Dandelion(แดนดิไลออน) คืนฝันวันล่าจินตนาการ

8.3

เขียนโดย มะมาย

วันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 15.58 น.

  21 ตอน
  9 วิจารณ์
  25.74K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2556 19.14 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

11) เมเดิลฟลาว

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

มะมายบอกข่าว

  หายไปนานกลับมาเลยมีของขวัญมาฝากนักอ่านทุกท่าน นั่นคือการแง้มปมปริศนาของเรื่องให้ได้ช่วยกันคิด ซึ่งอยู่ในหน้าของตอนที่หนึ่ง(เกริ่นส่วนที่3)

  ปีใหม่ 2557 ขอให้มีความสุขกันถ้วนหน้า ขอบคุณสำหรับนักอ่านที่ติดตามทุกท่าน kiss kiss

....................................................................................................................

เดรกใช้ทักษะการฟังอันฉ่ำชองของการฟังเสียงน้ำ ในการเลือกเส้นทางเดิน ไม่ไกลจากกันนักเราพบกับน้ำตกที่มีขนาดใหญ่มหึมา น้ำจำนวนมากไหลบ่าลงไปรวมกันที่ด้านล่างสุดของของน้ำตกซึ่งเป็นหุบเหวลึก ความสูงชันของผาน้ำตกทำให้เกิดเป็นม่านน้ำตกที่กว้างที่สุดเท่าที่ฉันเคยพบเห็นมา หยดน้ำสาดกระเซ็นเมื่อกระทบกับโขดหินสะท้อนกับแสงแดดเกิดเป็นสายรุ้งเส้นยักษ์

 

“นั่น!”

 

ฉันชี้ไปยังสะพานที่อยู่เบื้อหน้าเราซึ่งทอดยาวข้ามไปยังหุบเหวอีกฟากฝั่งซึ่งเป็นแผ่นดินเช่นกัน

 

“ตอนที่อยู่บนรถม้าโครอี้เล่าถึงสะพานไม้นี้ให้ฉันฟัง เขาบอกว่ามันเป็นทางเดียวที่เราจะข้ามไปป่าต้องห้ามได้”

“เดี๋ยวก่อน” เดรกห้ามไว้ก่อนที่เท้าของฉันจะแตะลงบนพื้นสะพาน

“ทำไมล่ะ?” ฉันชักขากลับมา

“มันง่ายไป” เขาว่า

“โครอี้ไม่มีทางบอกเราถึงวิธีการเข้าป่าต้องห้าม”

 

เดกรครุ่นคิดอยู่สักพัก ‘หรือจะเป็น ภาพลวงตา’ ไม่มีทางที่เราจะรู้ว่าสะพานที่เห็นเป็นอย่างที่เขาคิดไว้หรือไม่นอกจากจะพิสูจน์ เขาคงต้องมองหาอะไรบางอย่างที่ทำให้เกิดเสียงเพื่อให้เกิดการสั่นไหวซึ่งมันจะต้องเป็นเสียงที่ดังมากและในตอนนั้นเองเขาก็นึกขึ้นได้ว่า เขาควรหาประโยชน์จากน้องสาวอย่างเอลิซ่า

 

“เอลี่!มีแมงมุมอยู่บนหัวเธอล่ะ”

 

เขาตั้งใจทำให้เธอตกใจสุดขีดจนกรี๊ดลั่น เสียงกรี๊ดของเอลิซ่าดังปี๊ดแตกขนาดเดรกยังต้องเอามืออุดหู

 

“เดรกเอามันออกไปที!”

 

เอลิซ่ากระโดดหยอง แต่เสียงของเธอยังดังไม่พอในครั้งแรก สะพานเพียงแค่สั่นไหวเท่านั้น มันต้องการมากกว่านี้

 

“มีอีกตัวเกาะอยู่ที่ขาเธอเอลี่!”

 

คราวนี้เอลิซ่าปล่อยพลังเสียงออกมาเต็มที่จนนกที่เกาะอยู่แถวนั้นบินกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง เดรกทำสำเร็จสะพานหายไปพร้อมกับการสลบไสลของใครบางคน

 

“เอลี่!”

 

เอลิซ่าเป็นลมหมดสติ เดรกจึงแบกเธอขึ้นหลังอย่างทุลักทุเลและมองหาสักที่ที่ปลอดภัยสำหรับพักแรมคืนนี้และรอจนกว่าเอลิซ่าจะตื่น เขาวางเธอลงพิงไว้กับโขดหินซึ่งจะอำพรางเธอกับเขาจากอันตรายใดๆและจากคางคกยักษ์อัปลักษณ์โครอี้

 

และแล้วดวงอาทิตย์ก็ทิ้งตัวดิ่งลงจนลับขอบฟ้า ถึงเวลาการทำหน้าที่ของดวงจันทร์ มวลหมูเมฆสีเทาก้อนโตบดบังดวงจันทร์เห็นเพียงครึ่ง ดวงดาวกระจายตัวเต็มท้องฟ้ากว้าง คอยส่องแสงระยับวิบวับ ช่างเป็นวิธีการแต่งแต้มความสวยงามให้กับท้องฟ้าใรค่ำคืนที่มืดมิดได้อย่างลงตัว สายลมพัดเอื่อยๆ กองไฟอุ่นๆถูกก่อขึ้นใกล้ๆ กลิ่นหอมๆของขนมปังที่ถูกย่างโชยพัดปลุกให้ใครบางคนที่นอนหลับตาพริ้มให้ขยับตื่น

 

“เดรก” ฉันเรียกเขาที่นั่งหันหน้าเข้าหากองไฟและหันหลังให้ฉันด้วยเสียงงังเงีย

“ฟื้นแล้วหรอ เธอหิ้วหรือยังล่ะ” เขาหันมายิ้มให้

ฉันลูบหน้าตัวเองแล้วลุกขึ้นเดินไปหาเขาและนั่งลงข้างกัน

“หอมจัง” ฉันสูดกลิ่นขนมปังปิ้งเข้าไปเต็มปอด

“ฉันสลบไปนานสินะ”

“อืม”

“จริงสิ!ฉันจำได้ว่าเมื่อกี๊เราอยู่ที่สะพาน บอกทีว่าเราข้ามมันมาหรือยัง”

“ไม่มีสะพานเอลี่ โครอี้โกหกเรา เหล่านั้นคืออุบาย”

ว่าพลางก็กลับข้างขนมปังที่อยู่ท่ามกลางกองไฟสีส้มลุกโชน

“หมายความว่ายังไงเดรก” ฉันเอ่ยถาม

“แท้จริงแล้วสะพานที่เราเห็นมันคือภาพลวงตา”

“ภาพลวงตางั้นหรอ” เดรกผงกศีรษะ

“ว่าแต่พี่เอาแมงมุมออกจากหัวฉันแล้วใช่ไหม” ฉันยังคงระแวง

เดรกหัวเราะ“ลืมเรื่องแมงมุมเถอะ เอานี่ไป”

 

เดรกยื่นขนมปังแผ่นบางของไหม้เกรียมนิดๆที่เพิ่งย่างเสร็จให้กับฉัน ฉันเปิดปากเป่าลมไล่ไอร้อนระอุที่คลุกรุ่นอยู่ภายในเนื้อขนมปังให้ออกไปไกลๆแล้วอ้าปากกว้างกัดทีละคำโตๆ เดี๋ยวเดียวมันก็ไหลไปกองอยู่รวมกันที่กระเพาะที่หิวโหยของฉัน

 

“เดรก เจ้าลูกนี้ใช่เชอรี่หรือเปล่า”

 

ฉันหยิบลูกไม้ที่ดูคล้ายกับผลของเชอรี่แต่มีสีฟ้าอมน้ำตาลขึ้นมาสำรวจ เดรกคงเก็บมันมาจากในป่านี้แน่เพราะฉันไม่เคยเห็นลูกไม้ที่ไหนหน้าตาแบบนี้มาก่อนและในซุปเปอร์มาร์เกตแถวบ้านก็ไม่เคยมีด้วย

 

“คิดว่าอย่างนั้นนะ” เดรกที่กำลังเติมฟืนเอ่ยขึ้น

“ฉันไม่แน่ใจว่ามันจะกินได้หรอกนะ” ฉันลังเล

“มันกินได้เอลี่ ฉันลองดูแล้ว”

“แล้วรสชาติมันเป็นไง”

“หวานอมเปรี้ยว กลิ่นเหมือนราสเบอร์รี่ที่เธอชอบด้วยล่ะ” เขาบอก

“ราสเบอร์รี่”

 

ฉันเรียริมฝีปากกลือนำลายดังเอื๊อก ฉันลองกัดชิมดูทีละนิดเพราะยังไม่แน่ใจในรสชาติมากนักแต่หลังจากที่กัดคำแรกไปเท่านั้น บอกได้เลยคำเดียวว่ามันอร่อยมากๆฉันไม่เคยลิ้มชิมลองถึงรสชาติแบบนี้ในผลไม้ใดๆมาก่อน ช่างหวานหอมอะไรปานนี้ ทุกครั้งที่ลิ้นสัมผัสกับเนื้ออันชุ่มช่ำมันตรึงฉันให้อยู่ในห้วงของความสุข

 

หลังจากกินอิ่มเราก็เอนหลังนอนบนเตียงใบไม้นุ่มๆที่เดรกเตรียมเอาไว้ นานแค่ไหนแล้วนะที่เราไม่ได้เห็นท้องฟ้าในยามค่ำคืนแบบนี้

 

“เดรกตอนที่เราเผชิญหน้ากับโครอี้ฉันได้ยินพี่พูดถึง เมเดิลฟลาว เขาคือใครหรอ” ฉันเอ่ยขึ้น

“ดูโครอี้กลัวเขานะ”

“โครอี้จะต้องกลัวเขาแน่เพราะ เมเดิลฟลาว จะจัดการกับพวกมัน”

“ถ้าเมเดิลฟลาวจัดการกับพวกโครอี้ได้จริงๆแล้วทำไมเขาถึงยอมให้มันจับตัวเจ้าหญิงไปได้ล่ะ” ฉันสงสัย

 

“ทุกอย่างเกี่ยวกับเมเดิลฟลาวเป็นความลับ เธอเป็นตำนานที่เล่าสืบต่อกันมา ยังไมเคยมีใครพบเธอ”

 

เดรกผ่อนเสียง“แต่ตำนานย่อมมีมูลเหตู ย่อมมีเรื่องจริงปนอยู่ มันอาจดูไม่น่าเชื่อถือแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ดูอย่างตำนานของโครอี้ที่ใครๆก็ว่าเป็นเพียงเรื่องโกหกหลอกเด็ก สุดท้ายมันก็เป็นเรื่องจริง”

 

“ถ้าเป็นอย่างที่พี่บอก แสดงว่าเราสองคนก็ทำอะไรโครอี้ไม่ได้น่ะสิ” เดรกพยักหน้า

“เพราะฉะนั้นเราถึงต้องหาเมเดิลฟลาวให้เจอ และขอให้เธอเธอช่วยเราตามหาเจ้าหญิงและจัดการกับโครอี้”

ทว่าฉันกลับไม่คิดเหมือนเขา

“แต่ฉันว่าเราน่าจะจัดการกับโครอี้ตามลำพังได้นะ ดูอย่างวันนี้พี่ยังตัดลิ้นมันซะขาดเลย” ฉันหัวเราะ

เดรกหรี่ตา“เธอคิดว่าโครอี้จัดการง่ายขนาดนั้นเลยหรอ”

“ก็ใช่น่ะสิ พี่ไม่เห็นสีหน้าตอนที่โครอี้ลิ้นขาดหรอ นึกทีไรก็อดขำไม่ได้ทุกที” ฉันยังหัวเราะต่อ

“แต่ฉันเจ็บใจตอนที่อยู่บนรถม้าโครอี้กินผีเสื้อของฉัน!” ฉันกำมือแน่น

“บอกตามตรงนะเดรกมาถึงตอนนี้แล้วฉันกลับไม่นึกกลัวโครอี้แล้วล่ะ จริงๆนะ”

เดรกคลี่ยิ้มบางๆ “เพราะนั่นไม่ได้แม้แต่เศษเสี้ยวความโหดร้ายของมันเลย”

“ยังไงหรอ”

“การฆ่าเราไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าหากชีวิตเราก็ประสงค์ของมันจริงล่ะก็ โครอี้ไม่มีทางปล่อยเราง่ายดายแบบนี้”

“ถ้าอย่างนั้นฉันคิดว่าเราควรให้เมเดิลฟลาวช่วยน่ะดีแล้วล่ะ”

ฉันเอามือปิดปากหาวโฮก เปลือกตาเริ่มหนักแล้วฉันก็เผลอกลับไปในที่สุด เดรกขยับหันมามองเมื่อเห็นว่าเอลิซ่าเงียบไป

“หลับซะแล้ว” เขาอมยิ้ม

“พ่อครับผมจะไม่ทำให้พ่อผิดหวัง ผมจะช่วยเจ้าหญิงกลับมาให้ได้เพราะถ้าพ่อยังอยู่พ่อก็จำทำอย่างผม”

และแล้วความเมื่อยล้าก็ฉุดให้ทั้งสองอยู่ในภวังค์ของนิทรา ในช่วงที่แสงของดวงจันทร์สาดส่องลงมา

มีบางสิ่ง เกิดขึ้น ในยามหลับ

ชายหญิงกลับ กลายร่าง ไม่เหมือนเก่า

หนึ่งคนนั้น กายขยาย ขึ้นหลายเท่า

ไม่หลงเหลือ คราบเงา เก่าก่อนเป็น

ทั่วเรือนร่าง ถูกปกคลุม ด้วยขนหนา

ส่วนที่เป็น มือและขา ซุกซ่อนเร้น

คือกรงเล็บ แหลมคม ดุจดั่งเช่น

คมเคี้ยวเข่น ตะครุบเหยื่อ น่ากลัวจริง

ส่วนอีกคน กายหด เหลือเพียงนิด

ตัวเล็กจิ๊ด เท่าแม่โป้ง นอนหลับนิ่ง

ปีกบอบบาง กางออก เพื่อโบยบิน

แต่ทุกสิ่ง จึงจะรู้ เมื่อรุ่งยาม

 

แล้วพบกันใหม่ปี 2557ค่ะ HNY

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา