7 ลี้ลับ

8.7

เขียนโดย AraTemp

วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557 เวลา 13.32 น.

  9 บท
  5 วิจารณ์
  13.94K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 มีนาคม พ.ศ. 2557 17.26 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

2) จุดเริ่มต้น

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เวลา 0.00 น.

                เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วไฟทุกดวงก็ถูกปิดลง ความมืดเริ่มเข้ามาเยือนมีเพียงแสงสว่างจากเทียนทั้ง 100 เล่มที่ตั้งอยู่ตรงหน้าของเด็กทั้ง 7 คน

            เรื่องที่ 1 ในช่วงฤดูหนาวที่มีพายุหิมะ บนภูเขามีนักท่องเที่ยวที่ติดอยุ่ท่ามกลางพายุหิมะเหล่านั้น นักเดินทางทั้ง 5 คน บังเอิญไปเห็นกระท่อมหลังหนึ่งจึงเข้าไปหลบภัยอยู่ในนั้นกัน ความเหนื่อยล้าและความหนาวทำให้นักเดินทางทั้ง 5 คน ออ่นเพลียและอ่อนล้าเต็มที ซึ่งก็มี 1 คนในนั้น ที่ไม่สามารถทนต่อความหนาวได้ทำให้เสียชีวิต คนอื่นๆที่เหลือจึงคิดหาวิธีที่จะสามารถเอาตัวรอดได้ โดยทุกคนจะต้องมีสติและไม่หลับ หนึ่งในนั้นจึงเสนอว่าให้พวกเขาทั้ง 4 คน ไปนั่งอยู่ที่มุมของห้องคนละมุม แล้วให้แต่ละคนเดินเข้าไปสะกิดกันทุกๆ 5 นาที หากใครที่ไม่ถูกสะกิดก็จะได้รู้ว่าคนก่อนหน้านี้หลับไป เมื่อทั้ง 4 คน ตกลงลำดับและตำแหน่งเป็นที่เรียบร้อยก็ไปยังมุมของตน เมื่อเสียงนาฬิกาดังขึ้น คนที่ 1 ก็จะลุกขึ้นเดินไปสะกิดคนที่ 2 จากนั้น คนที่ 2 ก็จะลุกขึ้นเดินไปสะกิดคนที่ 3 คนที่ 3 ก็จะไปสะกิดคนที่ 4 พวกเขาทำอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆทุกๆ 5 นาที เมื่อเวลาผ่านไปพายุหิมะเริ่มสงบลง พวกเขาทั้ง 4 คน สามารถรอดชีวิตออกมาได้

                “เดียวก่อนสิ คามุย มันแปลกๆนะ”

                คามุยหันไปยิ้มให้กับคุเรน ที่ดูเหมือนตอนนี้จะเข้าใจถึงสิ่งที่ผิดแปลกไป

                “นายคิดว่าไงละ คุเรน”

“ฉันว่าเรื่องนี้มันเป็นไปไม่ได้ พวกเราลองคิดดูนะ ห้องจะมีมุม 4 มุมใช่ไหม นักเดินทางมีทั้งหมด 4 คน จำนวนมุมและคนมีเท่ากัน เมื่อคนที่ 1 ไปยังคนที่ 2 คนที่ 2 ไปหา คนที่ 3 และ คนที่ 3 ไปหาคนที่ 4 มันก็จะเกิดช่องว่างระหว่างคนที่ 4 กับ คนที่ 1 สิ แล้วคนที่ 4 ไปแตะใคร และใครไปแตะคนที่ 1 กัน”

พอคุเรนอธิบายถึงสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ให้ทุกคนฟัง ต่างคนก็ต่างเริ่มคิดตาม คามุยจึงเริ่มพูดต่อเพื่อให้เรื่องของตนจบลง

“ถูกต้อง มันเป็นไปไม่ได้ หลังจากที่ทั้ง 4 คน รอดมาได้ก็ถึงได้คิดเรื่องนี้ออกว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย นอกซะจากว่าจะมี 5 คน ซึ่ง 1 คนที่มาแทนตำแหน่งที่ขาดหายไป อาจจะเป็นเพิ่อนของพวกเขาที่ตายไปก่อนหน้านั้นมาช่วยก็เป็นได้”

เมื่อคามุยพูดจบ เทียนเล่มที่ 1 ก็ถูกดับลง ต่อไปคนที่ 2 ริรุ

“ฉันเล่าเรื่องไม่เก่งหรอกนะ แต่จะพยายามค่ะ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ได้ยินมาจากคุณยายก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต ฉันยังจำได้ขึ้นใจ เรื่องมีอยู่ว่า.....”

เรื่องที่ 2 เป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว สมัยก่อนจะมีหญิงสาวสวมที่ปิดปากเอาไว้ตลอดไม่ยอมถอดออก หากใครพบเธอเข้า ก็จะถูกถามว่า “ฉันสวยหรือเปล่า” หากตอบกลับไปว่าไม่สวย หญิงสาวคนนั้นก็จะใช้เคียวฟันคนที่ถูกถามจนตาย และถ้าหากตอบว่าสวย หญิงสาวก็จะถอดผ้าปิดปากออก ซึ่งว่ากันว่าภายใต้ผ้าปิดปากนั้น จะพบกับปากที่ถูกฉีกจนเกือบถึงใบหู จากนั้นหญิงสาวก็จะฉีกปากของคนที่ถูกถามให้มีสภาพเหมือนกับเธอนั้นเอง ทำให้เธอถูกเรียกว่า สาวปากฉีก

“จบเรื่องที่ 2”

เมื่อริรุเล่าจบ เธอก็ดับเทียนเล่มที่ 2 ลง คนต่อไปที่จะเล่าต่อคือ ริอง

“เรื่องที่ 3 เป็นฉันสินะ ตั้งใจฟังกันดีๆล่ะ”

เรื่องที่ 3 กระจกเงาที่เกิดจากน้ำ เชื่อกันว่าหากเราคาบมีดโกนเอาไว้ในปาก ตอนเวลา 0.00 น. เหมือนอย่างวันนี้ แล้วก้มหน้ามองลงไปในอ่างน้ำ ซึ่งน้ำในอ่างจะต้องเต็ม เชื่อกันว่ากระเงาที่เกิดจากน้ำนั้นจะสะท้อนภาพของคู่ชีวิตของตนในอนาคตขึ้นมาให้ได้เห็น

“แล้วยังงี้ถ้าเกิดเผลอทำมีดโกนตกลงไปในน้ำละค่ะ ฉันว่าฉันต้องตกใจจนเผลอทำมีดโกนตกลงไปแน่ๆเลย”

ริรุหันไปถามริอง คนถูกถามจึงเริ่มเล่าต่อ

หากใครทำมีดโกนหนวดตกลงไปในน้ำ น้ำในอ่างจะค่อยๆกลายเป็นสีแดงเหมือนกับเลือดก่อนที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมและภาพนั้นก็จะหายไป ว่ากันว่ามีคู่รักคู่หนึ่งซึ่งฝ่ายหญิงเคยมองกระจกเงาน้ำมาก่อนและก็ได้พบกับผู้ชายในภาพนั้นจริงๆ แต่ฝ่ายชายไว้ผมยาวปิดตาข้างซ้ายเอาไว้ตลอด วันหนึ่งฝ่ายหญิงจึงขอฝ่ายชายให้เปิดผมข้างซ้ายให้ได้เห็น ฝ่ายชายถามความแน่ใจจากฝ่ายหญิง เมื่อฝ่ายหญิงแสดงท่าทางที่มั่นใจ ฝ่ายชายจึงเล่าให้ฟังถึงที่มาที่ไปที่ตนต้องปิดตาข้างซ้ายเอาไว้ เนื่องจากเคยเกิดอุบัติเหตุขึ้น จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นเปิดผมข้างซ้ายเผยให้เห็นรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ลากลงมาจากหน้าผากถึงตาซ้าย ฝ่ายหญิงเห็นจึงตกใจร้องออกมา ฝ่ายชายได้แต่ยิ้มก่อนที่จะหันไปบอกฝ่ายหญิงว่า แผลนี้ก็ได้มาจากเธอนั้นแหละ

                เมื่อเรื่องที่ 3 จบลง ริองก็เป่าเทียนของตนให้ดับลงไป

                “ต่อไปก็ฉันสินะ”

                คุเรนเอ่ยขึ้น ขณะที่มือก็เอื้อมไปหยิบเทียนข้างหน้าตนขึ้นมาถือเอาไว้  เรื่องที่ 4 มีอยู่วันหนึ่งฉันและเพื่อนพากันเล่นซ่อนหากัน ช่วงนั้นก็ประมาณ 5 โมงเย็น หลังจากที่เล่นกันมาหลายรอบแล้ว คราวนี้ฉันเป็นคนหา ซึ่งพวกเราเล่นด้วยกันอยู่ 6 คน เมื่อหา 4 คนครบแล้ว ซึ่งเหลือเพียง 1 คนเท่านั้นแต่หาตัวเท่าไรก็หาไม่เจอ จนเวลาล่วงเลยไปถึง 1 ทุ่ม ท้องฟ้าเริ่มมืดสนิท ทุกคนจึงพากันแยกย้ายกลับบ้านและคิดว่าเพื่อนอีก 1 คนนั้นก็คงหนีกลับไปแล้วจีงไม่ได้ใส่ใจอะไร เมื่อฉันกลับมาถึงบ้านก็พอกับพ่อแม่ของเด็กคนนั้น พวกเขาถามถึงลูกของเขาว่าหายไปไหน ฉันจึงได้แต่ตอบไปว่าไม่รู้ จนกระทั่งเช้าวันต่อมาก็มีคนไปพบเด็กคนนั้นนอนอยู่ตรงบริเวณที่เล่นกันเมื่อวาน ฉันและเพื่อนๆจึงเข้าไปถามว่า ทำไมไปนอนอยู่ตรงนั้นนายหายไปไหนมากันแน่ เด็กคนนั้นจึงตอบว่า เขาพยายามเรียกแล้วแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าพวกนายจะได้ยิน หยิบจับอะไรก็ไม่ได้ จนสุดท้ายฉันทนไม่ไหวหลับไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็มีคนมาพบแล้ว หลังจากนั้นฉันและเพื่อนๆก็เลิกที่จะเล่นซ่อนหาอีกเลย

                “ผีลักซ่อนสินะ”

                “อืม ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นผีลักซ่อนหรือเปล่า แต่วันนั้นหาเท่าไรก็หาตัวไม่เจอเลยจริงๆ งั้นขอจบเรื่องที่ 4 แต่เพียงเท่านี้”

                ขณะนี้เทียนเล่มที่ 4 ได้ถูกดับลงไปแล้ว คนที่จะเล่าคนต่อไปคือมิไร

                “ต่อไปตาฉันสินะ รับรองว่าต้องกลัวแน่ๆเพราะนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง”

                เรื่องที่ 5 ในช่วงฤดูหนาวเมื่อหลายปีที่แล้ว ช่วงนั้นมีหิมะตกหนักมากและเป็นขบวนรถไฟเที่ยวสุดท้ายแล้ว ทำให้ไม่มีผู้โดยสารเลย มีเพียงแค่พนักงานขับรถไฟกับนายตรวจเพียงแค่ 2 คนเท่านั้น ขณะที่รถไฟกำลังวิ่งไปเรื่อยๆเพื่อไปยังสถานีสุดท้ายก็มีเด็กสาวไม่รู้มาจากไหนยืนอยู่กลางรางรถไฟ ซึ่งไม่สามารถที่จะเบรกได้ทันจึงชนเด็กสาวคนนั้นกว่ารถไฟจะสามารถหยุดได้ก็แล่นมาได้อีก 10 กว่าเมตร เนื่องจากสภาพอากาศที่ย่ำแย่คนขับรถไฟจึงตัดสินใจเดินไปแจ้งตำรวจซึ่งอยู่ที่สถานีข้างหน้า และปล่อยให้นายตรวจรออยู่เพียงลำพังเท่านั้น ผ่านไปได้ซักครู่หนึ่งนายตรวจก็เริ่มเคริ้มๆก็ต้องสะดุ้งตัวตื่นเมื่อได้ยินเสียง ครืนๆเหมือนมีอะไรลากเข้ามาใกล้ๆ นายตรวจจึงลุกขึ้นไปยังประตูรถไฟเขามองผ่านช่องหน้าต่างออกไปข้างนอกก็ไม่พบอะไร แต่แล้วจู่ๆประตูก็เปิดออกเอง หลังจากนั้นไม่นานคนขับรถไฟก็กลับมาพร้อมกับตำรวจแต่ก็ไม่พบนายตรวจ แต่สิ่งที่พบกับเป็นท่อนล่างของเด็กสาวที่ขาดอยู่ข้างๆรถไฟ คนขับรถไฟและตำรวจจึงออกตามหากันจนไปค้นพบร่างของนายตรวจนอนแข็งตายอยู่บนหลังคาของรถไฟโดยมีร่างท่อนบนของเด็กสาวกัดติดอยู่ไม่ยอมปล่อย ว่ากันว่าเป็นวิญญาณของเด็กสาวที่เคยถูกรถไฟทับจนตัวขาดออกเป็นสองท่อน และด้วยสภาพอากาศที่หนาวซึ่งมีหิมะตกลงมา ทำให้เลือดแข็งตัวอย่างรวดเร็ว เด็กสาวจึงต้องทนทรมานอยู่นานกว่าจะเสียชีวิตไปในที่สุด

                “จบเรื่องที่ 5”

                “ฉันก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาเหมือนกัน น่ากลัวมากเลย เคยลงข่าวในหนังสือพิมพ์ด้วย แต่ไม่คิดว่าจะกลายมาเป็นวิญญาณฆ่าคนได้แบบนี้”

                “วิญญาณเนี่ยนะจะฆ่าคนได้ พวกเราก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าเรื่องพวกนี้มันไม่มีอยู่จริง ตกลงพวกเรามาเสียเวลาทำอะไรกันอยู่ที่นี้เนี่ย”

                “ใจเย็นๆน่า คิซารากิ ก็พวกเราไม่รู้จะทำอะไรกันไม่ใช่เหรอ งั้นเริ่มเรื่องต่อไปเลยละกัน เรื่องที่ 6 โองะตานายแล้ว มิไรอย่าลืมดับเทียนลงด้วยนะ”

                เมื่อคามุยพูดจบ มิไรก็เป่าเทียนเล่มที่ 5 ให้ดับลง เพื่อเป็นการเริ่มเรื่องต่อไป

                เรื่องที่ 6 เป็นเรื่องตอนก่อนที่จะเข้าม.ปลาย ช่วงนั้นมีการเข้าค่าย ซึ่งก็มีการเข้ากิจกรรมตามปกติทั่วๆไป แต่พอตกดึกพวกเด็กกลุ่มหนึ่งก็พากันเดินสำรวจรอบๆเต็นท์ ที่มีการกางตั้งเป็นวงกลมรอบกองไฟ เด็กพวกนั้นก็พากันเดินวนอยู่รอบนอก เดินวนไปวนมาอยู่หลายรอบ แต่แล้วก็มีเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มที่สะกิดใจขึ้นมากับอะไรบางอย่างที่ทอดยาวออกไป เงาดำๆของพวกเขาที่ถูกแสงจากกองไฟส่องมาจากข้างหลัง จำนวนเงาที่เขานับได้ 1...2...3...4...5...!!! เด็กคนนั้นตกใจในทันทีเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่ามีเพื่อนออกมาด้วยกันเพียงแค่ 4 คนเท่านั้น แล้วอีกคนมาจากไหนกัน เด็กคนที่มองเงาอยู่หยุดชะงักและหันกลับไปมองด้านหลัง เพื่อนทั้ง 3 คน ยังคงยืนทำหน้างงอยู่กับพฤติกรรมแปลกๆของเพื่อนคนนี้ รวมไปถึง เงาคนที่ 5 ที่ตอนนี้กำลังแสยะยิ้มให้กับเขา เพื่อนของเขาอีก 3 คนก็หันไปมองตามเด็กคนนั้น เมื่อเห็นเงาดำๆที่มีขนาดเท่ากับพวกเขายืนอยู่ข้างๆก็ทำให้แต่ละคนถึงกับหมดสติไป และเด็กคนแรกที่เห็นก็หมดสติล้มลงไปเช่นกัน ในเช้าวันต่อมาพวกเพื่อนๆต่างพากันไปเจอเด็กทั้ง 4 คนนอนสลบอยู่บริเวณหลังเต็นท์ เมื่อแต่ละคนได้สติก็ต่างคิดว่าอาจจะเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น แต่แล้วก็มีเด็กคนหนึ่งถามพวกเขาขึ้นมาว่า เพื่อนอีกคนที่ออกมาเดินกับพวกนายหายไปไหนซะแล้ว พวกเราหาเท่าไรก็หาไม่เจอเลย

                เมื่อจบเรื่องที่ 6 เทียนก็ถูกดับลง ซึ่งเพื่อนๆแต่ละคนก็หันมองซ้ายมองขวาเผื่อว่าจะมีเงาหรือใครโผล่มาหรือเปล่า หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครเกินมา ทุกคนก็หันไปมองเพื่อนคนสุดท้ายที่จะเป็นคนเล่าเรื่องที่ 7 ซึ่งตอนนี้ก็ยังคงนั่งมองเพื่อนๆก่อนจะถอนหายใจออกมา

                “โอเคๆ เรื่องที่ 7 ฉันเองเล่าก็ได้แต่ไม่ได้น่ากลัวอะไรอย่างของพวกนายทั้งหลายหรอกนะ ก็แค่เรื่องประหลาดทั่วๆไปก็แค่นั้นแหละ”

                เรื่องที่ 7 เมื่อพูดถึงพลาสม่าในทางวิทยาศาสตร์ก็คงรู้กันดีสินะ พลาสม่านั้นไม่มีตัวตนแต่มีประจุอิออนซึ่งมีกระแสไฟฟ้าซึ่งทำให้เกิดแรงดึงดูดได้ แต่ในทางไสยศาสตร์มองว่าพลาสม่าเป็นคลื่นพลังงานชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในวิญญาณภูตผีต่างๆ ทำให้เกิดความเชื่อที่รวมกันระหว่างวิทยาศาสตร์กับไสยศาสตร์ อย่างเรื่องของประตูที่เป็นทางเชื่อไปสู่โลกของวิญญาณ ว่ากันว่าโลกวิญญาณนั้นมีพลาสม่าอยู่มาก และกระแสไฟฟ้าในพลาสม่าก็จะดึงดูดกันจากทางทิศเหนือ เชื่อกันว่าวิญญาณจะลอยไปทางทิศเหนือทางเดียวแต่ก็มีที่เคลื่อนไปยังทางทิศตะวันออกด้วยเช่นกันตามการหมุนรอบตัวเองของโลก ทำให้ทางเข้าออกของประตูโลกวิญาณนั้นตั้งอยู่เส้นทางระหว่างทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้ทิศทั้ง 3 นี้ มักถูกเรียกอยู่บ่อยๆว่าเป็นที่อัปมงคลเนื่องจากมักจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นอยู่บ่อยๆ

                “จบ เรื่องที่ 7 เล่าแล้วนะพอใจกันหรือยัง”

                สิ้นเสียงของคิซารากิ เทียนเล่มที่ 7 ก็ถูกดับลง ความเงียบก็พลันเกิดขึ้น ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายทุกคนกูค่อยๆหลุดหัวเราะกันออกมา ปล่อยให้คนที่เพิ่งเล่าจบ งงกับเหตุการณ์ตรงหน้า

                “อะไร ทำไม ฉันเล่าไม่ดีหรือยังไง”

                “เปล่าเลยๆ นายเล่าดีมากเพื่อน เป็นเรื่องน่าสนใจจริงๆ”

                “ใช่ค่ะ ไม่เคยคิดมาก่อนเลย ว่าจะได้ยินเรื่องแบบนี้จากคิซารากิคุงได้”

                “ฉันก็แค่อ่านเจอผ่านๆเท่านั้น ไม่ได้สนใจอะไรซักหน่อย”

                “ฮ่าๆๆ ฉันละยอมนายเลยจริงๆนิสัยปากไม่ตรงกับใจเนี่ย”

                “ชิ แล้วแต่พวกนายละกัน แล้วที่นี้จะยังไงต่อ ตอนนี้วนครบรอบพวกเราแล้วนะ คามุย”

                “อืม ต่อไปพวกเราก็จะวนกันเล่าแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เพื่อให้เทียนทั้ง 100 เล่มที่ดับลงจนหมดนั้นล่ะ”

                “เมื่อไรจะครบ 100 เรื่องกันละเนี่ย”

                “ไม่ต้องห่วงหรอกน่า พวกเรามีเวลาเยอะแยะนี้น่าของกินเราก็มี แต่ระวังอย่าให้เทียนดับโดยที่ยังไม่ได้เล่าเรื่องนะ”

                “ทำไมงั้นเหรอ ถ้าเทียนดับแล้วจะเกิดอะไรขึ้น”

                “ขอยังไม่บอกละกันนะ คุเรน งั้นเอาละมาต่อกันดีกว่า ตอนนี้ก็วนมาที่ฉันแล้วสินะ งั้นต่อไปเรื่องที่ 8.....”

                เวลา 02.48 น.

                ผ่านไปเกือบ 3 ชั่วโมง ตั้งแต่เริ่มกิจกรรมนี้กัน จนตอนนี้ผ่านไปแล้วทั้งหมด 98 เรื่อง ซึ่งเรื่องที่ 99 และ 100 คนที่เล่าก็คือคามุยกับริรุ แต่คามุยขอเป็นคนเล่าเรื่องที่ 100 เอง ริรุจึงเป็นคนเล่าเรื่องต่อไปก่อน ตอนนี้สภาพแต่ละคนก็ดูเหมือนเริ่มจะไม่ไหวหลับๆตื่นๆบ้าง เพลียบ้าง บางคนก็เริ่มมีอาการมึนๆเหนื่อยๆ แต่คามุยก็ยังไม่คิดที่จะยอมแพ้ตอนนี้ ในเมื่อพวกเขาต้องการที่จะมาท้าทายมาทำกิจกรรมกันก็ต้องทำให้สำเร็จให้ได้

             เรื่องที่ 99 เป็นเรื่องตอนที่อยู่ประถมช่วงนั้นทางโรงเรียนจัดทัศนศึกษาแบบไปเช้าเย็นกลับ ซึ่งช่วงกลางวันก็เดินทางไปปกติไม่มีอะไร แต่พอตอนกลับระหว่างที่รถกำลังแล่นผ่านสุสานแห่งหนึ่ง ก็มีเด็กคนหนึ่งบนรถเปิดหน้าต่างแล้วตะโกนออกไปว่าแน่จริงก็โผล่มาให้เห็นสิ ไม่เห็นจะมีอะไรน่ากลัวเลย เรื่องผีก็แค่เรื่องหลอกเด็กเท่านั้นแหละไร้สาระ เมื่อพูดจบเด็กคนนั้นก็ปิดกระจกนั่งที่ตามเดิม เพื่อนๆและครูบนรถต่างตกใจถึงพฤติกรรมของเด็กคนนี้แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา จนกระทั่งถึงโรงเรียนเด็กทุกคนเดินลงจากรถกันจนเกือบหมดเหลือไว้เพียงเด็กคนนั้นที่ยังคงนั่งอยู่บนรถไม่ยอมลง ครูจึงต้องเดินขึ้นไปบนรถ เด็กคนอื่นๆมองผ่านกระจกรถเข้าไปเห็นครูกำลังเดินไปหาเด็กคนนั้นที่นั่งอยู่ แต่แล้วครูก็กรี๊ดเสียงดังลั่นก่อนจะวิ่งลงมาจากรถด้วยท่าทีที่ตกใจ ทำให้ครูคนอื่นๆต้องเดินมาดูอาการ ครูคนนั้นได้แต่ชี้ไปยังเด็กที่นั่งอยู่บนรถแล้วก็พูดออกมาเพียงแค่ว่า ที่ขา...มี...มี...มือ ครูผู้ชายคนหนึ่งจึงตัดสนิใจเดินขึ้นไปบนรถ เมื่อเดินไปถึงตรงที่เด็กคนนั้นนั่งอยู่ก็เห็นเด็กคนนั้นได้แต่นั่งร้องไห้แล้วพูดออกมาว่า ครูครับขาผมถูกจับไว้ช่วยผมด้วยผมกลัว ครูผู้ชายจึงมองลงไปที่ขาของเด็ก แล้วก็พบว่าที่ขาทั้งสองข้างนั้นมีมือซีดๆสีขาวๆจับเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ครูผู้ชายจึงเอื้อมมือไปดึงเด็กคนนั้นออกมา แต่ดึงเท่าไรมือคู่นั้นก็ยังจับขาเด็กเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ด้วยความกลัวว่ายิ่งดึงเด็กก็จะยิ่งเจ็บครูผู้ชายจึงยอมปล่อยเด็กนั่งลงเหมือนเดิม จากนั้นจึงนั่งที่เก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างและถามเด็กคนนั้นว่าทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ได้ ก่อนหน้านี้ไปทำอะไรมาหรือเปล่า เด็กคนนั้นตอบไปร้องไห้ไปว่าก่อนหน้านี้ที่ขับรถผ่านสุสานเขาตะโกนท้าทายออกไป เมื่อครูได้ฟังเรื่องทั้งหมดก็ได้แต่ถอนหายใจ แล้วบอกให้เด็กคนนี้ขอโทษในสิ่งที่ทำลงไป เด็กคนนั้นทั้งขอโทษทั้งร้องไห้ออกมาจนฟังเกือบจะไม่เป็นภาษา แต่แล้วมือคู่นั้นก็ค่อยๆจางหายไปเหลือทิ้งไว้เพียงรอยมือที่ขาทั้งสองข้างเท่านั้น

“จบเรื่องที่ 99 แล้วค่ะทุกคน”

ต่อไปคามุยจะเป็คนเล่าเรื่องที่ 100 เทียนเล่มสุดท้ายที่ยังคงส่องสว่างอยู่ท่ามกลางความมืดตอนนี้เหลือเพียงเล่มเดียวเท่านั้น ถึงแม้ว่าสภาพของเพื่อนแต่ละคนในตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ไหวกันแล้ว คามุยก็จึงได้แต่สะกิดเพื่อนแต่ละคน ทั้งยังกระตุ้นให้ทุกคนสนใจเรื่องที่ตนจะเล่าเป็นเรื่องสุดท้าย

“ทุกคน ตั้งใจหน่อยสิเรื่องสุดท้ายแล้ว ไม่อยากรู้กันหรือไงว่าเมื่อเทียนเล่มสุดท้ายดับลงแล้วจะเป็นยังไง พวกเรามาท้าทายเรื่องลี้ลับนะไม่ได้มานอนกัน ตื่นๆกันได้แล้ว โองะ ริอง ตื่นได้แล้ว”

“ก็มันง่วงนิน่า คามุย นายไม่รู้สึกมึนๆหัวบ้างเลยหรือไง ฉันรู้สึกเพลียๆเหนื่อยๆ หายใจก็ไม่ค่อยออกด้วย”

“เอาน่าช่วยทนอีกหน่อยเถอะ อีกไม่นาเราก้จะรู้กันแล้วนะว่าเมื่อเล่าครบ 100 เรื่อง แล้วจะเกิดอะไรขึ้น”

“งั้นก็เริ่มเลยเถอะ จะได้ไม่เสียเวลา ฉันเองก็เริ่มปวดหัวเหมือนจะหลับให้ได้เหมือนกันแล้วตอนนี้”

“งั้นเริ่มละนะ เรื่องที่สุดท้าย”

                เรื่องที่ 100 เป็นเรื่องของความเชื่อที่ว่าหากจุดเทียนรื่องลี้ลับสยองขวัญวิญญาณเรื่องผี ครบทั้ง 100 เรื่อง แสงจากเทียนเล่มสุดท้ายจะสว่างและสวยงามมากที่สุดก่อนที่เทียนเล่มนั้นดับลง เหมือนกับเปลวไฟแห่งชีวิตที่ดับลงเมื่อชีวิตของคนๆนั้นได้ตายไป การเล่าเรื่องครบทั้งหมด 100 เรื่องนั้นเชื่อกันว่าจะทำให้ประตูโลกวิญญาณเปิดออกแล้วภูตผีปีศาจก็จะออกมาพาตัวคนที่เล่าทั้งหมดกลับไป

                “จบเรื่องที่ 100”

                เมื่อแสงจากเทียนเล่มสุดท้ายถูกดับลงไปภายในห้องก็มืดสนิทไม่มีใครพูดอะไรออกมา ภายในห้องตอนนี้มีพียงความมืดมิดและความเงียบเท่านั้น เมื่อผ่านไปได้ซักครู่ก็เริ่มมีเสียงถอนหายใจดังขึ้น เสียงของสองสาวเริ่มกระซิบกันเบาๆ ก่อนที่จะมีร่างๆหนึ่งลุกขึ้นเดินไปยังมุมห้อง แป๊ก หลอดไฟส่องแสงลงมาสว่างจ้า ทำให้บางคนต้องยกมือขึ้นมาเพื่อบังแสง คามุยเดินกลับมานั่งยังที่ของตนก่อนจะหันไปมองเพื่อนๆแต่ละคนที่ตอนนี้ต่างก็หันมองซ้ายมองขวากันไปมา

                “สงสัยนี้คงจะเป็นแค่เรื่องเล่าจริงๆนั้นแหละทุกคน ขอโทษด้วยที่ชวนพวกนายมาทำอะไรน่าเบื่อแบบนี้”

                “ก็ไม่ได้น่าเบื่อซะทีเดียวหรอก ก็สนุกดีเหมือนกัน อย่าคิดมากน่าคามุย”

                “ฉันว่าดีซะด้วยซ้ำไปหากมันเป็นเรื่องจริงพวกเราก็หายไปกันหมดสิ ฮ่าๆ”

                “จริงอย่างที่โองะว่านั้นแหละ คามุย นี้ก็ดึกมากแล้วพวกเรานอนพักกันที่นี้แหละ ตอนเช้าพวกเราค่อยกลับบ้านกัน”

                “มิไร พูดถูก อีก 5 นาทีจะตี 3 แล้ว เข้านอนกันเถอะ ตอนนี้ชักรู้สึกไม่ไหวแล้วจริงๆทั้งเพลียทั้งง่วงด้วย”

                เมื่อเด็กทั้ง 7 คนต่างเห็นด้วยกับความคิดนี้ ทุกคนจึงจัดการเตรียมพื้นที่สำหรับนอนได้แล้ว ต่างก็ล้มตัวลงนอนถึงพื้นจะแข็งไปหน่อยแต่ความง่วงก็ทำให้เรื่องนี้ไม่มีสำคัญเลย เมื่อปิดไฟลงเหลือเพียงแสงสว่างจากไฟฉายที่พกมากัน

                “ราตรีสวัสดิทุกคน”

                แสงจากไฟฉายแต่ละอันค่อยๆดับลงไปทีละอันๆ ความเงียบเริ่มกลับมาอีกครั้ง เหลือเพียงเสียงลมหายใจของแต่ละคน เสียงกระซิบที่พูดคุยกันก่อนหน้านี้ก็เริ่มเงียบไปหาย ตอนนี้ทุกคนหลับกันไปหมดแล้ว โดยที่ไม่มีใครรู้สึกตัวถึงสิ่งผิดปกติที่กำลังเกิดขึ้นนับจากที่แสงไฟจากเทียนเล่มสุดท้ายได้ดับลง.....

                ขณะนั้นเองเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดก็ได้กิดขึ้น เงามืดจำนวนมากค่อยๆคืบคลานเข้ามาภายในห้องวิทยาศาสตร์ ร่างของเด็กทั้ง 7 คน ที่หลับไหลไม่ได้สตินั้นตอนนี้ถูกเงามืดเหล่านั้นมองมาพร้อมแสยะยิ้ม หลังจากนี้พวกแกทุกคนจะต้องตาย วิญญาณของพวกแกจะต้องเป็นของพวกเรา ช่วยทำให้พวกข้าสนุกหน่อยละกัน หึหึ

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.6 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านเรื่องสั้นเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา