[เรือคาราวานที่ไปไม่ถึงฝั่ง]

9.0

เขียนโดย larceta

วันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2557 เวลา 19.27 น.

  4 ตอน
  3 วิจารณ์
  6,014 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 เมษายน พ.ศ. 2557 21.18 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

1) ศิษย์เอกแห่งสำนัก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

--\__1__/--

     ศิษย์เอกแห่งสำนัก

     กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ เขต วัน-ซีโร่-วัน ชายขอบภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอาณาจักรแห่งเวทมนต์  ดินแดนแห่งปราชญ์หรือเรียกกันว่า 'นครแห่งการศึกษา' สถานที่ซึ่งเป็นแห่งรวบรวมตำรับตำราและความรู้จากทั่วทุกมุมโลกเอาไว้  และเป็นสถานที่ซึ่งมีจอมเวทย์และผู้ศึกษาตำราอยู่เป็นจำนวนมาก  มีตำหนักและสำนักการศึกษาอันโด่งดังมากมาย  ทั้งสำนัก 'ศูนย์กลางกายภาพ (Physic Center)' , ปัญญาสาร (The Brain) , เคมีสารแห่งอู (Chemical of Ou) และอีกมากมายที่อาจต้องใช้เวลาทั้งชีวิตหากคิดจะจบการศึกษาจากสถาบันในเมืองนี้ให้ได้ทุกสำนัก

     ทว่าเรื่องราวครั้งนี้หาได้เกิด ณ สถาบันใหญ่ดังกล่าวไม่ แต่เป็นสำนักการศึกษาเล็กๆทว่ามีคุณภาพแห่งหนึ่งซึ่งก่อตั้งโดยอดีตจอมปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ได้รับขนานนาม อภิมหึมามหาอุปราชย์แห่งวัน-ซีโร่-วัน ชายชราซึ่งปัจจุบันเส้นผมที่ผ่านอายุการใช้งานมาราว 300 ปีได้สลัดสีสันต์และความชุ่มชื่นทั้งปวงทิ้งเหลือเพียงกอเส้นบางๆขาวโพลนไปแล้ว -แกรนด์มาสเตอร์ดอล์ฟ- ญาติโคตรห่างของแกรนด์ดอล์ฟ ณ มิดเดิลเอิร์ท

     ระหว่างที่เขากำลังละเลียดอาหารเช้าอันได้แก่เนื้ออีกัวน่ายำข้าวคั่วใบสาระแหร่กับเครื่องดื่มยอดข้าวตราสิงโตทองอยู่นั้น  จากประตูทางเข้าสำนักที่ห่างจากตำหนักของเขา  เสียงตะกุบตะกับตึงตังเหมือนกระทิงตกมันทั้งฝูงกำลังวิ่งไล่กระทืบไฮยีน่าดังขึ้นจากทางนั้น  เสียงที่ทำให้เขารู้ได้ทันทีเป็นเสียงฝีเท้าของเจ้าลูกศิษย์สุดรักของเขา (?)  ที่มีชื่อตัวที่ทั้งอ่านก็ยากทั้งเขียนก็งงจนอดนึกไม่ได้ว่าสภาประสูติยอมให้ตั้งเป็นชื่อมนุษย์ได้อย่าง  'ซเวซเซซซเวซวซเววเซซเซวซ (Zvezzezvezvzvevzezzevz)' ซึ่งเมื่อรวมกับนามสกุลของตระกูลขุนนางเก่าที่ยาวเฟื้อยไม่แพ้กันแล้ว  ต้องใช้ขนาดตัวอักษร 4 พอยน์ลงไปเท่านั้นจึงจะเขียนชื่อ-นามสกุลลงในบัตรประจำตัวได้

     ไม่ถึงสิบวินาทีต่อมา  ประตูไม้เก่าแก่ดีดผึงออกด้วยแรงผลักจากฝ่าเท้า  สลักกลอนซึ่งทำจากทองคำแท้ 120% ลอยทะลุกระป๋องเครื่องดื่มยอดข้าวไปเฉียดจมูกที่ยาวและงุ้มลงเหมือนจงอกปากนกแก้วของเขาราวสามไมคร่อน ก่าอนจะลอยไปกระแทกไหลายครามที่ได้รับมาจากราชวงศ์ชิงเขา(มา)เมื่อราวร้อยปีก่อนแตกละเอียด  เสียงเพล้ง! สนั่นหูดังขึ้นพร้อมๆกับที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งกระโจนเข้ามาในห้องด้วยขึงขังท่าทางราวกับผู้กล้าบุกเข้าปราสาทจอมมารและพูดขึ้นด้วยเสียงระดับเดียวกัน

     "ข้ามาแล้วกรั๊บ!  บร๊ะอาจาน!!"

     ดอล์ฟปราชญ์เฒ่าหันหน้าที่เปียกชุ่มไปด้วยฟองเครื่องดื่มกลับมา "ข้าบอกหลายครั้งแล้วไม่ใช่เหรอ  จะเข้าห้องข้าให้เคาะประตูก่อน... ไม่สิ  เจ้าน่าจะส่งจดหมายเวทมนต์ไม่ก็ใช้ "สารตรง" ส่งข้อความมาบอกข้าก่อน เจ้าก็มีกระบอกโทรสารเวทมนต์อยู่ไม่ใช่หรือ"

     ที่เขาพูดถึงก็อุปกรณ์ที่อยู่ในมือของเด็กหนุ่ม  อุปกรณ์ที่มีลักษณะเป็นหน้าจอสี่เหลี่ยมแบนๆขนาดหนึ่งฝ่ามือซึ่งชาวอาณาจักรแห่งเวทมนต์ใช้สื่อสาร  ทั้งแบบการพูดคุยสนทนาและการส่งข้อความแบบจดหมาย ควบคุมโดยกระทรวงสื่อสารและคมนาคมเวทมนต์  โดยอันที่ดอล์ฟให้กับลูกศิษย์นี้เป็นแบบเหมาจ่ายรายเดือนซึ่งจะแถมระบบสื่อสารที่ชื่อว่า "สารตรง (Line)" ให้ด้วย   แถมยังแจก "ลวดลายเวทมนต์ประดับข้อความ (Sticker)" ให้อีก 480 แบบด้วย  เป็นระบบที่ทันสมัยที่สุดแล้วก็ใช้ง่ายแบบสุดๆ ขนาดที่ลิงชิมแพนซียังสามารถหัดได้ภายในวันเดียว

     แต่การที่เขานำสติปัญญาของศิษย์รักไปเทียบกับลิงซิมแพนซีนั้นเป็นเรื่องที่ผิดถนัด  เพราะลูกศิษย์ของเขาคนนี้สติปัญญาต่ำเตี้ยกว่านั้นเยอะ

     "ข้าว่าข้าบอกบร๊ะอาจารย์หลายหนแล้วนะกรั๊บ ข้าน่ะอ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือก็ไม่แตก แล้วแบบนี้  จะให้คนอย่างข้าใช้กระบอกโทรสารเวทมนต์เนี่ย  บร๊ะอาจารย์เอาสมองส่วนไหนคิดเหรอกรั๊บ"

     ดอล์ฟได้ยินคำตอบของศิษย์รักก็นึกอยากเอา -กระสุนเวทมนต์ขนาดเจ็ดสิบเก้ามม. (Magic 79)- ยัดใส่สมองศิษย์รักตะหงิดๆ  แต่พอนึกได้ช่วงนี้หลังจากมีเหตุการณ์ยิงเวทมนต์สลายกลุ่มผู้ประท้วงขอขึ้นราคาจำนำพืชผลเมื่อหลายเดือนก่อน รัฐบาลก็เลยกวดขันเรื่องการใช้เวทมนต์เป็นพิเศษ โดยเฉพาะกระสุนเวทมนต์ ทำให้ดอล์ฟต้องระบายความเครียดด้วยการกินกระป๋องเข้าไปแทน

     นี่ข้าหลวมตัวเอาไอ้บ้ามาเป็นลูกศิษย์ได้ยังไงกันนะ

     เขานึก 3 ปีมาแล้วนับแต่วันที่ซเวซ (Zvez ชื่อเล่นเขาจำต้องเรียก  เพราะการเรียกชื่อเต็มๆของเด็กหนุ่มเคยทำให้เขาต้องเข้าไอซียูมาแล้วครั้งหนึ่งเพราะกัดลิ้นตัวเอง)  มาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ เพราะเป็นหลานของเพื่อสนิทที่ให้ความเคารพนับถือกันมานบวกกับค่าบำรุงการศึกษาที่ทางโน้นจ่ายให้มามากพอดู อีกทั้งหากดูกันแต่ภายนอก เซวซเซซซเวซวซเววเซซเซวซ เป็นเด็กหนุ่มวัยกระทง 15 ขวบปีที่จัดว่าดูดีทีเดียว ถึงจะไม่ถึงขั้นหน้าเข้ม คิ้วหนา ตาคม จมูกโด่งเป็นสัน ปากหยักได้รูป ผิวขาวเป็นสรตะก็ตาม แต่ก็เป็นเด็กหนุ่มผมดกดำ สูงโปร่ง ผอมบางแต่ไม่ถึงขั้นเก้งก้าง และที่สำคัญยังเป็นลูกชายคนสุดจากตระกูลเศรษฐีแห่งดินแดนทางเหนือ  เรียกได้ว่าทั้งรูปทรัพย์และนามทรัพย์นั้นเข้าขั้นสมบูรณ์แบบ

     แต่บัดนี้  ดอล์ฟรู้ซึ้งแล้วถึงสุภาษิตโบราณที่ว่า "อย่าตัดสินหนังสือแค่หน้าปก"  บวกเสริมเข้าไปว่า "หน้าปกสวย  ใช่ว่าจะเป็นหนังสือที่ดี" ด้วย

     ไม่เพียงแค่อายุทางปัญญาจะอยู่ในระดับที่ต้องลบจากอายุตัวไปราวๆ 10 ปีหรือมากกว่านั้นเท่านั้น ไอ้เจ้าเด็กบ้านี่คือตัววินาศสันตะโรของแท้   ให้ปัดกวาดเช็ดถูบ้านก็เล่นเอาสะอาดเละทะ  ให้ทำสวนก็ทำเอาทั้งสวนกลายเป็นสนามเพลาะสงคราม ให้ก่อไฟทำอาหารเช้าก็ทำเอาตำหนักของเขาหลังหนึ่งวอดไปทั้งหลัง สุดท้าย  ดอล์ฟจึงสั่งให้เขาไปคอยเฝ้าบ่อน้ำกับทุ่งหญ้าที่เขาซื้อไว้ตอนที่มีจัดสัมประทานเมื่อสักร้อยปีก่อนซึ่งห่างไปราว 10 กิโลเมตร ระยะที่แน่ใจว่าต่อให้มีเรื่องอะไรก็ไม่เดือดร้อนถึงที่ตำหนักแน่

     ผ่านไปพักใหญ่หลังเสริมธาตุเหล็ก(?)แล้วสงบใจได้ ดอล์ฟนำเซวซมาที่ศาลากลางสวนดอกไม้เพื่อทำการพูดคุย  อย่างน้อยด้วยสีสันต์และกลิ่นหอมของดอกไม้คงพอทำให้เขาสงบใจในการคุยกับศิษย์รักคนนี้ได้

     "มีธุระอันใดกับข้าเหรอกรั๊บ บร๊ะอาจาน  ถึงได้โทรไปเรียกข้าให้มาพบวันนี้"

     ที่จริง  ตูนัดไว้พรุ่งนี้โว้ย  ดอล์ฟนึกก่อนจะพูดตอบไป "มีแน่นอน  แต่ก่อนอื่นเลยนะ คำที่เจ้าใช้เรียกข้านี่มันไม่อินเตอร์เอาเสียเลย ทำไมถึงไม่เรียกข้าว่า -มาสเตอร์- อย่างคนอื่นๆเขาเล่า"

     "ก็มันเรียกยากนี่กรั๊บ" ซเวซตอบ "แล้วอีกอย่าง มันฟังดูเหมือนแผ่นยารักษาบาดแผลด้วย"

     "นั่นมัน -พลาสเตอร์ (Plaster)-" ดอล์ฟเปิดเครื่องดื่มสิงโตทองกระป๋องใหม่แล้วยกขึ้น จากนั้นพูดกับลูกศิษย์ต่อไปว่า "ที่ข้าเรียกเจ้ามาพบในวันนี้ก็เพราะเรื่องการศึกษาของเจ้านั่นแหละ  นับแต่วันที่พ่อกับแม่ของเจ้ามาฝากให้เป็นศิษย์ข้า  ...ผ่านมาสามปีแล้ว แม้แต่รายวิชาพื้นฐานอย่างวิชาบวกลบเลขหรือท่องตัวอักษร  เจ้าก็ยังไม่ผ่านเลย"

     "เอ๋  จริงหรือกรั๊บ" ซเวซข้องใจยิ่ง "ไม่น่าเป็นไปได้  ข้าว่าข้าน่าจะผ่านสองวิชานั้นไปได้แล้วนากรั๊บ"

     ดอล์ฟได้ยินเช่นนั้นก็ถามไปว่า "ถ้าเจ้าว่าเจ้าผ่านแล้ว  เช่นนั้น 1+5 เท่ากับเท่าใด"

     "โว๊ะ  หมูๆ" ซเวซตอบทันควันพลางยกนิ้วขึ้นนับตัวเลข  ผ่านไปราวนาทีนึงได้จึงตอบว่า "6 ขอรับ"

     "ถ้าอย่างนั้น  5-3"

     ซเวซใช้เวลานับนิ้วอีกนาทีครึ่งแล้วตอบ "2 กรั๊บ"

     "ถ้าเช่นนั้นแล้ว 4+8 ล่ะ?"

     "สองหลักแบบนั้นมันเกินนิ้วมือข้าจะนับได้แล้วกรั๊บ"  ซเวซตอบแล้วทำให้หน้างอใส่จนดอล์ฟยอมใจ

     "ถ้าเช่นนั้นก็เป็นวิชาท่องตัวอักษรแล้วกัน ตอบมาว่าตัวอักษรที่เจ้าเห็นนี้เรียกว่าอะไร"  

     เขาพูดแล้วใช้เวทมนต์วาดตัวอักษรขึ้นกลางอากาศเป็นตัว "A"

     "จิ้บๆ ตัว 'เอ' แอนท์ (Ant) ขอรับ"

     มีแถมคำศัพท์มาด้วย คงจำภาพมดมาจากกระดานภาพช่วยจำสินะ  ดอล์ฟคิดแล้ววาดภาพตัวอักษรตัวต่อไป "U"

     ซเวซถลึงตาใส่เขา  ก่อนจะทำหน้านึกเหมือนกำลังจินตนาการถึงกระต่ายใส่ชุดคาบาเร่ห์เต้นรำอยู่ดาวแสนไกลสุดขอบจักรวาล พักหนึ่งจึงตอบมาว่า "'ยู' ผู้ชายโสด"

     "หา?" ดอล์ฟหูผึ่งและดูจะงงๆกับสิ่งที่ได้ยิน  แต่เขาเลือกที่จะไม่ถามตอนนั้นแล้ววาดตัวอักษรต่อไป "V"

     ซเวซกัดริมฝีปากเหล่ตามองกระมิดกระเมี้ยน  ก่อนจะจุ๊ปากแล้วตอบว่า "วี ผู้หญิงโสด"

     ดอล์ฟสูดหายใจลึกๆก่อนจะวาดตัวอักษรต่อไป "W" ซึ่งก็ได้คำตอบจากศิษย์รักก็เป็นไปตามที่เขาสังหรณ์ไว้เป๊ะๆ

     "ดับบลิว ผู้หญิง  น่าจะมีลูกแล้ว 3 คน"

     ให้ตายเถอะพระสังฆ์ถอดรูป  ดอล์ฟได้ยินคำตอบจากศิษย์รักก็นึกอยากผูกคอตายกับต้นมะเขือเทศ ตำหนักการศึกษาที่ขึ้นชื่อว่าสร้างคนเป็นใหญ่เป็นโตได้นับร้อยรุ่นจะมีหล่มขี้เกิดขึ้นก็รุ่นนี้แหละ

     "บวกลบเลขก็ไม่ได้  ตัวอักษรก็จำไม่ได้  แบบนี้แล้วยังเรียกตัวเองว่าเป็นนักศีกษาได้อีกงั้นรึ! แล้วอนาคตอีก เจ้าคิดจะไปทำมาหากินอะไร!!"  

     "แต่ข้าวาดภาพได้นะ" ซเวซแย้ง "บร๊ะอาจารย์ก็เคยเห็นแล้วไม่ใช่หรือ ภาพวาดของข้าน่ะ  แถมตอนนั้น ท่านยังชมเลยว่าฝีมือดีทีเดียว"

     ดอล์ฟนึกถึงและก็ยอมรับในเรื่องนี้ หนึ่งเดียวในรายวิชาที่ซเวซทำได้ดีเยี่ยมก็คือวิชาวาดภาพ ทั้งเรื่องแสงเงาและการใช้สีที่ไม่เหมือนใครซึ่งสามารถทำให้ทุกคนที่เห็น  ไม่มีใครสักคนที่จะไม่พูดถึงแซร่ซ้อง กล่าวได้ว่าในเรื่องการวาดภาพนั้น  ซเวซถือว่าเข้าขั้นอัจฉริยะเลยทีเดียว

     "แต่ถ้าเจ้าจะเป็นจิตรกรเพื่อวาดภาพขาย  อย่างน้อยก็ต้องคิดเงินเป็น  แล้วยังมีเรื่องสัญญาลิขสิทธิ์ที่ต้องอ่านต้องทำอีกหลายอย่าง  ถ้าไม่รู้หนังสือ  เจ้าจะทำได้ยังไง"

     "ก็ไม่ยากนี่กรั๊บ  ก็ขอให้ใครสักคนมาช่วยแปลช่วยคิดก็สิ้นเรื่อง"

     "แล้วเจ้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเจ้าจะไม่ถูกโกง คนเราเดี๋ยวนี้หาไว้ใจได้ยากมาเลยนะ"

     ซเวซทำหน้านึก ก่อนจะยิ้มออกมาแล้วพูดไปว่า "งั้น  อาจารย์ก็มาช่วยข้าสิครับ  ถ้าเป็นอาจารย์ละก็  ไว้ใจได้แน่ๆ"

     "นี่ล่มจมคนเดียวไม่พอ  จะลากข้าให้จมหล่มขี้ไปด้วยเหรอไงวะ!!"

     ดอล์ฟตวาดจนเส้นเลือดปูด ความดันพุ่งสูงจนต้องดับด้วยเครื่องดื่มตราสิงห์ทองอีกครั้ง

     "ข้าถามเจ้าจริงๆเถอะนะ ทำไมถึงเจ้าถึงไม่ตั้งใจเรียนตั้งใจฟังที่ข้าสอนสั่งเลย  ดูตอนนี้สิ เพื่อนๆที่เข้าเรียนรุ่นเดียวกับเจ้าน่ะ  ตอนนี้เข้าไปข้ามชั้นไปเรียนหลักสูตรปริญญากันหมดแล้ว แถมบางคนยังได้เป็นมาสเตอร์จนมีสำนักเป็นของตัวเองแล้วด้วย มีแต่เจ้าคนเดียวที่ยังล้าหลังไม่ยอมโตกับเขาเสียที"

     "ก็ช่างพวกเขาสิขอรั๊บอาจารย์  ข้าน่ะอยู่กับอาจารย์แล้วสบายดีออก  ถ้าเป็นไปได้  ข้าอยากจะอยู่กับท่านแบบนี้ตลอดไปเลย"

     "นี่คิดจะเกาะข้าไปถึงวันตายเลยหรือไงวะ  ไอ้เด็กเปรตตะลิงปลิง!!"

     เส้นเลือดอีกเส้นของดอล์ฟโป่งขึ้นที่หลังหัว ความดันพุ่งสูงเป็นครั้งที่สามแล้ว และนั่นหมายถึงสิงทองกระป๋องที่สามเช่นกัน

     ตั้งแต่ก่อตั้งสำนักมา  ก็เพิ่งจะมีลูกศิษย์คนนี้แหละที่แหวกคอกชาวบ้านเขาแบบสุดๆ  ไม่ว่าจะสอนจะสั่งอะไรก็ไม่เคยจำ  ทำตัวล่องลอยไปวันๆ  ไม่เป็นโล้ไม่เป็นพาย  

     หากเป็นแบบนี้ต่อไป  มีหวังต้องได้เลี้ยงดูไปจนตายไม่ต่างอะไรกับเด็กพิการอันไซเม่อร์แน่

     เห็นท่าทางเครียดและโกรธเคืองของของดอลฺฟ  ซเวซก็คิดว่าควรจะพูดอะไรสักอย่างให้อาจารย์ให้รู้สึกดีขึ้น

     "ก็ไม่ใช่ว่าข้าจะเกลียดหนังสือไปหมดหรอกนะกรั๊บ หนังสือที่มีภาพสวยๆเยอะๆน่ะข้าชอบมากเลย  อย่าง Maxim FHM Pure Girl อะไรพวกนี้"  

     "นี่เอ็งแอบอ่านหนังสือในหมวดหนังสือผู้ใหญ่งั้นเรอะ!"  

     ดอล์ฟใช้หมัดเขกกระโหลกซเวซอย่างแรงไปโครมใหญ่  ผลกลายเป็นตรงข้าม แทนที่จะหายโกรธกลับกลายเป็นโกรธยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

     "เขกหัวข้าทำไมล่ะ บร๊ะอาจารย์!!"

     "ก็เขกกระโหลกหนาๆมึนๆของแกให้มันรู้สึกน่ะ!!"  ดอล์ฟตวาด "หนังสือดีๆมีความรู้อย่างอื่นไม่ยอมอ่าน  ไอ้เด็กจัญไรใฝ่ต่ำ!!"

     ซเวซกุมหัวปูดโนของตัวเองแล้วตอบทั้งน้่ำตาว่า "ก็ข้าทนอ่านหนังสือพวกนั้นไม่ได้นี่นา หนาก็หนาอย่างไม้หมอนรถไฟ แถมตัวหนังสือในหนังสือพวกนั้นก็แน่นกะยึกกะยืออย่างกับตัวหนอนไม่มีผิด  ข้าขยะแขยงพวกหนอน  แค่เปิดได้ 3 หน้า  ข้าก็อยากจะอ้วกแล้ว"

     "หนอยแก!"

     ดอล์ฟง้างมือและทำท่าจะลงมืออีกครั้ง  ทว่าเมื่อเห็นซเวซหลบสายตาเอามือกุมหัวตัวสั่นเป็นลูกนก  เขาก็เหมือนจะได้สติกลับคืนมาจากความรู้สึกสงสาร  จึงนั่งลงเพื่อสงบสติอารมณ์ตัวเอง ครุ่นคิดว่าจะทำยังไงกับลูกศิษย์ของตนคนนี้ดี

     หลังหลับตาเข้าสู่ความสงบจนเข้าชาญสมาธิพักใหญ่  เขาก็ลืมตาขึ้นแล้วพูดกับลูกศิษย์คนนี้ว่า

     "เจ้าบอกว่าทนอ่านหนังสือที่มีตัวหนังสือไม่ได้ แต่ข้าขอถามเจ้าตรงๆ  เจ้าน่ะ ยังอยากได้อยากมีซึ่งความรู้อยู่อีกหรือเปล่า?"

     ซเวซที่ก้มหน้ากุมขมับอยู่ค่อยเงยหน้าแล้วหันสายตาไปหาอาจารย์  เขาทบทวนคำถามที่ได้ยินในใจซ้ำอีกครั้งแล้วพยักหน้าตอบช้าๆ

     "ทั้งที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แต่ก็อยากมีความรู้ เป็นความปรารถนาด้านเดียวที่ขัดกับหลักการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมอย่างร้ายแรงเลยทีเดียว" ดอล์ฟมองสายตาอ่านความคิดของลูกศิษย์ก่อนจะตอบไปว่า "แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว มีสิ่งหนึ่งเหมือนกันที่สามารถทำให้เจ้ามีความรู้โดยไม่ต้องอ่านต้องเขียน"

     "จริงหรือกรั๊บ บร๊ะอาจารย์!" ซเวซออกอาการตื่นเต้น

     ดอล์ฟพยักหน้า "ไม่เพียงแต่แค่ความรู้พื้นฐานเท่านั้น แต่ของสิ่งนั้นยังจะสามารถทำให้เจ้าได้ความรู้ที่มีอยู่ทั้งหมดในโลกมาไว้ในครอบครองเลยทีเดียว"

     ซเวซโพล่งตาเปล่งเสียง"อย่างกับของวิเศษของโ-ราเอม-นเลย"

     'เรื่องไร้สาระนี่รู้ดีนักนะแก' ดอล์ฟคิด

     เด็กหนุ่มจับตัวดอล์ฟเขย่า "ข้าอยากได้ บอกทีบร๊ะอาจารย์  สิ่งนั้นคืออะไรแล้วก็อยู่ที่ไหนเหรอ"  

     "ไม่ต้องเขย่าก็ได้โว้ย!!" เขาสลัดตัวให้หลุดเพราะหัวหมุน ก่อนจะจัดเสื้อผ้าเสียใหม่แล้วบอกไปว่า "สิ่งนั้นน่ะเป็นไอเท็มในตำนานอย่างหนึ่ง  ไม่มีใครรู้หรอกว่ามันอยู่ทีไหน"

     "อ้าว" ซเวซทำหน้างอใส่  สายตานั้นบ่งบอกความเสียดายและตำหนิผู้เป็นอาจารย์ว่า "แล้วจะบอกให้อยากทำซาก'ไรฟะ"

     ดอล์ฟรู้ทันและอาศัยจังหวะนี้เผยใต๋ เขากระแอมครั้งหนึ่งก่อนจะบอกไป "ถึงตอนนี้จะไม่มีใครรู้ว่าสิ่งนั้นอยู่ที่ไหน  แต่ก็ใช่ว่าจะมืดบอดไปเลยทีเดียว"

     เขาดีดนิ้วใช้เวทมนต์  ทันใดนั้น  บนโต๊ะก็มีหนังสือเล่มหนึ่งปรากฎขึ้น หนังสือเล่มบางที่ทำด้วยปกหนังสีฟ้าน้ำทะเลซึ่งด้านบนของปกมีชื่อเป็นตัวอักษรเขียนไว้ว่า "ตำนานแห่งเรือคาราวาน"

     ซเวซพยายามก้มหน้าอ่านข้อความใต้รูปเรือสำเภาหยาบๆบนปก  แต่เพราะเรื่องภาษาเขาไม่กระดิก  จึงเงยหน้าขึ้นส่งสายตาให้ดอล์ฟอ่านให้

     "Tales of Caravan Boat หรือตำนานแห่งเรือคาราวาน"

     "เรือคาราวาน?"

     "สิ่งที่จะทำให้เจ้ามีความรู้ได้โดยไม่ต้องเรียนรู้ยังไงล่ะ" ดอล์ฟรีดเคราขาวยาวเหมือนรากไทรให้เป็นเส้นตรง "เรือคาราวานคือเรือที่บรรจุสรรพความรู้ทั่วโลกเอาไว้  ไม่ว่าจะเก่ายุคหินหรือแม้แต่ความรู้ในอนาคต  ในนี้ก็มีพร้อมสรรพให้เจ้าทั้งหมด"

     พูดจบ  เขาก็ยื่นหนังสือเล่มดังกล่าวให้ซเวซ

     "ในหนังสือเล่มนี้มีคำใบที่บอกถึงที่ซ่อนของเรือคาราวาน  ถ้าหากเจ้าอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วตีความออก  เจ้าก็ได้รู้ที่ซ่อนของมัน แล้วตอนนั้นแหละที่เจ้าจะได้สรรพความรู้ทั้งมวลในโลกนี้มาครอบครอง"

     ซเวซรับหนังสือเล่มนั้นมา  รีดหน้ากระดาษเนื้อหา  เหมือนที่คิดไว้ไม่มีผิด  ตัวหนังสือล้วน ไม่มีภาพประกอบแม้แต่ภาพเดียว  

     เขาเงยหน้าแล้วถามดิล์ฟ "แล้วทำไมบร๊ะอาจารย์ไม่แปลแล้วอ่านให้ผมฟังเลยล่ะกรั๊บ จะได้ไม่เสียเวลา.."

ไม่ทันจะพูดจบ  ฝ่ามือของดอล์ฟก็ทุบลงกบาลของซเวซอย่างจังอีกครั้ง

     "แค่นี้ข้าก็ปราณีเอ็งสุดๆแล้ว! ไอ้จัญไร ได้คืบจะเอาศอก ข้าไม่ใช่คนรับใช้ของเอ็งนะโว้ย!" เขาตวาด "ถ้าอยากอะไรก็ใช้ความพยายามไปทำไปหาเอาเองบ้างสิโว้ย!!"

     แทนคำสั่งขาด  ซเวซแม้จะมึนขนาดไหนแต่เจอแบบนี้เข้าไปก็ไม่กล้าปริปากขออีก  เขามองหนังสือเล่มบางสีฟ้าอย่างขนลุกขนพอง ไม่รู้จะมีตัวหนังสือที่เหมือนตัวหนอนอยู่ในนั้นมากขนาดไหน  

     แต่อย่างไรก็ดี  ความเย้ายวนของสิ่งที่เรียกว่าเรือคาราวานนั้นก็เอาชนะความกลัวนี้ไปได้

     เช้าวันรุ่งขึ้น ดอล์ฟเดินมาส่งซเวซที่จะต้องออกเดินทางที่ประตูตำหนัก

     "ข้ามาส่งเท่านี้ล่ะนะ" ดอล์ฟบอก "จากนี้ไปก็ให้เจ้าขึ้นรถม้าไปทางตะวันออกราวครึ่งวัน จะเจอท่าเรือเล็กๆอยู่ ใช้ที่นั่นเป็นจุดเริ่มต้นก็แล้วกัน ไปได้แล้ว"

     ซเวซพยักหน้า  แต่แทนที่จะขยับไปไหน  เขากลับยืนจ้องหน้าอาจารย์เหมือนกับมีอะไรจะถาม

     "มีอะไรอีกรึ  หรือนี่คิดจะเปลี่ยนใจแล้ว" ดอล์ฟถาม

     ซเวซส่ายหน้า "เปล่ากรั๊บ  ข้าไม่ได้เปลี่ยนใจ  แต่ว่าท่านบร๊ะอาจารย์ลืมอะไรหรือเปล่ากรั๊บ"

     "ลืม?" ดอล์ฟเลิกคิ้วถาม  "นี่ข้าลืมอะไรด้วยงั้นรึ"  

     ซเวซพยักหน้าอีกครั้ง "ก็ผอบไงกรั๊บ?" เขาบอก "ปกติแล้วเวลาลูกศิษย์ออกเดินทาง  บร๊ะอาจารย์จะต้องมอบผอบให้ลูกศิษย์ไม่ใช่รึกรั๊บ แบบที่เปิดมาแล้วจะมีสาวงามออกมาน่ะกรั๊บ"

     ปึ้ด! เสียงเส้นเลือดดันหนังหน้าดังขึ้นมาจากหน้าผากของดอล์ฟ

     "นี่เอ็งเป็นจันทรโครพหรือไงวะ! แล้วข้าก็ไม่ใช่พระฤาษีนะโว้ย!!" ดอล์ฟตวาด "เลิกบ้าละครเช้าเสาร์-อาทิตย์แล้วไสหัวไปได้แล้วโว้ย!!"

     เขาเตะโด่งซเวซลอยลิ่วจากประตูตำหนักหัวทิ่ม จากนั้นก็ปิดประตู ปึง! ใส่ทันที  ซ้ำยังปิดล็อกกลอน 28 ชั้นด้วยเพื่อป้องกันศิษย์รักจะเปลี่ยนใจ

     ด้วยเหตุนี้  การเดินทางค้นหาเรือนคาราวานในตำนานของซเวซจึงเริ่มต้น  เป็นภารกิจที่หากไม่สำเร็จเขาจะไม่กลับมาที่สำนักอีก (หรือถึงจะกลับตอนนี้ก็กลับไม่ได้แล้ว)

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา