เจมา กับ เจน่า และสามแยกอัศจรรย์

10.0

เขียนโดย sugarkoi

วันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554 เวลา 09.25 น.

  1
  14 วิจารณ์
  5,574 อ่าน
แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

1)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เจมา กับ เจน่า และสามแยกอัศจรรย์ 

เขียนโดย Sugarkoi

 

 

 

 

 

เจมาเด็กชายวัยหกขวบกับเจน่าเด็กหญิงวัยสี่ขวบเป็นพี่น้องกัน ครอบครัวของพวกเขาอาศัยอยู่บนดาวสุข พวกเขาเล่นด้วยกันเสมอแต่ก็ทะเลาะกันบ่อย ๆ เพราะต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยอมกัน

                วันนี้ก็เช่นกัน พวกเขายังคงทะเลาะกัน แย่งสมุดภาพสีสวย

                สมุดภาพที่ถูกดึงกำลังฉีกขาด

                แล้วมันก็ขาด 

แคว่ก...

                พร้อมกับร่างที่ทั้งคู่เลือนหายวับไป

 

 

                เจมากับเจน่า รู้สึกว่าร่างของตนถูกโยนไปที่ไหนซักแห่ง พวกเขาพากันร้องสุดเสียง

 

                ว้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกอ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก....!!!!???

 

                ระหว่างที่ร่างกำลังลอยละลิ่วอยู่นั้น เจน่าได้สอดสมุดภาพที่เหลือครึ่งเล่มไว้ใต้เสื้อเพราะกลัวว่าจะหล่นหาย ส่วนเจมา ใช้มือสองข้างจับสมุดภาพส่วนที่เหลือไว้แน่น

 

ซักพักเจน่าก็หล่นลงบนพื้น  

ตุบ!

                น่าแปลกที่มันไม่เจ็บเลย  เจน่าพยายามมองฝ่าความมืดมิด รอบ ๆ ตัว

                ซักพักแสงไฟก็สว่างพรึ่บขึ้น!

 

 

 

                เจน่ากำลังยืนอยู่เดียวดายกลางสามแยกของถนนสามสาย แสงไฟที่ส่องมา เป็นแสงไฟจากโคมไฟกลางสามแยกที่มีเสาสีดำสูงลิบลิ่ว เจน่าตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเดินไปทางไหนดี

                เมื่อนึกขึ้นได้ เจน่าจึงตะโกนเรียกชื่อพี่ชายของตัวเอง

“เจมา...เจมาพี่อยู่หนายย ยย ยย”

                ขณะที่กำลังก้าวเท้าออกไป ก็มีเสียงดังขึ้น

                “คิดให้ดี ๆ ก่อนที่จะก้าวเดิน”

เสียงแหบแห้งชวนขนลุกดังมาจากเงาตะคุ่มที่ค่อย ๆ ปรากฎขึ้นด้านหลังของเสาโคมไฟ

                เจน่าตกใจแทบสิ้นสติ

                ร่างที่ปรากฎ  เห็นได้เพียงผ้าคลุมสีดำ คลุมร่างสูงตระหง่านไว้มิดชิดจากหัวจรดเท้า เจน่าตกใจมาก และรู้สึกกลัวจนตัวสั่นแต่ก็พยายามรวบรวมความกล้าและส่งเสียงไปว่า

                “ค...คุณเป็นใคร แล้วที่นี่ที่ไหน? แล้วพี่เจมาล่ะคะ?”

                “ฉันคือโมโม คนนำทาง ที่นี่คือสามแยกสู่สามดินแดน”

                “แล้วพี่เจมาล่ะ?”

เจน่าถามซ้ำ โดยไม่สนใจคำอธิบายจากโมโม ซึ่งนั่นก็ทำให้โมโมเริ่มโมโหเล็กน้อย

                “พี่ชายของเธอน่ะหรือ เธอต้องหาเขาให้เจอน่ะสิ...”

                โมโมกระชากเสียงร้องบอกออกไป

“ละ...แล้วพี่เจมาอยู่ ทะ...ที่โหนย ย ย....?”

เจน่าสะดุ้งเฮือก เวลาเธอตกใจ เธอจะเริ่มพูดติดอ่าง และไม่ชัด แต่หนูน้อยก็ยังพูดประโยคเดิม

                “พูดให้มันชัดๆหน่อย!! ถ้าขืนเธอยังพูดไม่ชัดอีกละก็ มันจะทำให้ฉันอารมณ์เสีย !!”

                “คะ...ค่า”

เจน่ารับคำด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก

 

 

“...ฉันมีทางให้เธอเลือก สามทาง...”

“...มันก็มีแค่สามทางอยู่แล้วนี่”

เจน่าสวนออกไปทันควัน

“ฟัง!!”

โมโมกระชากเสียง

“สามทางสู่สามดินแดน พี่เธอจะอยู่ดินแดนใดดินแดนหนึ่ง เธอต้องเลือกให้ถูกไม่งั้น ...ฮึ ฮึ ฮึ ฮ่าฮ่าฮ่า...”

                “หมายว่าไงเหรอ? หัวเราะแบบนั้นน่ะ...?”

เจน่ารีบถามเสียงแหลมปรี๊ดจนตกคำว่า “ความ” ไป

                แต่ก็ความเป็นเด็กสี่ขวบด้วยแหละ เลยยังพูดไม่เป็นคำนัก ทั้งที่คุณแม่บอกบ่อย ๆ ต้องพูดคำว่า “หมายความ”ถึงจะถูก

                “พูดให้มันถูกซิ”

เสียงแหบแห้งของโมโมดังก้อง ด้วยความฉุนฉียว

                “ได้...หมายว่า...เอ๊ยหมายความว่าไงนะ?”

                “หึ หึ หึ แดนแรกคือแดนบูดบึ้ง”

เจน่ามองตามมือของโมโมที่ชี้ไปยังถนนสายแรกที่แยกจากสามแยกนี้ ปรากฎเป็นภาพของเหล่าเด็ก ๆ มากมายบ้างยืนบ้างนั่งอยู่บริเวณใต้ต้นไม้ บ้างก็กำลังทะเลาะกัน ถกเถียง ผลักไสกันหน้าดำหน้าแดง บ้างก็ร้องไห้ จนเสียงดังเซ็งแซ่ไปหมด สภาพบริเวณโดยรอบ มีต้นไม้ ดอกไม้ ใบหญ้า สีสันฉูดฉาดจัดจ้า จัดจ้าเกินไปด้วยซ้ำ

 

                “นั่นแดนเงียบงัน”

นั่นก็เป็นถนนอีกสาย ภาพที่เจน่าเห็นคือเด็ก ๆ มากมายบางคนนั่ง บางคนยืน อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ รูปร่างเหมือนดินแดนแรก แต่สีสันบรรยากาศของมันอยู่ในโทนเขียวทึบทึม แลดูอ้างว้าง หงอยเหงา ไม่มีใครพูดใครจาและที่สำคัญไม่มีใครเคลื่อนไหว มีเพียงลูกตา กลอกไปมา ดูแล้วน่าขนลุก สภาพโดยรอบของดินแดนนี้ เต็มไปด้วยดอกไม้ ต้นหญ้าที่ชูช่อแข็งแรง แต่สีสันช่างทึบทึม ถึงจะดูสวยงามแต่ก็ซึมเศร้า และหม่นมัวจนน่ากลัว

 

                “และดินแดนกลาง”

ถนนสายสุดท้ายที่แยกตัวออกจากสามแยกนี้

ภาพที่ปรากฏ ไม่อะไรเลย มีแต่ความเวิ้งว้าง มีเพียงแต่ต้นไม้ใหญ่ต้นเดียวที่กำลังเหี่ยวเฉา ดอกสีชมพูของมันร่วงเกลื่อนพื้นหญ้าแห้ง

 

”ทำไม ทำไม เป็นแบบนั้น?”

เจน่าชี้มือไปที่ดินแดงกลางและถามขึ้นอย่างสงสัย

                “หึ หึ...ดินแดนแรก เป็นแหล่งรวมของเด็กที่เจ้าอารมณ์ ชอบความรุนแรง ดินแดนที่สอง เด็กเหล่านั้น แม้จะเข้าใจแต่ก็ขลาดกลัวเกินกว่าจะพูดออกมา หรือพูด ก็พูดโกหก ส่วนดินแดนกลางนี้ ฮ่าฮ่าฮ่า มันคือดินแดนแห่งความเวิ้งว้าง ไร้น้ำใจ เอาไว้บรรจุเด็กอย่างพี่ชายของเธอไงล่ะ เด็กนิสัยไม่ดีอย่างพี่ชายเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่ดินแดนนี้ต้องการและหากเธอเลือกผิด ดินแดนทั้งสามจะถูกปิดตายอย่างถาวร ไม่มีเด็กคนใดเล็ดรอดออกมาได้ตลอดกาล เข้าใจแล้วก็จงเลือกซะ แม่หนูน้อย...จงเลือกเดี๋ยวนี้!!”

โมโมหันมาเร่งเจน่าด้วยน้ำเสียงกึกก้อง

 

                “พี่เจมาอยู่ไหนน่ะ?”

เจน่าคิดในใจอย่างวิตกกังวล น้ำตาเริ่มไหลริน

                “ถ้าหนูเลือกไม่ถูก ทุกคนก็จะหายไป!?”

เจน่าพูดออกไป ด้วยน้ำเสียงสั่นระรัว

                “เก่งมาก เข้าใจถูกแล้ว”

โมโมพูดจบก็หัวเราะร่าออกมาอย่างชอบใจและบ้าคลั่ง

                “ได้ไงเล่า ไม่ได้นะ คนใจร้าย แกมันปีศาจจจจจจจจจ!”

เจน่าร้องเสียงหลง ตะโกนออกไปอย่างลืมตัว

                “ทำไม?ในเมื่อพวกเธอก็ชอบทะเลาะกันบ่อย ๆ อยู่แล้ว...ดีซะอีกใช่ไหมล่ะ? ที่พี่เธอหายไป พ่อแม่จะได้มีเธอเพียงคนเดียว ของทุกอย่างจะเป็นของเธอเพียงคนเดียวไงล่ะ เจน่า หึ หึ หึ “

                เจน่าเริ่มโกรธ ถึงเธอกับเจมาจะชอบทะเลาะกัน แต่ก็ไม่ได้อยากให้เจมาหายไป

 

                “รีบเลือกเร็วเข้า”

โมโมเร่งอีก

                เจน่าพยายามมองหาเจมา พลันสายตาก็สะดุดกับอะไรบางอย่างใต้ต้นไม้เหี่ยวเฉาของแดนกลาง และที่เจน่าดีใจมากกว่านั้นก็คือ ภาพที่เห็น ถึงแม้ไม่ชัดเจนเท่าไหร่ แต่มันคือสมุดภาพอีกส่วน ที่เจมากับเธอดึงแย่งกันก่อนหน้านี้

                “พี่เจมา ๆๆๆๆๆๆ”

เจน่าร้องตะโกนเรียกชื่อพี่ชายของตนอย่างตื่นเต้นยินดี พร้อมกับวิ่งตุปัดตุเป๋ไปยังถนนที่เป็นทางสู่ดินแดนกลาง

                “เจน่าๆๆๆ ”

เจมาปรากฏตัวออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ พร้อมกับร้องขึ้นอย่างดีใจไม่แพ้กัน

                “พี่นึกแล้วว่าเจน่าต้องไม่เลือกสองดินแดนนั่น”

                เด็กทั้งสองจับมือกัน เขย่า อย่างยินดีเป็นที่สุด

ฉับพลันนั้นต้นไม้ของแดนกลางก็ค่อยๆฟื้นคืนชีวิต เป็นสีเขียวสดใส เด็ก ๆ ที่ติดอยู่ทั้งสองดินแดนนั่นทยอยหล่นลงมาจากลำต้น กิ่ง ใบ และดอกของมัน พอถึงพื้นและลุกขึ้นมาได้ ต่างคนต่างดีใจ พากันร้องรำทำเพลง จับมือกัน ด้วยน้ำเสียงที่สดใส ดังกระจายไปทั่วบริเวณ

 

                “ถึงเราจะทะเลาะกับเธอ แต่เลาก็อยากคืนดีกับเธออ้ะ”

                “ฉันก็เหมือนกาน”

                “เรานะ...อยากคุยกะเธอ แต่เราก็ม่ายยก้า”

                เด็กบางคนยังพูดไม่ชัดด้วยซ้ำ แต่ก็พยายามเปล่งคำพูดออกมาด้วยใบหน้าขวยเขิน

                “ลาว ว ...ก็อยากคุยกะเธอน้า”

เด็ก ๆ ต่างสารภาพความจริงในใจของตนเอง

                “งั้นลาวววมาเล่นด้วยกานนน้าๆๆๆ”

แม้จะมีทะเลาะกันบ้าง แย่งของกันบ้าง แต่เด็กทุกคนล้วนอยากดีต่อกันทั้งนั้น และแม้บางคนจะไม่พูดไม่จา แต่ในใจของเขาก็อยากให้เพื่อน ๆ ไปทักทายบ้าง จิตใจที่บริสุทธิ์ของเด็กๆนั้น หากถูกบดบังด้วยอารมณ์ดำมืดแล้วละก็ จะส่งผลต่อชีวิตของพวกเขาในภายภาคหน้า

 

 

ความรัก ความห่วงใย และมีน้ำใจต่อกัน  เป็นความรู้สึกที่พวกเด็กๆควรจะนำออกมาใช้มากที่สุด มากจนกระทั่งความรู้สึกดำมืดที่เตรียมก่อตัวอยู่ในตัวเด็กๆนั้น ไม่สามารถเติบโตได้อีก

 

 

 

ส่วนโมโมจะรู้สึกอย่างไร ไม่มีใครรู้ เพราะผ้าคลุมสีดำที่คลุมเขาไว้ทั้งตัว จนไม่อาจเห็นสีหน้าของเขาได้

 

 

 

 


 

ขอเพิ่มเติมรายละเอียดเล็กน้อยค่ะ

เราเคยคุยกับเด็กชายวัยเดียวกับในเรื่องคนหนึ่งเขามักจะทำตัวแปลกๆ
บางครั้งเราถามว่า เขาเป็นมนุษย์ต่างดาวปลอมตัวมาใช่มั้ย?

เค้าบอกว่าใช่ 
แล้วเราถามว่ามาจากดาวอะไร 
เค้าบอกว่าดาวสุข....
สุขที่เขียนแบบนี้เลยค่ะ
เราก็เลยเอามาเขียนเป็นสถานที่ในนิทานเรื่องนี้ซะเลย

 


 

จบแล้วค่ะ

ขอให้สนุกกับการอ่านนะคะ

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา