่างตกอยู่ในภวังค์แห่งความเงียบงัน  จนชาติชายกล่าวขึ้นมา

                      “งั้นคืนนี้เรามาจัดงานเลี้ยงกันไหม  เดี๋ยวกูโทรตามอลิซให้  ไหนๆถ้าเรื่องแบบนี้มันต้องเกิดขึ้นจริงๆ  เราก็มาสนุกันให้สุดเหวี่ยงสักคืนนึงด้วยกันไปเลย”

   มาวินยิ้มรับในสิ่งที่เพื่อนพูด

                      “ก็ดีนะ  นานๆทีเอาให้เต็มที่ก็ดี”

   เมื่อแฟนของตนพูดเช่นนั้น  เอิญเองก็เออออตามไปด้วย  เมื่อตกลงได้ดังนั้น  ชาติชายจึงยกหูโทรศัพท์  โทรไปหาอลิซ  เพื่อบอกว่าเย็นนี้  มีงานเลี้ยงที่บ้านของมาวิน  เดี๋ยวเลิกงานแล้วเขาจะไปรับ  ชาติชายจัดแจงไปซท้อเหล้าเบียร์  และเครื่องดื่มต่างๆมา  พร้อมทั้งอาหารที่เตรียมจะเอามาทำอีกมากมาย  และส่งให้แม่บ้านไปเข้าครัวทำ  เอิญมาจัดแจงสถานที่  โต๊ะเก้าอี้  เพื่อเตรียมให้ทุกคนมานั่ง  เมื่อถึงเวลาเย็น  ชาติชายเตรียมสตาร์ทรถ  เพื่อไปรับอลิซที่ทำงาน  ระหว่างทางที่ทั้งคู่นั่งด้วยกันมาในรถ  ชาติชายเล่าเรื่องราวที่ไปหาหมอ  ให้อลิซได้ฟัง  สีหน้าของอลิซเอง  ก็ตกใจไม่แพ้กับทั้งหมดที่เหลือ  เขาจึงเข้าใจเรื่องราวได้ทันที  ว่าทำไมวันนี้ถึงต้องจัดเลี้ยงกันใหญ่โตขนาดนี้  เมื่อมาถึงบ้าน  อลิซสวัสดีพ่อแม่ของมาวิน  ทั้งหมดจึงตรงไปที่โต๊ะอาหาร  ที่มีอาหารหรูหรามากมาย  ตั้งอยู่ที่โต๊ะ  ใครอยากลงเล่นน้ำ  ก็ลงได้  ใครอยากทานอาหารก็ทานกันไป  ใครอยากนั่งคุย  นั่งฟังเพลง  นั่งดูทีวีเล่นมือถือก็ทำกันไป  เรียกว่าในค่ำคืนนี้  บ้านหลังนี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะที่คลึกคลื้นก็มิปาน  แต่เมื่อถึงเวลายามค่ำที่เงียบสงัด  คนทั้งหมดต่างเบาเสียงเพลงลง  พ่อกับแม่ก็ขอตัวเข้าไปนอน  เหลือเพียงชายหนุ่ม  กับหญิงสาวเพียงสี่คน  ที่ยังคงนั่งคุยกันไปเรื่อยเปื่อย  โดยที่ชาติชายเริ่มพูดขึ้นมาก่อน

                      “ถ้ามึงต้องจากไปจริงๆ  กูคงเหงาแย่เลยว่ะ” ชาติชายกล่าว  ด้วยสีหน้าอันเศร้าสร้อย “ตั้งแต่เล็กจนโต  มึงกับกูไม่เคยห่างกันเลย  มึงเป็นทั้งเพื่อนตาย  เป็นเหมือนพี่  เป็นเหมือนน้องกู  ไปไหนไปกัน  เที่ยวด้วยกันทุกที่  ค่ำไหนนอนนั่น  สุขด้วยกัน  ทุกข์มาด้วยกัน  แต่ตอนนี้  ถ้ามึงต้องจากไป  กูคงทำใจไม่ได้จริงว่ะเพื่อน”

   มาวินนิ่งเงียบ  เขาไม่ได้ตอบอะไรเพื่อนของเขากลับไป  แต่สีหน้าของเขา  บ่งบอกว่าเขาเอง  ก็ไม่ได้อยากจะจากเพื่อนเขาไปเช่นนี้เหมือนกัน

                      “ชั้นเองก็” อลิซเริ่มพูดขึ้นมาบ้าง  เขามีหลายอย่างที่อยากจะบอกกับมาวินเหมือนกัน “ต้องขอโทษ  ที่เคยว่านายไปหลายๆอย่าง  เคยทำไม่ดีกับนายเอาไว้  แต่นายก็เข้าใจใช่ไหม  ที่ชั้นทำแบบนั้นไป  เพราะชั้นก็รักยัยเอิญไม่แพ้นายน่ะ” มาวินยิ้ม  และพยักหน้าตอบรับ “แต่ในตอนนี้  ชั้นเข้าใจแล้ว  ว่านายรักเพื่อนชั้นมาก  และในตอนนี้นายเอง  ก็เป็นเพื่อนสนิทของชั้นเหมือนกัน  ถ้านายจะต้องจากไปจริงๆ  ชั้นคงเสียใจไม่แพ้คนอื่นๆ”

   มาวินยิ้มอ่อนๆให้กับสิ่งที่ทั้งสองคนพูด

                      “ขอบใจพวกแกทากนะ” มาวินตอบทั้งสองคน “ชั้นเอง  ก็ไม่ได้อยากให้เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้น  มีอีกหลายที่ชั้นอยากจะทำ” มาวินหันไปมองเอิญ  ด้วยสายตาอันอ่อนโยน “ชั้นอยากจะดูแลเอิญ  อยากพาเอิญไปเที่ยวให้มากกว่านี้  อยู่ต่งงานกับเอิญ  อยากมีลูกด้วยกันสักสองคน  ผู้หญิงคน  ผู้ชายคน  มาวิ่งเล่น  ทำให้บ้านนี้ไม่ต้องเหงา  และอีกหลายๆอย่างที่ชั้นอยากจะทำ  แต่ในเมื่อ  เรื่องมันเป็นแบบนี้ไปแล้ว  ชั้นก็คงหนีมันไม่ได้”

   สิ้นเสียงมาวิน  ทั้งสามคนต่างเงียบสงัด  จนชาติชายเริ่มพูดอีกครั้ง  ด้วนน้ำเสียงที่จริงจัง

                      “ไม่ต้องห่วงนะ  พ่อกับแม่มึง  กูจะดูแลท่านเป็อย่างดี”

   เอิญพูดเสริมขึ้นมา  พรางกุมมือมาวิน

                      “เขาด้วย  ถึงตัวเองจะไม่อยู่แล้ว  เขาก็จะดูแลพ่อแม่ตัวเองอย่างดี  ถ้าไม่ใช่ตัวเอง  ชีวิตนี้  เขาก็จะไม่มีใครอีกแล้ว  เราผ่านอะไรมาด้วยกันมากมาย  ทั้งทุกข์  ทั้งสุข  ขอให้ตัวเองสบายใจได้นะ”

   สิ้นเสียงเอิญ  มาวินเอื้อมมือไปโอบกอดร่างของเอิญ  ด้วยความรักที่เต็มเปี่ยม  ค่ำคืนนั้น  ทั้งสี่คน  ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน  จนเกือนเช้า  จนพวกเขาเผลอหลับไป  ยังที่ที่พวกเขานั่งกินกันอยู่  แต่โชคดี  ที่วันนั้นเป็นวันหยุด  ทำให้ทั้งสี่คน  ไม่ต้องรีบร้อนกันมากนัก

   หลังจากวันนั้น  ระยะเวลาก็ล่วงเลยผ่านไป  อาการของมาวินเอง  ก็ไม่ดีขึ้นเลย  หาหมอ  หมอก็บอกได้เพียงว่า  ให้ทำใจเผื่อเอาไว้ด้วย  เพราะหมอเอง  ก็รักษาอย่างเต็มที่แล้ว  จนสุดท้าย  มาวินเองก็ต้องนอนติดเตียง  สภาพของเขา  ไม่ต่างจากตัวเขาเมื่อในอดีตชาติเลย  ต่างกันเพียงแค่  ในอดีต  ตัวของเขามีเพียงเพื่อนกับน้องสาวอยู่เคียงข้างกายเท่านั้น  แต่ในตอนนี้  ตัวเขามีทั้ง  เพื่อน  พ่อแม่  และที่สำคัญแค่  แฟนสาวของเขา  ที่อยู่เคียงข้างไม่เคยห่างไปไหน  ทั้งหมดดูแลมาวินอย่างเต็มที่  จนมาวันนี้  ที่ตัวเขาสู้อย่างสุดกำลังแล้ว  แต่เหมือนตัวเขาจะเหนื่อยล้าเต็มที่แล้ว  เขามองไปรอบเตียง  เขาเห็นทุกคนต่างรุมล้อมรอบเตียงของเขา  ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยน้ำตา  ในลมหายใจสุดท้าย  เขาเลือกที่จะเอื้อมมือไปลูบที่หัวของเอิญ  และพูดด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา  จนเอิญต้องเงียหูไปฟัง

                      “ผมรักคุณนะ” เอิญที่ได้ยินดังนั้น  น้ำตาของเขาไหลลินออกมา  อย่างไม่หยุดหย่อน “ผมขอ...อโห...สิ..กรรม  ให้กับ...เรื่องในอ.ดีต...ที่ผ่านมา...ทั้งหม...ด...นะ  และผม....  ขอให้ชาติ.....หน้า  เราเกิดมา...และได้คู่กัน.....  ไม่ใช่.....ในฐานะ.......พ่อ......แม่..พีน้อง  แต่เกิด..........และครองคู่กัน...........อย่างคนรัก  ทุกชาติไป”

   เอิญที่ได้ยินดังนั้น  เขาสบหน้าลงที่ร่างของมาวิน  เขาร้องไห้ออกมาดั่งคนที่เป็นบ้า  ดั่งคนที่ผิดหวังในความรัก  เขาร้องไห้อย่างไม่หยุดหย่น  ส่วนมาวิน  หลังจากที่เขาอโหสิกรรมให้เอิญแล้ว  และกล่าวคำสาบานใหม่เรียบร้อย  มือของเขาที่ลูบอยู่บนให้เอิญ  ก็ล่วงลงมาที่ข้างกายเขา  ลมหายใจที่เคยมีอยู่  บัดนั้น  มันได้พัดหายไปกับสายลม  ในวันที่ท้องฟ้ามีอากาศที่แจ่มใส  ตัวเขาจากไปด้วยอย่างคนที่ไม่มีอะไรติดค้างอีกแล้ว  เรื่องพ่อแม่  เพื่อนกับแฟนสาวของเขา  ก็สัญญาเป็นมั่นเป็นเมาะ  ว่าจะดูแลให้  ส่วนเรื่องบริษัท  ถึงจะไม่ใช่ถรรยา  แต่พ่อกับแม่ก็ไว้วางใจ  ที่จะให้เอิญได้รับช่วงต่อ  ส่วนเรื่องในอดีตชาติ  บัดนี้ทุกอย่างได้รับการอภัยให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว  เขาไม่มีเรื่องใดที่ติดค้างอีกต่อไป  เขาจากไปด้วยรอยยิ้ม

   ในวานศพของเขา  ผู้คนมากหน้าหลายตา  ต่างแห่แหนกันมาร่วมงาน  ถึงตัวเขาจะเคยเป็นหนุ่มเพลบอย  แต่กับผู้ใหญ่หลายๆคน  ตัวของเขานั้น  ได้รับความเอ็นดู  เพราะตัวเขาถือว่าเป็นเด็กที่ดีมากคนหนึ่งเลย  ทั้งพ่อแม่เอิญ  พ่อแม่ของชาติชาย  ผู้ใหญ่ในวงการนักธุรกิจ  และอีกมากมาย  ทุกคนต่างไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้มันจะเกิดขึ้น  เด็กอายุยังน้อย  ทำไมถึงต้องด่วนจากไปเร็วนัก  ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันเช่นนี้  ข่าวหลายๆช่องเอง  ก็นำเรื่องของเขาไปเขียนต่างๆนาๆมากมาย

                      นักธุรกิจหนุ่มพันล้าน  เป็นโรคหัวใจเสียชีวิตกะทันหัน  แฟนสาวรับช่วงต่อธุรกิจสายฟ้าแร้บ

   แต่งานทุกอย่าง  ก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี  ระยะเวลาผ่านไป  ทุกคนต่างทำในสิ่งที่ตนเคยสัญญากับมาวินเอาไว้เป็นอย่างดี  พ่อแม่ของเขา  ได้รับการดูแลจากชาติชาย  เอิญ  และอลิซ  ที่พัดเปลี่ยนกันมาดูแล  และให้ความสุขแก่พวกท่านมิขาด  มีก็แต่เอิญ  ที่ไม่ว่าผ่านมานานแค่ไหน  เขาก็ยังไม่เคยที่จะลืมมาวินได้เลย  และตัวเขาเอง  ก็ไม่มีใครใหท่ตามที่สัญญากับมาวินเอาไว้  เขาเฝ้าคิดถึงมาวินทุกวัน  จากกันครั้งนี้  ไม่ใช่จากกันเหมือนครั้งก่อน  ที่ยังมีโอกาสได้กลับมารักกันอีกครั้ง  เหมือนเรื่องที่ผ่านมา  แต่จากกันครั้งนี้  แค่การจากกันตลอดการ  ไม่มีโอกาสได้หวนกลับมาเจอกันอีกแล้ว  มีเพียงความทรงจำเท่านั้น  ที่คอยหล่อเลี้ยงร่างกาย  ให้มีกำลังใจ  ที่จะสู้ต่อไปในวันข้างหน้าเพียงเท่านั้น  เธอดูแลบริษัทของมาวินเป็นอย่างดี  การงานก็ก้าวหน้าไปไม่น้อย  ส่วนชาติชายกับอลิซในตอนนี้  ทั้งคู่ตกลงที่จะคบกัน  เพราะเหตุการณ์ที่ผ่านมา  ทำให้พวกเขาเข้าใจ  ว่าความสุขมักจะมีเวลาของมัน  ที่จะต้องลาจาก  ไม่จากเป็น  ก็จากตาย  แต่ถ้าต้องจากตาย  พวกเขาขอเลือกตักตวงเวลาแห่งความสุขให้เต็มที่เสียดีกว่า

   สุดท้ายเวลาก็ผ่านไปถึงสองเดือน  ตัวของเอิญเองนั้น  จู่ๆเธอก็เป็นลมล้มพับไปที่ทำงาน  อลิซที่เข้ามาหาเอิญพอดี  ดธอพบร่างของเอิญนอนอยู่  จึงแจ้งให้ทุกคนพาเอิญไปที่โรงพยาบาล  ผลวินิจฉัยโรคออกมา  ว่าเธอทำงานมากเกินไป  จนเกิดอาการเครียด  แต่ทุกคนเข้าใจดี  ว่าสาเหตุที่แท้จริง  มันเกิดจากอะไรกันแน่  เอิญทำใจไม่ได้  ที่มาวินต้องจากไปอย่างนี้  ไม่เคยมรสักวันเลยที่จะลืม  จนสุดท้าย  อาการของเธอในวันนั้น  ถึงหมอบอกจะไม่ได้เป็นอะไรแล้ว  แต่มันก็มีแต่แย่ลงอยู่ดี  และในเวลาต่อมา  ตัวของเธอนั้น  ก็เสียตามมาวินไป  ทำให้พวกอลิซกับชาติชาย  ต้องเสียใจเป็นอย่างมาก  ที่เพื่อนของเขาถึงสองคน  ต้องมาด่วนจากไปเช่นนั้น  ทั้งคู่ต่างทำบุญให้กับมาวินและเอิญ  ‘และขอให้ทั้งคู่  ได้ไปเกิดมาในพบภูมิที่ดี  ถ้าชาติหน้ามีจริง  ขอให้พวกเขาทั้งคู่  ได้เกิดมาคู่กันด้วย’ เมื่อสิ้นเรื่องของคนทั้งคู่แล้ว  ชาติชายกับอลิซเองต่างก็ใช้ชีวิตกันต่อไป  จนกระทั่ง

เชียงใหม่(บนยอดเขาแห่งหนึ่ง)

   อลิซกับชาติชาย  ตกลงกันว่าจะมาเที่ยวที่นี่  โดยที่ทั้งคู่ได้พักข้างคืน  ที่รีสอร์ทแห่งหนึ่ง  และในตอนนี้  ค่ำคืนที่เต็มไปด้วยแสงสีอันโรแมติก  ชาติชายตัดสินใจที่จะ...

                      “ผมคิดว่า  ไม่อยากให้เราต้องมีเสียเวลากันอีกแล้ว  ผมเลยอยากจะ....”

   ชาติชายพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก  และท่าทางที่เขิลอาย

                      “อะไรเหรอ”

   อลิซพูดด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม  ดั่งว่าเธอรู้อยู่แล้ว  ว่าชาติชายอยากจะพูดอะไร  เธอเพียงแค่รอให้เขาพูดเท่านั้น

                      “คืออ.......”

                      “กล้าๆหน่อย  เป็นลูกผู้ชายรึเปล่า  ถ้าไม่พูด  ชั้นจะไปหาคนอื่นแล้วนะ”

   อลิซพูด  ด้วยน้ำเสียงที่ห้าวหาน  นั่นทำให้ชาติชาย  ถึงกับสะดุ้งโหยง  เขาซูดลมหายใจเฮือกใหญ่เข้าไป  และมองหน้าอลิซ  ด้วยสายตาอันมุ่งมั่น

                      “ผมคิดว่า  เรื่องราวที่ผ่านมา  มันสอนให้เราทั้งคู่ได้รู้แล้ว  ว่าถ้าเรามัวแต่รอ  เราอาจจะต้องเสียโอกาสดีๆไปก็ได้  เพราะฉะนั้น” ชาติชายขุกเข่าลงตรงหน้าอลิซ  และเปิดกล่องแหวนออก “แต่งงานกับผมนะครับ”

   สิ้นเสียงชาติชาย  ใบหน้าของอลิซเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันเปี่ยมสุข  เขายืนมือออกไปให้ชาติชาย

                      “แต่งสิค๊ะ”

 

By hikari…

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา