[ฝันเฟื่องเรื่องสั้น] เรื่องที่สาม : เพื่อนบ้าน

7.7

เขียนโดย larceta

วันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2557 เวลา 09.45 น.

  3 ตอน
  7 วิจารณ์
  6,006 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 10 มีนาคม พ.ศ. 2557 15.01 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

1) ช่วงต้น

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เรื่องที่สาม : เพื่อนบ้าน

 

     ท่ามกลางแสงแดดหน้าร้อนประหนึ่งจะหลอมละลายโลกได้ มีนาเดินเหงื่อซกพร้อมกับถุงกับข้าวที่มีอยู่เต็มสองมือ

     "ซื้อมาเยอะเกินไปแล้วสิ"

     เธอมองถุงอย่างละเหี่ยใจ เพราะความหิวชักนำแท้ๆ ความหิวขนาดที่ทำให้เธอซึ่งแพ้อากาศร้อนๆยอมกระชากตัวเองจากห้องแอร์เย็นฉ่ำออกไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต และเพราะมันอีกเช่นกันที่ทำให้เธอกวาดทุกอย่างที่อยากกินลงตระกร้า  รู้ตัวอีกทีก็ตอนคิดเงินไปแล้ว จากธนบัตรหลายใบในกระเป๋าที่จ่ายไป ที่ได้กลับมาก็เพียงเหรียญจำนวนหนึ่งกำมือ

     ช่องแช่แข็งจะมีที่พอไหมนะ เธอคิด ด้วยความที่บ้านเธอเป็นครอบครัวใหญ่ที่มีคนอาศัยหลายรุ่น ถึงขนาดของบ้านจะไม่ต่างจากบ้านทั่วไปที่อยู่กันสองสามคน  แต่กับตู้เย็นนั้นเป็นอีกเรื่อง  เพราะต้องรองรับรสนิยมเรื่องอาหารการกินที่แทบจะไม่เหมือนกันเลยสักคน  ตู้เย็นที่บ้านจึงต้องใหญ่กว่าบ้านคนธรรมดาหลายเท่า  ระดับเดียวกับตู้เย็นในร้านค้าหรือห้างสรรพสินค้าเลยทีเดียว  

     และมันก็มักจะแน่นไปด้วยของที่เธอไม่อยากกินอยู่เสมออีกด้วย

     คิดถึงตรงนี้ เธอก็มาถึงบ้านพอดี ด้วยมือสองข้างถือของหนักจนเลื่อนเปิดประตูไม่ได้  และความที่ไม่อยากวางอาหารกับพื้นที่มีแอ่งน้ำเฉอะแฉะ เธอจึงตะโกนเรียกคนในบ้านให้มาเปิดประตูให้

     แต่แล้วในตอนนั้นเอง เสียง ปึ๊ก! ก็ลั่นเข้ามาในหูเธอ พร้อมๆกับที่เธอรู้สึกถึงแรงสะเทือนที่หลังศีรษะใต้ขวัญ

     รอบตัวมืดลงเหมือนทีวีที่จอภาพถูกกดปิด....


-+-


     มีนาชักม่านที่หนักเหมือนมีหินถ่วงขึ้นหลังจากรู้สึกตัว ภายในตาโคลงเคลงราวกับเรือที่แล่นอยู่กลางทะเล นานพอดูทีเดียวกว่าเธอจะรู้ว่าเธอนั่งอยู่ในห้องรับแขกของบ้านตัวเองและถูกมัดกับเก้าอี้ไม้มีพนักพิงที่เอามาจากห้องครัว

     เกิดอะไรขึ้น...

     แค่คิดก็ปวดหัวแทบระเบิด  โดยเฉพาะหลังหัวซึ่งในตอนนั้นเธอมองไม่เห็นว่ามีแผลแตกและมีเลือดแห้งเปรอะเส้นผมไปหมด

     "รู้สึกตัวแล้วเหรอครับ"

     เสียงหนึ่งพูดขึ้นเมื่อเห็นเธอมีท่าทางได้สติ เธอเงยหน้าขึ้นและเพ่งสายตามองไปยังต้นเสียง  ภาพเลือนรางของชายที่เธอไม่อาจเห็นใบหน้ากับเสียงฝีเท้าเดินผ่านเธอไปก่อนจะนั่งลงที่โซฟาด้านตรงข้ามเธอ

     "คุณหลับไปนานเลย ตอนนี้ 4 โมงเย็นแล้ว"

     เขาแจ้งเวลา  ซึ่งขณะที่พูดนั้น มีนาเริ่มจะมองเห็นหน้าเขาชัดขึ้นแล้ว  เป็นชายหนุ่มใบหน้าคมคาย ผมสั้น สูงโปร่ง และอายุน่าจะไล่เลี่ยกับเธอ สวมชุดลายประหลาดเหมือนจิตรกรสาดสีใส่ผืนผ้าใบ

     "คะ...คุณเป็นใคร.." เธอเอ่ยถามด้วยเสียงอันแห่บพร่า

     ชายหนุ่มยกมือข้างหนึ่งขึ้น "ผมชื่อกรินต์ครับ  เป็นเพื่อนบ้านที่เพิ่งย้ายมาอยู่บ้านข้างๆคุณวันนี้เอง"

     มีนานึกย้อน  คลับคล้ายคลับคลาว่าจะได้ยินเรื่องนี้เหมือนกัน แต่การนึกออกเรื่องนี้ก็ไม่ช่วยให้อะไรกระจ่างขึ้นเลย

     "มัน...เกิดอะไรขึ้น...  ละ...แล้วทำไม...ฉันถึงโดนมัด..."  

     เธอเอ่ยกระท่อนกระแท่น พยายามเรียบเรียงคำให้เป็นประโยคเท่าที่จะทำได้

     กรินต์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า "นั่นฝีมือผมเองครับ รวมถึงเรื่องที่ผมเองที่เป็นใช้ฟาดหัวคุณด้วยขวดแก้วนี่เอง"

     เขาโชว์ขวดแก้วที่มีรอยแตกใบหนึ่งในเธอดู  หญิงสาวได้เห็นก็เกิดอาการตกใจ  และนั่นก็ทำให้ศีรษะเธอปวดจี้ดอย่างแรงขึ้นมา ม่านตาชักปิดและต้องก้มคอลงราวกับถูกมือดึงกระชาก

     "นี่ยังปวดหัวอยู่อีกเหรอครับเนี่ย" เขาเม้มริมฝีปาก "ทั้งๆที่ผมก็ว่าตัวเองยั้งมือมากแล้วนะ แบบนี้คงต้องโทษความอ่อนแอของตัวคุณเองแล้วล่ะ"

     มีนาได้ยินที่เขาพูดก็ยกหน้าขึ้นอีกครั้งและพยายามเพ่งมองหน้ากรินต์ ทว่าความเจ็บปวดทำให้ตาเธอไม่สามารถโฟกัสภาพได้เลย  

     กรินต์เห็นท่าทางเธอก็รู้ความคิด "ถ้าจะถามว่าผมตีคุณทำไม ก็เพราะคุณมาตะโกนโหวกเหวกตอนที่ผมกำลังทำงานอยู่ยังไงล่ะครับ" เขาตอบ "ผมน่ะ เกลียดพวกที่ชอบโหวกเหวกโวยวายมากๆเลยครับ  โดยเฉพาะเวลาที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่"

     ทำงาน?  เธอทบทวนคำเขาในความคิด แล้วตอนนั้นเองที่เธอเริ่มรู้สึกตัวว่า  นอกจากเสียงของชายหนุ่มที่ชื่อกรินต์ข้างหน้านี้แล้ว ไม่มีเสียงของใครอื่นในบ้านนี้เลย

     "แล้วคนอื่น..." เธอเค้นเสียงถามอย่างพยายาม "ทุกคน...ไปไหน...."

     "คนอื่น...หมายถึงคนอื่นๆในบ้านเหรอครับ?  คุณอยากเจอพวกเขาเหรอ" กรินต์ชักสีหน้าครุ่นคิดพร้อมใช้นิ้วชี้เกาขนที่ปลายคาง "เอางั้นก็ได้ครับ เดี๋ยวผมจะพามา ถึงงานจะยังไม่เรียบร้อยก็เถอะ"

     เขาพูดแล้วลุกออกไปนอกห้องที่ระเบียงทางเดิน ครู่หนึ่งก็กลับมาพร้อมลากบางอย่างเป็นเสียงครืดคราดเข้ามาในห้องด้วย

     สิ่งนั้นคือ ร่างไร้ศีรษะของชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง

     มีนากรีดร้องสุดเสียง  เสียงแห่บพร่าของเธอที่กรีดออกมานั้นราวกับทีวีไร้สัญญาณที่เปิดเสียงสุดวอลุ่ม  ทำลายความเงียบดั่งฝ่ามือที่ดึงกระชากฉีกริ้วม่านแห้งกรอบเป็นชิ้นๆ  ไม่เพียงแต่ความสยดสยองที่เธอรู้สึก ร่างนั้นแม้จะไม่มีศีรษะบนบ่า แต่จากขนาดรูปร่างและชุดที่สวมใส่ เธอรู้ว่านั่นร่างไร้ศีรษะนั้นคือคนในครอบครัวของเธอ

     ชายหนุ่มนิ่วหน้าอย่างไม่พอใจ เดินมาหาแล้วยันเธอล้มไปทั้งเก้าอี้  

     "บอกแล้วไงครับ  ผมไม่ชอบคนที่ส่งเสียงโหวกเหวกโวยวาย"

     แม้จะบอกแบบนั้นแล้ว หญิงสาวที่ตกใจสุดขีดไม่อาจหยุดกรีดร้องได้  ชายหนุ่มพยายามไขหูไม่รับฟัง แต่สักพักก็ทนไม่ได้ต้องลงมือทุบตีเธอ ไม่กี่ครั้ง เสียงกรีดร้องก็เหลือเพียงเสียงครวญครางจากความเจ็บปวด  และเพื่อป้องกันไม่ให้เธอส่งเสียงได้อีก  เขาจัดการปิดปากเธอด้วยเทปกาว  เช่นกันกับที่แขนและขาที่เขาเพิ่มเทปกาวพันให้แน่นขึ้นอีกหลายชั้นก่อนจะดึงเก้าอี้ขึ้นตั้ง

     "เท่านี้ก็เงียบหูไปที"  

     เขาพูดก่อนจะเดินไปลากร่างไร้ศีรษะมานั่งที่โซฟารับแขก บ่าที่เคยมีคอและศีรษะตั้งอยู่ตอนนี้เหลือเพียงท่อนเนื้อสั้นๆที่มีกระดูกโผล่ขึ้นออกมาตรงกลางเล็กน้อย  ล้อมรอบด้วยแผ่นหนังฉีกขาดเปื่อยยุ่ย จากรอยตัดเฉียงๆและมีชิ้นหนังบางส่วนถูกดึงยืดออกมาจนดูคล้ายกับหนังยางนั้นแสดงให้เห็นว่า คอของคนๆนี้ถูกปาดรอบเป็นวงกลมก่อนจะจับหัก จากนั้นก็ถูกจับหมุนจนกระทั่งดึงหลุดได้

     มีนามองร่างนั้นก็สั่นเทิ้มไปทั้งตัว เสียงร้องอู้อี้จากการถูกปิดปากมาพร้อมน้ำตาที่หลั่งไหลแทบจะเป็นสายเลือดอยู่แล้ว

     "ขนาดพูดไม่ได้ยังทำตัววุ่นวายได้ขนาดนี้เลยนะครับ  คุณนี่มันอัจฉริยะในการกวนประสาทผมจริงๆ"

     กรินต์เขม่นเธอก่อนจะทิ้งตัวลงที่โซฟาข้างศพ ลายประหลาดบนเสื้อนั้น  บัดนี้กระจ่างชัดแล้วว่านั่นไม่ลวดลายแต่เดิม  แต่เป็นรอยเลือดที่น่าจะสาดกระเซ็นเข้าใส่ตอนที่เขาลงมีอปาดคอเหยื่อ

     "ให้ตายสิครับ วันนี้มันมีแต่เรื่องหงุดหงิดจริงๆสำหรับผม โดยเฉพาะเรื่องเป็นตัวแทนครอบครัวที่จะต้องมาเยี่ยมเยียนทักทายพวกคุณที่เป็นเพื่อนบ้าน มันน่าหงุดหงิดชะมัดเลยนะครับที่ทำเป็นดีกับคนอื่นทั้งๆที่ในใจตัวเองไม่อยากเลยสักนิด  ผมอยากรู้จริงๆเลยว่าใครกันเป็นผู้กำหนดว่าคนเราต้องทำความรู้จักเพื่อนบ้าน ทั้งยังต้องทำตัวเป็นมิตรแล้วคอยช่วยเหลือกันอีก ค่านิยมยุคโมเสโปเตเมียชัดๆ"

     ถึงตรงนี้  เขาก็มีรอยยิ้มเล็กๆขึ้นที่มุมปาก  ทว่าแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น รอยยิ้มก็ถูกหุบเม้มไปพร้อมๆกับที่เขาก้มหน้าแล้วถอนใจยาว ก้มหน้าราวกับครุ่นคิดบางอย่าง

     นานหลายนาทีจากนั้น เขาพูดทั้งที่ยังก้มหน้าว่า "...ผมน่ะ  ทนไม่ไหวอีกแล้วกับการเสรแสร้งปิดบังตัวเอง..."

     คำพูดนั้นเองที่ทำให้หญิงสาวหยุดร้องและถึงกับต้องหันมองหน้าเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ

     เขาเงยสีหน้าที่หม่นหม่องขึ้นแล้วพูดต่อไปว่า "อย่างที่คุณเห็น  เดาได้ไม่ยากใช่ไหมครับว่าผมน่ะเป็นไอ้โรคจิต  ถ้าเป็นเรื่องที่ทนไม่ได้ ผมจะใส่มันให้สุดทางสุดโต่งอย่างไร้การยับยั้งชั่งใจ ที่ผ่านมา  ผมฆ่าคนมาแล้วมากมายเพราะเหตุผลเล็กๆน้อยๆ  หรืออาจเรียกได้ว่าไม่มีเหตุผลเลยอย่างในครั้งนี้ และแน่นอนว่าผมไม่ได้รู้สึกผิดและรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองทำไปเลยแม้แต่น้อย  เรียกว่าเป็นคนชั่วร้ายสมบูรณ์แบบในสายตาของคนทั่วไปเลยก็ว่าได้"

     เขาเว้นจังหวะปล่อยให้คำพูดซึมผ่านอากาศไปยังฝ่ายตรงข้าม  จากนั้นก็พูดต่อไปว่า

     "แต่นี่คือสิ่งที่ผมเลือกจะเป็น ผมไม่อยากเป็นอย่างผู้คนมากมายที่ทนทุกข์ทรมานเพราะเสรแสร้งโกหก สังคมสอนสั่งเราให้ใส่หน้ากากเข้าหากัน ปิดบังธาตุแท้  ทำตัวเป็นคนดี เป็นมนุษย์ประเสริฐสะอาดเอี่ยม  กดข่มสัญชาติญาณธรรมชาติเอาไว้ในตัวด้วยกฏซับซ้อนของสังคม ไร้อิสระเสรีในการกิน  นอน  ขับถ่าย หรือแม้แต่สืบพันธุ์" เขาหยุดหายใจครั้งหนึ่ง "กับคนที่สามารถเก็บกั้นมันไว้ตลอดรอดฝั่งก็ดีไป แต่อย่างไรเสีย  นั่นก็เป็นดินปืนที่พร้อมจะระเบิดขึ้นทุกเมื่อ ขอเพียงมีประกายไฟที่แรงพอเท่านั้น"

     เขาล้วงในกระเป๋าเสื้อหยิบไฟแช็คขึ้นมา  ไฟแช็คราคาถูกที่หาซื้อได้ทั่ว ตัวแทนไฟที่เขาพูดถึง

     "การระเบิดคือหายนะ" เขากล่าว "มันจะทำลายทุกอย่างจนพินาศ ไม่เพียงแต่ตัวคุณเท่านั้น แต่ไฟและความร้อนที่ออกมาจะทำให้ดินปืนของคนอื่นเกิดปะทุขึ้นไปด้วย ลุกลามจนอาจทำให้โลกนี้ถูกผลาญด้วยเพลิงนรก "

     เขาเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อพูดถึงตรงนี้  พร้อมที่มือดันลานไฟแช็คเป็นเสียงแชะๆให้เกิดประกายไฟ  ดูเหมือนเขาจะตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้นแทนที่จะจุดไฟไปเลย

     "แต่ทั้งๆที่รู้อย่างนั้นแล้ว คนส่วนใหญ่ก็ยังเลือกที่จะเก็บเชื้อปะทุไว้กับตัว  สุมกองไว้จนล้นหัว แบกรับความเสียงที่สักวันที่มันอาจระเบิดขึ้นได้ ที่ผ่านมา  กี่ครั้งแล้วที่ไม่สามารถรักษาเก็บข่มอัตตาของตัวเองได้จนกลายเป็นชนวนของความขัดแย้ง ลุกลามจากเล็กน้อยจากคนเพียงไม่กี่คนกลายเป็นกลุ่มชนสองฝั่งที่ทุ่มแรงเข่นฆ่ากัน  ทั้งด้วยคำพูดและการกระทำ  จนในที่สุดก็เกิดเป็นจราจลและสงครามที่คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วเป็นล้านๆคน  ถ้าเป็นเมื่อก่อน  ก็อาจจะพอศาสนาหรือเจตคติคอยช่วยกำกับมันไว้ได้บ้าง แต่สมัยนี้  จะมีสักกี่คนกันที่นับถือศาสนา  แล้วน้อยอีกสักเท่าไรที่นับถือศาสนาในแง่ของคตินิยม  ไม่ใช่วัตถุนิยม"

     เขากระแทกไฟแช็คลงกับโต๊ะ แม้เสียงที่เกิดจากมันจะไม่ดังอะไรนัก  ทว่าท่ามกลางความเงียบ  เสียงนั้นแทนได้เสมือนหนึ่งตัวแทนความวินาศที่เขากล่าวไป  

     ก้มหน้าหยุดไปอีกพักหนุึ่ง เขายกหน้าขึ้มามองไปยังหญิงสาวด้วยสายตาที่เขม่นและเคร่งเครียด

     "ระหว่างมนุษย์แบบนั้นกับผมที่คุณเห็นอยู่ตอนนี้  คุณคิดว่าใครดีกว่ากันเหรอครับ?"

     คำพูดของเขาทำให้มีนาไม่อาจกลั้นความตกตะลึงได้  ดวงตาของเธอที่เบิกขยายพร้อมกับเส้นเลือดที่ปูดโปนในคลองจักษุโลหิตจับจ้องไปกรินต์อย่างไม่วางตา แน่นอนว่านั่นแสดงถึงความโกรธแค้นที่เธอ แต่อย่างไรมันก็ไม่ใช่ความรู้สึกทั้งหมดที่ดวงตานั้นแสดงออกมา  ในแววตานั้นยังมีความรู้สึกอื่นๆปะปนอยู่ด้วย เธอไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกนี้ว่าอย่างไรดี 

 

     คล้ายกับเธอได้เห็นอนุสาวรีย์ผิดรูป  แต่ทว่าภาพลักษณ์ของมันกลับกลมกลืนกับสิ่งที่อยู่รอบตัวไม่มีผิด

 

-++-

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา