monday syndrome

9.4

เขียนโดย ฮางมะ

วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 11.23 น.

  1 ตอน
  8 วิจารณ์
  3,959 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 1 กันยายน พ.ศ. 2556 11.40 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

1)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

คุณเคยมีความรู้สึกแบบนี้บ้างหรือเปล่า?

 

ความรู้สึกเบื่อที่มันเอ่อท่วมในจิตใจ เบื่อวันทำงาน โดยเฉพาะวันจันทร์ ผมไม่รู้ว่าผมเป็นโรคมันเดย์ซินโดรมหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นจริงอาการผมหนักกว่าใครที่เคยเป็นแน่ๆ

 

ผมเบื่องาน เบื่อคนบางคน โดยเฉพาะหัวหน้างาน

 

 

กูเกลียดมึง!!

 

 

        ผมมักตะโกนยามอยู่ในห้องน้ำในบริษัท ระบายความเครียดของชีวิตทำงานในห้องขับถ่าย แล้วพอระบายเสร็จออกมาผมก็เดินฉีกยิ้มให้ทุกคนได้เป็นแบบนี้ทุกเช้า ทุกวันก่อนเริ่มงาน

 

        งานของผมคือทำตามหน้าที่ ของหัวหน้างาน แล้วแต่มันจะใช้ให้ทำอะไร ขอเรียกว่า’มัน’ ก็แล้วกัน ทั้งที่โดยตำแหน่งแล้วงานของผมคือ พนักงานบันทึกข้อมูล จัดการเรื่องเอกสารต่างๆของบริษัท ที่คร่ำเคร่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์

 

        แต่ถ้ามันต้องการจะให้ผมทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่เรื่องเล็กน้อยอย่างทิ้งขยะทั้งที่มีแม่บ้านทำหน้าที่นี้อยู่แล้ว แต่ผมก็ปฎิเสธไม่ได้ เมื่อมันเป็นขาใหญ่ในบริษัท ใหญ่พอๆกับรูปร่างของมัน

 

        ผมอยากถามคุณหน่อยว่า ถ้าคุณต้องอยู่กับหัวหน้างานร่างอ้วนใจแต๋ว ชอบมาลูบๆคลำๆ ร่างกายของเรา อยู่กับรอยยิ้มที่มุมปากอันแสนอุบาทว์ และแววตาเจ้าเลห์หน้าเกลียด อยู่กับนิ้วป้อมๆที่ชี้สั่งทำโน้นทำนี่ อยู่กับท่าเดินบิดตูดส่ายไปมา อยู่กับคนที่ขี้ฟ้องนาย อยู่กับคนที่อยากได้หน้าโดยไม่ลงมือทำ และอยู่กับคนที่จะคอยกลั่นแกล้งคุณตลอดเวลา คุณจะอยู่ได้ไหม?

 

        ทุกคนในบริษัทต่างก็โดนฤทธิ์เดชนางพญากระเทยควายมาหมดแล้ว แต่ทุกคนก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ในเมื่อมันยังคงเป็นคนที่บอสวางใจ พนักงานกิ๊กก็อกต๊อกต๋อยอย่างเราจะไปทำอะไรได้ ใครทนได้ก็ทน ทนไม่ได้ก็ออก

 

        แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ทุกคนในสำนักงานผมก็กล้ายืนยันได้ว่าไม่มีใครโดนมันแกล้งเท่าผม ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไร อาจเพราะว่าเราไม่พินอบพิเทาให้มันเหมือนคนอื่นๆ หรือว่ามันแอบมาได้ยินผมตะโกนด่ามันในห้องน้ำ ไม่ก็มีสมุนผู้ภักดีของมันคาบไปบอก มันจึงแกล้งผมสารพัดสารเพหัวไม่ได้วางหางไม่ได้เว้น

 

       ไม่ว่าจะเป็นการให้งานก็มากกว่าทุกคน แล้วยังใช้ให้ไปซื้อของนอกสถานที่ซึ่งแต่ละที่ก็ไกลจากสำนักงาน บางครั้งอยากกินข้าวมันไก่ ผมต้องถ่อไปซื้อหลายกีโลทั้งที่ข้างบริษัทก็มีขาย บางทีก็ให้ไปซื้อกาแฟ พอกลับมาบอกว่ามันไม่เย็นแล้วก็ไม่กิน ทั้งที่เงินก็ไม่ให้ผมสักบาท แล้วกาแฟสตาร์บัคมันแก้วเท่าไหร่เจอแบบนี้หลายครั้งเงินแทบจะหมด บางทีพอเรากลับมาเข้างานช่วงบ่ายสายก็ไปฟ้องบอส ทั้งที่เราก็ไปเพราะมันสั่ง

               

        ผมกักเก็บความแค้นไว้สุมอกรอวันที่มันจะระเบิดออกมา ความคิดเลวๆหลายอย่างผุดวาบขึ้นมาในสมอง ทั้งจ้างคนมารุมกระทึบ หรือไม่จับยัดประทัดไว้ที่ตูดของมันแล้วค่อยจุดชนวน ระเบิดถังขี้มันไปเลย

               

        แค่คิดก็สะใจ แต่ผมก็ทำไม่ได้…ครั้นจะให้ออกจากงานก็ทำไม่ได้อีก แม้จะเบื่องานและก็เบื่อคนมากขนาดไหนก็ตาม

               

       

        ใช่! นี่ไม่ใช่งานที่ผมฝัน ไม่ใช่งานที่ผมเลือก แต่การใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ ทุกอย่างบีบบังคับเราให้เราหางานสักงานทำ เพื่อความอยู่รอด แต่ลึกๆแล้วผมอยากทำตามความฝัน ทำงานที่เรารัก นั่นคือการเป็นนักเขียน แต่ความฝันนั้นยังคงค้างเติ่ง และดูที่จะเป็นไปไม่เลย เพราะแม้แต่เรื่องสั้นสักเรื่องก็เขียนไม่จบ ไม่แต่จะคิดพล็อตได้สักเรื่อง

               

        แต่ละวันผมผจญกับงานและคนจนเหนื่อยล้าผมเสียพลังงานไปจนหมดจากที่ทำงาน กลับเข้าห้องมา มันก็เหนื่อยเกินกว่าจะจับปากกาเพื่อเขียนฝัน  ผมรู้ว่าผมกำลังหาข้ออ้าง ถ้ารักที่จะทำจริงๆต้องไม่ให้อะไรมาขัดขวาง เราต้องมีวินัย มีนักเขียนนามอุโฆษ คนไหนบ้างที่เจอกับงานหนักแล้วท้อ ไม่เลยเขายังคงทำต่อไปยังผลิตผลงานระดับมาสเตอร์พีชได้ แม้บางคนจะผจญความยากลำบากขนาดไหนก็ตาม เราก็ต้องทำให้ได้

               

        แต่…แม้จะปลุกใจแค่ไหนมันก็ไม่ขึ้น สุดท้ายจึงกลายเป็นว่าผมฝืนวิญญาณเพื่อจะทำงานนั้น และก็ฝืนตัวเองที่ต้องทนหายใจร่วมกับคนอย่างมัน

 

 

                ความอดทนของคนเราย่อมมีขีดจำกัด เมื่อมีแรงผลักย่อมมีแรงดึง มีแรงกดย่อมมีแรงต้าน ถูกกดนานๆจะไม่ให้ต้านได้ยังไง แม้บางคนใช้วิธีลาออกจากงาน ย่อมแพ้กับกระเทยอ้วนไป อย่างง่ายๆ แต่ผมก็ยังจะขอสู้อยู่และต้องหาวิธีเอาคืนมันอย่างเจ็บแสบให้ได้

               

        “เราต้องทำอะไรบางอย่าง” ผมคุยกับเพื่อนร่วมงานอีกสองคน โจกับกร ตอนทานข้าวเที่ยง

               

        “ทำยังไง” โจถาม

               

        “ไม่รู้…รู้แต่ว่าต้องทำ ยิ่งเราหงอมัน มันยิ่งได้ใจเมื่อเช้าฉันเห็นมันตบก้นแกเสียงดังป้าป หรือแกไม่รู้สึกอะไร?”

               

        ใบหน้าเพื่อนร่วมงานหน้าเจื๋อนลง แต่แววตาลุกวาวอย่างโกรธก่อนจะก้มหน้ายิ่งกวาเดิม พูดพึมพำ “เราจะทำอะไรมันได้”

               

        “ก็นั่นแหละถึงต้องมาปรึกษา”

              

        “ฉันไม่เอาด้วยหรอก รถฉันก็เพิ่งจะผ่อนไปได้ไม่กี่งวด เกิดโดนไล่ออกขึ้นมาเป็นได้ซวยกันหมดแน่ แกก็รู้ว่ามันสนิทกับเจ้านายขนาดไหน ใครจะกล้า” กรพูดขึ้น หลังจากที่นั่งเงียบมานาน

               

        “ใช่ เมียกูก็ใกล้คลอดแล้ว ถ้ากูตกงานจะเอาอะไรมาเลี้ยงลูกล่ะ” โจสนับสนุนความคิดของกร

               

        “ปัดโธ่โว้ย! แล้วเราจะทำอะไรมันไม่ได้เลยหรือว่ะ” ผมตะโกนอย่างหงุดหงิด

               

        “ก็ลาออกเสียสิ แกไม่มีภาระอะไร หางานอื่นทำเถอะวะ” กรแนะนำ

 

 

        ในเมื่อไม่มีใครสนับสนุน ผมก็กลับเข้าออฟฟิศมาอย่างเซ็งๆ พร้อมเร่งสางงานที่กองสุมให้หมดไปเกือบตลอดบ่ายวิ่งเข้าวิงออกระหว่างเครื่องถ่ายเอกสารกับโต๊ะทำงาน เตรียมเอกสารประชุมตอนเย็น จนเกือบจะเสร็จตอนบ่ายสาม

               

        แล้วมันก็เดินเข้ามา บ่ายสามโมงแล้วเพิ่งจะนวยนาดเข้าออฟฟิศ คนอื่นเข้างานสายสิบนาที มันด่าเช็ดให้อับอายทั้งอาทิตย์ แต่มันสายสามชั่วโมง ยังเดินกรีดกรายถือกระเป๋าทำอกแอ่น ยิ้มอุบาทว์รับกับคำชมของพวกเลียขาตอนบอกว่าสีลิปสติกสวย ผมเห็นแล้วอยากจะปรี่เข้าไปชกสักเปรี้ยง

               

         มันเดินมาทางผม เขม่นหน้ามองก่อนจะหอบน้ำหนักตัวเฉียดร้อยกีโล เดินผ่านผมไป กลิ่นน้ำหอมฉุนกึกถีบใส่จมูกผมจนแถบอยากอ้วก

               

        ผมกลับมาสนใจที่กองเอกสารกำลังแยกเป็นชุดๆเพื่อแจกพนักงานตอนประชุม ในที่สุดก็เสร็จ ก่อนจะได้กลิ่นน้ำหอมฉุนของมัน ปนกับกลิ่นกาแฟ

               

        มันมาอยู่ข้างหลังผมอย่างเงียบกริบ ไม่ใช่เรื่องดีแน่!

               

        “ว่าไงจ๊ะ เตรียมเอกสารประชุมเสร็จหรือยัง” หัวหน้างานร่างอวบว่าพลางถือแก้วกาแฟควันฉุย

               

        “นี่ไง เอาไปได้เลย” ผมพูดเสียงกระชาก

               

        “ไหนขอดูหน่อยสิ”  มันรับไปดู “อ๋อ…อื่ม…ว้าย!”  คำพูดสุดท้ายเป็นคำอุทานเมื่อกาแฟในมือมันหกลงใส่กองเอกสารชุดนั้น ผมใจหายวาบ!

               

        “ขอโทษนะ ช่วงนี้มือไม้มันอ่อน ว้าแย่จัง ต้องรีบไปถ่ายใหม่เสียแล้ว เร็วๆเข้าละ เดี๋ยวไม่ทันการประชุมนะ” พูดแล้วก็หัวเราะในลำคอก่อนจะเดินบิดตูดไปอย่างช้าๆ

               

        ผมยืนนิ่งเกร็งร่างกายทุกส่วน อารมณ์โกรธมันพลุ่งพล่านไปทั่วร่างกาย ได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเองอย่างชัดเจน ‘มึงแกล้งกู’

               

        “เดี๋ยว!” ผมตะโกน “มึงแกล้งกูใช่ไหม หา!”

               

        มันหันกลับมาส่งยิ้มอุบาทว์ที่มุมปาก ก่อนจะเดินกลับมาช้าๆ

               

        “ก็บอกแล้วไงว่ามือไม้อ่อน แกล้งเกิ้งอะไร เหมือนคนบางคนหรอกที่วางแผนจะทำอะไรอย่าคิดว่ากูไม่รู้นะ แต่ถ้ากูจะแกล้งจริงมึงจะทำอะไรกู!” หางเสียงมันเข้ม

               

        ผมหันขวับไปที่ไอ้เพื่อนร่วมงานสองคน คนหนึ่งก้มหน้าลง ความโกรธของผมยิ่งเพิ่มขึ้นอีก โกรธมากที่สุดโกรธอย่างที่ไม่เคยโกรธมาก่อน รับรู้ถึงหัวใจที่เต้นเร็วยิ่งกว่าลูกสูบรถยนต์ ร้อยห้าสิบแรงม้า จนในที่สุดความรู้สึกก็ขาดผึ่งลง

 

               

       

        ผมปรี่เข้าไปชกหน้าหัวหน้ากระเทยอย่างรวดเร็ว มันเซแซดๆไปกระแทกที่โต๊ะ ผมไม่รอให้มันตั้งตัว กระโดดเข้าไปชกมันอีกหลายหมัด ถือเอาที่ทับกระดาษกระแทกเข้าที่กกหู เรียกเลือดไหลออกมาเป็นทางยาว ผมหัวเราะไปกับเสียงร้องโหยหวนของมัน ก่อนจะลากคอมันผลักลงไปที่กลางฝูงชนพนักงาน ที่ส่งเสียงเชียร์ผม เหมือนเชียร์มวยไทยช่องเจ็ดสี ผมเตะมันเข้าไปที่สีข้างดัง พลัก! ก่อนจะระดมเท้าเตะก้นมันอย่างนอนสต๊อปคราววนี้แหละมันจะไม่ได้บิดก้นอันน่าเกลียดของมันได้อีก ไอ้กระเทยอ้วนมันยกมือไหว้ประลกๆ ขอร้องอย่าน่าสมเพช ก่อนมันจะพยายามคลานตัวหนีไปที่เครื่องถ่ายเอกสาร ผมจับคอมันแน่น ก่อนกดหน้ามันแนบเครื่องถ่ายเอกสาร เสียงเครื่องซีรอกช์ ดังแอดๆๆ ก่อนกระดาษจะออกมาพร้อมใบหน้าหวาผวาของมันติดมาด้วย

               

        กลิ่นเลือดที่ไหลออกมายิ่งทำให้ผมคึก หูลั่นอื้อไม่รับรู้สิ่งรอบข้าง ยิ่งลงมือหนักเข้าไปอีกจนร่างของมันร่วงผล็อยกองอยู่แทบเท้า ผมมองมันแล้วเปร่งเสียงหัวเราะออกมาดัง

 

 

               

        “กูถามว่ามึงจะทำอะไรกู!”

           

               

        เสียงตวาดนั้นทำผมตื่นจากความคิด เสียงหัวเราะของตัวเองยังก้องอยู่ นี่เราคิดไปหรือนี่! แต่มันเหมือนจริงมาก เหมือนจริงจนได้ยินเสียงเชียร์และได้กลิ่นคาวเลือดอยู่เลย ก่อนกลับมาสู่ความจริง มันยังยืนอยู่ตรงหน้า ใบหน้าหน้าทุเรศนั้นยังเหมือนเดิม เสียงหายใจตัวเองหอบเหนื่อยราวกับวิ่งมาราธอนมา ผมคอยๆผ่อนลมหายใจอย่างช้าๆ ปล่อยให้ความโกรธระบายไปกับลมหายใจ

               

        “มึงจะเอายังไง จะต่อยกูเหรอ มาสิๆ” มันยื่นคางอวบอูมมาอย่างท้าทาย

               

        ผมมองหน้ามัน กำหมัดแน่น หันมองไปที่กองเอกสารการประชุมที่เปียกชุ่มไปด้วยกาแฟ ก่อนจะเดินไปหามัน มันถอยเพราะคิดว่าผมจะทำร้ายมัน ผมดึงบัตรพนักงานเขวี้ยงใส่หน้า

               

        “กูขอลาออก!”  ผมว่าก่อนจะไปเก็บของที่โต๊ะ แล้วเดินออกไปท่ามกลางสายตาทุกคู่ และเสียงหัวเราะอย่างผู้มีชัยของมัน ที่ขจัดผมออกไปได้ ผมยอมรับว่ากลัว กลัวที่จะควบคุมตัวเองไม่ได้หากอยู่ที่นี่อีกแค่นาทีเดียว ไม่อย่างนั้นมันจะไม่ใช่แค่เป็นเพียงความคิดแน่!

               

               

        การที่ไม่ได้ทำงานที่รักมันก็แย่มากพออยู่แล้ว การต้องมาอยู่กับคนแบบนี้มันเป็นเรื่องแย่ยิ่งกว่า แต่แม้ว่าผมจะเกลียดมันมากเท่าไร อยากจะทำร้ายมันมากขนาดไหน แต่อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องมาติดคุกเพราะมัน

 

               

        ผมรู้แล้วว่าผมจะทำอะไร ผมอยากเป็นนักเขียน และตอนนี้ผมก็คิดเรื่องที่จะเขียนได้แล้ว…

 

               

               

        ผมยิ้มมองกระจกหลังรถเก๋งญี่ปุ่นคันงามของมัน พร้อมกับปากกาเพ้นท์มาร์คเกอร์ชนิดติดทน ลบได้ยากแถมกันน้ำได้อีกต่างหาก

               

        “เฮ้อ ได้ได้เขียนระบายแล้วค่อยโล่งหน่อย”

               

         ผมเดินออกจากรถคันนั้นพร้อมข้อความตัวโต ชนิดที่ใครเห็นต้องอ่านออกแน่

 

               

 

         กระเทยควายอย่างกู อยู่ได้ด้วยตูดบานๆ  ใครสนใจเย็ดเข้ โทร 080 621xxxx

 

 

 

 

(ขอะบายหน่อยก็แล้วกัน)

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา