ปิ่นตะวัน

-

เขียนโดย พราวรุ้ง

วันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 เวลา 12.40 น.

  9 ตอน
  9 วิจารณ์
  1,912 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 12.48 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) คนป่วย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
           เป็นเวลาหลายสัปดาห์ที่เรือนไม้ไผ่หลังนี้มีผู้คนแวะเวียนกันเข้ามาเยี่ยมเยือนผู้ป่วยที่นอนรักษาตัวอยู่ ยอดได้รับคำสั่งจากหนานไกรให้มาเฝ้าไข้ คอยป้อนข้าวป้อนน้ำและยาสมุนไพรให้ทุกวันจนเกือบจะหายดี เสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้เรือนไม้ไผ่ ยอดที่อยู่ข้างในรีบเดินออกมาดูว่าใครมาสีหน้าเคร่งเครียดจากความกังวลเริ่มผ่อนคลายลงเมื่อเห็นว่าเจ้าของฝีเท้านั้นก็คือแม่หญิงปิ่นที่ตอนนี้ยืนรออยู่ตรงปลายบันได
            “แม่หญิงมาเยี่ยมผู้ไข้หรือขอรับ”  
หญิงสาวพยักหน้าตอบรับก่อนจะก้าวขาเหยียบบันไดขึ้นไปแต่เหตุการณ์ประหลาดก็ได้เกิดขึ้นจู่ ๆท้องฟ้าที่เคยสว่างสดใสไร้เมฆมาบดบังตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็นความมืดมิดเสมือนกลางคืนได้เพียงเสี้ยววิแล้วก็กลับมาเป็นท้องฟ้าที่ปกติอีกครั้ง ทุกคนต่างแหงนมองท้องฟ้าที่วิปริตนั้นด้วยความแตกตื่น
            “แม่หญิงกลับกันเถอะเจ้า พรุ่งนี้ค่อยมาเยี่ยมใหม่” ชุ่มทำท่าทีร้อนรนเหมือนหวาดกลัวบางอย่าง
            “จะกลับทำไมล่ะพี่ชุ่ม ฉันยังไม่ได้เข้าไปเยี่ยมคนป่วยเลย” ปิ่นตะวันหันมามองชุ่มที่กำลังเขย่าแขนของเธอเบาๆ สีหน้าไม่สู้ดีนัก
            “บ่าวว่าแม่หญิงกลับเข้าเรือนเถอะขอรับ วันนี้ท้องฟ้ามืดผิดปกติบ่าวเกรงว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขอรับ” ยอดพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
            “มันจะอะไรกันนักหนากะอีแค่ท้องฟ้ามืดแปปเดียวเอง” หญิงสาวท้าวเอวพูด ใบหน้างามมองไปที่ยอดด้วยความสงสัย ชุ่มที่มาด้วยยกมือขึ้นมาพนมไว้กลางอก ปากก็พึมพำสวดมนต์ฟังไม่ได้ใจความ
            “ผู้เฒ่าผู้แก่บอกเอาไว้ว่าถ้าท้องฟ้ามืดวิปริตเช่นนี้จะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นขอรับ” สีหน้าของยอดดูวิตกกังวลเล็กน้อยเมื่ออธิบายเหตุการณ์ดังกล่าวให้หญิงสาวฟัง
            “ไม่มีอะไรหรอกมั้ง” ปิ่นตะวันตอบกลับแม้ว่าจะแอบหวั่นใจเล็กน้อยกับสิ่งที่ได้ยินมา หญิงสาวไม่คิดจะลบหลู่ความเชื่อที่มีมาตั้งแต่โบราณแต่จะให้เธอหอบเอาของที่จะมาเยี่ยมคนป่วยกลับไปทั้ง ๆที่มีโอกาสมาและไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเยี่ยมคนป่วยอีกทีเมื่อไหร่ เธอจะไม่ยอมเสียเวลาเดินกลับไปกลับมาแน่นอน หญิงสาวยกขาก้าวไปเหยียบเชิงบันไดได้เพียงข้างเดียวจู่ ๆ กลุ่มควันสีดำลอยมาจากไหนไม่รู้พุ่งเข้าไปยังข้างในของเรือนพักฟื้นแต่ก็เข้าไปข้างในไม่ได้เพราะมีเครื่องรางป้องกันไว้ตรงหน้าประตู ยอดรีบลงมาจากเรือนอย่างรวดเร็ว
            “แม่หญิงรีบกลับเรือนเถอะขอรับ” ปิ่นตะวันพยักหน้าเห็นด้วยกับยอด สิ่งที่หญิงสาวเห็นเมื่อสักครู่บอกได้เลยว่ามันเกินคำบรรยายจริงๆ ทั้งปิ่นตะวัน ชุ่มและยอดพากันวิ่งหนีเอาตัวรอดแต่ก็ไม่สำเร็จกลุ่มควันดำได้ลอยมาดักทั้งสามเอาไว้ หญิงสาวมองไปที่ควันสีดำปรากฏเป็นใบหน้ารูปกะโหลกดวงตากลวงลึกโบ๋กำลังจ้องมองมายังตนเช่นกัน
            “พวกเราไม่รอดแน่ขอรับ” ยอดพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
            “ไอ้ยอด ไอ้ปากบอน เอ็งจะพูดออกมาทำไม ห๊ะ” ชุ่มหันไปตวาดใส่ยอดที่กำลังยืนตัวสั่นอยู่ข้างๆ ในใจก็นึกอยากจะเขกหัวคนตัวโตเสียจริง เป็นผู้ชายเสียเปล่าแต่กลับกลัวผีสาง ส่วนตัวเองจะรู้สึกกลัวไม่ต่างจากยอดเช่นกัน
กลุ่มควันดำได้ส่งเสียงขู่คำรามด้วยความเกรี้ยวกราดก่อนจับกลุ่มเป็นรูปร่างคล้ายมนุษย์ตัวสูงใหญ่ ผิวดำทะมึนน่าเกรงขาม นัยน์ตาแดงฉานอย่างกับอสูรกาย เสียงขู่คำรามของมันราวกับสัตว์ป่า มันเดินตรงดิ่งมายังที่หญิงสาวยืนอยู่หมายจะจับกินเป็นเหยื่อให้หายหิว แต่แล้วร่างสูงใหญ่นั้นหยุดชะงักลง
หนานไกรที่เข้ามาเห็นเหตุการณ์ใช้ดาบฟันตรงกลางหลังของอสูรกายตนนี้จนร่างกายของมันสลายหายไป
            “แม่หญิงเป็นเยี่ยงไรบ้าง” ชายหนุ่มเดินเข้ามาดูและถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
            “ฉันไม่เป็นอะไรค่ะ” ปิ่นตะวันตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ สีหน้าและแววตาดูวิตกเล็กน้อยหลังจากที่ผ่านเหตุการณ์เผชิญหน้ากับภูติผีวิญญาณร้ายเป็นครั้งแรก ทำให้หญิงสาวทำอะไรไม่ถูก
หนานไกรสังเกตท่าทีของหญิงสาวที่ยืนนิ่งไม่ไหวติง ใบหน้าซีดเซียว ร่างกายสั่นเทาคล้ายคนเป็นไข้   
            “แม่ปิ่นมิเป็นกระไรใช่หรือไม่” หนานไกรถามย้ำอีกครั้งแต่ก็ไม่มีคำตอบใดออกมาจากปากหญิงสาว
            “สงสัยจะมีคนส่งผีกะมาเล่นงานอ้ายจีนฮ่อคนนี้แต่ผีมันเข้าไปข้างในไม่ได้เพราะมีตาเหลวป้องกันอยู่ มันเลยจะหันมากินคนที่อยู่ใกล้แทน” ชายหนุ่มพูดพลางหันไปมองหน้าหญิงสาวที่ทำราวกับจะร้องไห้ออกมา ทันใดนั้นร่างบางโผเข้าสวมกอดชายตรงหน้าโดยไม่ทันตั้งตัว คนถูกกอดยืนแข็งทื่อราวกับก้อนหิน
            “นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันเห็นผี เกิดมาก็พึ่งเคยพบเคยเห็น” ปิ่นตะวันบ่นพึมพำขณะที่กอดร่างหนาไว้แน่น เหมือนเด็กน้อยที่ต้องการคำปลอบใจและที่ยึดเหนี่ยว
            “แม่หญิง ข้าว่ากลับเรือนกันเถอะ” หนานไกรได้สติพูดตะกุกตะกัก ทั้งชุ่มและยอดที่หลบอยู่ข้างหลังต่างพากันยิ้มเล็กยิ้มน้อยให้กับการทำตัวไม่ถูกของชายหนุ่ม
            “แล้วคนป่วยล่ะ ผีมันจะไม่ทำอะไรใช่ไหมคะพี่หนาน”  ชายหนุ่มมองไปยังเรือนพักฟื้นก่อนจะถอนหายใจเบาๆ
            “เจ้าไม่ต้องห่วง เรือนหลังนี้แขวนตาเหลวป้องกันเอาไว้แล้วคนที่ส่งผีมาทำร้ายมันคงไม่กล้าส่งมาอีก และข้าจะให้พวกบ่าวมันทำตาเหลวห้าแฉกปักไว้สี่ทิศรอบเรือนหลังนี้แล้วก็ให้แบ่งคนมาเดินเวรยามรอบๆเรือนนี้อีกที” หนานไกรชี้นิ้วไปยังไม้ไผ่จักรสานรูปดาวแปดแฉกที่ผูกไว้กับสายสิญจน์ตรงประตูของเรือนแล้วอธิบายสิ่งต่างๆให้หญิงสาวเข้าใจ  
            “กลับเรือนเถอะเจ้า” ชุ่มเข้ามากระซิบข้างๆปิ่นตะวัน คะยั้นคะยอให้รีบกลับเรือน ระหว่างที่ก้าวเดินไปได้สี่ห้าก้าว ผีกะตัวเดิมก็ปรากฏตัวอีกครั้งเพื่อขวางทั้งสี่คนไม่ให้ไปไหน ชุ่มและยอดต่างกรีดร้องสุดเสียงเมื่อเห็นผีตัวเดิมอีกครั้ง
            “ยืนนิ่งอยู่ทำไม วิ่งสิคะ” ปิ่นตะวันคว้ามือชายหนุ่มเอาไว้แน่นแล้วรีบจ้ำอ้าวหนีไปให้ไกลจากตรงนี้ชุ่มและยอดก็พากันหนีไปอีกทางส่วนผีกะที่ถูกส่งมาได้กลับคืนเป็นกลุ่มก้อนควันดำแล้วลอยตามปิ่นตะวันและหนานไกรไปติดๆ ปิ่นตะวันพาหนานไกรวิ่งหนีผีกะมาเรื่อย ๆจนกระทั่งเจอดงไผ่ขนาดย่อมที่พอจะใช้หลบผีกะได้ ทั้งสองจึงวิ่งเข้าไปหวังจะซ่อนตัวไม่ให้ผีกะมันเห็น เสียงฝีเท้าค่อยๆเหยียบลงบนใบไม้แห้งดังกรอบแกรบพร้อมเสียงคำรามในลำคอ สายตาของผีร้ายสอดส่องทั่วบริเวณรอบๆที่มันเดินอยู่ จมูกก็ดมกลิ่นหาเหยื่อ ยิ่งเสียงฝีเท้าของผีกะเดินใกล้เข้ามาเท่าไหร่หัวใจที่เต้นรัวราวกลองรบของปิ่นตะวันก็ยิ่งเต้นแรงขึ้นเท่านั้น หญิงสาวพยายามนั่งเบียดชายหนุ่มให้ได้มากที่สุดอย่างน้อยก็รู้สึกปลอดภัยมีหลักพึ่งพิง สองมือยกขึ้นมาปิดปากตัวเองไม่ให้ส่งเสียงเล็ดลอดออกไป หนานไกรที่เห็นท่าทีของหญิงสาวที่กลัวผีร้ายนั่นจนตัวสั่นเขาจึงตัดสินใจจะลุกขึ้นไปสู้กับมันให้รู้แล้วรู้รอดดีกว่านั่งหลบอยู่อย่างนี้ แต่ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้ทำอะไรก็ถูกหญิงสาวฉุดให้นั่งลงเหมือนเดิม
            “เจ้า…” ยังไม่ทันที่จะเอ่ยปากพูดมือนุ่มก็ตรงเข้ามาปิดปากเขาเสียสนิท ชายหนุ่มมองไปยังดวงตาสวยคู่นั้นโดยไม่กระพริบหญิงสาวใช้นิ้วชี้แตะตรงปากของตนเองเบาๆส่งสัญญาณให้เขาเงียบ หนานไกรหัวใจเต้นรัวราวกลองรบออกศึกใบหน้าเริ่มร้อนผ่าวเมื่อหญิงสาวซบลงบนอกแกร่งของเขาโดยไม่ทันตั้งตัวปากก็พึมพำสวดมนต์ยิ่งเสียงฝีเท้าของผีกะใกล้เข้ามาเท่าไหร่ ร่างกายของทั้งสองก็ยิ่งแนบแน่นมากขึ้นเท่านั้น
            “มึงเป็นใคร มาขวางกูทำไม” ผีกะตะโกนถามด้วยอารมณ์โมโหที่ถูกบางสิ่งบางอย่างขัดขวางตนเอาไว้ ทั้งหนานไกรและปิ่นตะวันต่างมองหน้ากันทำสีหน้าราวไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ทั้งสองค่อยๆพยุงกันลุกขึ้นและออกจากที่ซ่อนเพื่อมาดูเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างระมัดระวังไม่ให้ผีกะรู้ตัว 
            “ผีเสื้อ” ปิ่นตะวันพูดออกมาเบาๆหลังเห็นผีเสื้อตัวใหญ่กำลังบินวนรอบๆผีกะอย่างกับว่ากำลังต่อสู้กัน หนานไกรที่ได้ยินหญิงสาวพูดถึงกับหันหน้ามามองด้วยความฉงนเพราะสิ่งที่เขาเห็นนั่นก็คือผีกะตนนี้ทำท่าทางกำลังต่อสู้และปัดป้องบางสิ่งบางอย่างที่เมองไม่เห็นแต่แปลกแม่หญิงปิ่นกลับมองเห็น 
หนานไกรมองดูสถานการณ์ตรงหน้าและพอคาดคะเนได้ว่าผีกะตนนี้กำลังเพลี่ยงพล้ำจึงใช้จังหวะนี้ร่ายคาถาปราบผีกะและใช้ดาบฟันมันตรงกลางหลังจนร่างของผีร้ายสลายหายไปพร้อมเสียงกรีดร้องโหยหวนลั่นป่า ปิ่นตะวันที่ยืนดูอยู่ห่างๆเมื่อเห็นว่าผีกะตนนั้นถูกกำจัดไปแล้วจึงเดินเข้าไปหาชายหนุ่มทันที ทั้งสองมองหน้ากันก่อนจะพากันเดินออกไปจากที่นี่  
            เสียงดาบปะทะกันตอนเช้าหลังเรือนเล็ก หนานไกรใช้สมาธิจดจ่อไปที่การฝึกซ้อมดาบกับยอดตั้งแต่เช้า ชดเชยที่เมื่อวานเขาไม่มีสมาธิ รู้สึกกระวนกระวาย จนไม่สามารถหยิบดาบขึ้นมาซ้อมได้อีกทั้งเมื่อคืนเขายังนอนไม่หลับกว่าจะปิดตาลงนอนได้ก็เกือบรุ่งสาง ชายหนุ่มยังคมฝึกซ้อมไปเรื่อย ๆจนกระทั่งได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นเคยตะโกนมาไกลๆ 
            “พี่หนาน!!” เจ้าของเสียงใสโบกมือทักทายพร้อมส่งยิ้มมาให้ ชายหนุ่มหยุดชะงักไปสักครู่ก่อนจะเอ่ยปากถาม
            “เจ้ามาที่นี่ทำไม เห็นไหมว่าข้ากำลังซ้อมดาบอยู่ กลับไปซะที่นี่ไม่เหมาะกับเจ้า” หนานไกรทำเสียงเข้มคล้ายจะดุ
            “เห็นค่ะ แต่จะมา” ปิ่นตะวันพูดสวนกลับทำเอาคนฟังถึงกับละเหี่ยใจกับสิ่งที่ได้ยิน หญิงสาวเดินเข้ามาใกล้ๆพร้อมยกสำรับอาหารเช้าที่ฝากชุ่มกับแช่มถือให้
            “อุ้ยคำฝากให้ฉันเอาสำรับข้าวมาให้พี่หนานกับยอดกินจ้ะ เห็นว่าวันนี้พี่หนานกับยอดซ้อมดาบกันตั้งแต่เช้ากลัวว่าจะหิวข้าวจนตาลาย ฉันก็เลยอาสาเอาสำรับข้าวมาให้” 
            “ข้าก็ตื่นเช้าแบบนี้เป็นปกติอยู่แล้ว เจ้านั่นแหละตื่นสาย”
ยอดที่กำลังใช้มือหยิบข้าวเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อยต้องหยุดชะงักแล้วหันไปมองเจ้านายของตน ในหัวเรียบเรียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าที่ตนถูกชายหนุ่มลากไปเป็นคู่ซ้อมดาบตั้งแต่รุ่งสางหลังไก่โห่นิดเดียว แต่ทำไมเจ้านายของตนถึงพูดออกมาแบบนี้  
หลังจากที่กินอาหารเช้าเสร็จหนานไกรจะเข้าไปในคุ้มหลวงเพื่อรายงานความคืบหน้ากับเจ้าอินทร์คำเรื่องเบาะแสของหญิงสาวที่พบเป็นศพตรงบริเวณชายป่าทิศตะวันออก ชุ่มกับแช่มช่วยกันยกสำรับอาหารที่กินเสร็จแล้วเอาไปเก็บ ระหว่างนั่นได้มีบ่าวผู้ชายอีกคนวิ่งเข้ามาหาหนานไกรด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
            “คนที่ป้อนายพามารักษาเมื่อวันก่อนตอนนี้ฟื้นแล้วขอรับ” เมื่อได้ยินเช่นนั้นชายหนุ่มจึงรีบไปยังเรือนพักฟื้นทันทีเพื่อสอบถามอะไรบางอย่าง ปิ่นตะวันที่อยากรู้อยากเห็นจึงรีบตามชายหนุ่มไปปล่อยให้ชุ่มกับแช่มนำสำรับกลับไปเพียงสองคน
สภาพคนป่วยตอนนี้ดูดีกว่าที่พามารักษาวันแรก ร่างกายที่มีรอยฟกช้ำก็เริ่มจางหายไปจนเกือบมองไม่เห็น รอยแผลที่ถูกแทงที่หน้าท้องก็ปิดสนิท สามารถพูดคุยตอบโต้ได้โดยรวมแล้วถือเป็นสัญญาณที่ดีอีกไม่นานคงจะหายเป็นปกติ         
“เอ็งเป็นเยี่ยงไรบ้าง” หนานไกรถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
            “ข้ามิเป็นกระไรแล้ว ต้องขอบน้ำใจพวกท่านที่ช่วยข้า บุญคุณครั้งนี้ข้าจะมิลืม” พูดแล้วก็ยกมือไหว้ขอบคุณ
            “มิเป็นไร ว่าแต่วันนั้นเอ็งจำได้หรือไม่ว่าใครทำร้ายเอ็งแล้วเอ็งไปมีเรื่องกระไรถึงถูกทำร้ายปางตายเช่นนี้” 
            ชายคนป่วยได้แนะนำตัวเองว่าชื่อเฉินเป็นพ่อค้าขายเครื่องเงินและเครื่องทองเหลืองจากยูนนานกำลังเดินทางไปเชียงเงินเพื่อนำสินค้าที่เหลือไปขายต่อที่นั้นแต่ระหว่างทางที่ขับเกวียนข้ามไปยังเขตเชียงเงิน ตนก็แอบได้ยินชายกลุ่มหนึ่งกำลังกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างจึงเดินเข้าไปใกล้ๆเผื่อจะได้ยินสิ่งที่คนพวกนั้นคุยกันบ้างตามประสาคนอยากรู้ แต่แล้วเขาดันถูกจับได้เพราะไปเหยียบกิ่งไม้แห้งบนพื้นจนเกิดเสียงดังสุดท้ายก็ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บ
            “แล้วเอ็งได้ยินคนพวกนั้นพูดว่ากระไรบ้าง” ยอดที่อยากรู้จึงเอ่ยถามขึ้นแต่ก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงกระแอมในลำคอและสายตาดุที่มองมายังตนของผู้เป็นนาย
            “ไม่ ข้ามิได้ยินกระไรเลย แต่ก่อนที่ข้าจะหมดสติข้าได้ยินหนึ่งในนั้นพูดว่า เจ้าน้อย” ทุกคนหันมามองหน้ากันอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินสีหน้าของทุกคนต่างนิ่ง ขรึม คล้ายมีอะไรในใจ มีแค่ยอดเท่านั้นที่ก้มหน้าก้มตาเอาสมุนไพรมาพอกปิดปากแผลตามปกติที่เคยทำ หนานไกรใช้ความคิดอยู่สักพักก่อนจะเอ่ยปากบอกลา
            “ข้าไม่กวนเอ็งแล้ว ข้าไปก่อน ขอให้เอ็งหายไวๆแล้วรีบเดินทางไปเชียงเงินเสีย” พูดจบก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปทันที ปิ่นตะวันที่ตามมาด้วยจึงรีบเดิมตามออกไป  
            “พี่หนานคิดว่าเฉินพูดความจริงไหมคะ”
            “เจ้าจะไปสนใจกระไรมากกับคนป่วยที่ชอบพูดเพ้อเจ้อล่ะ”
            “แต่ฉันว่าเราควรฟังหูไว้หูนะคะ” หญิงสาวเสนอความคิด ชายหนุ่มไม่ได้ตอบกลับอะไรมากแค่พยักหน้าให้ เขาไม่รู้ว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในสถานการณ์แบบนี้เขาไม่ควรจะไว้ใจใครง่ายๆแม้แต่เจ้าอินทร์คำและเจ้าอินทร์แปงเพราะไม่รู้ว่า ‘เจ้าน้อย’ ที่อ้ายจีนฮ่อพูดถึงนั้นหมายถึงใครกันแน่ บวกกับข่าวลือจากคนในคุ้มว่าการช่วงชิงตำแหน่งพระมหาอุปราชของสองเจ้าน้อยเริ่มปะทุแรงขึ้นทุกทีอาจเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ แต่สิ่งเดียวที่เขารู้ได้นั่นก็คือ คืนนี้คงเป็นอีกคืนที่นอนไม่หลับเพราะมีเรื่องให้คิดมากมายในหัวเป็นแน่

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา