โชค

9.0

เขียนโดย ศิลปินพเนจร

วันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลา 11.59 น.

  1 ตอนเดียวจบ
  2 วิจารณ์
  4,439 อ่าน
แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

1) เรื่องสั้น

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

-1-

"คุณน่า​จะหาปลามาเลี้ยง ​เพื่อทำให้ตัวเอง​จะมีโชค"

​เป็นคำพูดของซินแสนิรนามท่านหนึ่ง​แนะนำผมไว้​เมื่อเดือนก่อน ​ความจริงผมก็​เป็นคนไม่ค่อยเชื่อเรื่อง​หมอดูเท่าไหร่ ยิ่งมีคนมาทักนั่นทักนี่แล้ว​บอกว่า​จะมีเคราะห์หรือ​กำลัง​จะมีโชคลาภนั่น ยิ่งเหลวไหล ผมไม่คิดว่าชีวิตคนเราเกิดมาลืมตาอ้าปากบนโลกใบนี้​ได้​เพราะมี​ใครเขียน กำหนดขึ้น​มา หรือหาก​จะมี​ใครสักคนอย่าง​ที่ว่าอยู่​จริงก็น่าเห็นใจ​เขาอยู่​ไม่น้อย ​เขาคง​จะ​ต้องทำงานหนักชนิดหามรุ่งหามค่ำ ดีไม่ดีค่าโอทีอาจไม่มีด้วยซ้ำ ก็กว่า​เขา​จะเขียนชีวิต​ใครขึ้น​มา​ได้สักคนคงไม่ใช่เรื่อง​ง่าย ดังนี้แล้ว​ผมจึงไม่เชื่อคำพูดเรื่อยเจื้อยของซินแสนิรนามท่านนั้น​ หรือถึง​จะเชื่อผมก็ไม่เห็นว่ามัน​จะเข้าท่าตรงไหน ชีวิตคนเราหากมัน​จะมีสุขมีทุกข์มีซวยบ้าง​จะ​เป็นไร ทำไมเรา​ต้องอยากรู้อะไร​ล่วงหน้าด้วย ก็จริงอยู่​การรู้อนาคตนั้น​​จะ​ได้หาทางแก้ไขทัน ​แต่หากเรามี​ความ​สามารถข้าม​ไปแก้ไขอนาคต​ได้ถึงเพียงนั้น​ ผมว่าเราก็น่า​จะมีวิธีกลับ​ไปแก้ไขอดีต​ได้เช่นกัน ​ซึ่งมันน่า​จะดีกว่า​เพราะ​ที่เรายืนอยู่​ทุกวันนี้ต่างก็ถูกทับถมด้วยอดีต มากัน​ทั้งนั้น​

ผ่านมาหลายวันจนผมลืมซินแสนิรนามท่านนั้น​​ไป จนกระทั่งวันหนึ่ง​​เพื่อนก็แนะนำผมให้หาปลามาเลี้ยง ​เพราะการเลี้ยงปลา​คือการทำบุญอย่างหนึ่ง​ อีก​ทั้งยังช่วยเสริมให้คนเลี้ยงมีโชคลาภ พลันผมก็นึก​ไปถึงซินแสนิรนามท่านนั้น​ ซินแสก็แนะนำให้ผมหาปลามาเลี้ยง มันช่างตรงกันอะไร​ปานนั้น​ ยังนึกอยู่​ว่า​เพื่อนคงมี​ส่วน​ได้​ส่วนเสีย​กับซินแสท่านนั้น​หรืออย่างไร ​แต่ผมนั้น​ถือว่าตัวเอง​เป็นคนรัก​เพื่อน ไหน ๆ​ ​เพื่อนก็อุตส่าห์แนะนำมา​ทั้งที ก็แค่การเลี้ยงปลามัน​จะ​ไปยากตรงไหน อีกอย่างค่า​ใช้จ่ายก็ไม่สูงเกิน​ไปหากเทียบ​กับสิ่ง​ที่​จะ​ได้รับกลับมา อีกหน่อย​ชีวิต​ความ​เป็นอยู่​ของผมอาจ​จะดีขึ้น​กว่า​ที่​เป็นอยู่​ก็​ได้ ใน​เมื่อซินแส​กับ​เพื่อนต่างพูด​เป็นเสียงเดียวกันว่าการเลี้ยงปลาช่วย เสริมดวงให้คนเลี้ยงมีโชคลาภ ผมเองก็ไม่รู้ว่าซินแสท่านนั้น​เชื่อถือ​ได้แค่ไหน ​แต่ก็น่า​จะลองดู พออีกสามวันถัด​ไปผมก็มีตู้ปลามาตั้งอยู่​ในห้อง ก็​เป็น​เพื่อนของผมนั่นแหละ​​ที่รับ​เป็นธุระให้​ทั้งหมด อีก​ทั้ง​เป็นวิทยากรบอกคำแนะนำการให้อาหาร การเปลี่ยนถ่ายน้ำ การจัดระบบนิเวศภายในตู้ปลา ตลอดจนการจัดวางตู้ปลาในตำแหน่ง​ที่เหมาะสม

ผมมี​ความสุข​กับมันอยู่​​ได้ไม่กี่วัน แล้ว​ผมก็พบว่าปลาของผมไม่กินอาหาร ​ซึ่งสาเหตุของการไม่กินอาหาร บอกตามตรงผมเองก็อ่อนประสบการณ์ในเรื่อง​นี้ ​และคาดเดาลำบาก ​แต่​ที่รู้มันคงไม่อดอาหาร​เพื่อประท้วงอะไร​ผม ​และยิ่งไม่น่า​จะมี​ส่วนร่วม​กับการประท้วงคนในรัฐสภาฯ ด้วยเช่นกัน ผมจึงเปลี่ยนการให้อาหารในปริมาณ​ที่น้อยลง ​เพราะหากปลาไม่กินอาหารเกรงว่ามันอาจก่อให้น้ำเน่าเสีย​ได้ ​แต่ก็​เป็นเช่นเดิม มันยังเมินเฉยต่อท่าทีการ​เอาใจใส่ของผมอย่างไม่ใยดี บางครั้งก็นึกโมโห หน็อย..นี่​ถ้าไม่​เพราะว่าเลี้ยงแล้ว​​จะช่วยเสริมดวงให้ล่ะก็ ป่านนี้...​แวบหนึ่ง​ผมมอง​ไป​ที่ครัว ​แต่โถ..พ่อคุณ กินอะไร​ซะก่อนเถอะ ​จะงอน​จะประท้วงอะไร​ค่อยว่ากัน เดี๋ยว​เป็นลม​เป็นแล้งมา​จะลำบาก จาก​ที่​เอามาเลี้ยงเลย​กลาย​เป็น​เอามาฆ่าเสียนี่

ผมรู้สึกไม่สบายใจนัก​เมื่อเห็นว่าปลา​ที่ผมเลี้ยงไม่กินอาหาร ​แต่หาก​จะบอกว่าไม่กินเสียเลย​ก็ดู​จะเกิน​ไป ผมสังเกตว่ามันกินบ้างเพียงเล็กน้อย ผมเฝ้าสังเกตอยู่​หลายวันจนแน่ใจว่าปลา​ที่ผมเลี้ยงกินอาหารเพียง​แต่น้อย นิด จาก​ที่​ได้สอบถามจาก​เพื่อน​ที่เคยเลี้ยง​และหาตำรามาอ่าน พบว่ามันกินน้อยผิดปกติ ผมจึงคิด​เอาเองว่ามันคงยังไม่คุ้นชิน​กับสภาพแวดล้อมใหม่ หรือพูดง่าย ๆ​ ก็​คือมันยังไม่ชิน​กับบ้านใหม่ของมันนั่นเอง




-2-

"ทางเรา​ต้องพิจารณาให้คุณออกนะ"
​เป็นเสียงของผู้จัดการฝ่ายบุคคล​ที่ผมทำงานอยู่​ เรียกผมเข้า​ไปในตอนเช้า​

"คุณมีอะไร​อยากพูดหรืออยากบอกผมมั้ย" ผู้จัดการถามเสียงโทนต่ำ

ผมนั่งนิ่ง ไม่​ได้พูดอะไร​ อาจ​จะ​เป็น​เพราะว่าผมไม่มีอะไร​​จะพูดมากกว่า ผมไม่ค่อยยี่หระ​กับคำพูดทำนองนี้เท่าใดนัก ​ส่วนหนึ่ง​อาจ​จะ​เป็น​ความเคยชินก็​ได้ ​เพราะการถูกไล่ออกจากงานแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรก คำพูดทำนองนี้เหมือน​กับว่าผมเพิ่ง​ได้ยินมาจาก​ที่ทำงานเก่า​เมื่อปี​ที่ ผ่านมานี่เอง หลังจาก​ที่ผมเผลอ​ไปชกปาก​เพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง​ เผอิญว่าเจ้านั่นดัน​เป็นลูกน้องคนโปรดเสียนี่ ผมก็เลย​​ต้องถูกเชิญให้ออกตามระเบียบ ​ส่วนครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน เพียง​แต่ยกระดับจาก​เพื่อนร่วมงานมา​เป็นผู้จัดการ

​ถ้า​จะพูดกันจริง ๆ​ ก็​ต้องบอกว่ามันไม่​ได้อยู่​เหนือ​ความคาดหมาย​แต่อย่างใด ​เพราะการกระทำของผมมันดูอุกอาจอยู่​สักหน่อย​ ก็​จะให้ทำอย่างไร​ได้ คนเลือดร้อนอย่างผมกว่า​จะคิดอะไร​​ได้ บางทีมันก็สายเกิน​ไปแล้ว​ ก็คง​ต้องโยน​ความผิดให้มือเจ้ากรรมนี่แหละ​ ​เพราะมันแท้ ๆ​ ​ที่เหวี่ยง​ไปเร็วเกินกว่า​ที่ผม​จะ​ได้คิด ​ซึ่งกว่า​จะคิด​ได้ก็เห็นผู้จัดการของผมนอนหงายท้อง​ไปแล้ว​

ผมขับรถกลับบ้าน ​พร้อมน้อมรับคำตัดสิน​และไม่คิด​จะยื่นอุทธรณ์ใด ๆ​ ​ทั้งสิ้น เรื่อง​หางานใหม่​เป็นสิ่ง​ที่ยุ่งยากสำหรับผมพอสมควร แค่คิดก็รู้สึกเหนื่อยหน่าย ​เพราะไหน​จะ​ต้องเตรียมเอกสารการสมัคร แล้ว​ไหน​จะ​ต้อง​ไปรอคิว​เพื่อให้คนเพิ่งเคยเห็นหน้ากันวันแรกถามโน้นถาม นี่ บางทีก็สอบประวัติราว​กับนักโทษ คำถามสูตรสำเร็จสำหรับพวกคนสัมภาษณ์​ส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้น ทำไมคุณถึงอยากเข้ามาทำงาน​ที่นี่ คุณคิดว่า​จะทำอะไร​​เพื่อบริษัท แล้ว​คาดหวังไว้ว่าบริษัท​จะให้อะไร​ตอบแทนคุณอะไร​ทำนองนี้ ​และคำถาม​ที่ผมไม่อยากตอบ​ที่สุดก็​คือ เหตุใดคุณถึงออกจากงาน ​ซึ่งผมถือว่าตัวเองนั้น​​เป็นคนจริงใจจึงไม่อยากโกหก ​แต่การไม่โกหกก็ไม่​ได้หมาย​ความว่าผม​จะ​ได้งานทำ ดังนี้แล้ว​ผมคิดว่าการสมัครงานจึงไม่น่า​จะ​เป็นเรื่อง​สนุกสักเท่าไหร่ สำหรับผม

ขับรถคิดอะไร​​ไปเรื่อยเปื่อย​ได้สักพัก เหมือน​ได้ยินเสียงดังโครมมาจากท้ายรถ รู้สึกว่า​​จะมีวัตถุ​ที่วิ่งมาด้วย​ความเร็วชนเข้า​กับท้ายรถผม เหลือบมอง​ไป​ที่กระจกหลัง ว่าแล้ว​เชียว นั่นไง...​แท็กซี่คันหนึ่ง​อัดบี้เข้ามา​ที่ท้ายรถผมอย่างจัง ผมหักพวงมาลัยออกซ้าย​เพื่อ​จะจอด เลือดในกายของผมสูบฉีดเต็ม​ที่ ​และมีทีท่าว่าอุณหภูมิ​จะค่อย ๆ​ เพิ่มขึ้น​ด้วย ผมเตรียมจอดรถ​เพื่อ​จะคุย​กับคนขับแท็กซี่คันนั้น​ให้รู้เรื่อง​ หรือ​ถ้าคุยกันไม่รู้เรื่อง​ก็คงไม่มีอื่นใดให้​ต้องคุยอีก

ผมจอดรถ เปิดประตู​กำลัง​จะเดินออก​ไปคุย​กับคนขับแท็กซี่ ​แต่ดูเหมือนว่า​เขาไม่อยาก​จะคุยอะไร​​กับผมมากนัก ถึง​ได้ตะบึงรถออก​ไปอย่างรวดเร็ว ผม​ได้​แต่มองตามหลังแท็กซี่คันนั้น​​ไป ​กำลัง​จะกลับเข้า​ไปในรถ​เพื่อขับตาม ก็หวัง​จะ​ได้คุยกันให้รู้เรื่อง​ ​ถ้ารู้เรื่อง​หรือไม่อย่างไรก็ค่อยว่ากันอีกที ​แต่ในภาวะ​ที่ตัวเองเหมือนเพิ่งตก​เป็นจำเลย​​ที่ถูกศาลพิพากษาคดีมา วีรกรรม​ที่สร้างไว้ใน​ที่ทำงานทำให้อารมณ์ของผมลดลง​ได้บ้าง ผมเปลี่ยนใจเดินกลับ​ไปดู​ที่ท้ายรถ อืม...​มัน​ใช้​ได้ทีเดียว ท้ายบุบโค้งเว้า​ได้รูปทรงดีแท้ ชีวิตคนเรา​เมื่อมันถึงคราวซวยอะไร​ ๆ​ มันก็พลอยซวย​ไปตามกัน วันนี้แค่ตกงานไม่พอ รถยังมาถูกชนท้ายอีก

แวบหนึ่ง​เหมือนผม​ได้ยินคำพูดของซินแสดังก้องหู

ผมขับรถออก​ไป คำพูดของซินแสก็ยังคงดังก้องหูผมอยู่​ไม่ขาด หรือว่าช่วงนี้ผมดวงไม่ค่อยดีจริง ๆ​ ​แต่ผมก็ใช่ว่า​จะนิ่งนอนใจเสียทีเดียว ผมก็ทำตามคำแนะนำ​โดยการหาปลามาเลี้ยงแล้ว​ ไม่เห็นว่าอะไร​ ๆ​ ในชีวิตของผม​จะดีขึ้น​เลย​

สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยน​เป็นสีแดง ผมหยุดรถ เอนหลังพิง​กับเบาะ หลับตาหวังคลาย​ความ​เมื่อยล้า หรืออย่างน้อย ๆ​ หากมัน​จะลืมเรื่อง​ซวย ๆ​ ​ที่ผ่านมา​ได้สักช่วงเวลาน้อยนิดก็ยังดี
เสียงเคาะกระจกดังขึ้น​ ผมลืมตามอง​ไป​ที่ต้นเสียง เห็นเด็กหญิงร่างผอม เนื้อตัวมอมแมม สวมเสื้อยืด กางเกงขาสั้นเก่า ๆ​ ในมือถือพวงมาลัยจ้องมา​ที่ผม ผมรู้ว่าเธอ​ต้องการอะไร​ ผมดูเจตนา​และ​ความ​ต้องการของเธอออก ​แต่รถผมเพิ่งถูกชนท้ายมา ไม่รู้​จะ​เอาพวงมาลัย​ไปไหว้​ใคร หรือ​เพื่อให้​ใครมาคุ้มครอง ก็เห็น ๆ​ อยู่​ว่ามันไม่​ได้ช่วยอะไร​ผม​ได้เลย​

ผมยกมือ​เป็นเชิงปัดปฏิเสธ แล้ว​ก็หลับตาเหมือนไม่สนใจอะไร​เธออีก ​แต่เสียงเคาะกระจกก็ยังคงดังอยู่​ จนทำให้ผมไม่​สามารถข่มตาลง​ได้ ดวงตาคู่นั้น​ยังจ้องมองผม แล้ว​ในมือของเธอก็ยังชูพวงมาลัยเสนอขายให้ผมอยู่​เช่นเดิม บอกตามตรงผมไม่ชอบการเสนอขายในลักษณะนี้เลย​ มัน​เป็นการยัดเยียดเกิน​ไป ​ซึ่งคำพูดทำนองนี้เหมือนว่าผมเพิ่งพูด​ไป​เมื่อไม่นานนี่เองใน​ที่ประชุม ฝ่ายการตลาด ผมอยากให้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการขายของเราใหม่ ​โดยการให้คนซื้อเดินเข้ามาหาเรา แทน​ที่เรา​จะเดินเข้า​ไปหาคนซื้อ ​ซึ่งมันอาจ​จะขัด​กับหลักการขายเห่ย ๆ​ ทั่ว​ไปอยู่​บ้าง ไม่เห็น​จะ​ต้องวิ่งตามคนซื้อเสมอ​ไป ผมว่าสินค้า​สามารถสร้างภาพลักษณ์ขึ้น​​ได้หากมีแผนการตลาด​ที่ดี ​แต่ก็ไม่จำ​เป็น​ต้องอยู่​สูงเกิน​ไปจนคนซื้อ​ต้องปีนขึ้น​​ไปหา

อีกอย่างหนึ่ง​​ที่ผมเสนอ​ไปก็​คือเราจำ​เป็น​จะ​ต้องรู้โพสิชั่นของตัวเอง ​คือ​ต้องหาตำแหน่งตัวเองให้เจอก่อน ​ซึ่งหากรู้ตำแหน่งตัวเอง​และมีกลุ่มลูกค้า​ที่แน่นอนแล้ว​ หลังจากนั้น​เราอาจ​จะ​เอาโฆษณาเข้า​ไปเสริม หรือไม่ก็ทุ่มออกแคมเปญ​เพื่อย้ำเตือนผู้บริโภค หรือ​จะพูดให้เท่หน่อย​ก็​ที่ภาษาการตลาดเรียกว่า Reminder Promotion ​เพราะนอกจากกลุ่มลูกค้าเดิม​จะยังไม่ลืมสินค้าของเราแล้ว​ ดีไม่ดีอาจ​จะมีกลุ่มลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น​ด้วย ​แต่ก็นั่นแหละ​...​​แม้ว่าผม​จะยก​เอาตำรา​ทั้งหมดมากองไว้ตรงหน้า ​แต่ด้วย​ความคิดเห็น​ที่สวนทาง​และไม่ค่อยลงรอยกัน ประกอบ​กับคนเลือดร้อนอย่างผมด้วยแล้ว​ ผลสรุปในวาระการประชุมครั้งนั้น​ ผมก็​เป็นอันตกงาน ​เพราะเผลอ​ไปชกปาก​ใครเข้าให้

เสียงเคาะกระจกดังขึ้น​เรื่อย ๆ​ ผมตัดรำคาญ​โดยการเลื่อนกระจกลง

"มีอะไร​อีกล่ะ" ผมตะคอกเสียงออก​ไป

"น้าช่วยซื้อพวงมาลัยหนูหน่อย​" เด็กหญิงว่า

"วันนี้ไม่ซื้อ ​ไปขายให้คนอื่นบ้างก็​ได้" ผมพูด​เป็นเชิงไล่ หลับตา ในหัวหัวสมองก็คิด​แต่วันพรุ่งนี้ผม​จะเริ่มต้นหางาน​ที่ไหนก่อน

"น้า...​ช่วยซื้อหน่อย​"

ผมนั่งนิ่ง หลับตา ทำทีไม่สนใจ

"นะน้า...​น้าช่วยซื้อพวงมาลัยหนูหน่อย​" เธอยังรบเร้า

ผมลืมตามอง​ไป​ที่เด็กหญิง ในมือของเธอยังชูสินค้าให้ผมดู ผมเหนื่อยเกิน​ไป​ที่​จะบอกปัดปฏิเสธ นี่กระมัง​คือข้อดีของการเสนอขายในลักษณะนี้ มันทำให้คนซื้ออย่างผมดิ้นไม่หลุด หรือว่ากลยุทธิ์การขาย​ที่ผมนำมาเสนอใน​ที่ประชุม​เมื่อวันก่อน​จะ​ใช้ไม่​ ได้ผลจริง ๆ​

"พวงเท่าไหร่" ผมถาม

"สิบบาท​ค่ะ​"

ผมนิ่ง​ไปสักพัก นั่งคิด​ไปตามประสาคนฝ่ายขาย​ที่​กำลังตกงาน ​โดยปกติแล้ว​ผมไม่ค่อย​ได้ยินคำลักษณะนี้จากเด็ก ๆ​ เหล่านี้ เด็กหญิงพูดคำว่า "ค่ะ​" อย่างชัดถ้อยชัดคำ มันจึง​เป็นวิธีการเสนอขาย​ที่แตกต่างจากเด็กคนอื่นๆ​ ​ที่ผมเคยเจอ หรือหากว่าผมไม่​ได้คิด​เอาเอง อย่างน้อยๆ​ คำว่า "ค่ะ​" ของเด็กหญิงก็​เป็นการสร้าง​ความประทับใจในตอนแรก​ที่​ใช้​ได้ทีเดียว

"งั้น​เอามาพวงหนึ่ง​" ผมบอก

"น้า" เด็กหญิงว่า "น้าช่วยหนูสักสองพวงเถอนะ วันนี้หนูขายไม่​ได้เลย​ น้อง ๆ​ รอกินข้าวอยู่​"

ดวงตาคู่นั้น​จดจ้องมา​ที่ผม ผมไม่รู้หรอกว่าเธอพูดจริงหรือว่าโกหก ​เพราะผมเคยเจอในลักษณะนี้จนชิน ​ถ้าไม่มีเงินซื้อข้าว ก็แม่ป่วย หรือไม่ก็น้องเข้าโรงพยาบาลอะไร​ทำนองนี้ ​ซึ่งผมว่ามันดู​เป็นสูตรสำเร็จ​ไปหน่อย​ ​แต่ผมไม่อยากเสียเวลามาต่อรองอะไร​มากนัก จึงตัดรำคาญ​โดยซื้อพวงมาลัยของเธอ​ทั้งสองพวง

ผมหยิบเงินให้เด็กหญิง​ไปยี่สิบบาท​

เด็กหญิงถามผม "รถน้าถูกชนท้ายมาหรือ"

ผมพยักหน้า

"น้าโชคไม่ดีเลย​" เด็กหญิงว่า

ผมไม่​ได้ตอบอะไร​ ​เพราะถึงเธอไม่บอกผมก็รู้ว่าโชคไม่เคยเข้าข้างผมอยู่​แล้ว​ ​กำลัง​จะเลื่อนกระจกขึ้น​ ​แต่ผมสังเกตเห็นสีหน้าของเธอเหมือนอยาก​จะพูดอะไร​บางอย่าง

"มีอะไร​รึเปล่า?" ผมถาม

เด็กหญิง​เอามือล้วงเข้า​ไปในกระเป๋ากางเกง หยิบเหรียญสิบบาท​มากำไว้ในมือ แล้ว​ยื่นให้ผม

"หนูคืนให้น้าสิบบาท​"

"ทำไมหรือ?" ผมประหลาดใจ

"น้า​ต้อง​เอาเงิน​ไปซ่อมรถ" เด็กหญิงว่า

ผมมอง​ไป​ที่แววตาใสคู่นั้น​ แล้ว​ยิ้ม

"แล้ว​นี่ให้พวงมาลัยมาตั้งสองพวง ขายแค่สิบบาท​ไม่ขาดทุนหรือ?"

"ไม่​เป็นไร"

"ใจใหญ่นะเรา" ผมว่า

"ให้น้า​เอาไว้หน้ารถ คราวต่อ​ไป​จะ​ได้ไม่มี​ใครขับมาชนท้ายอีก"

สัญญาณไฟจราจร​กำลัง​จะเปลี่ยน​เป็นสีเขียว เด็กหญิงก็​กำลัง​จะวิ่งกลับ​ไป​ที่บาท​วิถี ผมเลื่อนกระจกลงแล้ว​ตะโกนเรียก

"หนู!"

เด็กหญิงหันกลับมามองหน้าผม

"น้องรอกินข้าวอยู่​ไม่ใช่หรือ" ผมถาม

เด็กหญิงพยักหน้า สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยน​เป็นสีเขียวแล้ว​ เสียงบีบแตรดังไล่มาจากด้านหลัง ผมหยิบเงินสองร้อยในกระเป๋าให้เธอ

"​เอา​ไปซื้อข้าวให้น้อง" ผมบอก

เด็กหญิงยกมือไหว้ หยิบเงินแล้ว​วิ่ง​ไป​ที่บาท​วิถี

ผม​ต้องรีบบึ่งรถออก​ไป​เพราะเสียงแตรรถจากด้านหลัง พอผ่านสี่แยกนั้น​มา​ได้ผมมอง​ที่กระจกหลังไม่เห็นเด็กหญิงคนนั้น​อีกแล้ว​ ผมหยิบ​เอาพวงมาลัย​ทั้งสองพวงมาวางไว้​ที่หน้ารถ ก็หวังในใจว่าต่อ​ไปก็คงไม่มี​ใครขับรถมาชนท้ายรถผมอีก เหมือน​กับ​ที่เด็กหญิงบอก

วันนี้ผมโชคไม่ดีจริง ๆ​




-3-

เรือหางยาวเพิ่งแล่นผ่าน​ไป​ได้สักระยะ คลื่นระลอกน้อยใหญ่ก็เริ่มจางหาย​ไป ผมยืนอยู่​ริมแม่น้ำในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง​ ​เมื่อคลื่นจากเรือหางยาวอ่อนตัวลง ผมก็ค่อยๆ​ นั่งลงแล้ว​​เอาปลา​ที่เพิ่งนำมาเลี้ยงไม่ถึงเดือนมาปล่อย สีสันมันดู​ใช้​ได้ทีเดียว ผมค่อย ๆ​ เทมันลง​ไปใกล้ริมน้ำ เจ้าปลาตัวน้อยลอยวนอยู่​รอบ ๆ​ ริมน้ำ ราว​กับว่าไม่รู้ว่า​จะ​ไปทางไหนดี ​แม้ว่าคลื่นจากเรือหางยาว​จะหาย​ไป ​แต่คลื่นจากลมก็ยังไม่สงบเสียทีเดียวนัก บางครั้งมันก็ซัดมาริมฝั่ง เจ้าปลาตัวน้อยก็โยกเยก​ไปตามแรงคลื่น ผมนั่งมองมันอยู่​นาน ในใจก็ลุ้นว่ามัน​จะ​ไปทางไหน ​และ​จะมีชีวิตอยู่​อย่างไร

ในช่วงเวลา​ที่ผมนำปลามาเลี้ยง รู้สึกว่า​เจ้าปลาของผมก็ไม่​ได้ช่วยอะไร​ผมมากนัก ​เพราะนอกจากโชค​จะไม่เข้าใกล้ ​ความซวยยังตามมาตอแยผมอีกต่างหาก ​เมื่อวาน​ทั้งตกงาน รถชน ยังไม่​ต้องพูดถึงว่าพรุ่งนี้ผม​จะเจออะไร​อีกบ้าง ​จะเริ่มต้นหางาน​ที่ไหน ​และบทสรุปของมัน​จะ​เป็นอย่างไร ดังนี้แล้ว​ผมคิดว่า ผมไม่ควร​ที่​จะเลี้ยงไว้​เป็นแน่ อีกอย่างหนึ่ง​ ผมมี​ความรู้สึกว่า​เจ้าปลาของผมก็ไม่อยาก​จะอยู่​​กับผมด้วยเช่นกัน ​เพราะสังเกตจาก​ที่มันไม่ยอมกินอาหารหลายวันติดต่อกัน ​ซึ่งผมคิดว่ามันน่า​จะ​เป็นทางออก​ที่ดีต่อ​ทั้งสองฝ่าย

ผมเฝ้ามองเจ้าปลาตัวนั้น​อยู่​สักครู่ใหญ่ มันไม่มีทีท่าว่า​จะว่าย​ไป​ที่อื่นเลย​ บางทีนี่อาจ​จะ​เป็นโลกใบใหญ่เกิน​ไป ​เพราะตลอด​ทั้งชีวิตมีเพียงกรอบกระจกล้อมรอบไม่กี่ตารางนิ้ว หรือมันอาจ​จะตื่นเต้น​กับโลกใบใหม่จนทำอะไร​ไม่ถูก มันคงคล้าย​กับนักโทษ​ที่พ้นโทษออกมาสู่สังคมใหม่ ไม่รู้​จะ​ไปทางไหนต่อ ​ความรู้สึกตื่นเต้นระคนหวาดกลัว คนเรานี่ก็ประหลาดเห็นกรงขังของผู้อื่น​เป็นสิ่งสวยงาม ผมเพิ่งรู้ตัวเองว่าผม​เอากรงขังของผู้อื่นมา​เป็นเครื่องประดับ ​และไว้สะเดาะเคราะห์​เพื่อ​ที่ตัวเอง​จะมีโชค

หลังจาก​ที่นั่งดูท่าทีอยู่​​ได้ไม่นานนัก เจ้าปลาตัวน้อยก็ว่ายเข้า​ไปในกอหญ้าริมฝั่ง มันคงเริ่มคุ้นชิน​กับสภาพแวดล้อมใหม่ ก็หวังว่ามันคง​จะพบ​กับชีวิตใหม่​ที่ดี ​และโชคคง​จะมีแก่มันบ้าง

ผมเดินออกมา​กำลัง​จะกลับบ้าน เดินลัดผ่านสวนสาธารณะ ตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ผมเห็นชายแก่คนหนึ่ง​​กำลังนั่งดูดวงอยู่​ ยิ่งมองผมยิ่งมี​ความคลับคล้ายคลับคราว่าเคยเห็นชายแก่คนนั้น​​ที่ไหน ผมรีบสาวเท้าเดินเข้า​ไปใกล้ ๆ​ ​เมื่อ​ได้เห็นหน้าชัด ๆ​ ถึง​ได้รู้ว่า​เป็นซินแสคน​ที่แนะนำให้ผมเลี้ยงปลา​เมื่อเดือนก่อน ซินแสคนนั้น​ไม่​ได้มองมาทางผม ​เพราะ​เขามัวยุ่งอยู่​​กับการดูดวงให้​กับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง​

​กำลัง​จะหันหลังเดินกลับ​ไป​ที่รถ หูของผมแว่ว ๆ​ ว่า​ได้ยินเสียงของซินแสแนะนำเด็กหนุ่ม

"คุณก็น่า​จะหาปลามาเลี้ยงบ้าง ​เพื่อทำให้ตัวเองมีโชค"

 

*************

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา