ช่างตัดผม

9.7

เขียนโดย อิสรชัย

วันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2555 เวลา 21.22 น.

  2 ตอน1
  5 วิจารณ์
  8,135 อ่าน
แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

2) ขบวนการค้ามนุษย์

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

               วันนี้นอกร้านอากาศร้อนมากใกล้จะทะลุสี่สิบองศาเซลเซียสเห็นจะได้  ผมเปิดร้านตัดผมตามปกติเพื่อรอรับลูกค้าทั้งขาประจำและขาจร  ผมนั่งอ่านหนังสือพิมพ์รอลูกค้าเพราะวันนี้ไม่ใช่วันหยุดลูกค้าจะไม่มาเช้ามากนัก  สายตามองไปตามภาพและพาดหัวข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์  ผมสะดุดตากับภาพหนึ่งที่รูปภาพในหน้าหนังสือพิมพ์หน้าตาเหมือนกับลูกค้าขาประจำของร้านตัดผม 

                ผมมองดูภาพข่าวและชื่อคนประกอบภาพข่าว “จับเครือข่ายค้ามนุษย์ นำเด็กมาโกนหัวให้ออกเรี่ยไรเป็นเณรปลอม” ผมตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น และย้อนรำลึกถึงตอนที่ชายหนุ่มมาตัดผมที่ร้าน

                “ผมทำงานสังคมสังเคราะห์  ช่วยเหลือเด็กผู้ยากไร้ ให้มีสภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น” ชายหนุ่มพูดช่วงที่ผมกำลังตัดผมให้

                “เป็นงานที่ดีนะ”ผมสนับสนุน อย่างน้อยก็ทำให้เรามีจิตใจที่สบายขึ้นเพราะเป็นการช่วยเหลือสังคม “เออแล้วหน่วยงานตั้งอยู่ที่ไหนหรือครับ” เพื่อวันนั้นที่ผมอยากไปเลี้ยงอาหารเด็ก” ผมสอบถาม

                “เป็นการทำงานไปแบบสัญจร คอยช่วยเหลือตามบริเวณต่างๆ ที่มีการร้องขอมา  ไม่มีที่อยู่ตายตัว ถ้าจะสนับสนุนก็เป็นการบริจาคให้หน่วยงาน ถ้าพี่สนใจผมจะนำใบบริจาคมาให้ได้นะครับ  แล้วผมจะนำส่งให้  เออพี่เรียกผมว่า หนุ่มก็ได้ครับ”

                “แล้วคราวหน้าอย่าลืมนำเอกสารมาให้ผมนะน้องหนุ่ม” ผมบอกก่อนที่ชายหนุ่มจะออกจากร้านในวันนั้น”

                ผมสนใจรายละเอียดของข่าวที่เกิดขึ้นแล้วผมก็สะเทือนใจเป็นที่สุด  เพราะในรายละเอียดของข่าวนั้นเด็กบางคนมาจากพ่อแม่เป็นหนี้นอกระบบแล้วก็นำลูกมาทำงานเพื่อขัดดอก ส่วนเด็กบางคนนั้นเป็นเด็กจรจัดเข้ามาร่วมขบวนการ  และที่ซ้ำร้ายกว่านั้นเด็กเหล่านี้กำลังติดยา  ยาเสพติดที่กลุ่มค้ามนุษย์พวกนี้จัดการเพื่อให้เป็นทาสของตนเองโดยใช้ยาเสพติดเป็นตัวล่อให้ทำเงินให้กับกลุ่มของตน

                ลูกค้ารายใหม่เข้ามาในร้านเป็นลูกค้าขาจรที่ไม่เคยมาตัดที่ร้านของผม เป็นลูกค้ารายแรกของวันนี้  เมื่อนั่งบนเก้าอี้เรียบร้อยแล้วลูกค้าที่เป็นหนุ่มวัยสามสิบต้นๆ  ก็พูดเมื่อเห็นพาดหัวข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ที่ผมวางบนที่ชั้นหน้ากระจก

                “หลานผมโดนไปคนหนึ่ง  นี้ช่วงบ่ายผมว่าจะไปหาแม่มันหน่อยทำไมถึงปล่อยให้ลูกไปกับคนแปลกหน้าและถูกทารุณกรรมอย่างนี้” ชายหนุ่มพูด

                “หลานพี่ด้วยหรือครับ” ผมถามย้ำ

                “เออ  ผมแทบช็อคเมื่อรู้ข่าว ไอ้คนจัญไรพวกนี้ต้องเอาให้ตาย” ชายหนุ่มพูดด้วยความโกรธที่เกิดเหตุอย่างนี้

                “ผมเองก็แทบไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดในเมืองพุทธ เช่นเมืองไทยของเรา” 

                “คุณไม่ต้องไม่เชื่อหรอก เมืองไทยเดี๋ยวนี้มีอะไรบ้างที่ไม่ทำ  มันทำกันทั้งนั้น มันไม่สนด้วยว่าจะเกิดอะไรขึ้น  หรือบ้านเมืองเป็นอย่างไร ขอเพียงได้ประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น”  ชายหนุ่มร่ายยาวและพูดต่อ

                “คุณเห็นไหม มันทำลายสังคมไทยของเราป่นปี้หมดแล้ว  มีอะไรที่เหลือให้เราภาคภูมิใจมั่ง  เด็กรุ่นใหม่ริมีผัวตั้งแต่ประถม  หนังลามกมีให้ดูเกลื่อนเมือง สิ่งมอมเมามีทั่วทุกซอย  ร้านเกมที่ไหนไม่มีมั่ง มีทั่วไปหมด เด็กเล่นหามรุ่ง หามค่ำไม่มีใครสนใจ  พ่อแม่ก็ปล่อยปละละเลย  ไอ้หลานผมไม่รู้เป็นเพราะประเด็นหลังหรือเปล่า” ชายหนุ่มพูด ซึ่งสิ่งที่พูดด้วยเป็นสิ่งที่เราเห็นอยู่และเป็นความจริง

                “สงสัยประเทศไทย  ต่อไปจะล้าหลังกว่าพม่าและลาว ถ้าเรายังคิดกันได้แค่นี้”

                “นั่นนะสิ ผมเห็นว่าประเทศไทยในอนาคตน่าเป็นห่วง” ผมสนับสนุน

                “แต่อย่างไรก็ตามเดี๋ยวบ่ายนี้ไปดูหน้าไอ้พวกนี้เสียหน่อย  ดูว่าหน้าตามันเป็นอย่างไร ทำไมจิตใจถึงโหดร้ายขนาดนี้  ไม่รู้มันทารุณเด็กขนาดไหน  ล่วงละเมิดทางเพศด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้  มันเชื่อใจได้ที่ไหนคนยุคนี้”

                                       *****************************

                ชายหนุ่มกลับไปแล้วผมยังคงนั่งสงสารกับเด็กที่ถูกพาไปทารุณ  อยากไปดูหน้าชายหนุ่มนักสังคมสงเคราะห์จอมปลอมเหมือนกันว่าจะทำหน้าอย่างไรเมื่อเห็นหน้าผม  แต่เมื่อคิดไปคิดมาผมจะไปช่วยอะไรได้แม้พ่อแม่ของเด็กเองบางคนยังส่งลูกตัวเองไปให้เขาทรมานเลย ผมนั่งคิดไปคิดมาอยู่พักใหญ่ ลูกค้าคนใหม่ของผมเป็นเด็ก ผมก็แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมวันนี้ไม่ไปโรงเรียน เพราะวันนี้เป็นวันเรียนหนังสือไม่ใช่วันเสาร์หรือวันอาทิตย์

                “อ้าว..วันนี้ไม่ไปโรงเรียนหรือ” ผมถามเมื่อเด็กขึ้นมานั่งที่ม้านั่งตัดผมเรียบร้อย

                “ผมหมดสิทธิ์สอบแล้วครับ ขาดเรียนเกิน” เด็กน้อยตอบผม ด้วยสีหน้าเรียบเฉย

                “อ้าว ทำไมปล่อยให้หมดสิทธิ์สอบล่ะ” ผมถามด้วยความสงสัยและอยากรู้

                “ผมเบื่อโรงเรียน  เลยไปเรียนมั่งไม่เรียนมั่ง  ไปเรียนไม่เห็นสนุก สู้อยู่ตามร้านเกมก็ไม่ได้” 

                “ทำไม เธอคิดอย่างนั้น” ผมหดหู่กับสิ่งที่ได้ยิน

                “ก็เรื่องจริงนี่พี่  เดี๋ยวนี้เด็กเขาไม่อยากเรียนกันทั้งนั้นแหละ  เด็กหญิงไปโรงเรียนก็นั่งคุยเรื่องแฟน เรื่องทำแต้มกันนะพี่   เด็กชายก็คุยเรื่องสก๊อยและเรื่องการแต่งรถ  การซิ่งมอเตอร์ไซด์” เด็กน้อยพูดอย่างไม่อายในสิ่งที่พูด

                “จริงนะพี่ อย่างไอ้เดินเรี่ยไรที่พาดหัวข่าวนี้ผมก็เคยไปทำ  เมื่อได้เงินมาก็ได้รับค่าแรงมาเล่นเกม  แต่ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่  เพราะพวกพี่ที่คอยดูแลเด็กที่นำมาจากพ่อแมที่ขัดดอก ชอบมาวุ่นวายและชอบล่วงละเมิด ผมไม่ค่อยเท่าไหร่ มันเหนื่อยด้วย เลยเบื่อ” เด็กน้อยพูดพร้อมกับชี้ให้ดูรูปภาพในหน้าหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บันที่เดิมหน้ากระจกเงา และได้พูดในสิ่งที่ผมอยากรู้

                “แล้วเธอไม่กลัวบาปหรือที่ไปหลอกเขา” ผมถามความคิด

                “บาปอะไรพี่  พระที่วัดก็ไม่ได้บริสุทธิ์อย่างที่พี่คิดหรอก  ไปดูกุฏิแต่ละหลังมีทั้งเกม ทั้งหนังโป๊ไม่ต่างกับบ้าน  พี่ลองไปดูสิ” เด็กน้อยพูด

                “นั้นไม่ใช่ทั้งหมด  แต่เป็นเพียงบางรูปเท่านั้น” ผมแย้ง

                “แต่ผมว่าส่วนใหญ่ะนะพี่ที่เป็นแบบนี้ ผมไม่ค่อยเชื่อ บ้านเราถึงเป็นแบบนี้นะพี่”

                เด็กน้อยชี้ไปที่ภาพชายหนุ่มในหน้าหนังสือพิมพ์  “ไอ้นี้แหละตัวร้ายชอบล่วงละเมิดเด็กๆ ผมถึงทนไม่ไหวเลยถอนตัวออกมา  เด็กส่วนใหญ่โดนมันทั้งนั้นแหละและพี่  อยู่ที่ว่าต้องทนกับภาวะจำยอม”

                ผมอึ้งกับสิ่งที่ได้ยินและไม่คิดว่าเด็กน้อยจะกล้าพูด  สิ่งที่ตัวเองถูกกระทำ  “แล้วทำไมเธอไม่ไปแจ้งความเอาผิดกับคนพวกนี้” ผมถาม

                “ผมตายสิพี่ถ้าแจ้งความ  ในขบวนการของมันยังมีตำรวจเลยนะพี่  ไม่เช่นนั้นตระเวณขอไม่ได้หรอก”

                “พี่ไม่แน่นะ ถ้าวันไหนผมขัดสนผมอาจไปทำอีกก็ได้  ถูกจับอย่างนี้ไม่กี่วันหรอก เดี๋ยวก็กลับมายึดอาชีพนี้กันอีก”  เด็กยังคงพูดแจ้วๆ ให้ฟัง

                “พี่เคยได้ข่าวไหม บางหมู่บ้านชายหนุ่มหัวโล้นทั้งหมู่บ้าน มันก็มาทำอย่างนี้แหละ หลังจากบิณฑบาตก็กลับมาพักอยู่ตามตึกแถว เย็นมาก็ตั้งวงกินเหล้า นั้นก็เป็นพวกหากินที่ผมจะไปอยู่ด้วยก็ได้เพราะเด็กๆ เขารับเข้าสังกัดอยู่แล้ว เรียกความสงสารได้มากกว่า” เด็กน้อยพูดอย่างคนที่เจนจัดทางโลก

                “เออ  น่าสงสารคนทำบุญ   แล้วต่อไปจะแยกออกไหมว่า ไหนพระจริงไหนพระปลอม” ผมพูดเหมือนถามตนเอง

                “พระปลอมชอบที่ชุมชนพี่ และต้องการปัจจัยมากกว่าอาหารประทังชีวิต”  เด็กน้อยพูด

                              ***************************

                ผมตัดผมให้เรียบร้อยไปพักใหญ่แต่วันนี้ผมมีความรู้สึกเหนื่อยกว่าทุกวันที่ผ่านมาร  ผมนั่งนิ่งและนิ่งไปอีกนานกับเรื่องราวที่ได้รับรู้ในวันนี้และสิ่งที่ได้ยิน ผมไม่ถามเด็กคนนั้นต่อในการสนทนาบนโต๊ะตัดผม ลำคอตีบตันไปหมด ผมกลายเป็นผู้ฟังที่ฟังเด็กพูดเรี่องเจนโลกให้ฟัง ซึ่งผมคงเถียงไม่ได้เพราะผู้พูดคือผู้ที่ผ่านเกมนั้นมาแล้ว  และไม่คิดว่าสิ่งตนผ่านมานั้นเป็นสิ่งที่สังคมต้องต่อต้านไม่ใช่เห็นด้วย

ต่อไปนี้ผมจะโกนหัวให้เด็กที่ผู้ใหญ่พามาเพื่อให้ไปบวชเณร ผมจะรู้หรือไม่ว่าเด็กที่ผมโกนหัวให้ฟรีนั้นเป็นเด็กที่ไปบวชเพื่อศาสนาหรือเพื่อการหากิน

ผมรู้ว่าในสองสามวันมานี้ผมได้ฟังเรื่องราวที่ทำร้ายสังคมของเรามากเหลือเกิน สังคมไทยที่เราเคยชื่นชมว่าเป็นสังคมแห่งความมีน้ำใจ  น้ำใจในการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  แล้ววันนี้ทำไมถึงเป็นเช่นนี้  ผมคิดว่าวันนี้ผมคงตัดผมด้วยความหดหู่ตลอดวัน 

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา