เล่าเรื่องภาพยนตร์ Playing for time

5.7

เขียนโดย giadaexp

วันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 16.36 น.

  1 ตอน
  2 วิจารณ์
  2,686 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 เมษายน พ.ศ. 2563 16.38 น. โดย เจ้าของเรื่องเล่า

แชร์เรื่องเล่า Share Share Share

 

1) เล่าเรื่องภาพยนตร์ Playing for time

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

ภาพยนตร์ดำเนินเรื่องไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีการเกริ่นถึงชีวิตของตัวเอก หรือฟาเนีย เฟอเนอลง เท่าใดนัก เปิดฉากมาด้วยการเล่นเปียโน ร้องเพลงในร้านอาหารของเธอ ไม่ถึง 5 นาที ก็มีการตัดภาพไปที่รถไฟของนาซีเลย บรรยากาศบนรถไฟนั้นค่อนข้างแออัด ฟาเนียถูกจับมาเนื่องจากเธออยู่ในกลุ่มต่อต้านนาซี ในรถไฟมีเด็กสาววัย 20 ปี ชื่อ มาริอาน คนหนึ่งรู้สึกตื่นเต้นกับการได้นั่งข้างฟาเนียเป็นอย่างมาก และยังกล่าวอีกว่า เพื่อนๆของหล่อน ชอบสไตล์ของฟาเนียเป็นอย่างมากเด็กสาวบอกว่าถูกจับมาเนื่องจากคนรักของเธออยู่ในกลุ่มต่อต้าน อีกทั้งพวกเธอทั้งคู่ยังเป็นลูกครึ่งยิวอีกด้วย มีชายชราคนหนึ่งกล่าวกับฟาเนียว่า “มาดามเฟอเนอลง เสียงเพลงของคุณคือจิตวิญญาณปารีส” คนรอบข้างที่รู้จักเธอ ต่างพยักหน้าชื่นชมเห็นด้วย แสดงให้เห็นถึงความมีชื่อเสียงของตัวละคร มีการนำเสนอภาพความแออัด และความยากลำบากในขณะที่อยู่บนรถไฟ ก่อนจะมาถึงที่หมาย

ชายหญิงถูกแยกจากกัน ทหารหญิงจัดการยึดข้าวของเครื่องใช้ แว่นตา และเสื้อผ้าที่สวมมา จากนั้นจึงพาเชลยทั้งหมดไปตัดผม การตัดผมเป็นไปค่อนข้างรุนแรงและไม่สบายเท่าใดนัก เนื่องจากถูกกระชาดหัวอย่างรุนแรง ถูกตบถูกผลัก และตัดผมแบบลวกๆ ให้ออกมาเป็นทรงผมแบบสกินเฮด จากนั้นจึงถูกนำไปสักตัวเลข เมื่อเห็นว่ามีบางคนไม่ต้องโกนผม ฟาเนียจึงถามช่างสักว่า เธอคนนั้นได้เก็บผมด้วยหรือ หล่อนตอบกลับว่า มีแต่ยิวเท่านั้นที่ต้องโกนหัว มีผู้หญิงคนหนึ่งคาดว่าเป็นคนงานของนาซีหยิบเอาผมที่ถูกตัด มาล้อเลียนฟาเนียว่า “ฉันดูเป็นอย่างไรบ้าง ไอ้สวะยิว” เธอสวนทันควันว่า เธอไม่ใช่สวะยิว เธอเป็นฝรั่งเศส เมื่อทหารหญิงนาซีที่อยู่ตรงนั้น เดินเข้ามาเห็น จึงตบเข้าที่ศีรษะเธออย่างแรง และตะคอกใส่เธอ ว่าไม่มีใครอนุญาตให้พูด

เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ยูนิฟอร์มของเธอกลายเป็นชุดลายทางที่อาจจะคุ้นตาว่าเป็นชุดของเชลยชาวยิวในสงครามโลกครั้งที่ 2 และแปะดาวสีเหลืองไว้บนอก ฟาเนียและมาริอานเดินเข้ามาในหอนอน ฟาเนียถามคนนำทางถึงคนอื่นๆ ที่นั่งรถไฟมาด้วยกันกับพวกเธอ หล่อนกระชากแขนพวกเธอให้มาดูที่หน้าต่าง มองออกไปเห็นสถานที่คล้ายบ้าน มีปล่องไฟหลายอัน ซึ่งคาดว่าจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าเตาเผานั่นเอง คนนำทางบอกว่า เพื่อนของพวกเธอโดนเผาอยู่ สร้างความหวาดกลัวและสับสนให้กับมาริอานอย่างมาก

ขณะที่กลับจากการทำงานในค่าย มีทหารตะโกนถามถึงคนที่ร้องเพลง “มาดามบัตเตอร์ฟลาย” เป็น มาริอานได้ยินดังนั้น จึงบอกทหารว่าฟาเนียร้องได้ เธอจึงถูกนำตัวไปสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งพบเชลยชาวยิวกำลังเล่นดนตรีกันอยู่ พวกหล่อนเดินเข้ามาทักทายฟาเนีย ทุกคนในที่ตรงนั้นดูสะอาดสะอ้าน แต่งตัวดีกว่าเชลยคนอื่นๆ วาทยากรของวง อัลมา โรเซ เดินเข้ามาทักทายฟาเนีย เธอตอบรับอย่างสุภาพ และเริ่มเล่นเพลงมาดามบัตเตอร์ฟลาย ทุกสายตา ณ ที่นั้น ต่างจับจ้องไปที่เธอด้วยความชื่นชม เมื่อทหารนาซีหญิงเข้ามา ทุกคนจึงหยุดทุกอย่างและยืนขึ้น ทหารหญิงชื่นชมและบอกให้อัลมารับฟาเนียเข้าวง เนื่องจากมีความสามารถมาก จากนั้นจึงแนะนำตัวว่าเธอคือ ลาเกอร์ฟูห์เรริน มาเรีย แมนเดล ผู้บัญชาการสตรีทุกคนในค่ายแห่งนี้ ฟาเนีย กล่าวกับแมนเดลว่า รับตำแหน่งวงออเคสตร้าดังกล่าวไม่ได้ เว้นแต่ เพื่อนของเธอ 68462 จะได้เข้าร่วมวงด้วย สุดท้ายแล้วทางแมนเดลตกลง จึงนำมาริอานมาทดสอบโดยการร้องเพลง ซึ่งเธอร้องเพลง และร้องไห้ไปด้วย จึงดูแล้วอาจไม่น่าเป็นที่พอใจเท่าใดนัก แต่แมนเดลกลับยิ้มและไม่พูดอะไร และยังบอกให้ทั้งคู่ ไปชำระล้างเนื้อตัว แล้วส่งไปพบที่กองบัญชาการ เมื่อไปถึง พวกเธอถูกจับแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าใหม่ แมนเดลต้องการให้ฟาเนียใส่รองเท้าบูท จึงสั่งให้คนไปหามา พร้อมกล่าวกับฟาเนียว่า ต้องอุ่น และสบาย ไม่เช่นนั้นจะมีผลกับเสียง เมื่อได้รองเท้าบูทมา แมนเดลผู้สูงส่งกลับนั่งใส่รองเท้าให้ฟาเนียที่เป็นเชลยสงคราม สร้างความงุนงงให้กับเชลยคนอื่นๆเป็นอย่างมาก

ในระหว่างการซ้อมดนตรี หญิงสาวในวงเล่นเพลงไม่ได้ดั่งใจนัก จึงทำให้ อัลมา โรเซ่ไม่สบอารมณ์ นักโทษหญิงคนหนึ่งจึงบอกฟาเนียว่าอัลมาทำให้วงดนตรีกลายเป็นออเคสตร้า สร้างความยุ่งยากให้แก่ผู้เล่นเนื่องจากต้องไปเล่นให้ทหารชั้นผู้ใหญ่ชม และพวกนั้นอาจเบื่อที่ต้องมานั่งฟังเพลงเดิมซ้ำๆ ฟาเนียจึงเสนอว่าจะเรียบเรียงโน้ตเพลงใหม่ให้ อัลมารู้สึกโล่งอกและรู้สึกขอบคุณที่มีฟาเนีย เพราะอัลมารู้สึกได้รับแรงกดดับมาหลายอาทิตย์แล้วเพื่อหาอะไรใหม่ๆ มาแสดง อัลมาแนะนำให้ฟาเนียเอาใจพวกเยอรมัน แต่ฟาเนียตอบกลับว่าเธอเลือกที่จะเอาตัวรอดมากกว่าพยายามเอาใจพวกเอสเอส อัลมาจึงตอบด้วยคำถามว่า คิดว่าทำอย่างหนึ่งโดยปราศจากอีกอย่างได้จริงหรอ จากนั้นจึงย้ำให้ทำงานเรียบเรียงโน้ตให้เสร็จไวๆ เนื่องจากพวกเยอรมันเปลี่ยนใจกับพวกเชลยได้ไว ดังนั้นจึงต้องรีบทำ

เมื่อพวกเธอกำลังเล่นดนตรีให้ทหารนาซีรับชม ฟาเนียยิ้มทักทายและเริ่มบรรเลง นายทหารนาซีดูพึงพอใจกับการแสดงของเธอ และเหมือนว่าเธอจะได้รับของขวัญเป็นมาร์การีนมา เธอจึงแบ่งให้กับคนอื่นๆอย่างเต็มใจ หนึ่งในเชลยกล่าวกับเธอว่าเราแบ่งทุกอย่างกันไม่ได้ ฟาเนียจึงตอบกลับว่าเธอไม่อยากลดตัวไปทำอะไรอย่างนั้น นักโทษคนหนึ่ง พูดถึงการถูกเผาของยิวฮอลแลนด์อย่างหน้าตาเฉย ฟาเนียจึงถามว่าเหตุใดถึงกล่าวเช่นนั้น หล่อนจึงบอกว่าเป็นการเตรียมใจรับมันได้ดีขึ้นเมื่อถึงเวลาของตน

เช้าต่อมาวงดนตรีของพวกเธอออกมาเล่นกันข้างนอกเพื่อขับกล่อมให้คนมีแรงทำงาน ฟาเนียได้เห็นบรรยากาศที่ชาวยิวถูกกดขี่ให้ทำงาน บางคนเดินผ่านมาถ่มน้ำลายใส่หน้าเธอ เมื่อกลับเข้าห้องซ้อม มาริอานเดินมาบอกฟาเนียว่าหิว ฟาเนียจึงให้เธอคิดเรื่องอื่น มาริอานบอกให้เธอไปขอร้องแมนเดล เธอจึงกล่าวว่าทำไมต้องคาดหวังให้มีอาหาร เธอไม่ใช่ผู้วิเศษ 

ตกดึก เธอนั่งเรียบเรียงโน้ตเพลงอยู่ แต่แล้วไฟในห้องก็ดับลง เมื่อเธอเดินออกไปข้างนอก ซึ่งคาดว่าน่าจะไปเข้าห้องน้ำ กลับพบมาริอาน เอาตัวเข้าแลกกับทหาร เพื่ออาหาร หลังจากนั้นเด็กสาวนำอาหารที่ได้มาให้กับเธอ เพราะกลัวว่าฟาเนียจะหิวเนื่องจากทำงานทั้งคืน แต่เธอไม่ได้ตอบรับอย่างใด ทำให้เด็กสาวรู้สึกถูกตัดสิน และอธิบายว่ากำลังเอาชีวิตรอด แต่ก็มีการตัดพ้อว่ายังไงทุกคนก็ไม่รอดจากที่นี่ ฟาเนียจึงให้ความหวังด้วยการกล่าวว่าอย่าพูดถึงแต่ความตาย

เช้าถัดมาทุกคนถูกปลุกให้ไปเล่นดนตรีเช่นเดิม แต่ฟาเนียไม่ได้ไปเล่นเนื่องจากเธอไม่ได้อยู่ในส่วนของการไปเล่นให้คนงานฟัง เธอแอบมองอยู่ตรงหน้าต่าง เห็นชาวยิวถูกข่มเห่งรังแก ทำให้รู้สึกสะเทือนใจ จึงร้องไห้ออกมาราวกับคนเสียสติ ชายชราขนไม้คนหนึ่งเดินเข้ามาบอกว่าอย่าเบือนหน้าหนีจากสิ่งนั้น เธอต้องดูและเห็นทุกอย่างเพื่อจะได้นำไปบอกพระเจ้าในตอนที่มันจบลง

พวกเธอได้มีการแสดงให้นายทหารชั้นสูงชมอีกครั้ง แมนเดลเข้ามาถามฟาเนียว่าต้องการอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ ฟาเนียจึงขอแปรงสีพัน มาริอานขอดูแปรงสีฟันที่เหมือนใหม่ของฟาเนียและกล่าวว่า ไม่ควรมีใครมีสิทธิ์ทำตัวเหนือกว่าคนอื่นและกล่าวว่าแมนเดลสนใจในฟาเนียเป็นพิเศษ หลายคนไม่เห็นด้วยที่ฟาเนียมองแมนเดลเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เนื่องจาก พวกเธอรู้สึกว่านาซีคือปีศาจ อสุรกาย

ต่อมาเชลยในวงดนตรีที่เป็นนักเชลโลป่วยเป็นไข้รากสาดใหญ่ อัลมากำชับทหารว่าห้ามฆ่าเธอ ให้พาไปโรงพยาบาล เนื่องจากวงต้องการเธอ และได้พบกับมาลา ล่ามที่อยู่มานานตั้งแต่ค่ายกักกันเพิ่งสร้างขึ้น ถึงแม้ว่าเธอจะติดดาวเหลือง แต่คนอื่นแม้กระทั่งนาซี กลับเกรงใจเธอ เชลยคนหนึ่งได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับมาลาให้ทุกคนได้ฟัง เมื่ออัลมาคุยกับมาลาให้บอกทหารว่าห้ามฆ่านักดนตรีเสร็จเรียบร้อย จึงเข้ามาบอกให้ฟาเนียซ้อมร้องเพลง เมื่อซ้อมได้ไม่นาน ฟาเนียเริ่มถามอัลมาเกี่ยวกับ มาลา อัลมาเล่าว่าทุกคนนับถือมาลาเนื่องจากเธอมีประโยชน์มาก พูดได้ถึง 10 ภาษา เธอจึงเป็นความหวังของคนที่นี่

สนับสนุนโดย 918kiss

เมื่อพวกเธอเริ่มซ้อมดนตรี การเล่นดนตรีได้ไม่ดีของนักโทษหญิงคนหนึ่งทำให้ อัลมาเกิดอาการสติแตก ถึงขั้นตบหน้าจนเด็กสาวตกเก้าอี้ เธอเข้าไปสงบสติอารมณ์ในห้องของเธอ ฟาเนียตามเข้าไป อัลมาจึงพูดกับฟาเนียว่าทุกคนต้องมีวินัยกว่านี้ หมอเมงเกล ทหารชั้นสูงของนาซีเปลี่ยนใจง่ายมาก ในความจริงหากไม่เห็นแก่ชื่อของอัลมา ทุกคนในวงดนตรีคงถูกเผาไปแล้ว แต่ฟาเนียบอกว่าทุกคนต้องการความรัก ไม่ใช่การตบหน้า อัลมาเห็นดังนั้น จึงกล่าวว่าต้องการการสนับสนุนจากฟาเนีย เพราะทุกคนเชื่อใจเธอ อยากให้ฟาเนียช่วยเพราะไม่รู้ว่าพวกนั้นจะทนกับวงดนตรีนี้ได้นานแค่ไหน อัลมาขอให้ฟาเนียไม่สนใจเรื่องอื่น แต่ฟาเนียอธิบายว่าไม่อยากสูญเสียตัวตนของตน อัลมาตัดสินใจหยิบไวโอลินออกมาสีให้คนในวงดนตรีดูเป็นตัวอย่าง เมื่อเล่นไปได้สักพัก มีทหารเดินเข้ามาจัดแถว ทหารหญิงคนหนึ่งเดินมาบอกว่า ยิวซ้าย อารยันขวา เพื่อพาพวกเธอไปกำจัดเหา มาริอานกับฟาเซีย บอกว่าพวกเธอเป็นลูกครึ่ง แม่พวกเธอเป็นอารยัน พวกเธอจึงถูกพาไปพบนายทหาร และได้รับอนุญาตให้ตัดดาวออกครึ่งหนึ่ง เนื่องจากหากเป็นลูกครึ่งแล้วจะไม่ถูกนำไปรมแก๊สอย่างแน่นอน 

เมื่อกลับเข้ามาหอนอน พบว่าดาวเหลืองที่แปะอยู่บนอกพวกเธอถูกดึงออกไปครึ่งหนึ่ง เชลยที่เคร่งศาสนามองว่า ดูไม่เหมาะสมเท่าใดนัก พวกเธอเริ่มมีปากเสียงกันกับฟาเนีย หลายคนรู้สึกว่าเธอกับมาริอานเป็นพวกทรยศ มาริอานไม่แยแสเท่าใดนัก แต่ฟาเนีย กลับมานั่งเย็บดาวให้กลับไปเป็นเหมือนเดิม เมื่อเดินออกมาข้างนอก เธอได้พบกับชายชราที่บอกให้เธอจดจำทุกเรื่องราว เขาเล่าให้เธอฟังว่า เดี๋ยวนี้พวกนาซีรมแก๊สกันวันละ 12,000 คนแล้ว ได้ยินดังนั้น ฟาเนียจึงเกิดความสงสัยว่า เขาเอามาบอกเธอทำไม

เช้าวันหนึ่ง ทหารไล่ต้อนชาวยิวออกมารวมกันข้างนอก เสียงไซเรนดังขึ้น มีทหารชั้นสูงเดินมาตรวจ ทุกคนในวงดนตรียื่นแขนออกไปข้างหน้าให้เห็นสัญลักษณ์ตัวเลขที่สักไว้ นายทหารถามหา มาลา ล่ามสาวคนสำคัญ อัลมาเป็นคนตอบแทนที่เหลือว่ารู้จักกันแต่ไม่สนิท มาลาเคยมาเยี่ยมนักดนตรีที่หอนอนเพียงครั้งเดียว แต่นานมาแล้ว จากนั้นมีข่าวลือว่ามาลาหนีไปได้ กับชาวโปแลนด์ที่ชื่อ เอเด็ค ทุกคนในวงดนตรียินดีกับเหตุการณ์นี้ จึงเริ่มเล่นดนตรีเพื่อพวกเขา

ต่อมาพวกเธอซ้อมดนตรีกันอยู่ มีรถบรรทุกชาวโปแลนด์เข้ามา มีคนกล่าวว่าฮิตเลอร์จะฆ่าโปแลนด์เพื่อให้เยอรมันมีพื้นที่เพิ่มขึ้น แมนเดล ได้เข้าไปแย่งเด็กคนหนึ่งมาจากแม่ของเขา และพาเด็กมาเล่นด้วยความเอ็นดูโดยไม่สนว่าแม่เด็กจะเป็นอย่างไร จากนั้นจึงเข้ามาในห้องซ้อมดนตรีของเหล่าเชลย พบว่าทุกคนทำท่าทางผิดปกติ จึงถามไถ่ว่ามีอะไรหรือไม่ อัลมาจึงบอกว่ามีข่าวลือว่าจะยกหอนอนของพวกเธอให้โปแลนด์ แมนเดลจึงให้คำตอบว่าจะไม่มีการเลือกคนจากค่ายของเราอีกแล้ว พร้อมทั้งพาเด็กวิ่งเล่นอย่างร่าเริง เมื่อเธอเดินออกไป เชลยบางคนมองว่าเธอเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ที่อย่างน้อยก็รักเด็กคนนี้ แต่เชลยที่เคร่งศาสนา กลับมองว่าเธอไม่ใยดีแม่เด็กเสียด้วยซ้ำ แค่ช่วยเด็กคนเดียว ไม่สามารถทำให้เธอกลายเป็นมนุษย์ได้ อัลมาจึงตัดบทการทะเลาะด้วยการชักชวนให้ซ้อมดนตรีต่อ

วันหนึ่งมาลากับ เอเด็คถูกจับกุมมีสภาพสะบักสะบอม เดินเข้ามาในพื้นที่แขวนคอนักโทษ เชลยในค่ายกักกันต่างออกมามุงดูด้วยความสนใจ การแขวนคอนี้ราวกับว่าถูกจัดแสดงให้เห็นตัวอย่างของคนที่คิดหนี ทุกคนหวาดกลัวและสะเทือนใจอย่างมาก หลังจากนั้นพวกเธอมาซ้อมดนตรีกันตามปกติ ระหว่างที่เล่นดนตรีอยู่ เปียโนที่ฟาเนียเล่นกลับถูกยกออกไปกลางคัน ทหารเข้ามาอธิบายว่าจะยกเปียโนไปไว้ในคลับ ให้สมาชิกได้ใช้เท่านั้น โดยขอให้เล่นโดยไม่ต้องมีเปียโน จากนั้นให้เชลยชาวดัตช์ออกมาพบ โดยซักถามว่าเธอเป็นโรคอะไรหรือไม่ ดร.เมงเกลกล่าวว่าเธอเล่นดนตรีไม่เก่งเท่าใดนัก ผู้บัญชาการทหาร บอกว่า ต้องการให้เธอไปดูแลลูกๆของเขา จากนั้นหันมาบอกอัลมาว่า ต้องไปเล่นดนตรีที่โรงพยาบาลให้คนป่วยกาย และป่วยจิต โดยอธิบายเพิ่มเติมว่า ดร.เมงเกลอยากทดสอบผลกระทบของดนตรีต่อคนบ้า จากนั้น แมนเดลเดินเข้าไปหาฟาเนียและสอบถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง ฟาเนียกล่าวว่า พวกเธอทุกคนหิวตลอดเวลา ทำให้เล่นได้ยาก แมนเดลจึงตอบว่า แต่อัลมาบอกว่า อยากให้ใช้ความพยายาม เพื่อแลกอาหาร แต่ฟาเนียไม่เห็นด้วย อัลมาจึงเรียกเข้าไปคุยเป็นการส่วนตัวว่า กล้าดีอย่างไรจึงบอกกับแมนเดลว่าไม่เห็นด้วยกับหล่อน ฟาเนียจึงบอกว่า เพียงแค่พูดว่าหิว อัลมาจึงเสนอว่า เมื่อใดที่พวกเขาสามารถเล่นเพลงเดียวโดยไม่มีข้อผิดพลาด จะเสนอให้แบ่งอาหารมาเพิ่ม และฟาเนียต้องฟังเธอ ในวงดนตรีจะมีผู้นำสองคนไม่ได้ ฟาเนียบอกว่าเธอเริ่มลังเลว่าอยากมีชีวิตอยู่หรือไม่ อัลมาจึงให้กำลังใจว่า ถ้าหากมีโอกาส จะไม่มีใครได้ตาย ฟาเนียออกมานั่งเรียบเรียงเพลงต่อ และหันไปมองคนทำงานอยู่ข้างนอกด้วยแววตาเศร้าสร้อย

นักเชลโลที่เป็นไข้รากสาดใหญ่กลับมาบอกข่าวทุกคนว่าวันที่พวกเธอต้องเล่นดนตรี พวกนั้นจะรมแก๊สผู้ป่วยทั้งหมด พวกเธอจึงตั้งใจซ้อมเป็นอย่างดี เพื่อเป็นของขวัญครั้งสุดท้าย ในกลางดึกคืนนั้น พวกเธอได้ยินเสียงเครื่องบินรบจนนอนไม่หลับ ฟาเนียออกมายืนดูริมหน้าต่าง สาวโปแลนด์นางหนึ่ง เดินมาดูข้างๆ แล้วพึมพำขึ้นมาว่า อเมริกาหรืออังกฤษ แล้วหันมาพูดกับฟาเนียว่า แต่มันคงสายไปสำหรับพวกเธอ แต่สำหรับฟาเนียมองว่า มันสายไปสำหรับมนุษยชาติต่างหาก ฟาเนียออกมานั่งในห้องซ้อม โดยมีสาวโปแลนด์อีกคนหนึ่งตามมาพูดคุยด้วย หล่อนบอกฟาเนียว่าอยากให้มีคนยิวสักคนเข้าใจโปแลนด์อย่างเธอ พร้อมขอให้ฟาเนียให้อภัย ฟาเนียจึงสงสัยว่าเธอจะต้องรู้สึกผิดไปทำไม ในเมื่อคนทำร้ายยิว ไม่ใช่เธอ

หลังจากนั้นเริ่มมีการระเบิดเกิดขึ้นในค่าย อัลมาเดินออกมาจากห้องบอกฟาเนียว่าจะได้ออกไปจากที่นี่หลังเล่นคอนเสิร์ตวันอาทิตย์ พวกนั้นจะส่งไปทัวร์เพื่อเล่นให้ทหารฟัง อัลมารู้สึกดีใจมาก อยากให้ฟาเนียเป็นคนแรกที่รู้ข่าว แต่เห็นท่าทีของฟาเนียแล้วรู้สึกว่าเธอไม่ยินดีด้วย แต่ฟาเนียบอกว่าเธอยินดีด้วย แต่กังวลเกี่ยวกับวงดนตรีว่าภายหลังอัลมาไม่อยู่จะเป็นอย่างไร อัลมาบอกว่าจะจัดการให้ฟาเนียได้นำวง แต่ฟาเนียก็ยังรู้สึกไม่ดีเท่าใด อัลมาจึงต่อว่าฟาเนีย ว่าทำความสุขของตนด่างพร้อย และอธิบายต่อว่าเยอรมันทุกคน ไม่ใช่นาซี ถ้าคิดอย่างนั้นเท่ากับว่าฟาเนียกำลังเหยียดเชื้อชาติ ระหว่างโต้เถียงกัน มีทหารหญิงคนหนึ่งเข้ามาแสดงความยินดีกับอัลมา พร้อมชวนไปรับประทานอาหารเย็นที่ห้องของเธอ อัลมาตอบตกลงด้วยความยินดี ฟาเนียกล่าวเตือนว่าคนนี้ไว้ใจไม่ได้ แต่อัลมาไม่ฟัง ทั้งคู่จึงไม่ได้ร่ำลากันด้วยดีเท่าใดนัก

เหล่านักดนตรีถูกพาไปงานศพ โดยมีดร.เมงเกลเข้าร่วมด้วย เมื่อเปิดฝาโลงออกมากลับพบอัลมานอนอยู่ในนั้น ฟาเนียช็อคและสะเทือนใจอย่างมาก ทุกคนในวงดนตรีรู้สึกตกใจ และร้องไห้กันอย่างหนัก วันถัดมา ฟาเนียได้ไปถามเชลยหญิงคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ด้านนอกว่าเกิดอะไรขึ้น หล่อนเล่าว่า ทหารหญิงที่ชวนอัลมารับประทานอาหาร วางยาพิษอัลมา หล่อนรู้มาเพราะพวกนาซียิงทิ้งไปเมื่อตอนเช้า เหตุผลที่อัลมาถูกวางยาพิษนั้น เพราะทหารหญิงคนดังกล่าวอยากออกไปจากที่นี่เต็มทน เธอทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ออกไป จะไม่มีใครได้ออกไป หากเธอไม่ได้ไป โดยเฉพาะคนที่เป็นยิว

ฟาเนียกลับมาที่ห้องซ้อมพบว่า สาวโปแลนด์นางหนึ่งขึ้นมาเป็นวาทยากรแทน แต่ทำออกมาได้ไม่ดีนัก เธอจึงเข้ามาบอกให้หยุด แต่โปแลนด์ไม่ยอม เนื่องจากทหารบอกให้อารยันเป็นคนคุมวง และเธอเป็นคาโปแล้วตอนนี้ ทั้งคู่มีปากเสียงกันและเกิดความวุ่นวายเล็กน้อย ระหว่างนั้นมีเสียงเครื่องบินรบบินผ่านมา ทุกคนจึงออกไปดูที่หน้าต่าง จากนั้นมีการปล่อยระเบิดลงในพื้นที่ใกล้เคียง กลางดึกคืนนั้น พวกเธออยู่กันไม่เป็นสุข และพบว่าเพชฌฆาตที่แขวนคอมาลา เดินมาส่งมาริอานหน้าหอนอน ทุกคนต่างผิดหวังที่มาริอานนอนกับคนไม่เลือก มาริอานบอกว่า ถึงเขาไม่ฆ่าคนอื่นก็ฆ่าอยู่ดี ฟาเนียไม่ได้ว่าอะไร บางคนจึงหันมาตำหนิฟาเนีย ที่ไม่ดุด่ามาริอานเลยแม้แต่น้อย ฟาเนียจึงบอกกับทุกคนว่าที่จริงแล้วเราไม่ได้ทำผิดอะไร แต่เราทุกคนเปลี่ยนไปแล้ว เราได้เรียนรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับมนุษยชาติแบบที่ไม่เคยรู้มาก่อน และนั่นไม่ใช่ข่าวดี เชลยคนหนึ่งต่อต้านความคิดนี้ของฟาเนีย หล่อนไม่เห็นด้วยที่ฟาเนียมองว่านาซีคือมนุษย์คนหนึ่ง

เมื่อถกเถียงกันไปได้สักพัก ดร.เมงเกลเดินเข้ามาและไปที่ห้องอัลมา โดยวางธรงนาซีไว้บนโต๊ะของเธอ พร้อมกำชับทุกคนว่าห้ามใครแตะต้องปลอกแขนกับไม้ของอัลมาเด็ดขาดไม่ว่าจะกรณีใดๆ เพื่อเป็นการระลึกถึง ฟาเนียขออนุญาต ดร.เมงเกลดำเนินวงออเคสตร้าต่อไป เพื่อระลึกถึงอัลมา และเชื่อว่าอัลมาอยากให้เล่นต่อเป็นแน่ แต่ดร.เมงเกลไม่ทันได้ตอบอะไร เขานิ่งไปสักครู่ แล้วก็มีเสียงระเบิดลงอย่างรุนแรง เสียงปืนดังสนั่น ดร.เมงเกลเดินจากไปเงียบๆ เหล่าเชลยทั้งหมดเสียขวัญ เพราะรู้สึกว่ากำลังจะถูกนำไปรมแก๊ส จากนั้นแมนเดลทหารหญิงนาซี เดินเข้ามาหาพวกเธอด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนักพร้อมกับถือหมวกใบเล็ก 1 ใบ คาดว่าเป็นของเด็กชายที่เธอให้ความเอ็นดู แมนเดลขอให้ทุกคนเล่นเพลง มาดามบัตเตอร์ฟลาย เธอร้องไห้ และบอกฟาเนียว่าเธอคืนเด็กไปแล้ว ทำให้คาดเดาได้ว่าเด็กคงต้องถูกสังหาร เพราะจะไม่มีการละเว้นใดๆทั้งสิ้น พวกเธอจึงเล่นดนตรีให้แมนเดลฟัง ฟาเนียร้องเพลงทั้งน้ำตาอาบแก้ม ระหว่างนั้นเสียงระเบิดโดยรอบก็ดังขึ้นเรื่อยๆ

ค่ายถูกโจมตีหนักขึ้นเรื่อยๆ เชื่อว่ารัสเซียกำลังมา พวกเธอกังวลกันว่าอาจถูกรมแก๊สเพื่อทำลายหลักฐาน เนื่องจากพวกเธอเป็นหลักฐานชั้นดี เพราะเห็นกระบวนการทุกอย่างระเบิดเริ่มลงหนักเรื่อยๆ ฟาเนียรู้สึกมีไข้ เธออยากให้สาวโปแลนด์ที่ขอให้เธอให้อภัย ออกไปพร้อมกับสมุดบันทึกของเธอ เนื่องจากไม่คิดว่าตนจะรอดไปได้ เชลยในค่ายกักกันถูกต้อนออกมาอย่างเร่งรีบ รวมถึงพวกเธอทั้งหมดด้วย ทั้งหมดต้องวิ่งฝ่ากระสุนและระเบิดมุ่งหน้าไปโรงนาแถวนั้น ฟาเนียมีอาการอ่อนเพลียมาก จึงเดินไปได้อย่างเชื่องช้า เมื่อถึงจุดหมาย เหล่าเชลยถูกนำมากองรวมกันที่นี่ สภาพแออัดมาก มีทั้งคนท้องและคนป่วย อาการของฟาเนียเริ่มทรุดลงเรื่อยๆ แต่แล้วทหารฟินนิชก็เข้ามาช่วยได้ทันเวลาพอดี พร้อมกับชายชราที่เคยเข้ามาพูดคุยกับฟาเนียเรื่องจดจำเรื่องราว เหล่าเชลย ต่างทำท่าขอบคุณ ทำความเคารพในแบบของตน 

ทั้งหมดเดินออกมาจากโรงนา ทหารเยอรมันถูกจับกุม ชาวยิวและเชลยต่างพากันปาข้าวของใส่ด้วยความโกรธแค้น ฟาเนียที่อยู่ในการดูแลของทหาร ได้ถูกขอสัมภาษณ์จากผู้ชายคนหนึ่งซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นนักข่าวของกองทัพ เธอไม่พูดอะไร แต่ร้องเพลงปลุกใจเชลยที่กำลังเดินอยู่ด้วยเสียงสั่นเครือ

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องเล่า

✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับเรื่องเล่าเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา