เรื่องที่ห้า : เราล้วนหลับไหลในเปลวเพลิง

8.2

เขียนโดย larceta

วันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2557 เวลา 09.17 น.

  4 ตอน
  7 วิจารณ์
  6,543 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 22 เมษายน พ.ศ. 2557 21.07 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

1) ช่วงต้น

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     เรื่องที่ห้า : เราล้วนหลับไหลในเปลวเพลิง

     ใต้เปลือกบางๆที่เรียกว่าชั้นผิวโลก  มีชั้นหินหลอมเหลวที่ชื่อว่า "แมนเทิล" ซึ่งมีอุณภูมิสูงถึงพันองศาเซลเซียสและมีความหนาถึง 3000 กิโลเมตรโดยประมาณ ยิ่งลึกเข้าไปก็ยิ่งร้อนขึ้นเป็นสองพัน  สามพัน สี่พัน ห้าพัน  และเมื่อลงทะลุไปถึงที่แก่นโลก ที่นั่น อุณหภูมิสูงจะถึงหกพันองศาเซลเซียส

     ใต้เท้าของเรา คือเปลวเพลิงอันร้อนอย่างยิ่งยวด


-[lI[k-


     "กาแฟ แฮม ไข่ดาว เอาสุกๆ"

     ผมสั่งรายการอาหาร 3 อย่างทั้งๆที่บริกรยังไม่ได้ยื่นเมนูมาให้ด้วยซ้ำ  แต่ยังไงที่นี่ก็เป็นคอฟฟี้ช็อป  ถ้าไม่มีสามอย่างนี้ ถือว่าสอบตกไปเลยในการเป็นร้านคอฟฟี่ช็อป

     "ค่ะ  กาแฟ แฮม ไข่ดาว เอาสุกๆ หนึ่งที่นะคะ"

     บริกรสาวทวนรายการด้วยหน้าตาไม่รับแขกอย่างยิ่ง  ไม่รู้เพราะเธอไม่ชอบงานแบบนี้แต่จำเป็นต้องมาทำ  หรือเพราะผมขัดจังหวะในการทำหน้าที่ในฐานะของเธอไปก็ไม่รู้  แต่ช่างเถอะ  เธอจะรู้สึกยังไงก็ไม่เกี่ยวกับผม  เพราะผมมีเรื่องที่ต้องเอาใจใส่มากกว่าจะมาสนใจอารมณ์ของบริกรคนหนึ่ง

     ผมมีงานที่สำคัญกว่านั้นต้องทำ

     "วันนี้ ต้องลงมืออีกครั้ง"

     เสียงพูดจากคนที่นั่งโต๊ะข้างหลังผมดังเข้ามา ไม่ใช่ว่าพวกเขาพูดดังจนผมได้ยิน แต่เป็นผมต่างหากที่วางเครื่องดักฟังไว้ที่พุ่มไม้ใกล้ๆกับโต๊ะดังกล่าว  โต๊ะที่มีคนสี่คนนั่งล้อมกันเป็นสี่เหลี่ยม  ชายสาม หญิงหนึ่ง  ทุกคนสวมแจ๊กเก็ตแล้วก็หมวกเบสบอลซึ่งมีสัญลักษณ์เดียวกัน  รูปอินทรีย์กางปีกที่โค้งเข้าหาลูกโลกที่อยู่เหนือหัว คล้ายจะจับเอาโลกไปไว้ใต้ปีกของมัน

     พวกมันคือ "อินทรีย์" ที่ผมเฝ้าติดตามมานานแล้ว

     "ที่เก่าเวลาเดิม  อย่าไปสาย"

     ผู้ชายที่นั่งหันหลังให้ผมพูดขึ้นอีกครั้ง  ใบหน้าฉายเค้าความหลักแหลม  จากท่าทางและคำพูด  หมอคนนี้คงเป็นหัวหน้ากลุ่ม  

     "ขอให้เทพอินทรีย์จงคุ้มครองทุกคน"

     เขาเอ่ยทิ้งท้ายพร้อมกับยกมือขึ้นไขว้กันแทนรูปอินทรีย์กางปีก สัญลักษณ์ "อินทรีย์" ที่พวกอินทรีย์จะต้องทำเสมอเมื่อจะลงมือกระทำการใดๆ

     แบบนี้ แน่ชัดแล้วว่าพวกนั้นจะลงมือ

     ไม่ทันที่ผมจะได้อาหารที่สั่งไว้  ทั้งสี่คนก็ลุกขึ้นและเดินออกจากร้านไป  ผมทิ้งระยะจากที่คนสุดท้ายเดินออกแล้วลุกตามไป  สวนกับบริกรสาวคนเดิมที่กำลังยกอาหารมาเสิร์ฟ ผมซึ่งไม่ต้องการมันแล้วจึงวางเงินธนบัตรที่ใหญ่ที่สุดลงบนจานของเธอ

     "ไม่ต้องทอน"

     ผมบอกเธอ  ซึ่งแน่นอน เธอทำหน้าประหลาดใจอย่างที่สุด แต่อย่างที่บอก  ผมไม่มีเวลามาสนใจเรื่องเล็กๆพวกนี้  

     ผมมีหน้าที่ที่สำคัญมากๆต้องทำ  


-[lI[k-


     ผมตามพวกมันไปโดยเว้นระยะไม่ให้พวกมันรู้ตัว  ไม่อาจคุยได้ว่าผมเชี่ยวชาญเรื่องนี้ระดับมือโปร  แต่ก็ไม่อ่อนด้อยไร้ประสบการณ์จนพลาดกับการสะกดรอยพวกที่เดินดุ่มๆไม่มองหน้ามองหลังแบบนี้

     พวกมันออกนอกเมืองมาเรื่อยๆจนกระทั่งมาถึงอาคาร ร้างย่านชานเมืองแห่งหนึ่ง ป้ายหลุมศพโครงการพัฒนาที่ดินที่ล้มเหลวจากการเศรษกิจที่แตกฟองสบู่เมื่อหลายสิบปีก่อน  สถานที่เคยวาดฝันจะให้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยซึ่งจะยกระดับความเป็นอยู่ของ ประชาชนในประเทศที่ปัจจุบันถูกยึดครองด้วยวัชพืช  สัตว์พาหะนำโรค  แล้วก็รังของ "อินทรีย์" ที่ผมกำลังตามอยู่นี้

     จากสายข่าวภายในที่ได้มา  อินทรีย์เป็นกลุ่มหรือเรียกได้ว่าเป็นแกงค์ก็ไม่ผิด แกงค์อันธพาลที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่เมื่อไม่นานมานี้ซึ่งมีสมาชิกส่วนใหญ่ เป็นหนุ่มสาว มีคำขวัญประจำแก็งค์  "โลกเสรีย์ใต้ปีกแห่งอินทรีย์"  , โลกเสรีย์ที่สร้างโดยการทำตัวเป็นอันธพาล ทำลายทรัพย์สิน  ขโมย ปล้น  จี้ ขู่กรรโชก รวมไปถึงเกี่ยวข้องดับคดีลักพาตัวและคดีฆาตรกรรมหลายคดีที่เกิดขึ้น ในช่วงอีกด้วย  ทำให้แม้จะเป็นแกงค์ของเด็กวัยรุ่น แต่ก็เป็นที่จับตามองและเฝ้าระวังอย่างสูงทีเดียวจากทางการ

     "อ๊าก!!!"

     เสียงร้องแผดดังมาจากภายในอาคาร  เป็นเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด  

     ด้วยสียงนั้น ผมลอบเข้าไปในอาคารแล้วซ่อนตัวหลังโต๊ะที่เป็นจุดกำบังก่อนจะเยี่ยมหน้ามอง ไม่ผิดไปจากที่คิด ที่พวกนั้นสี่คนกำลังยืนล้อมอยู่ก็คือ ชายคนหนึ่งที่ถูกมัดด้วยโซ่ เลือดอาบร่าง  ใบหน้าบวมเบ่งจนไม่อาจเดาเค้าหน้าตา

     "นะ...นี่ แบบนี้มันจะไม่เกินไปหน่อยเหรอ บางทีหมอนี่อาจจะไม่รู้เรื่องจริงๆก็ได้นะ"

     เสียงจากหญิงสาวคนเดียวของกลุ่มพูดขึ้น  น้ำเสียงเวทนา  ดูท่าเธอคงทนดูสภาพของชายที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ไหวแล้ว

     แต่แล้วเสียงเด็ดขาดที่แผดตามมาก็ดังกลบความเห็นใจนี้ไปจนหมดสิ้น

     "ห้ามใจอ่อนเด็ดขาด!!"  

     ผู้ชายคนนั้น  คนที่มีหน้าตาท่าทางดูชาญฉลาดที่สุดในกลุ่มคนทั้งสี่พูดและปรามหญิงสาวด้วยสายตา

     "อย่าให้ความเห็นใจมาบังตาความเป็นจริง เพราะพวกมัน พวกเราต้องสูญเสียเพื่อนพ้องไปเท่าไรแล้ว  จำไม่ได้หรือไงกัน!!"

     'สูญเสียพวกพ้อง'  ผมคิด  ดูท่าจะเกิดปัญหาเกี่ยวกับการล้ำเส้นอิทธิพลกันสินะ  ดูท่าจะพวกอินทรีย์จะกำลังมีปัญหากับกลุ่มอื่นๆ

     "บอกข้ามา คนที่ส่งเอ็งมาน่ะคือพวกเหยี่ยวใช่ไหม!"

     ผู้นำกลุ่มตะโกนพร้อมกับกระชากคอชายที่ถูกมัดมาประชิดจัว ด้วยชื่อ "เหยี่ยว" ที่หลุดออกมาทำให้ผมรู้ว่าอริเป็นพวกไหน

     "ฉะ...ฉันไม่รู้...เรื่อง"

     ชายผู้ถูกโซ่พันธนาการตอบ ด้วยดวงตาที่ปิดสนิทและปากที่บวมเป่งจนแทบขยับไม่ได้ ทำให้เสียงนั้นแหบพร่าและไร้เรี่ยวแรงยิ่ง

     "ปากแข็งนักใช่มั้ย  งั้นฉันจะงัดปากแกออกมาเอง"  

     เมื่อคำตอบของเขาไม่เป็นที่พอใจ การทุบตีจึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง  เริ่มแรกก็มีแค่หัวกลุ่มคนเดียว  ทว่าต่อมา หลังจากเฉยมานาน คนอื่นก็ร่วมกันรุมประชาทัณฑ์เขาด้วย รวมถึงหญิงสาวที่เมื่อกี้ยังมีท่าทางเห็นใจเขาอยู่เลยก็ลงมือละเลงมือละเลงเท้าด้วยสีหน้าที่สะอารมณ์ขึ้นเรื่อยๆอีกด้วย

     จากสภาพที่แทบจะไม่เหลือเค้าลางของมนุษย์อยู่แล้ว เขาซึ่งถูกกระหน่ำทุบตีด้วยมือและเท้ากลายเป็นก้อนเนื้อชุ่มเลือด   เลือดไหลออกแทบทุกทวารที่มี  หนังศีรษะบางส่วนของเขาหลุดออกจนเห็นกระโหลก  ลูกตาข้างหนึ่งหลุดออกมาและถูกเหยียบจนเละเทะ

     ไม่มีทางรอดแล้ว

     ผมมองภาพที่เกิดขึ้นอย่างอดทน  ไม่เข้าไปแทรกกลางเหตุการณ์แม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องโหดร้าย  เพราะไม่อย่างนั้น ทุกอย่างที่ทำมาก็จะล้มเหลวทั้งหมด  ที่ผมทำได้ก็เพียงภาวนาให้ชายผู้นั้นทรมานก่อนตายให้น้อยที่สุด

     หลังรุมสกรัมจนเหนื่อบหอบ  ทุกคนหยุดมือเท้าแล้วเดินแยกออกมา

     "นี่ตกลง  มันจะไม่รู้จริงๆเหรอวะเนี่ย"

     หัวหน้ากลุ่มขยี้ผมด้วยท่าทางหัวเสีย  ไม่รู้เพราะความผิดพลาดที่จับคนผิดมา  หรือเพราะว่าถ้ารู้ว่าต้องเปลืองแรงขนาดนี้โดยไม่ได้อะไร น่าจะหาวิธีฆ่าแบบอื่นที่เปลืองแรงน้อยกว่านี้จะดีกว่า

     ครุ่นคิดพักหนึ่ง เขาก็หันไปสั่งการคนอื่นๆให้นำอุปกรณ์ที่เตรียมมาออกมา ที่ผมเห็น เป็นแกลลอนน้ำมันแบบหูหิ้วจำนวน 10 ถังซึ่งซ่อนอยู่ไว้ในช่องใต้พื้น

     "ต้องถ่ายรูปไว้"  ผมคิดและคว้ากล้องมือถือขึ้นแล้วกดชักภาพ  

     ทว่าทันที่ผมกดมัน ด้วยความประมาทเลิ่นเล่ออย่างไม่น่าให้อภัย  ผมลืมปิดแฟลชซึ่งทำให้แสงแฟลชจากกล้องสะท้อนวาบออกมาจนเหมือนไฟพลุ

     "สะ...แสงมาจากไหนวะ!!"

     ชายที่ไว้ผมทรงหัวทรงนกหัวขวานซึ่งเห็นแสงคนแรกตะโกนขึ้น  ก่อนที่ชายอีกคนที่ไว้ผมปิดตาข้างหนึ่งแบบเด็กอีโมจะชี้มาทางผม

     "มีคนอยู่ตรงนั้น!!"

     "แกเป็นใครกันวะ!!" ชายหัวหน้ากลุ่มตะโกน

     ผมไม่เสียเวลาตอบคำถาม ลุกจากที่กำบังแล้วเตรียมตัวออกวิ่ง

     "อย่าให้มันหนี!!"

     หัวหน้ากลุ่มสั่งการ ชายหนุ่มนกหัวขวานที่นอกจากจะไว้ผมทรงประหลาดยังไวเหมือนลิงได้วิ่งอ้อมมาดักหน้าผม ขนาดห่างกันเกือบ 20 เมตรมันก็ยังวิ่งมาทันได้  ผมเพิ่งเข้าใจตอนนี้เองว่า "ไวปานวอก" นั้นเป็นอย่างไร

     จากนั้น  อีก 2 คนหนึ่งหญิงหนึ่งชายก็ตามมาสมทบ  หนุ่มอีโมมาพร้อมมีมีดพร้ายาวจากหยิบจากหลัง  ส่วนผู้หญิงก็มีท่อนเหล็กแป๊บในมือ

     "อยู่ดีไม่ว่าดี ดันทะเล่อทะล่าเข้ามาในที่ของพวกเรา "อินทรีย์" แบบนี้ แกนี่มันรนหาที่ตายแท้ๆเลยว่ะ"

     ชายหัวตั้งชักมีดพกที่เหน็บเอาไว้ออกมา  แสงเงินวาบวับสะท้อนเข้าตาผม  คงลับมาอย่างดีเลยทีเดียว

     "ในเมื่อเอ็งเห็นสิ่งที่พวกข้าทำแล้ว  ข้าคงต้องส่งเอ็งไปเที่ยวยมโลกแล้วว่ะ!!"

     ด้วยมีดในมือ  เขาพุ่งเข้ามาหาผมโดยใช้มันนำหน้ามาก่อน  ใบมีดคมกริบที่หวังจะแทงผมให้ดับดิ้น

     แต่ในจังหวะที่มีดจะมาถึงตัว ผมซึ่งมองเห็นการเคลื่อนไหวก็เอี้ยวหลบแล้วหมุนตัวอ้อมไปเข้าข้างหลังมันได้

     "อะ..อะไรกันเนี่ย!?"

     เจ้าหนุ่มหัวขวานตกใจที่เห็นผมหลบมีดมันได้ ซึ่งผมก็ให้โอกาสมันพูดได้เท่านั้น จากข้างหลัง  ผมจับหัวทรงทุเรศมันแล้วบิดกลับด้านจนเกิดเสียง กร๊อบ! ขึ้นดังลั่น  ก่อนจะทิ้งร่างนั้นลงพื้นในสภาพตาเหลือกโปนน้ำลายฟูมปาก

     "เฮ้ย!?"

     อีกสองคนที่เห็นตกใจร้องขึ้นและถึงกับผงะถอยออกไป  ปฏิกิริยาปกติที่ต้องเห็นคนถูกหักคอตรงหน้า สีหน้าของพวกนั้นแสดงถึงความหวาดวิตกอย่างเห็นได้ชัด

     บอกตรงๆ  ที่จริงผมไม่ได้กลัวเจ้าพวกนี้เลยสักนิด  

     เทียบกันแล้ว  ในขณะที่เด็กพวกนี้ที่อายุยังน้อยอาจมีความสดและไฟของวัยหนุ่มเป็นพลังในการขับเคลื่อนร่างกาย แต่นั่นก็ไม่ข้อได้เปรียบที่จะทำให้เด็กพวกนี้เหลือกว่าผม ด้วยร่างกายที่ผ่านการฝึกฝนของหน่วยพิเศษและเคยเข้าไปร่วมรบในสงครามตะวันออกกลางมาแล้ว  หากเปรียบเป็นเครื่องจักร ผมก็เป็นเหมือนเครื่องยนต์รุ่นเก่าที่อาจไม่มีแรงม้าสูงแต่เสถียร ไม่เหมือนพวกเด็กเหล่านี้ที่แม้จะมีเครื่องยนต์แรงม้าสูง  แต่การควบคุมและใช้งานที่สะเปะสะปะทำให้ค่ากำลังมหาศาลนั้นสูญเสียไปมาก


     "ว่าไง  จะไม่เข้ามาแล้วเรอะ  ปอดแหกแล้วหรือไงกัน"

     ผมข่มขู่พร้อมกับทำมือกวักเรียกเป็นการลองเชิงวัดใจ ในจังหวะที่พวกนี้กำลังอกสั่นขวัญแขนอยู่นี้ การทำสงครามจิตวิทยาให้พวกนั้นยิ่งลนมากขึ้นจะยิ่งทำให้ผมได้เปรียบ

     "จะ...จะปากดีไปแล้วโว้ย!!"

     เด็กหนุ่มอีโมพุ่งเข้ามาด้วยมีดพร้า  ติดกับดักอย่างง่ายดาย

     อย่างที่บอก  เด็กพวกนี้ก็เหมือนรถที่แรงแต่เครื่องไร้ความเสถียร  อาศัยการตะบี้ตะบันไปข้างหน้าอย่างเดียว ต่างจากผมที่แม้จะเป็นรถเก่าแต่เครื่องนิ่งกว่า ขอแค่ตั้งหลักได้ที่เหลือก็แค่เหยียบคนเร่งพุ่งให้สุดแรงเท่านั้น รถยนต์ที่ขับส่ายไปมาไม่มีทางตามรถที่วิ่งด้วยความเสถียรได้อยู่แล้ว

     ขอแค่ครั้งเดียวก็จบแล้ว

     "กระ...กรี๊ด!!"

     หญิงสาวคนเดียวของกลุ่มกรีดร้องสุดเสียงเมื่อเห็นเลือดที่พุ่งจากคอของหนุ่มอีโม มีดของเขาเองซึ่งผมใช้จังหวะที่เข้าประชิดจับแขนแล้วบิดจนหัก ก่อนจะชิงมีดจากมือแล้วใช้มันเจ้าของมันเองอย่างทีเห็น

     ในความตกใจและหวาดกลัว  ดูเหมือนเธอจะรู้แล้วว่าการสู้กับผมจะเกิดผลเช่นไร  ขนาดผู้ชายสองคนยังไม่รอด  แล้วเธอที่เป็นแค่ผู้หญิงจะไปทำอะไรได้ ดังนั้น เธอจึงหันหลังและเตรียมจะวิ่งหนี

     แต่มารู้ตัวตอนนี้ก็สายไปแล้ว

    ปึ๊ก!!

     ด้วยมีดในมือที่ผมขว้างออกไป มันปักเข้าเป้าที่กลางหลังหัวเธอ  ร่างเธอล้มลงกับกองขยะ  ฝูงแมลงวันเหม็นเน่าแตกฮือส่งเสียงกระพรือปีกหึ่งเซ็งแซ่  เลือดของเธอไหลที่ไหลนองปะปนกับน้ำขยะเน่าส่งกลิ่นคาวฟ่อนเฟะออกมา

     เท่านี้  ผมก็จัดการได้สามคนแล้ว ที่เหลือก็แค่คนเดียวเท่านั้น...

 

     ปัง!!

-[lI[k-

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านเรื่องสั้นเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา