สองพี่น้องผจญภัยกับภูติแห่งความตาย

7.7

เขียนโดย solo1075

วันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 18.37 น.

  1 ตอนเดียวจบ
  4 วิจารณ์
  6,937 อ่าน
แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

1) สองพี่น้องผจญภัยกับภูติแห่งความตาย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เรือง   สองพี่น้องผจญภัยกับภูติแห่งความตาย

            ในหมู่บ้านใจกลางหุบเขาอันไกลโพ้น      มีผู้คนอาศัยอยู่กันอย่างสงบสุข       ล้วนแต่มีอาชีพนักดาบ    จากตำนานวีรบุรุษดาบยักษ์ผู้เกรียงไกร      ยังคงสร้างชื่อเสียงให้จดจำมาจนถึงปัจจุบันตราบชั่วกาลนาน       ต้นแบบของเหล่าผู้กล้าแห่งหมู่บ้านดาบยักษ์

            “พี่โบอา     ตื่นได้แล้ว   สายแล้วนะ   วันนี้พี่ต้องไปสอนดาบไม่ใช่หรือ”  (เอาหมอนทุบ)

          “โอ๊ย!!!  เจ็บนะ   รู้แล้ว  รู้แล้ว   จะรีบไปเดี๋ยวนี้”

เสียงคุ้นชินของบาโบผู้เป็นน้องชายอันเป็นสุดที่รักของเขา    คอยมาปลุกห้วงแห่งการหลับใหลของเขาทุกๆเช้า       เป็นอีกวันหนึ่งที่อาชีพครูนักดาบอย่างโบอาต้องดำเนินชีวิตการสอนวิชาเพลงดาบให้แก่นักเรียนในหมู่บ้าน       โบอาเป็นนักดาบที่มีชื่อเสียงมากในตำนานนักรบดาบยักษ์        จึงไม่แปลกที่เป็นที่รู้จักของผู้คนมากหน้าหลายตา 

            “วันนี้ครูจะสอนวิชาเพลงดาบใบไม้ร่วง        จับตาดูให้ดีล่ะ”

โบอาผู้เชี่ยวชาญทางด้านเพลงดาบ      ทำเอานักเรียนทุกคนใจจดใจจ่อรอดูเสี้ยววินาทีใบไม้ขาดเป็นสองท่อน         ความเงียบและแรงกดดันทำให้ได้ยินเสียงของนักเรียนคนหนึ่งผายลมออกมาอย่างไม่รู้ตัว

            “ใครผายลม       บอกครูมานะ       วิชานี้ครูไม่เคยสอนพวกเธอ     โอ๊ยเหม็นเหลือเกิน”

ความกดดันสูญสิ้นไปทันทีด้วยน้ำมือของผู้ต้องหาที่ไม่สามารถตามตัวได้   ในคราบของผู้ผายลมทำลายบรรยากาศการสอน

“ถ้าไม่ยอมรับ    ครูจะทำโทษพวกเธอทุกคน       เอ้า!!! ยืนขาเดียวคาบดาบ”

“ผมเองครับ “

“เธอชื่ออะไร”

“ผมชื่อ   เทวาครับ    เพิ่งย้ายมาเรียนใหม่   บ้านอยู่หลังโรงเรียนครับ”

“เพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่หรอ    ช่างเถอะ     คราวหลังขออนุญาตก่อนละกัน”

“ขอบคุณครับ”

การสอนดำเนินต่อไป        เขายืนนิ่งหลับตาตั้งสมาธิ      ภาพที่เห็นตอนนี้ทำเอานักเรียนถึงกับลืมตัวอ้าปากค้าง       แสงที่พวยพุ่งออกมาจากร่างครูของพวกเขา        เป็นวิชาอันเล้นลับน้อยคนนักที่จะใช้มันเป็น

บริเวณรอบทุ่งสนามหญ้าซึ่งเป็นสถานที่ฝึกสอนเริ่มเกิดลมพายุแรงขึ้นเรื่อยๆ  ไปรวมตัวกันรอบๆ       เขายืนนิ่งไม่สะทบสะท้านต่อเหตุการณ์รอบข้าง      เพียงเสี้ยววินาทีสิ้นสุดแรงลม   พบเศษใบไม้กองอยู่รอบกายแหลกละเอียด      เด็กนักเรียนต่างพากันมึนงงกับวิชาเร็วดั่งสายฟ้าจนจับตามองท่วงท่าการฟันของครูไม่ออก       น้อยคนนักที่จะฝึกเป็น         เสียงปรบมืออันแสดงถึงความชื่นชมทำเอาคุณครูโบอายิ้มแก้มปริ

ทำให้เขานึกถึงคนหนึ่งที่เป็นกำลังใจให้เขามาตลอด      แม้เธอจะอยู่ในความทรงจำของผมก็ตาม

10 ปีที่แล้ว....

            พี่น้องผู้รักในการผจญภัย           การเสาะแสวงหาพลังวิเศษ          และสิ่งของแปลกประหลาด          ที่ชอบนำประสบการณ์กลับมาเล่าให้เพื่อนๆในหมู่บ้านฟังถึงความตื่นเต้น        และความน่ากลัวของสถานที่ที่ตนเองเผชิญมา        เป็นที่ชื่นชอบของสหายของเขา

            “วันนี้มีอะไรมาเล่าให้ข้าฟังบ้าง”

            “มีสิ    พี่โบอากับข้าได้เข้าไปในป่าแถบตะวันตกของหมู่บ้าน       มันทำให้ข้ารู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก      ข้าได้ไปเจอกับถ้ำใต้ต้นไม้ใหญ่ในป่า       ข้ารู้สึกสังหรณ์ใจว่ามันต้องมีของวิเศษอะไรสักอย่างอยู่ในนั้นแน่ๆเลย      มันเป็นความรู้สึกครั้งที่ 2 ของข้าที่ทำให้ใจข้าเต้นแรงนับแต่ข้าผจญภัยมา”

เคลาซ์   สหายรักของสองพี่น้อง  ผู้อยากรู้อยากเห็นแต่ไม่เคยสักครั้งที่จะออกเดินทางไปกับพวกเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว          ด้วยความอ่อนแอทางร่างกายทำให้เขาไม่กล้าเสี่ยงออกผจญภัยเพราะกลัวเป็นตัวถ่วงให้กับสองพี่น้องคู่นี้      การเป็นผู้ฟังที่ดีถือเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเขา       แต่คำบอกเล่าครั้งนี้ทำให้เขารู้สึกได้ถึงความเชื่อมั่นและความทะเยอทะยานของสองพี่น้อง         ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใดคำบอกเล่าครั้งนี้ทำให้เขารู้สึกนึกคิดและจินตนาการร่วมไปกับเรื่องราวที่บอกเล่าจากปากสองพี่น้อง             แต่ความรู้สึกไม่ได้เป็นเหมือนทุกครั้ง         มันทำให้เขากล้าเสี่ยงชีวิตกับการตัดสินใจและแรงเชื่อมั่นที่เขาสัมผัสได้จากสองพี่น้อง        ว่ามันจะต้องเป็นการผจญภัยครั้งใหญ่ที่เขาไม่ควรจะพลาด  

            ทั้งสามออกเดินทางไปยังป่าแถบตะวันตกหลังจาก 5 วันให้หลัง        เสียงเพลงดังก้องไปทั่วป่าจากความไร้เดียงสาของบาโบและเคลาซ์       โบอาถือเป็นผู้ที่อาวุโสที่สุดในกลุ่มแต่ก็อายุเพียง 20 ปี   และน้องทั้งสองที่อายุห่างจากเขา 5 ปี        ทำให้ผู้อาวุโสต้องเตือนเหล่านักผจญภัยให้หยุดส่งเสียงดังท่ามกลางป่าอันเงียบสงัด          ทั้งสามเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ   ความรู้สึกเหมือนถูกจ้องมองจากทุกหนทุกแห่งในป่า       ทำเอาทั้งสามกรอกสายตาไปยังรอบป่าทุกองศา      ระมัดระวังตัวกันเป็นพิเศษ     สหายผู้อ่อนแอรีบไปหลบอยู่หลังโบอาด้วยความรู้สึกกลัว         ไม่นานนักทั้งสามก็เดินมาจอดอยู่ปากทางเข้าถ้ำดั่งคำบอกเล่าของบาโบ      

            “ข้ารู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูกเลย         ข้าว่าเรากลับกันเถอะ”

สหายผู้ติดตามขอถอนตัวเมื่อเห็นหนทางที่ตนเองจะก้าวข้ามไป        ดูจากสายตาคงไม่ต้องบอกว่า   จะต้องเจออะไร       ลมพัดออกมาจากข้างในถ้ำอันเย็นยะเยือก      กับเสียงอันเงียบกริบได้ยินไปถึงเสียงหยดตาน้ำในถ้ำไหลทีละหยด       

            “ไหนๆเราก็มาถึงกันแล้ว         จะให้ถอยตอนนี้คงไม่ทันแล้วล่ะ        ข้าตั้งใจไว้แล้ว      เราไปกันเถอะบาโบ”       

สิ้นสุดเสียง     สองพี่น้องก็ก้าวเท้าอย่างไม่เกรงกลัวและหายเข้าไปในความมืดมิดภายในถ้ำ     ทำเอาเคลาซ์ต้องรีบวิ่งตามเข้าไปอย่างไม่มีเวลาคิดอีกเลย

            ทั้งสามเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง    มีเพียงดาบคนละเล่ม  และคบเพลิงที่ส่องนำทางพวกเขา     ลึกเข้าไปเรื่อยๆเริ่มมองเห็นฝูงค้างคาวเกาะอยู่ตามเพดาน        และอุณหภูมิค่อยๆลดลงเรื่อยๆ จนขาของคนที่เดินคนสุดท้ายถึงกับสั่นเพราะความกลัวและความหนาวเย็น   

            “ฉะ....ฉ    ฉันว่า.....กะกลับเถอะ      ฉี่ฉันจะราดอยู่แล้ว”

            “อย่าเอะอะไปสิ     เดี๋ยวค้างคาวมันก็แตกตื่นมากัดเจ้าหรอก”

ความกลัวของเคลาซ์เริ่มสูงขึ้นเมื่อเขาเห็นเงาสองตน     จากเบื้องหน้าของพวกเขา    ทำเอาอ้าปากค้างและเป็นลมหมดสติไป

            “เคลาซ์ !!!   เคลาซ์   ตื่นสิ   เจ้าเป็นอะไร    เคลาซ์!!!”

            ทุกอย่างค่อยๆมืดลง       สติกลับมาอีกทีก็ตอนที่เขาได้มาตื่นอยู่บนเตียงนุ่มๆ กับแสงไฟนวลๆในบ้านหลังเล็กๆ     ที่มีเสียงผู้คนกำลังคุยกันอยู่นอกบ้าน    ตัวบ้านทำจากไม้       รอบบ้านดูสะอาดน่าอยู่     หันไปเห็นโต๊ะข้างเตียงมีกับข้าวจัดไว้อยู่หนึ่งชุดหอมหวนชวนน่ารับประทาน        มองออกไปนอกหน้าต่าง

เห็นสองพี่น้องกำลังนั่งคุยอยู่กับผู้เฒ่าและผู้หญิงคนหนึ่ง       ใบหน้างดงาม   ผมยาวสลวย   เธอดูไม่เหมือนคนในหมู่บ้านของเขาเลย       แต่ความงดงามของนางก็ไม่อาจหยุดความมึนงงของเขาได้     เขารีบตะกายออกจากเตียงและเดินไปยังวงสนทนาหน้าบ้าน

            “แปลกนะ    ไม่มีใครเข้ามาที่นี่เป็นเวลานานมากแล้ว    อาจเป็นเพราะดั่งคำทำนายก็ว่าได้”

            “มันคืออะไรหรือครับท่านผู้เฒ่า”

            “สรรพสิ่งมลายดับหาย       อสูรกายฟื้นชีพ       วีรชนเท่านั้นจะเป็นผู้ลิขิตชะตาสวรรค์

เป็นคำทำนายของฟ้าจารึกไว้ยังหน้าผาทางหุบเขาฝั่งทิศเหนือ”

            “ข้าไม่เข้าใจ     ที่นี่ไม่เหมือนบ้านพวกข้า    ข้ากับน้องทั้งสองเป็นชนชาวหมู่บ้านนักดาบ   ไม่เคยเห็นหมู่บ้านนี้ในแผนที่บนโลกข้าเลย”

            “ใช่สิ    ที่นี่ไม่ใช่โลกของพวกเจ้าหรอก      มันเป็นสถานที่ห้วงหนึ่งซึ่งตกหล่นอยู่ช่วงของเสี้ยวกาลเวลา        พูดไปเจ้าก็ไม่เข้าใจ     เอาเป็นว่าที่นี่ไม่ใช่โลกของเจ้า     แต่ที่นี่รอผู้กล้าที่จะมาปลดปล่อยให้หลุดจากบ่วงพันธนาการต้องมนตร์แห่งคำสาปของปีศาจที่มีชื่อว่า     ภูติแห่งความตาย    มันอยู่บนปราสาทชั้นบนสุด      มันต้องการทำลายเสี้ยวแห่งกาลเวลาเหมือนดั่งหมู่บ้านข้าที่ถูกต้องมนตร์อยู่ในขณะนี้”

            “แล้วข้าจะช่วยอะไรท่านได้ล่ะ        ข้ากับเหล่าน้องๆของข้าแค่นึกสนุกเดินเข้ามาในที่แห่งนี้ก็เท่านั้นเอง     ข้าทำไม่ได้หรอกมันใหญ่เกินตัวข้าเกินไป”

            “สักวันเจ้าจะรู้เอง    เจ้าคือผู้ที่เป็นดั่งคำทำนาย    เจ้านักรบ”

ความสับสนเริ่มถาโถมเข้าสู่กลุ่มเด็กหนุ่มที่ยังคงนั่งมองหน้าผู้เฒ่าและหญิงสาวผู้เลอโฉม   จนเผลอสายตามองเธออย่างไม่ละสายตา 

            “นี่หลานข้า   ชื่อ  มินตรา   เขาเป็นหลานคนเดียวของข้า”

มินตรา  เป็นชื่ออันไพเราะช่างเหมาะสมกับเธอเหลือเกิน   ในร่างของหญิงสาวอันบอบบาง  ผมยาวตรงจนไปถึงแผ่นหลังสวมชุดที่ดูเป็นกุลสตรี       

            “พวกเจ้าชื่ออะไรหรือ”

คำถามที่ไม่ทันตั้งตัว  ทำเอาโบอาสะดุ้งเล็กน้อย

            “เอ่อ...ข้าชื่อ   โบอา   ส่วนนี่  บาโบ น้องข้า และเคลาซ์สหายของข้า “

            “ข้าชื่อมินตรา   ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

            “ยินดีเช่นกัน”

เป็นการทักทายครั้งแรกของทั้งสองคน    ที่ทำเอาบาโบ และเคลาซ์รู้สึกแปลกใจกับสายตาที่พี่โบอามองพี่หญิงสาวคนนั้น

            “ข้าอยากให้พวกเจ้าช่วยข้าสักอย่าง”

            “เรื่องอะไรล่ะ”

            “ตอนนี้คนในหมู่บ้านข้าหลายคนถูกวิชาทมิฬเข้าไป     บัดนี้ยังไม่ได้สติ  ข้าต้องการสมุนไพรหญ้าดอกฟ้ามาเพื่อปรุงเป็นยาให้ผู้คนในหมู่บ้านที่ล้มป่วย         มันตั้งอยู่ที่หุบเขาใกล้ๆปราสาท     แต่ที่นั่นมีปีศาจร้ายมากมาย    ข้ารู้สึกว่าพวกเจ้าต้องช่วยข้าเอากลับมาได้อย่างแน่นอน”

ความมั่นใจของท่านผู้เฒ่าเหมือนเป็นการบังคับ         บวกกับเลือดของนักผจญภัยที่ต้องการความท้าทายทำให้ทั้งสามต้องออกเดินทางไปหาสมุนไพรหญ้าดอกฟ้ายังหุบเขาแห่งนั้น        เส้นทางที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ปกคลุมจนแสงแดดไม่สามารถส่องลงมา      กับความเงียบงันที่ชวนให้น่าขนลุก      ทั้งสามชักดาบออกมาถือไว้ในมือ  หมายป้องกันศัตรูหากจู่โจมเข้ามาอย่างฉับพลัน        แสงวูบวาบจากหลังกอหญ้าทำเอาทั้งสามหยุดชะงักและเบี่ยงเบนความสนใจให้เดินเข้าไปหามัน     ค่อยๆย่างเท้าอย่างช้าๆ  ทีละก้าว....ทีละก้าว     ค่อยๆมองลอดไปตามช่องกิ่งไม้    ภาพที่เห็นคือต้นสมุนไพรที่สะท้อนแสงประกาย    ลักษณะเหมือนขนนกแต่มันฝังอยู่ในดิน      โบอาไม่รอช้ารีบถอนมันขึ้นมาเก็บใส่กระเป๋าทันที     

            ชั่วเพียงอึดใจเดียวกับที่เขาไม่ทันระวังตัว    มีดสั้นได้พุ่งมาจากพุ่มไม้เบื้องหน้าหมายเอาชีวิตเพียงครั้งเดียว       โบอาไม่สามารถหลบวิถีมีดสั้นได้   จึงถูกแทงไปยังอกด้านซ้าย    โชคดีที่ยังไม่เข้าจุดตายในชั่วขณะนั้น   โบอาได้เอียงตัวหลบวิถีกระสุนมีดได้ทันท่วงที   แต่มันทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสไม่ใช่น้อย

บาโบผู้น้องรีบคว้าดาบกระโจนทะยานขึ้นสู่เป้าหมายที่อยู่พุ่มไม้ด้านบน        สิ่งที่พบเห็นจากการประทะดาบกันครั้งแรก   เป็นชายผมยาวสีขาว   ดวงตาแหลมคมอัมหิตดั่งเหยี่ยวทมิฬ      ใบหน้าซีดเผือกราวกับซากศพชวนให้น่าสยดสยองยิ่งนัก       ใส่ชุดปกคลุมทั่วตัวเหมือนมนุษย์ค้างคาว       ไม่มีช่วงจังหวะให้หยุดหายใจทั้งคู่ฟาดฟันดาบอย่างหมายปลิดชีพฝ่ายตรงข้าม    ความแค้นที่พี่ชายถูกลอบทำร้ายทำให้ผู้เป็นน้องไม่สามารถควบคุมสติได้       กระโจนเข้าสู่เป้าหมายอย่างต่อเนื่องโดยไม่คิดชีวิต      เป็นเหตุให้พลาดท่าบาดเจ็บถูกฟันเข้าที่กลางหลัง       ผู้เป็นพี่เมื่อเห็นท่าน้องชายไม่สามารถสู้ต่อไหว    จึงรวบรวมกำลังที่มีดึงมีดที่ปักออกจากอก   กัดฟันทนพิษบาดแผลที่มีเลือดไหลออกมาไม่หยุด    แสงสีขาวเริ่มก่อตัวออกมาจากร่างกาย       ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีขาวเผือก       พายุเริ่มก่อตัวขึ้นรอบกายของเขา       เศษเหล็กที่มีสนิมเกาะและหมดซึ่งความคมในตอนแรก           เมื่อได้อาบแสงสีขาวกลับกลายเปลี่ยนเป็นดาบที่มีรูปร่างใหญ่และยาวราว 2 เมตร      เสื้อผ้าของเขาเริ่มขาดด้วยแรงอันมหาศาลของพลังที่ไหลออกมาจากร่างกาย   ทำเอาศัตรูที่ยืนประชันหน้าอยู่ถึงกลับหวาดผวากับสิ่งที่ยืนอยู่เบื้องของเขา          ไม่ทันที่ปีศาจร้ายจะได้หลบหนีเพียงชั่วอึดใจเดียว    ร่างของปีศาจร้านก็ขาดออกเป็นสองท่อนราวกับว่ามีแรงลมมากระแทกจนขาดเป็นชิ้น          ล้มลงทรุดกายสิ้นชีวิตลงไปในที่สุด        พร้อมกับผู้ปลิดชีพที่ลงไปกองกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง

            “ฟื้นแล้วหรือ     ข้าต้มยาเตรียมไว้ให้เจ้าแล้วนะ  อย่าลืมทานมันด้วยล่ะ      ส่วนน้องเจ้าตอนนี้ปลอดภัยแล้วไม่ต้องเป็นห่วง      พักผ่อนให้สบายเถอะ   ข้าไม่รบกวนแล้ว”

ความเจ็บของบาดแผลทำให้โบอาไม่สามารถลุกออกจากเตียงได้      เขาได้เพียงแต่นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้      เขาจำความอะไรไม่ได้เลยหลังจากที่ถูกมีดแทงและน้องชายถูกดาบฟันที่กลางหลัง       การนึกคิดก็ต้องหยุดลงเมื่อสหายเพื่อนเก่าของเขาเดินเข้ามาทักทาย

            “พี่โบอาเป็นอย่างไรบ้าง      ข้าขอโทษที่ต้องทิ้งพวกท่าน      ข้ากลัวสุดชีวิตจนไม่ได้สติวิ่งกลับมาก่อน   ข้าขอโทษจริงๆ”

            “ไม่เป็นไรหรอก       ขืนเจ้าอยู่ก็เป็นตัวถ่วงข้า       ดีแล้วล่ะ     ข้าไม่อยากเสียเพื่อนไปเช่นกัน”

คำพูดของโบอาทำให้เคลาซ์น้ำตาค้างด้วยความไร้เดียงสาบวกกับความกลัวและความอบอุ่นที่ได้จากเพื่อนแท้     

            “แล้วน้องข้าอยู่ไหนหรือ”

            “เขานั่งคุยอยู่กับท่านผู้เฒ่าน่ะ”

ณ   ริมฝั่งน้ำหน้าบ้านท่านผู้เฒ่า...

            “ข้าไม่เข้าใจ       ทำไมถึงมีปีศาจอยู่ในป่าแห่งนี้ด้วย”

            “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าที่นี่ไม่ใช่โลกที่เจ้าอยู่   มันเป็นโลกแห่งมนตรา  พลัง  อำนาจ  และสิ่งเร้นลับมีอีกมากมายที่ข้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน”

            “ก่อนที่ข้าจะหมดสติไปข้าเห็นแสงไหลออกมาจากร่างกายของพี่ชายข้า  มันคืออะไรหรือ”

            “พลังที่มีเฉพาะเผ่าพันธุ์นักรบแห่งแสงจันทรา        ในตัวเจ้าก็มีนะ    แต่มันยังไม่ถึงเวลา    สักวันเจ้าคงจะเข้าใจมัน”

            “ข้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี      แต่ช่างเถอะ    ยาก็ได้มาแล้วข้ากับพวกข้าจะขอลาละกันหลังจากที่พี่ชายข้าหายดี”

วงสนทนาได้จบลง      โดยไม่มีคำตอบจากท่านผู้เฒ่า..

            1 อาทิตย์ต่อมา      แผลที่อกด้านซ้ายเริ่มหายดี   บาโบจึงออกตัวลาท่านผู้เฒ่าและมินตรา     ทั้งสามจึงออกเดินทางกลับไปยังหมู่บ้านโดยผ่านถ้ำเก่าที่เดินผ่านเข้ามา        เหตุที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อพบว่าปากถ้ำที่เคยมีมันหายไป        ทั้งสามจึงเดินกลับไปตั้งหลักยังบ้านท่านผู้เฒ่าพร้อมกับความสับสนที่มีอยู่ในใจ

            “มันเกิดอะไรขึ้น    ข้าไม่เข้าใจ”

            “ห้วงเวลาเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอีกแล้ว   เจ้าภูติแห่งความตายมันกำลังจะตื่นขึ้นมาแล้ว”

            “ท่านจะบอกว่า       ถ้าไม่ปราบมันลง       พวกเราก็ไม่สามารถเดินทางกลับไปยังโลกของเราได้หรือ”

            “อย่างที่เจ้าเข้าใจนั่นล่ะ       มันไม่มีทางอื่นแล้ว    ข้าช่วยอะไรพวกเจ้าไม่ได้จริงๆ “

            “ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ      ก็ไม่มีทางเลือก”

โบอาหันหน้าไปมองกับบาโบพร้อมพยักหัวพร้อมกัน       กับสหายผู้สับสนไม่รู้จะช่วยอะไรดี

            “ตกลง    ข้าจะไปปราสาทอะไรนั่น     ท่านช่วยบอกทางด้วย”

            “พวกเจ้าจำเส้นทางที่ไปเอาสมุนไพรได้หรือไม่      ตรงไปอีกไม่ไกลก็จะเจอปราสาท”

ทั้งสามจึงเริ่มเก็บสัมภาระติดตัว      เพื่อจะเดินทางไปยังหุบเขาปราสาทที่มีภูติแห่งความตายที่กำลังจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาในอีกไม่ช้า

            เมื่อทั้งสามใกล้ปราสาทมากทีไร       ความกดดันยิ่งทวีคูณมากขึ้น     กลิ่นไอของปีศาจเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆที่พวกเขาก้าวเท้าเข้าใกล้ไปทีละนิด         การเตรียมใจของพวกเขาพร้อมจะประชันหน้ากับเหล่าร้ายมีเพียงสหายตัวเก่าที่มีอารมณ์อย่างเคยเดินหลังสุดเพื่อรักษาแนวรบทางด้านหลัง   

            ในไม่ช้าก็มาถึงหน้าประตูปราสาทที่เป็นหน้าผามีเพียงประตูสะพานที่พาดผ่านให้เดินผ่านเข้าไปยังตัวปราสาท      เหมือนจะมีใครรู้ล่วงหน้าถึงการเดินทางมาของพวกเขา   สะพานที่ปิดอยู่ค่อยๆเปิดลงมาทอดสะพานให้พวกเขาได้ข้ามผ่านเข้าไปยังตัวปราสาท      วินาทีแรกที่เห็นคือ    หุ่นรูปปั้นหน้าตาต่างๆที่ชวนขนหัวลุก     พร้อมกับถืออาวุธหลากหลายชนิด     มีบันไดรออยุ่เบื้องหน้า    ทั้งสามไม่รอช้าก้าวขึ้นไปยังชั้นบน        ชั้นแรกที่ผ่านมาอย่างเรียบง่ายก็ต้องมาพบกับประตู 3 บานเหมือนต้องการเล่นตลกกับทั้งสาม         พวกเขาจึงต้องแยกกันไปคนละประตู     

            ในด้านของบาโบ   ประตูซ้ายสุด   สิ่งที่เขาพบหลังประตูบานนื้คือ     พ่อแม่ของเขาที่คอยเขาอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับรอยยิ้มที่แสนอบอุ่น       ทำให้เขาลืมตัวเดินเข้าไปหาใกล้ๆ โอบกอดพวกเขาไว้      สถานการณ์เริ่มไม่สดใส      อ้อมแขนที่อ่อนโยนเริ่มรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ  จนกลายเป็นรัดคอของเขาไว้ พร้อมกับสีหน้ายิ้มแย้มที่เปลี่ยนไปของผู้เป็นพ่อกับแม่     เผยเสียงหัวเราะอันน่าสยดสยองออกมา

            “เจ้าเด็กน้อย....เหอะๆๆ”

            “อ้า!!!เจ้าเป็นคะ.....”    

ยังไม่ทันได้ถาม     ทุกสิ่งก็มืดลง

ทางด้านเคลาซ์เลือกประตูด้านขวา       เขาเดินผ่านมันเข้าไปทั้งน้ำตาที่ไหลออกมาด้วยความกลัวกับการผจญภัยเพียงผู้เดียว       สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของเขาคือ     ตัวเขาอีกคนหนึ่งที่ดูแตกต่างจากตัวเขามาก   

            “เจ้ามันขี้ขลาด    ต้องพึ่งแต่สองพี่น้อง      เจ้าน่ะมันตัวปลอมไม่น่าเกิดมาเลยด้วยซ้ำ      ข้าจะเป็นตัวจริงแทนเจ้าเอง”

            “จะ...เจ้าเป็นใคร   ที่นี่ที่ไหน    นี่ไม่ใช่เรื่องจริง     มันคือเวทมนตร์   ใช่ๆ.......  แต่ทำไมมันช่างเหมือนเหลือเกิน    เหวอๆๆ!!!”

เมื่อสิ้นเสียงคำพูด   ไม่รอช้า   เคลาซ์หันหลังกลับทันทีรีบวิ่งไปยังประตูที่เดินผ่านเข้ามา    แต่ประตูนั้นก็ค่อยเลือนหายไป     เขาไม่มีหนทางให้หนีอีกต่อไป       ตัวเขาอีกคนหนึ่งเริ่มจับดาบเดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับฟันผ่ากลางศรีษะของเคลาซ์        วินาทีเดียวกันนั้น      ดาบอีกเล่มก็ยกขึ้นมาปัดป้องโดยไม่รู้ตัว       เคลาซ์เองก็ยังงงกับการกระทำของตนเอง         เหมือนเป็นสัญชาติญาณที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติของความกลัว       สั่งให้เขายกมันขึ้นมาปัดป้อง      

            “เชอะ...   ก็แค่บังเอิญ     เจ้าน่ะมันสู้ใครไม่เป็น”

ไม่ทันได้ตั้งตัว    ตัวเขาก็กระโจนเข้าใส่อีกเป็นชุด    เคลาซ์ได้แต่ตั้งท่าป้องกันไว้อย่างเดียว          การป้องกันเริ่มถดถอยลงจนเคลาซ์พลาดดท่าถูดฟันเข้าที่หัวไหล่ด้านซ้าย       แต่แผลไม่ลึกมากนัก         ความเจ็บครั้งแรกของการถูกฟันเข้าที่หัวไหล่      สร้างความเจ็บปวดเป็นอย่างมากกับคนที่เพิ่งเคยถูกฟันเป็นครั้งแรก      

            “เคลาซ์    เคลาซ์   โต้ตอบสิ”

เสียงในภวังค์ได้สั่งให้เขาทำในสิ่งที่ถูกต้อง

            “ผมจะทำได้หรือ    ผมกลัว”

            “ทำได้สิ   เจ้าต้องทำได้  เชื่อมั่นในตนเอง”

เคลาซ์หลับตาตั้งสมาธิ  และยกดาบโจมตีกลับไป     ทำเอาสีหน้าของตัวเขาอีกคนถึงกับมองเขาตาค้าง   ทึ่งในสิ่งที่ตัวเองกำลังเผชิญ     กลับกลายเป็นเคลาซ์บุกโจมตีอยู่เพียงฝ่ายเดียว         ความกลัวบวกกับความโกรธสั่งให้เขาโจมตี      ถ้าไม่โจมตีเขาจะถูกโจมตีเอง        เคลาซ์กัดฟันยกดาบขึ้นตั้งกลางหัวและวิ่งเข้าหาตัวเขาอีกคนพร้อมกับฟาดฟันใส่กลางศรีษะของตัวเขาอีกคน        แสงสีเขียวได้แผ่กระจายจากตัวของเขา       พร้อมกับการประทะดาบกันที่รุนแรง      เป็นการแลกดาบกันครั้งสุดท้ายตัดสินผลแพ้ชนะ

            ประตูตรงกลางที่มีโบอาเป็นผู้เดินผ่านเข้าไป    ไม่พบกับสิ่งใดๆเลยเว้นเสียจาก    บันไดที่นำไปเขาไปสู่ชั้นปราสาทบนสุด    สิ่งที่เห็นคือ   ภาพของน้องชายที่ถูกจับแขวนอยู่ข้างบน     และชายร่างผอมบางเนื้อติดกระดูก    ผมสั้น  อายุราว 20 ปีเท่ากับเขา     นั่งอยู่ใจกลางห้องโถงใหญ่ในห้อง    

            “ยินดีต้อนรับ     เจ้านักรบ  แปลกใจล่ะสิ   ว่าข้าเป็นใคร      ข้าคือองค์ชายผู้คุมปราสาท  หรือที่พวกเจ้าตั้งชื่อให้ข้าว่า   ภูติแห่งความตาย “

            “ปล่อยน้องข้าเดี๋ยวนี้”

            “ปล่อยหรือ   ย่อมได้      แต่ต้องแลกกับตัวเจ้า”

โบอาทิ้งดาบที่อยู่ในมือลงกับพื้น     พร้อมกับเดินเข้าไปหาภูติแห่งความตายที่ต้องการพลังอันมหาศาลของลูกหลานชนเผ่านักรบแสงแห่งจันทรา       ปีศาจร้ายยกมือทั้งสองตั้งขึ้นเหนืออก     แสงลูกเล็กๆได้ก่อตัวขึ้นอยู่ในอุ้งมือของเขา    และค่อยๆลอยเข้าไปหาโบอา     ร่างของโบอาถูกยกลอยขึ้น  พร้อมกับควาบเจ็บปวดทรมานที่ได้ยินเสียงร้องของโบอาเป็นระยะๆ      

            “พี่โบอา.........!!!      ฉันจะฆ่าแก”

            “มีปัญญาหรือ     ก็มาฆ่าฉันสิ”

สิ้นสุดเสียงสองมือจับดาบวิ่งเข้าใส่ร่างปีศาจทันที     แต่พลังไม่เพียงพอไม่สามารถต่อกรกับเจ้าปีศาจตนนี้ได้      

            “เพลิงอัคคี”

ลูกไฟดวงใหญ่จู่โจมเข้าสู่ปีศาจทำให้พิธีกรรมพังทลาย      โบอาล่วงหล่นลงกับพื้น    

            “ท่าน   ทำอะไรน่ะ”

            “ไม่เจอกันนานนะ”

            “ข้าก็ดีใจที่ได้เจอท่านนะ     ท่านปู่”

ความสับสนเริ่มเกิดขึ้นอีกครั้งหลังจากบทสนทนาของท่านผู้เฒ่าและภูติแห่งความตาย    

            “เจ้าฟื้นขึ้นได้อย่างไร   ข้าเป็นคนผนึกเจ้าไว้      ใครกันนะที่มาปลดปล่อยเจ้าออกไป”

            “ก็ต้องขอบคุณเจ้าพวกนี้ที่ทำให้ข้าได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง     พวกมันทำให้ห้วงเวลาผิดเพี้ยนตอนที่มันเดินเข้ามา      ข้าไม่รู้จะตอบแทนพวกมันอย่างไรดี    555”

ร่างของท่านผู้เฒ่ากระเด็นไปติดกับฝาผนังด้วยเวทมนตร์อันชั่วร้ายของปีศาจ     โบอาเริ่มได้สติ    คว้าดาบคู่กายขึ้นมา    แต่มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น   ดาบในมือทีเขาถืออยู่เกิดเปล่งแสงขึ้นมา   และกลายร่างเป็นดาบยักษ์โดยที่เขาไม่รู้ตัว    เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นมันตอนมีสติ      ทุกๆสายตาจับจ้องมาที่ดาบยักษ์เล่มนี้    พร้อมกับร่างกายของเขาที่เปล่งแสงประกายสีขาวทั่วร่าง       เวลาเดียวกันที่บาโบผู้เป็นน้องก็ทอแสงประกายสีทองเหลืองอร่าม      พร้อมกับดาบใหม่ที่มีลักษณะเล็ก    บางและคม    ไม่มีเวลาให้ท้งสองได้ชื่นชมกับพลังอันวิเศษนี้       พลังลูกเพลิงก็ทะยานเข้าหาพวกเขาทั้งสอง     แต่ไม่สามารถทำอะไรได้เพียงยกดาบฟาดฟันมันทิ้ง    ไม่รอช้าสองพี่น้องใส่เพลงดาบกันเป็นชุดใหญ่ใส่เจ้าวายร้าย     หนักเอาการณ์เหมือนกันสำหรับการตั้งรับเพลงดาบจากทุกทิศของทั้งสอง      ถึงคราเจ้าชายแห่งความตายเสียท่า บาดเจ็บสาหัส     แต่เพียงชั่วอึดใจเดียว      ก็กลายร่างเป็นปีศาจที่มีหน้าตาอันน่าเกลียดน่าขยะแขยง

ตัวใหญ่โต      มีกรงเล็บที่แหลมคม        ทั้งสองฝ่ายใช้ท่าไม้ตายที่มีทั้งหมดตัดสินกันเพียงครั้งเดียว   กับพลังอันมหาศาลของนักรบแห่งจันทราและดาบในตำนานทั้ง 2 เล่ม   ทำเอาสหายที่เพิ่งเดินมาถึง     ถึงกับกระเด็นตกบันไดกลับลงไป      กับพลังด้านมืดที่ก่อตัวเป็นลูกบอลลูกมหึมาที่อยู่เหนือศรีษะเจ้าปีศาจกลายร่างที่น่าขยะแขยง      พลังทั้งคู่ประทะกันแรงสั่นสะเทือนทำเอาทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวกระจัดกระจายเสียหาย  ปราสาทใกล้จะถล่มในอีกไม่ช้า   และ......ในอีกไม่กี่นาทีต่อมาทุกอย่าง      ก็เหลือเพียงเถ้าถ่านและซากปรักหักพัง      มีควันเกิดขึ้นจนมองเหตุการณ์รอบด้านได้ไม่ชัด     และ.............................................................................................................................................................................................................................เหลือเพียงความว่างเปล่า........................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................

           

เสียงปรบมือแว่วใกล้ๆตัวของโบอา  และบาโบที่นอนอยู่ในซากปรักหักพัง     กับท้องฟ้าอันสดใสที่ไม่เคยพบเห็นมาเป็นเวลานาน      

“เป็นอะไรหรือเปล่า     พวกเธอเก่งจัง   แต่ก็เสียใจนิดหน่อยที่ต้องเสียพี่ชายไป”

เจ้าชายแห่งความตาย        คือพี่ชายร่วมสายเลือดของมินตรา         ซึ่งมินตราก็คือธิดาแห่งความตายที่กลับใจพร้อมกับผู้เฒ่าแห่งความตายที่บัดนี้อยู่ในคราบของผู้เฒ่าที่แสนจะใจดี    

            “ฉันเสียใจด้วยนะ     ที่ต้องทำไป”

            “ไม่เป็นไรหรอก    ดีแล้วล่ะ     พี่ฉันจะได้หลับสบายสักที   ไม่ต้องทนอยู่ในห้วงกาลเวลาแบบนี้    เหมือนอย่าง....ฉัน”

คำพูดที่แอบน้อยใจของหญิงสาวทำให้โบอาเกิดความคิด

            “ไปกับฉันเถอะ     กลับไปที่โลกของฉันเถอะ    ฉันจะดูและเธอเอง”

            “ไม่ได้หรอก       เป็นไปไม่ได้    ฉันไม่มีตัวตน    เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของกาลเวลา      ไม่มีวันเป็นความจริงได้หรอก     ขอบคุณนะฉันดีใจจริงๆ”

คำพูดของโบอาทำให้มินตรารู้สึกดี      ทุกคนจึงพากันกลับไปยังบ้านหลังน้อยๆในหมู่บ้าน     

            “ทุกอย่างกลับเป็นเหมือนเดิมแล้วล่ะ       ทางที่พวกเธอมาคงจะเปิดออก   พรุ่งนี้ก็เดินทางกลับได้แล้วล่ะ”

            “แล้วผมจะกลับมาที่นี่ได้อีกหรือไม่        ข้าอยากพาพวกท่านไปด้วยจริงๆ   แต่ก็เข้าใจว่าเป็นไปไม่ได้    ข้ารู้”

            “ได้สิ     เมื่อทุกอย่างกำหนดให้เจ้าต้องมา     สักวันหนึ่ง”

ทั้งสามกลับไปยังโลกมนุษย์ของตน     หลังจากที่เดินกลับไปแล้วทุกๆคนได้ลืมสิ่งที่ตนเองไปเผชิญในห้วงแห่งกาลเวลา       มีเพียงคนเดียวที่ยังคงความทรงจำไว้คือ  โบอา    ไม่รู้ทำไมถึงเป็นเพียงผู้เดียวที่จำได้   แต่สิ่งที่เขาจำได้เพียงสิ่งเดียวที่เหลือไว้ในความทรงจำคือ  ................เธอ       

ผู้อยู่ในห้วงแห่งกาลเวลา       ที่อยู่ระหว่างความเป็นจริงและสิ่งมายา      สักวันหนึ่ง    สักวันหนึ่ง      เราคงได้พบกัน

.ปัจจุบัน.....

            หลังจากที่สอนวิชาเพลงดาบเสร็จ         สองพี่น้องก็จะมานั่งรับประทานอาหารค่ำกันในบ้าน        เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

            “ก๊อกๆ ๆ     มีใครอยู่มั้ยค่ะ”

            “ใครน่ะ   มีธุระอะไร”

            “คือว่าน้องชายฉันหายไปหลังจากเลิกเรียนวิชาเพลงดาบค่ะ”

          “ชื่ออะไรหรือน้องเธอ”

            “เทวาค่ะ        ฉันเพิ่งย้ายมาอยุ่กับน้องที่นี่ได้ไม่นาน           ถ้าไม่เป็นการรบกวนถือว่าฉันขอร้อง       ช่วยตามเทวาให้ที”

ด้วยความเป็นครูจึงเปิดประตูหวังจะช่วยออกตามหา   แต่สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือ    สาวใบหน้าอันคุ้นเคยงดงาม     เธอคือ มินตรา   สาวงามแห่งห้วงกาลเวลา      โบอาถึงกับอึ้งและพูดไม่ออก     กับทั้งความดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่    จึงเผยเรียกชื่อออกไป

            “มินตรา”

            “มินตรา?    ใครหรอคะ    ฉันชื่อ   วารี  ค่ะ”

ทำให้เขานึกขึ้นได้ว่า          ที่นี่ไม่ใช่ห้วงแห่งกาลเวลา         แต่เป็นโลกที่เขาอยู่   แต่ถึงอย่างไร         ก็ทำให้เขาตื่นเต้นกับความรู้สึกที่ได้เจอกับผู้หญิงคนนี้       ทั้งสองจึงเริ่มตามหาน้องชายของวารี       จนกระทั่งเจออยู่ที่บ้านของเพื่อนนักเรียนด้วยกัน     การตามหาครั้งนี้ถือว่าประสบผลสำเร็จ      

            แต่การตามหาหัวใจของชายหนุ่มที่มีต่อหญิงสาวนั้น       ยากเกินจะบรรยายออกไป.........

การผจญภัยที่แสนประทับใจเริ่มขึ้นอีกครั้ง     กับโบอาและ....................วารี

                                                            ................จบ....................

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
5.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา