เรื่องที่หก : บูมเมอแรง

8.2

เขียนโดย larceta

วันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2557 เวลา 18.28 น.

  8 ตอน
  9 วิจารณ์
  10.20K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 เมษายน พ.ศ. 2557 20.32 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

4) สี่

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

      ฟุ่บ!

     ภวังค์ของผมถูกปลุกขึ้นอีกครั้งจากเสียงของสิ่งที่ตกลงตรงหน้า  ไม้โค้งตัววี  บูมเมอร์แรง

     ช็อตเดินมาแล้วก้มหน้าขอโทษ "โทษทีๆ พอดีหันผิดมุมไปหน่อย"  

     "ระวังหน่อยสิ"

     ผมขว้างบูมเมอแรงคืนให้  ช็อตรับไว้และบอก "ขอบใจ" แล้วทำท่าจะกลับไปที่กลางลานอีกครั้ง  

     แต่ว่า จู่ๆเขาก็ชะงักฝีเท้าแล้วกลับมามองผม

     "เป็นอะไรวะ  ทำไมทำหน้าซีเรียสแบบนั้น"

     ผมเบิกตา นี่ผมทำหน้าซีเรียสอยู่งั้นเหรอ

     "ก็...คิดอะไรนิดหน่อย"

     "เช่นอะไร"  

     "ไม่เกี่ยวกับแกน่า"  ผมพูดพลางโบกมือไล่ "กลับไปหาทางขว้างบูมเมอแรงของแกให้ได้ก่อนจะค่ำเถอะ"

     ช็อตได้ยินผมพูดแบบนั้นก็ทำท่าจะพูดอะไรสักอย่าง แต่แล้วก็จบลงด้วยการยักหัวไหล่แล้ววิ่งกลับไปที่กลางลานต่อ  ซึ่งก็เหมือนเดิม  หมอนั่นยังขว้างได้สะเปะสะปะไม่เปลี่ยนแปลง  แต่ที่ไม่เปลี่ยนแปลงเช่นกันก็คือ ท่าทางที่มุ่งมั่นอย่างไม่มีท่าทางจะเบื่อเลยของเขา  เป็นพวกประหลาดไม่เปลี่่ยนแปลงจริงๆ

     แต่เรื่องที่แปลกไม่แพ้กันก็คือ ก็คงเป็นเรื่องที่ผมกับช็อตกลับมาคบกันเป็นเพื่อน หรือพูดให้ถูก  คบกันฉันฑ์มิตรสหายครั้งแรกนับแต่ได้รู้จักกันเมื่อกว่า 15 ปีมาแล้ว


     จากงานที่พ่อแม่ฝากให้  ผมได้ทำงานในร้านค้าวัสดุขนาดกลางๆแต่ว่าใหญ่ที่สุดในแถบนี้  โดยหน้าที่ผมคือหัวหน้าฝ่ายสโตว์ที่มีหน้าที่จัดการกับเรื่องสต็อกของเข้าออก  การตีคืนสินค้า หรือเร่งระบายสินค้าที่ออกช้า และก็งานอื่นๆซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้คอมพิวเตอร์  ซึ่งหากพูดกันอย่างไม่เกรงใจ  งานระดับนี้มันแค่ของคนระดับแค่วุฒิ ม.ปลายชัดๆ เพราะแทบทั้งหมดที่ต้องทำก็แค่การจัดรหัสสินค้า คีย์ราคา เทียบกับงานที่ผมเคยทำมาในบริษัทใหญ่ ผมแทบไม่ต้องใช้ความรู้หรือความพยายามอะไรเลยด้วยซ้ำในการทำมัน  แต่ในเมื่อตบปากรับคำพ่อกับแม่ไปแล้ว  ผมก็ไม่อยากให้ท่านเสียน้ำใจแล้วก็ถูกต่อว่า จึงพยายามทำไปแต่โดยดี

     แต่แม้จะพยายามก้มหน้าก้มตาและคิดว่าอย่างน้อยก็ดีกว่าอยู่เฉยๆ  สุดท้ายกับงานที่แทบไม่ต้องใช้สมองคิดอะไรเลยแบบนี้ก็ไม่ช่วยให้ผมหยุดฟุ้งซ่านได้เลย ทุกครั้งที่ผมนั่งในห้องทำงานที่โกดังด้านหลังคนเดียว  ผมอดไม่ได้ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกับผม  จากที่เกือบได้เป็นหัวหน้าแผนกของบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่ กลับต้องมานั่งอยู่ในโกดังเก็บสินค้าเล็กๆแล้วนั่งทำงานระดับความรู้เด็ก ม.3 แบบนี้ งานระดับที่ว่าไม่คุ้มค่าเลยกับเงินหลายล้านกับเวลาสีปี่ที่ผมเสียไปในมหาวิทยาลัย  จากผมที่เคยมีคนนับหน้าถือตา กลายเป็นคนที่โดนแม้แต่คนที่เรียนไม่จบมอสามด้วยซ้ำตะโกนด่าทอเวลาที่ไม่พอใจ แล้วก็เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนินทาลับหลังไม่เว้นแต่ละวัน

     แมร่งเกิดเหี้ยอะไรกับชีวิตกูวะ!

     ด้วยสภาวะกลืนไม่เจ้าคายไม่ออกนี้  ผมใช้ชีวิตทำงานอย่างทนทุกข์  สำหรับ  ที่ทำงานกลายเป็นหล่มขี้เหม็นเน่าที่ผมต้องกลั้นหายใจปิดจมูกแทบทุกครั้งที่เข้าไปและรีบเผ่นออกมาทันทีที่กริ่งเลิกงานดังขึ้น  ผมไม่ทำโอทีแม้จะมีงานค้าง  เช่นกันกับวันหยุดที่มีเพียงสัปดาห์ละครั้งซึ่งแม้จะเฉียดผ่านหน้าก็ไม่เคยคิด  อย่าหวังผลงานดีเลิศจากผม แค่ผมทำงานตามค่าจ้างนี่ก็สุดแสนจะกล้ำกลืนแล้ว  

     แม้แต่ในบ้านเองก็เช่นกัน  ทั้งๆที่เป็นบ้านที่ผมเกิดและเติบโตมา  ผมกลับรู้สึกลำบากใจเหลือเกินที่จะเดินกลับเข้าบ้านแล้วเจอหน้าคนในครอบครัว แทบทุกวัน  แม้จะออกจากที่ทำงานตั้งแต่ห้าโมงเย็น  แต่กว่าผมจะกลับเข้าบ้านก็เกือบสองทุ่ม ซึ่งไม่มีใครใคร่สงสัยนักเพราะคิดว่าผมคงทำโอที หรือแม้บางครั้งที่ผมกลับมาในสภาพที่มึนตึงจากผลของแอลกอฮอล์ แค่ผมตอบว่าไปสังสรรค์กับเพื่อนนิดหน่อย  พวกท่านก็ไม่คิดจะถามอะไรอีกเลย แน่นอน  ที่ว่าสังสรรค์กับเพื่อนนั้นเป็นแค่คำโกหก  แม้จะไม่ทั้งหมด  จริงอยู่ที่ผมไปสังสรรค์  แต่ "เพื่อน" ที่ผมอ้างถึงนั้นไม่เคยมีตัวตน  เป็นอากาศธาตุที่ยกมาอ้าง หรือหากจะมี มันก็คงเป็นปลาไม่ก็กบที่ริมแม่น้ำเท่านั้น

     แทบทุกวันหลังเลิกงาน  ผมกับเพียงมอเตอร์ไซค์คันเก่าตั้งแต่สมัยมัธยมเป็นพาหนะพร้อมกับเบียร์แพ็ค 6 กระป๋องที่ราคาถูกที่สุดจะไปที่ตลิ่งน้ำท้ายหมู่บ้าน นั่งแช่เนินนานมองสายน้ำที่บางครั้งก็ใสจนเห็นพื้นและบางครั้งก็ขุ่นจนเหมือนนมช็อคโกแล็ต  แต่ไม่ว่าจะสีอะไรก็ไม่ต่างกัน ผมไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อเก็บทิวทัศน์หรือคำวิจารณ์  แต่มาเพื่อทิ้งเวลา ปล่อยตัวเองให้หลุดสภาพที่ตัวเองไม่อยากยอมรับ  ความเป็นจริงที่ว่าตัวผมนั้นล้มเหลวและพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง

     ไม่ใช่แค่เรื่องงาน  แม้แต่เรื่องความรักก็เช่นกัน

     นับแต่วันสุดท้ายที่ผมขาดการติดต่อกับเธอก็เป็นเวลากว่าหกเดือนแล้ว  แต่หากนับเรื่องความสัมพันธ์ที่เริ่มจืดจาง  ก็คงต้องนับตั้งแต่ครั้งที่สองที่ผมต้องเข้าผ่าตัดหัวใจ  ทั้งๆที่ผมกับเธอเคยสานความสัมพันธ์กันถึงขั้นคุยกันเรื่องหมั้นหมายแต่งงาน  แต่หลังจากผมกลับมาและกลายเป็นคนไร้จุดยืนในบริษัท เธอก็ตีตัวออกห่างจากผมอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ผมต้องหอบตัวเองเพื่อไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล  เธอกับเพื่อนแผนกกลับนัดกันไปเที่ยวต่างประเทศ  วันที่ผมบอกกับเธอว่าจะออกจากงาน  คำตอบของเธอก็มีเพียง "เหรอคะ" แล้วก็คำปลอบโยนที่ว่า "ไม่เป็นไรค่ะ  ถึงคุณกับฉันจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ความสัมพันธ์ของเราก็ยังคงเดิม" ก่อนที่หลังจากนั้น  ไม่ว่าผมจะพยายามนัดเจอเธอเท่าไร เธอก็จะบอกว่าไม่ว่างเสมอ แม้แต่ชวนทานข้าวในร้านหรูที่เธอบอกว่าชอบมากๆก็ไม่ยอมมา  หรือแม้แต่ผมอาสาขอไปรับไปส่ง  เธอก็ปฏิเสธด้วยบอกว่าไม่อยากรบกวน

     หลายครั้งเข้าที่ถูกปฏิเสธ  ผมทวงถามถึงคำสัญญาที่จะสร้างอนาคตร่วมกัน  ตอนนั้น ผมคิดว่าแม้ตัวเองจะเสียหลักไปบ้างแต่ก็ไม่ใช่จะสิ้นไร้ไม้ตอก ผมมั่นใจว่าผมสามารถสร้างครอบครัวที่ดีได้แน่  

     "ฉันเสียใจค่ะ  แต่เราจบกันเท่านี้ดีกว่า..."

     นั่นคือคำตอบสุดท้ายจากเธอ แล้วจากนั้น  ผมก็ติดต่อเธอไม่ได้ เบอร์โทรศัพท์ของเธอถูกเปลี่ยน  เช่นกันกับที่ทำงานที่ผมซึ่งกลายเป็นคนนอกไปแล้วไม่มีสิทธิ์ละลาบละล้วงติดต่อ  ถึงขั้นที่พวกเขาสั่งให้ รปภ. มาเตือนผมให้ออกจากตึกซึ่งผมไปนั่งรอเธอคนนั้นเลยทีเดียว  ทั้งเธอและเพื่อนพร้อมใจกันตัดผมจะสารบบชีวิต  

     พวกเขาทำราวกับว่าผมตายจากโลกนี้ไปแล้ว

     "แม่งเอ้ย!!!"

     ผมตะโกนแล้วขว้างกระป๋องเบียร์ออกไปสุดแรง เมื่อคิดย้อนถึงเรื่องนี้ที่ไรก็อดไม่ได้ คล้ายผมมีภูเขาไฟในตัวผมปะทุ เป็นไฟลาวาแห่งความโกรธแค้นและชิงชัง  ผมเกลียดแม่งทุกคน  ไอ้พวกบริษัทเก่าที่ขับไล่ผม  ไอ้หมอเซ็งซวยที่ทำให้ผมต้องผ่าตัด นังแพศยาที่พอเห็นผมตกต่ำก็รีบสลัดทิ้ง  ไอ้พวกสารเลวที่มองไม่เห็นค่าความสามารถของผม  ไอ้พวกเรียนไม่จบมอสามที่พูดจากดูถูกผม  ไอ้พวกเด็กเมื่อวานซืนที่คอยซุบซิบนินทา  พวกคนรุ่นเดียวกันกับที่ได้ข่าวว่ากำลังรุ่งโรจน์กับชีวิตทำงาน  ผมเกลียดพวกมันและขอแช่งชักหักกระดูกให้พวกแม่งตายห่าให้หมด!!

 

     ใครที่มีชีวิตดีกว่ากู  กูขอแช่งให้แม่งตายห่าให้หมด!

   

     "เฮ้ยๆ  ขว้างกระป๋องลงแม่น้ำแบบนั้นไม่ได้นะเว้ย"

     เสียงพูดดังขึ้นจากข้างตัวผมพร้อมกับที่ผมเพิ่งได้ยินเสียงเครื่องยนต์ เมื่อผมหันไปก็พบกับมอเตอร์ไซค์ทรงแม่บ้านมีตระกร้าหน้ารุ่นเก่าซึ่งมีชายร่างผอมสูงอายุไล่เลี่ยกันกับผมคนหนึ่งนั่งอยู่

     ชายผู้นั้นเห็นหน้าผมแล้วก็ทำหน้าเหมือนเจอเรื่องอะไรเซอร์ไพรซ์  เขาเปิดกระจกหมวกกันน็อคแล้วจ้องมองผมด้วยสายตาที่เหมือนกำลังควานหาอะไรในสมอง  ก่อนจะพูดขึ้น

     "นั่นใช่ ..วีหรือเปล่า"

     เขาเรียกชื่อผม  ผมพยักหน้าอย่างแปลกใจ  ก่อนจะนึกคุ้นๆว่าเคยหน้าแบบนี้ที่ไหน

     "ฉันเอง  -ช็อต- ไงล่ะ"

     คำตอบของเขาทำให้ผมถึงบางอ้อ  ชื่อนี้ หากจะนับย้อนความไปแล้วก็ตั้งแต่มัธยมปลาย เกือบสิบห้าปีที่เดียวที่ชื่อๆนี้ซึ่งถูกฝังลึกในก้นบึ้งความทรงจำได้ถูกตีให้คลุ้งขึ้นมาอีกครั้ง

     "ช็อต..."

     ผมชี้เขา  เขาพยักหน้า
     
     "ไม่ได้เจอกันนานเลยว่ะ สบายดีไหมวะ"

 

     "อะ..เออ สบายดี" ผมตอบไปอย่างตะกุกตะกัก "แล้วแกล่ะ... สบายดีมั้ย"

 

     "อื้อ" เขาพยักหน้าอีกครั้ง ก่อนจะมองชุดเครื่องแบบที่ผมสวมใส่ "ชุดนั้น  นี่แกทำงานอยู่ที่ร้านของเสี่ยหมิงเหรอ"

 

     "อื้อ ได้สามอาทิตย์แล้ว"

 

     "งี้เองๆ" เขาพยักหน้ารัวๆ "ได้ข่าวมาเหมือนกันว่าแกกลับมาอยู่บ้านแล้ว  แต่ก็เพิ่งได้เห็นตัวเป็นๆนี่แหละ"

     ผมที่ไม่รู้จะทำหน้ายังไงได้แต่ยิ้มแห้งๆ  ยังไงที่นี่มันก็แค่หมู่บ้านเล็กๆในอำเภอเล็กๆ ไม่แปลกเลยที่ข่าวคราวจะแพร่กระจายได้เร็วแบบนี้

     ที่แรก  ผมไม่รู้จะทำยังไงต่อ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่ามีเบียร์กระป๋องเหลืออยู่ ผมจึงหยิบมันขึ้นมาแล้วชูขึ้น "สักกระป๋องมั้ย?"

 

     "ได้เหรอวะ!"

     ช็อตอุทานขึ้น ซึ่งเมื่อผมพยักหน้า  เขาก็แสดงสีหน้ายินดีออกมา ดับเครื่อง ถอดหมวดวางบนรถ แล้วตรงดิ่งมาหากระป๋องเบียร์ทันที

     "ขอบใจนะเว้ย"

     "ไม่เป็นไร"

     เสียงป๊อก!จากสลักกระป๋องที่ถูกเปิด  ช็อตใช้ดูดฟองเบียร์ชนิดไม่ให้สักหยดร่วงลงพื้น

     "วู้ว  ชื่นใจๆ เบียร์หลังปิดงานใหญ่นี่มันดีชิบหายเลยว่ะ"

     "ปิดงาน?" ผมถาม ก่อนจะมองกลับที่รถของเขาที่มีกล่องเครื่องมืออุปกรณ์วางอยู่ในตระกร้า "เป็นช่าง?"

     "ช่างไฟน่ะ เรียนมาตอนอยู่ในสถานพินิจ"

     คำว่า 'สถานพินิจ' ที่ช็อตเอ่ยมาทำให้ใจผมตกวูบจนเผลออุทานเสียงประหลาดออกมา

     ช็อตเห็นท่าทางของผมก็หัวเราะ "ไม่ใช่ครั้งของแกหรอก แต่เป็นหลังจากนั้นว่ะ"

     ด้วยคำว่า 'ครั้งของแก' กับ 'หลังจากนั้น' ที่ช็อตพูดออกมานั้นแสดงว่าหลังจากครั้งของผมแล้ว  เขายังต้องก่อเรื่องขึ้นอีกอย่างน้อยหนึ่งครั้งจึงถูกส่งไปอยู่ที่สถานพินิจอีก โดยจากการเล่าด้วยท่าทางสบายๆของเขาหลังจากนั้น ทำให้ผมรู้ว่าสาเหตุครั้งๆต่อมานั้นก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ร้ายแรงอะไรเลย ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องการทะเลาะเบาะแว้งเพราะเหม็นขี้หน้ากัน แต่เพราะการมีประวัติที่ไม่ดีติดตัว ทำให้เรื่องเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอแล้วที่จะเป็นข้อหาให้เขาต้องกลับไปสถานพินิจ

     และหากจะพูดถึงคนที่ทำให้เขามีประวัติแสนเลวร้ายติดตัว  ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากผม

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.4 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา