หมู่บ้านนี้ไม่มีเสือ [ NC ] 21+++

9.6

เขียนโดย claymask

วันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2556 เวลา 09.44 น.

  1 จบในตอน
  5 วิจารณ์
  17.65K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2556 10.13 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

1)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เสียงเคาะประตูห้องสามครั้งอย่างมีจังหวะ ทำให้ผมบิดกายขี้เกียจจากเตียงนอน เหลือบไปมองนาฬิกา นกกุ๊กกู ตายห่า!!!! บ่าย 2 ขวดเหล้าขาวที่ห้ามโฆษณา วางเรียงระเกะระกะ ตามทางเดิน รูปถ่ายของหญิงสาวในกรอบกระจกที่ตกแตก

 

"พรานโม้อยู่ไหม?" เสียงเรียกจากนอกห้องเร่งเร้า "เออ...รอเดี๋ยวๆ " ผมผลัดผ้าขาวม้าผืนใหม่พร้อมเดินอย่างระวัง   ประตูไม้เก่าจนผุ เปิดแง้มมาด้วยแรงมือผลัก

 

"คุณ เกษม..มีธุระอะไรหรือครับ"ผมทักคุณเกษม เจ้าของบริษัท อินวินส์ไวด์ไลฟ์ จับสัตว์ส่งขายนอก

 

"ก็คงเป็นเรื่องที่เคยวานๆกันนะ พราน แต่หนนี้ค่าแรงมันงามหน่อย"

 

คำว่าค่าแรงงาม คงหมายถึงความอันตรายมีเพิ่มพูนมากขึ้น"เป้าหมายล่ะ ครับ..." ผมเช็ดโต๊ะเก้าอี้ ผายมือเชิญแกนั่ง แต่แกไม่ได้มาคนเดียว

 

"ดูจากรูปนะไม่ค่อยชัด ถ่ายระยะไกล..เอ้อ นี่ลูกชายผม ลืมแนะนำไป โกศล"

 

      "สวัสดีครับ คุณโกศล " ผมหยิบรูปมาเพ่งดู ดูจากภาพถ่ายนี่ถ่ายไกลมากพอดู จึงเห็นเป็นแค่จุดเล็กๆ แต่ก็พอจะเห็นว่า เป็นเสือดำ กำลังกัดแทะ ของอะไรบางอย่าง...

 

"เสือดำกินซากสัตว์ ..ก็ ธรรมดานี่ครับ..."

 

"ผมอยากให้คุณดูนิ้ว เท้าของมันนิดนึง"

 

ผมหยิบเลนส์ ส่องดูที่รูปภาพ."5 นิ้ว!!!...." ผมเผลอตัวอุทาน

 

"ไหวไหม พราน?. ." คุณเกษมเอ่นถามเสียงเย็นเยียบ

 

"ทำไม ไม่ไปลองติดต่อพรานใหญ่ดูล่ะครับ ขานั้นเขาน่าจะเชี่ยวกว่าผมและชัวร์กว่าด้วย"

 

"บอกคุณตรงๆ พรานใหญ่ รับงานจากคุณ อำพลไปแล้ว อีกไม่กี่วันจะเดินทางตามหาคนหายในป่าลึกน่ะ"

 

 "แล้วพรานแหวงล่ะครับ เชี่ยวชาญการแกะรอยมากกว่าใครในพื้นที่นี้อีก"

 

 "เขาก็อยู่ในรูปที่คุณถืออยู่น่ะแหล่ะ เพียงแต่คุณกลับมองเป็นซากสัตว์"

 

 "กี่ศพแล้วครับ?...." ผมถามเสียงสั่น

 

 "ถ้านับพราน ก็ 4 ศพ คนในหมู่บ้านก็ร่วม 15 "

 

 "5 แสนจ่ายก่อนครึ่งนึง " ผมยื่นข้อเสนอ

 

 " 1 ล้านจ่ายเต็มเม็ดหลังงานเสร็จ นี่สัญญา ไม่เอาไม่เป็นไรนะพราน...."

 

       1ล้านกับการที่ต้องได้เงินหลังจากทำภารกิจเสร็จ ผมเหลือบไปมอง เหล้าที่ใกล้หมด ข้าวปลาอาหารที่ร่อยหรอ เครื่องใช้อำนวยความสะดวกภายในบ้านที่เจ้าหนี้เงินกู้ส่งคนมาขนของออกไปผมจรดเซ็นปากกา ทำสัญญา

 

      "ขอให้โชคดี พรานโม้ " คุณเกษมเขย่ามือผม แจกแผนที่หมู่บ้านพร้อมขอถ่ายรูปผม ให้เหตุผลว่าทำแฟ้มเก็บไว้

 

      มือผมสั่นอีกครั้ง ผมหยิบกระติกแสตนเลส แบบพกพาติดเอวขึ้นมา กรอกเหล้าเข้าปาก หันไปมองไรเฟิ่ล .375 วินเชสเตอร์ที่แขวนไว้ข้างฝา กี่ปีแล้วนะที่ห่างเหินจากมัน ส่วนใหญ่ คุณเกษมจะไหว้วานแต่เรื่องหาสมุนไพรแปลกๆในป่า ไม่ก็ให้ถือปืนนำทางฝรั่งที่เข้ามาชื่นชมธรรมชาติ ที่ฆ่าล่าสุด ก็เป็นงูเงี้ยวเขี้ยวขอที่มาขวางทาง มีดดาบแค่นั้น

 

      ผมยาวรุงรัง หัวกระเซิง ตาแดงก่ำ อิดโรย ใบหน้าดูหยาบและกร้าน เนื้อหนังไหม้เกรียมจากการถูกแดดเผา แต่หลังก็ยังตั้งตรง สายตาที่เหมือนจะละทิ้งโลกไว้เบื้องหลัง ความชรามาเยือนเขาเร็วกว่าอายุ ทั้งๆที่พึ่งจะ 32 คนในกระจก!!!!

 

 

 

--------------------------------------------

 

 

       "พ่อครับ จริงรึปล่าว ที่พรานโม้ ใช้เลือดของเมียที่ตายไป มาทาพานท้ายปืนที่เป็นไม้ เคลือบชักเงา" นายโกศลถามพ่อ

 

       "ฮ่าๆๆ เรื่องนี้พ่อก็เคยได้ยินมา แต่ลูกต้องรู้ไว้นะ การจะทำให้สินค้าขายออกมันจำเป็นต้องให้คนจำได้ เป็นศาสตร์การโฆษณาอย่างนึง"

 

      "งั้นก็ไม่เป็นเรื่องจริงซีครับ..."

 

      "พ่อก็ไม่รู้นะ แต่อย่างน้อย ชื่อเขาก็ติดปากอันดับต้นๆ ในลิสต์เรา"

 

      "สงสัยอย่างนึง พ่อจะถ่ายรูป พรานโม้ไปทำไมอ่ะครับ"

 

       นายเกษม หยิบรูปขึ้นมาให้ลูกดูอีก 4 ใบ"พรานที่ถูกฆ่าตายไปทุกคนพ่อถ่ายไว้หมด มันเป็นส่วนนึงของธุรกิจ"

 

      "ส่วนนึงของธุรกิจ?"

 

       ในความเป็นจริงนั้น นาย เกษม ติดต่อกับสุลต่านในประเทศตะวันออกกลาง ว่าจะนำเสือดำ ที่ดุร้ายฆ่าคนจนติดเป็นนิสัย ขายให้กับสุลต่าน ในราคา 5 ล้านบาท การทำสัญญาหลังจบภารกิจ จึงเกิดขึ้นมาด้วยเหตุนี้ เพราะถ้าพรานตายไปก่อนนายเกษมจะไม่เสียเงินสักแดง ในการจ้าง

 

        การยืนยันรูปพรานที่ถูกฆ่าตายไป ทำให้ราคาของเสือดำทวีค่ายิ่งขึ้น ตำนานก็เป็นส่วนหนึ่ง ในการขายสินค้าเหมือนกัน ยิ่งคนตายมากเท่าไร ราคาของเสือก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

 

       "แล้วถ้า เกิดว่าพรานโม้ ฆ่าเสือได้ละครับพ่อ? "

 

       "เราก็กระพือข่าวโหมให้พรานโม้ เป็นสุดยอดพรานในสยาม เพิ่มค่าให้เขา- -แล้วเศรษฐีทางยุโรป ไม่ก็อเมริกา ก็จะจ้างเขาล่าสัตว์ โดยผ่านทางเราเป็น นายหน้ากินเปอร์เซนต์ไงลูก"

 

       "อาจจะได้น้อยหน่อย แต่กินได้นาน พ่อค้าอย่างพวกเรา มีแต่ได้มากกับได้น้อย"

 

       โกศล เดินตามหลังพ่อ สายตาแลไปเห็นรอยเท้าที่ดูยิ่งใหญ่และยากเกินจะวัด

 

 

--------------------------------------

 

 

         หลังจากสวมบู๊ทเดินป่า แบกเป้ขึ้นหลัง พร้อมสะพายปืน ผมกางแผนที่ออกมาดูเส้นทางหยาบๆ หมู่บ้าน สาปสมิงตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของห้วยยายทอง เดินตัดเขาไปคงซํกประมาณ 3 วัน

 

         ถ้าในตอนนั้นเรายังหาแหล่งน้ำไม่ได้ล่ะ? ผมจับหมวกปีกกว้างกดมาบังแดดที่แยงตา 'ถ้าถึงตอนนั้น ก็ช่างมันเถอะ..' . . . . . . . 3 วันที่ผ่านมา จากห้วยยายทอง ผมยังหาทางไปหมู่บ้านไม่เจอ แผนที่กับเข็มทิศชี้ว่าน่าจะมาถูกทาง แสงแดดเหมือนยมฑูต ที่เตรียมจะปลิดวิญญาณผมในไม่ช้า น้ำในกระติกแห้งผาก เถาววัลย์ในละแวกนี้ยังหาไม่ได้

 

         ถ้ามือไม่สั่นตอนจะเล็งยิงกวางเขางามตัวนั้นมันก็คงไม่ลำบากขนาดนี้ ยังดีที่ได้ไก่ป่ามาตัวเมื่อ 2 คืนก่อน พอประทังความหิวไปได้บ้าง บรรยากาศตอนนี้ มีแต่กลิ่นอับของใบไม้ที่ถับถมจนเวียนหัว ผมกำลังจะตามเธอไปในไม่ช้า....จะต่างกันก็ตรงที่ เธอป่วยตาย แต่ผมคงจะขาดน้ำและเป็นไข้ป่าตาย

 

         เสียงน้ำไหล

 

         หูผมคงจะแว่ว แต่ขาก็ยังทำหน้าที่อย่างทรหด เดินไปตามเสียงน้ำนั้น ในป่าตอนนี้ เริ่มแช่มชื้นผมรู้สึกได้ว่า มีแหล่งน้ำอยู่ใกล้ๆแน่นอน ปวดหัว....ขออีกนิด ผมว่าผมใกล้จะถึงมันแล้ว ร่างกายเอ๋ยอย่าพึ่งทรยศ

 

        "พลั่ก....." ผมทิ้งตัวลงอย่างไม่รู้สาเหตุ นัยน์ตาพร่า หน้าเริ่มมืด

 

         มือเล็กๆมาประคองหัวผมไว้ และแทรกน้ำเข้ามาทางช่องปากด้วยปากของคนที่ประคอง ผมลืมตาเห็นภาพไม่ชัดนัก สาวผิวสีแทน ผมยาว สูงโปร่งเอวคอด สะโพกผาย ตัวเธอเล็กแต่ บัวคู่งามที่ตระหง่าน สวนทางกับรูปร่างเธอ เธอเปลือยกายท่ามกลางแมกไม้...ผมคงฝันไป หน้าตาของเธอ เหมือนคนที่ผมเคยรู้จัก

 

        "หยาด......." เสียงที่ผมพยายามเปล่งออกมาก่อนจะครองสติไว้ไม่อยู่

 

         เสียงหอบหายใจของเธอ อยู่ใกล้กับจมูกผม ท่อนร่างของผมถูกบดและเบียดอย่างรุนแรงด้วยเอวของเธอ ปากและลิ้นของเรา เกี่ยวกระหวัดเหมือนเชือกร้อย กลิ่นตัวของเธอมีลักษณะพิเศษไม่ใช่เหม็น และก็ไม่หอม...มันเหมือนเป็นกลิ่นสาปที่เคยได้กลิ่น "อือ...ม...." แก่นกายของผมกระแทกรับการบดของเอวเธอ ผมคงฝันไปละมั๊ง เหมือนมีแสงวาบสาดกระแทกเข้าที่ตาและผมจำเหตุการณ์ได้แค่นั้น . . . . . เสียงน้ำไหลใกล้หู ปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์ น้ำเป็นสายไหลมาจากที่สูงเป็นภาพที่อยู่เบื้องหน้าผมตอนนี้ ผมรองน้ำใส่กระติก เช็ดเนื้อตัวและล้างหน้าจนสะอาด ความกระปรี้กระเปร่ากลับคืนมาอีกครั้ง ผมมองไปทางทิศเหนือ เห็นควันไฟลอยขึ้นมา กะระยะทางไม่นาจะเกิน 3 กิโลเมตร หยิบแผนที่และเข็มทิศมาเช็กอีกที...นั่นสินะ...หมู่บ้านสาปสมิง!!!

 

         ที่ตั้งของหมู่บ้าน สูงชันเพราะด้านหลังไม่เกินกิโลเป็นผา ผู้ใหญ่บ้านกลัวช้างเกเรจึงกำหนดจุดตรงนี้ หน้าหมู่บ้านมีรูปปั้นเสือตัวใหญ่กำลังยืนอยู่4เท้าในอากัปกิริยา คำราม ความละเอียดของคนแกะสลักรูปปั้น ทำให้เสือหิน ดูราวกับมีชีวิต ผู้ใหญ่ เลาะผุ ต้อนรับขับสู้อย่างดีเมื่อรู้ว่า คุณเกษมส่งมาให้ล่าเจ้าเสือดำตัวร้าย

 

       "ที่พัก เราจัดเตรียมไว้ให้ครับ อาจไม่สะดวกสบายเท่าบ้านคุณแต่อาหารการกินเรามีพร้อม"

 

       "ผู้ใหญ่สั่งให้เด็กๆ เอาเกลือไปแบ่งกันนะผมเตรียมมาพอประมาณ ก่อนเข้าหมู่บ้านบังเอิญได้ค่างมาตัว คืนนี้ทำแกงขี้เพี๊ยะกินกันผู้ใหญ่"

 

       "เหล้าข้าวเหนียวเรามีเตรียมไว้ด้วยครับ คุณเกษมกำชับมาเพื่อคุณเป็นพิเศษ มีอะไรขาดเหลือบอกได้นะครับ"

 

       ผมนึกอะไรได้บางอย่าง หยิบรูปที่ คุณเกษม ให้มาพร้อมบอกผู้ใหญ่"ผู้ใหญ่ นำทางไปหาเจ้าของรูปถ่ายนี้หน่อย คุณเกษมบอกว่าผู้ใหญ่รู้ว่าใครถ่ายไว้"

 

       "เขาเป็นผู้ที่ชาวหมู่บ้านเราเคารพยำเกรงนะครับ แกชอบอยู่เงียบๆไม่สุงสิงกับใคร- -ผังโครงสร้างบ้าน วิธีชลประทาน รวมถึงการล่าสัตว์ ปลูกพืช นี่แกบุกเบิกวิธีใหม่ๆให้หมู่บ้านเราทั้งนั้น"

 

       "แกเป็นคนที่แกะสลักเจ้าเสือหินตัวนั้นด้วยใช่ไหม?"

 

        "ใช่ครับ เราเรียกแกว่า 'เฒ่าหมู' ครับ"

 

        กลิ่นควันกัญชาโชยมาจากกระท่อมไม้ แถวๆกลางหมู่บ้าน ประตูทางเข้าบ้านนี้ทำคล้ายๆ ซาลูนในผับแนวคาวบอย ซึ่งแปลกกว่าบ้านอื่นๆ ชายแก่ ที่ดูกำยำ มีเรี่ยวแรงวังชา แม้ผมจะเป็นสีดอกเลาทั้งหัว ใบหน้าเหี่ยวย่น แต่นัยน์ตาล้วงลึกเข้าไปถึงในใจที่มืดมิดของผู้คน

 

       "เอาหน่อยไหมพราน..." แกยื่นบ้องที่ทำจากไม้ไผ่ กลางบ้องสลักเสลาลายนกยูง มาจ่อที่ปากผม ผมสูดควันเข้าไปช้าๆลึกๆ พยายามไม่ให้ไอ ออกมา

 

       "เฒ่าหมูถ่ายไว้เมื่อไร พอจะบอกได้ไหม?" ผมยื่นรูปถ่ายให้แกดู

 

       " 3 เดือนที่แล้ว...แหวงเป็นพรานที่ดี ไม่นาเลย"

 

       "ถ่ายที่ไหน ไกลจากที่นี่มากไหม?"

 

       "ไม่ไกลหรอก พราน ตรงน้ำตกปลิงมะขาม ห่างจากหมู่บ้านไปซัก 3กิโล" ก็คงจะเป็นน้ำตกที่ผมฟื้นขึ้นมาหลังจากฝัน....ไม่สิ ร่องรอยคราบฝันยังคงเปื้อนกางเกงอยู่เลยนี่..... หญิงสาวคนนั้น. . .

 

        เสียงหัวเราะดังมากขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป 2-3 ชั่วโมงในกระท่อมนั้น พร้อมๆกับควันกัญชาที่ยังล่องลอยเป็นสาย

 

         "ผู้ใหญ่คงรอแล้วล่ะ เฒ่าหมู ผมต้องขอตัวก่อน คุยกันได้ความรู้อะไรใหม่ๆเยอะมากเฒ่าหมู" ผมเปิดประตูบ้านเตรียมจะกลับไปสมทบผู้ใหญ่ เลาะผุ

 

          สาวผิวขาว ราวกับหยวก เดินผ่านหน้าบ้าน ผิวเธอใสหน้าตาอ่อนโยน ดูมีสเน่ห์ไปอีกแบบ หุ่นเธอ ออกอวบๆแต่ไม่อ้วน เธอหันมาจ้องหน้าผมพอดี รอยยิ้มที่เดียงสาและเอียงอาย

 

          "พกปืนนี่ จะมาล่าเสือหรือกวาง ล่ะพราน?"

 

          "ก็ล่าเสือซิ เฒ่าหมู ไม่งั้นจะถามถึงรูปรึ?"

 

          "ก็แล้วไป....กระสุนที่เก็บไว้ล่าเสือ ถ้าจะเอาไปยิงกวาง ระวังกระสุนจะหมด.."

 

           ผมอมยิ้มในประโยคคำถามแก "...ว่าแต่ถามจริงๆ เฒ่าหมู ที่ถ่ายรูปวันนั้นก็ยืนอยู่ไม่ไกลไม่ใช่หรือ ทำไมรอดมาได้"

 

           "สัตว์ป่าส่วนใหญ่ มันกลัวไฟทั้งนั้นแหล่ะ พราน" เฒ่าหมูตอบแล้วมองมาที่ผมด้วยนัยน์ตาที่ลึกสุดหยั่ง

 

           "ถ้ามันเป็น สัตว์ส่วนใหญ่น่ะ" ผมสวมหมวกปีกกว้าง ค้อมหัวอำลาเฒ่าหมู โดยไม่รู้ตัวว่าแกหัวเราะ หึๆอยู่เมื่อผมเดินออกมา

 

           เสียงเพลงจากหมู่บ้านเล็กๆในป่า รอบกองไฟ ผมซดน้ำแกง ขี้เพี๊ยะโฮกใหญ่ รสจัดจ้าน เหล้าข้าวโพดพร่องไปครึ่งขวด

 

           "นีเจ๊ะ...รินเหล้าเติมให้ พรานโม้ด้วยซิ มัวแต่ชักช้า" ผู้ใหญ่บ้านกำชับเสียงแข็ง ตกลงผมก็ได้รู้ชื่อ เธอซักที นีเจ๊ะ....

 

            "กินด้วยกันซี นีเจ๊ะ.." เธอก้มหัวลง หน้าแดงเอียงอาย

 

            เป็นธรรมดาของสาวชาวเขาเมื่อเจอพรานหนุ่ม มือผมจับไปที่มือเธอ....ผมโทษแอลกอฮอร์ในวันนี้ สายตาผมจับจ้องมองเธอใกล้ชิด....ผมโทษบรรยากาศในวันนี้ คำพูดของผม หว่านล้อม คาดหวัง จาบจ้วง....ผมโทษพระจันทร์ในวันนี้

 

            หลังหมู่บ้านเกือบสุดผาชัน คงมีแต่ต้นก้ามปูต้นใหญ่ต้นนั้นเป็นพยาน การเคลื่อนไหวของร่างกาย เร่าร้อน ผิวที่ขาวโดยที่ไม่ต้องอาศัยแสงจันทร์เข้าช่วย เนื้อที่แน่น แข็ง ของสาวอายุราวๆ 20

 

            เราจูบกันอย่างแช่มช้า ให้รสของลิ้นที่ปนเหล้าคลุกเคล้า สายตาผมเหลือบมองไปที่แท่นหินแกะสลักตรงชะง่อนผา "เฒ่าหมู มาแกะสลักอะไรไว้ที่นี่น่ะ?"

 

           "นีเจ๊ะ ก็ไม่รู้นาย อ่านไม่ออก นายอ่านให้นีเจ๊ะฟังซิ"

 

           อักษรผ่านการสลักของหิน อ่านได้ใจความว่า 'อำนาจ' และยังมีต่อคล้ายๆบทกลอนเปล่า ผมท่องแต่ละตัวอักษรในเนื้อความให้นีเจ๊ะฟังช้าๆ เมื่ออ่านจบ ผมผลักเธอพิงเข้าที่แท่นหิน ล้วงควักเอาบัวคู่งามออกมาดูดเลียอย่างหื่นกระหาย มองไปเห็นเงาของทิวเขาดำทะมึนอยู่ลิบๆ แต่ผมไม่อยากพิชิตเขาลูกนั้นในตอนนี้ ในเมื่อมีบางสิ่งที่ต้องค้นหา

 

         เสียงครางในลำคอของหญิงสาว ชวนฟัง วาบหวาม ปลายลิ้นที่สัมผัสอย่างอ่อนโยน ไล้ไปที่เม็ดบัวคู่งามสีชมพู มันเริ่มชูชันช้าๆ ผมสูดดม กลิ่นหอมจางๆของตัวเธอ น้ำรักของเธอเปื้อนนิ้วผม เมื่อขยับให้มันถูกท่า

 

         เธอสะท้านขึ้นอีกครั้ง หลังการสอดใส่ ลึกและรัดจนคั่งค้างถึงข้างใน ผมลูบไล้ใบหน้าเธอช้าๆ ปากเธอหันมาเลียและดูดนิ้วชี้ข้างนั้น ที่ลัดเลาะไปในร่องเธอ ลมหายใจของเธอขาดห้วง เป็นเวลาเดียวที่ผมหายใจแรงและเริ่มมีเสียงลอดมาตามไรฟัน พริบตาที่ฟ้ากับพื้นดินกำลังจะเสียดสีเป็นท่วงทำนองเดียวกันสายตาผมเหลือบไปเห็น อะไรบางอย่างที่กิ่งของต้นก้ามปู กลิ่นนี้ผมจำได้ มันเป็นกลิ่นสาปที่ผมคุ้นเคย

 

         "อ๊า....." เสียงนีเจ๊ะ ครางยาวบิดตัวเกร็ง ร่องตอดรัดกระตุกถี่

 

          ตาแดงวาวโรจน์ของเสือตัวนั้นจ้องมองมาที่ผม เล็บเท้าที่ยึดเกาะกิ่งไม้ขยับเล็กๆ ผมขยับเอวเร่งกระแทกตามนีเจ๊ะไป แต่ตายังจับจ้องมองเสือดำตัวนั้นนิ่ง

 

          "โอ้ววว....." ผมหลับตาครางกระเส่ายาวนาน ลืมตามาอีกครั้งก็มองไม่เห็นเสือตัวนั้นแล้ว

 

           เช้าวันนั้นผมนั่งจิบกาแฟรส ขมปร่า กับเฒ่าหมู ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงต้องขมปร่า จึงถามแก แต่แกก็ไม่ตอบ วันนี้ตั้งใจจะแกะรอยเสือตัวนั้นซักที คงจะเริ่มที่น้ำตกปลิงมะขามที่เฒ่าหมูเคยบอกไว้ ผมกับลูกมือที่ เป็นกะเหรี่ยง แกะรอยไปที่น้ำตก ยังคงไม่เห็นรอยเท้าเพราะหินเยอะ

 

          "นาย ดูนี่!!!!" เสียงกระเหรี่ยงตะโกนเรียกผมเข้าไปที่พงต้นไม้ ข้างน้ำตก รอยเท้าของเสือ มีนิ้วอยู่ 5 นิ้ว เหมือนจะมีรอยอะไรแปลกๆ รอยลากของหนักบางอย่าง ผมฝ่าพงหญ้าและหนามลึกเข้าไปตามรอย ที่ทิ้งไว้ มือกระชับปืนไว้แน่น เตรียมลั่นไก หัวใจสั่นตุบๆ เหงื่อเย็นยะเยียบไหลตามง่ามมือ และมันก็สั่นขึ้นอีกครั้งไอ้มือเจ้ากรรม ทั้งๆที่ในเวลานั้นผมไม่ได้รู้สึกอยากเหล้าแต่ประการใด

 

           ภาพที่เห็นเบื้องหน้าเป็นภาพหญิงสาว ผิวขาว ที่ถูกขย้ำกินหัวจนหน้าเหวอะ จำหน้าไม่ได้เลย ท้องถูกลากไส้และเครื่องในออกมากินอย่างทิ้งๆขว้างๆ ไส้ห้อยระเรี่ยต่องแต่งไปตาม กิ่งไม้ กินมูมมามน่าดู ตะกร้าเก็บสมุนไพรกระจัดกระจายคนละทิศทาง สิ่งที่ทำให้ชี้ชัดได้คงมีแต่บัวคู่งาม สีชมพูอ่อน ที่ยังเหลือไว้ให้เห็นต่างหน้าอีกข้าง

 

          "มันอีกแล้วหรือนาย ไอ้เสือตัวนั้น..." กระเหรี่ยง โพล่งออกมา

 

          "ท่าทางจะไม่ใช่แล้วนะ......คงจะเป็น สมิงแล้วล่ะ" ผมตอบเสียงเย็นเยียบ กระเหรี่ยง ตาเหลือก โวยวายไม่เป็นภาษาแล้ววิ่งหนีไปทางหมู่บ้าน

 

           "ต้องรีบบอกผู้ใหญ่ โอย...ผีป่าผีเรือนช่วยลูกด้วย...."

 

           "แถมเป็น สมิงขี้หึงซะด้วย...." ผมหันไปทางต้นตะแบก มองไปที่กิ่งไม้นั้น เขี้ยวสีขาวถูกย้อมเป็นสีแดงฉาน สะท้อนกับแสงแดด มันน่าจะเป็นภาพที่น่าขนลุก แต่ผมรู้สึกว่ามันสวยงามเหลือเกิน

 

            มือผมหายสั่นอย่างประหลาด ประทับปืนเล็งขึ้น สูดหายใจเข้าปอดหนึ่งครั้ง นิ้วชี้กระดิกพร้อมลั่นไก พริบตาที่กำลังจะยิง ผมชะงักไปชั่วขณะ เมื่อคิดถึงหญิงภาพสาวผิวแทนคนนั้นลอยขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

 

            "เปรี้ยง.."

 

            เสือดำผงะ เหมือนโดนยิงเจ็บ กระโจนหลบไปยังพุ่มไม้ข้างๆ เลือดไหลเป็นทางยาว เปื้อนใบไม้ ยังคงตามทันผมคิด แต่เสือก็ยังคงเป็นเสือ แม้จะบาดเจ็บ ฝีเท้าก็ยังไวกว่าและชำนาญพื้นที่กว่าคน ผมตามเข้าป่าจนวนมาเกือบถึงน้ำตกอีกครั้ง รอยเลือดเริ่มจากหาย แสดงว่าโดนเฉียดๆ แต่ที่น่าแปลกคือรอยเท้าเสือหายไปแล้ว......จะมีก็แต่รอยเท้าคนเรียวเล็กได้รูป   รอยเท้าผู้หญิง!!!!!

 

            เสียงน้ำจากน้ำตกไหลซู่ นกร้องระงม ตาผมจ้องเขม็ง ไปที่ม่านหลังน้ำตกนั้น มันมีบางสิ่งไหวขยับตัว ถ้าจะลุยน้ำไป ปืนคงเปียกและใช้การไม่ได้ เพราะลึกมิดหัว

 

            ผมวางไรเฟิ่ลทิ้งไว้ข้างโขดหิน เดินลุยน้ำไป ผมปีนเกาะหินเผื่อที่จะไปถึงชั้นที่มองไว้ ตอนนี้สภาพผมเปียกไปทั้งตัว อีกไม่กี่อึดใจ ผมปีนและยันตัวขึ้นมาอีกครั้งจนถึงหน้าม่านน้ำตก ผมก้าวเท้าเข้าไปไม่ลังเล

 

           สาวผมยาวผิวแทน ยืนนิ่งจ้องมองผมจากข้างในม่านนั้น ราวกับศิลปิน สร้างเธอมาด้วยอารมณ์แห่งความเหงา สายตาเธอเหมือนตัดพ้อ และอกหัก....มองลึกลงไปถึงจิตใจผม ไหล่ขวาเธอ ชุ่มไปด้วยเลือด....

 

           ผมเคยได้ยินมาจากครูพรานที่เจนไพร นานมาแล้วในป่าลึก แถวเกรืองกระเวีย ป่าเมืองกาญจน์ติดชายแดนพม่า ที่เดียวกันกับที่เคยได้พบช้างเผือก มีตำนานเล่าต่อกันมาถึง สมิงอีกประเภท เมื่อกินคนจะแปลงเป็นคน.... เมื่อร่วมรักกับคนจะแปลงเป็นเสือ....

 

           เธอชอบที่จะกินเนื้อคน....หรือชอบร่วมรักกับคนมากกว่านะ ผมค่อยๆ เดินเข้าไปชิดเธอ....ลมหายใจของเราทั้งสองเต้นแรงขึ้นตามลำดับ

 

          "คว๊าก......." เล็บเธอฉีกคว้านตรงเข้าที่อกผม เป็นรอยแผลลึกยาว

 

          "ไกลหัวใจไปนิดนะหยาด นี่หัวใจผมเหนือกว่าจุดนั้นอยู่เล็กน้อย" ผมแบะเสื้อออกพร้อมบอกเธอ

 

           เธอชะงักนิ่ง มองเลือดที่ไหลซิบๆออกมาตามรอยแผลของผม ผมกอดเธอแนบกับตัว ลิ้นเลียไปตรงไหล่เธอที่มีแผล เธอสะดุ้งสั่น คงจะแสบแผล ถอนตัวออกจากอ้อมอกผม และเธอก็เริ่มเลียแผลที่อกของผมจากรอยเล็บของเธอ ต่างคนต่างเลียแผลให้แก่กัน....   เมื่อไร้คนที่จะปลอบโยน ผมรู้สึกถึงความอบอุ่น แม้จะเพียงชั่วครู่ก็ตามที

 

           หน้าอกคู่งามถูกผมบีบเคล้น อย่างมันมือ ลำตัวของเธอเบียดเข้ามาที่ร่างกายผม ลิ้นผมลากไล่ปะป่ายลงมาเรื่อย จนถึงร่องเร้นลับ ผมเกร็งลิ้นให้แข็งแล้วแยงลงไปเพื่อที่จะหาตาน้ำ ไม่ช้ามันก็เอ่อล้น ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ ผมดื่มกินอย่างคนกระหาย

 

            เสียงครางในลำคอของเธอ เย้ายวน แก่นกายผมแข็งและเกร็ง ผมสอดมันเข้าไปอย่างช้าๆ ที่ตาน้ำนั้น เธอหลับตา สูดปาก แอ่นเอวเกร็งตัวรับ ผมดูดเม้มหน้าอกของหล่อน จงอยหัวนมสีชมพูแข็งชันสู้ปากผม

 

            เธอกดร่างผมให้เบียดลึก หายใจถี่ขึ้นจนขาดห้วง ผมหยุดเหมือนจงใจแกล้ง มองตาเธอนิ่ง  เธอผลักผมนอนลง แล้วขึ้นคร่อมบนร่าง ผมที่ยาวสยาย สะบัดขึ้นลง เธอแหงนหน้าครางลั่น ผมโน้มตัวเธอเข้าใกล้เพื่อที่จะจูบ  เธอเบือนหนีหันไปซบที่ไหล่ แล้วเธอก็กัดมันตรงนั้น เขี้ยวเธอฝังเข้าไปที่ไหล่ขวาของผม จนเลือดไหลออกมา เอวเธอกระแทกบดถี่ เสียงเธอยังเล็ดลอดมาตามลำคอ ผมครางสู้ โดยที่เธอก็คงไม่รู้ว่าเจ็บหรือเสียว

 

           เธอบดเอวลึกลงมาพร้อมส่งเสียงลั่น เธอหลับตาแล้ว เลือดที่ไหล่ผมยังไหลอยู่ ปากและลิ้นเธอก็ยังอยู่ตรงนั้นผมผลักเธอออก จัดท่าให้เธอคุกเข่าหันหลัง สะโพกกลมกลึงของเธอลอยเด่นท้าทาย ยั่วสายตา

 

           "เป็นเสือ.....ก็ต้องเอาอย่างเสือซิ" ผมกระซิบบอกเธอจากข้างหลัง

 

           ผมสอดใส่อย่างคนบ้าคลั่ง เร็วแรงและถี่ยิบ เสียงเนื้อกระทบเนื้อไม่เป็นจังหวะ มือผมจิกไปที่หัวของเธอให้แหงนขึ้น เธอร้องลั่นแต่เอวก็บดสู้ ไม่ช้านานทำนบก็พังทลาย เราทั้งคู่หอบหายใจถี่ ผมนอนจ้องตาเธอนิ่งเหมือนจะถามว่า อีกนานไหมที่เธอจะกลายร่างเป็นเสือ อีกครั้ง . . . . เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง เธอยันตัวลุกขึ้น มองไปที่กางเกงผม หยิบกริช ที่พกไว้ดึงมันออกมาจากซอง มองตาผมแล้วยื่นให้ ผมรับมันไว้อย่าง งงๆ ร่างกายเธอเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง จมูกและปากเธอยื่นออก เขี้ยวแหลมยาวโง้ง ขนสีดำตามร่างกายงอกขึ้นอย่างรวดเร็ว เล็บมือและเท้า หาง ไม่นานนัก เธอก็กลายเป็นเสือตัวนั้น

 

           เสือมองหน้าผมแล้วคำราม... ผมมองไปที่กริช ลงอักขระ ได้มาจากช่างก้อนในหุบลึกทางภาคเหนือ

 

           ผมนั่งท่องคาถา เหมือนเสียงของบทสวด แต่เสือตัวนั้น คงจะฟังเหมือนเพลงกล่อมเด็ก ตาผมคงฝาดที่เห็นน้ำตามันไหล แล้วเสือก็ทรุดตัวลงมานอนที่ตักผม หลับตาพริ้ม เหมือนพร้อมจะเดินทางไปกับการเล่านิทานของผม

 

           ใช่แล้วเราทำเพื่อหมู่บ้าน....เราทำเพื่อส่วนรวม เสียงผมกระซิบผ่านสายลม แต่ภาพที่แล่นเข้าหัวทำไมมันกลายเป็นภาพ ที่ผมรับเงินจากคุณเกษม ด้วยรอยยิ้มละโมบ ภาพเฟอร์นิเจอร์หรูหราในคฤหาสน์หลังโต มีผมจูดซิการ์สูบบนเกาอี้หนังสัตว์ ภาพเศรษฐีผิวขาวออกล่าสัตว์โดยทีผมยืนแอ๊คท่าแบะเสื้อให้เห็นรอยเล็บของเสือ

 

           คำกล่าวอ้างของผู้ที่มีอำนาจ....ทำเพื่อส่วนรวม....ยิ้มที่ชวนสงสัย

 

           ผมเงื้อกริชสูง และปักลงไปตรงกลางกระหม่อมของเสือร้าย เสียงคำรามสุดท้ายของเสือ.....ได้ฆ่าจิตวิญญาณของผมไปด้วย . . . . . .

 

            หลายวันต่อมาได้ยินข่าวจาก สถานีกักสัตว์ไทยไวด์ไลฟ์ ของคุณอำพล ว่าเสือดำหลุดจากกรง และพรานใหญ่ก็ยิงมันในระยะชาร์จ เป็นการสู้กันอย่างสมศักดิ์ศรี อย่างไรเสีย พรานใหญ่ก็ยังสมชื่อพรานใหญ่ ให้เกียรติ์แก่คนและสัตว์เสมอ ผมอิจฉาเขาอยู่เรื่องเดียว ตรงที่เขาดื่มเหล้าโดยอาศัยข้ออ้าง ชื่อคนรักเก่าเป็นยี่ห้อเหล้าได้ แต่ผมจะเอาอะไรมาอ้างได้...เหล้าชื่อ หยาด คงฟังพิกลอยู่

 

           นึกถึงเพื่อนคนนึงที่ใส่หน้ากาก ว่าจะทำหน้ากากไม้ให้อันนึงเพราะก็ได้เลือดของเสือมาส่วนนึง เอาไว้ทารองพื้นก่อน เคลือบแชล๊คชักเงา แต่มันจะใส่รึปล่าวหว่าเห็นมันใส่หน้ากากอยู่ประเภทเดียว......ดินเผามันแตกง่ายจะตาย

 

 

 

------------------------------------------

 

 

           อากาศแม้หนาวเย็น แต่เฒ่าหมูก็ออกจากบ้านไปตกปลาแถวแหล่งน้ำใกล้น้ำตก แกหย่อนสายเบ็ดลงในน้ำ แต่แกไม่ได้ใส่เหยื่อลงไปด้วย คนในหมู่บ้าน ลือกันว่า แกตกปลาเพื่อโลก เสียงแกหัวเราะ กรั่กๆ อย่างคนอารมณ์ดี รอยยิ้มแกสะท้อนพื้นน้ำที่ใสแจ๋ว เผยให้เห็นเขี้ยวขาวที่งอกมาสองข้างอย่างไม่ตั้งใจ

 

 

 

 

 

 

.

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา