คิดถึงชีววิทยา

8.9

เขียนโดย nappy

วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 เวลา 20.21 น.

  1 ตอน
  4 วิจารณ์
  3,197 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 19.51 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

1)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

               คุณเคยเกิดความรู้สึก หรือแรงบันดาลใจขึ้นมาอย่างกะทันหัน ในการอยากเขียนกลอนรักสักบท หรือเรื่องราวความรักสักเรื่องเพื่อมอบเป็นของขวัญแด่ใครบางคนบ้างไหม ฉันหรือ... ไม่มีหรอก แม้ช่วงชีวิตของฉัน เคยผ่านความรักมาบ้าง แต่ก็ไม่เคยมีใครทำให้ฉันอยากเขียนเรื่องราวความรักถึงเลยสักคน อันที่จริง ฉันคงไม่อยากเขียนเรื่องทำนองนี้หรอก หากฉันไม่ตั้งใจมุทะลุอ่านวิชาชีววิทยาจนได้เข้ารอบการแข่งขันระดับประเทศ

แปลกใช่ไหม ความรัก เกี่ยวอะไรกับเด็กเรียนคนหนึ่งที่ตั้งหน้าตั้งตาอ่านชีววิทยา คุณคงจะตั้งคำถามแบบนี้แน่ๆ ถ้าเป็นฉัน ฉันก็จะตั้งคำถามแบบนี้เช่นกัน แต่ก็อย่างว่า... ความรักมันไม่เลือกเวลาหรอก มนุษย์อยู่ได้ในโลกนี้เพราะความรักแท้ๆ การที่มนุษย์อีกคนหนึ่งจะรักอีกคนหนึ่งได้ มันมีหลายสาเหตุ แต่ส่วนมากมักมาจากการที่ต้องการหาใครสักคนมาเติมให้เต็มในส่วนที่ขาดหายไปของตนเอง ตอนสมัยเรียนมัธยมต้น มีเพื่อนสนิทของฉันคนหนึ่งเป็นนักเขียนนิยาย เธอเขียนนิยายเก่งมาก และมักมีเรื่องความรักเข้ามาเกี่ยวข้อง นิยายของเธอเป็นที่นิยมมาก มีใครต่อใครเข้ามาขออ่านมากมาย ฉันเองก็เขียนนิยาย ส่วนมากเป็นพวกแนวบู๊หลุดโลกทั้งนั้น ฉันเคยลองเขียนนิยายรักตามเธอ เพราะอยากมีคนให้ความนิยมบ้าง ปรากฏว่าฉันล้มเหลวแบบเทน้ำเทท่าเลย

การแข่งขันชีววิทยาโอลิมปิกระดับประเทศมีขึ้นทุกปี โดยทั่วประเทศจะมีศูนย์มหาวิทยาลัยอยู่ประมาณ ๑๓ ศูนย์ ทุกๆปี ทุกศูนย์จะคัดเด็กประมาณสามสิบถึงสามสิบห้าคนจากเด็กประมาณสามพันคนมาจัดอบรมชีววิทยาครั้งแรก เรียกว่า “การเข้าค่ายหนึ่ง” ซึ่งเด็กที่หนึ่งถึงสามสิบห้าคนแรกจะติดศูนย์มหาวิทยาลัย และอีกสามสิบห้าคนต่อมา จะได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนขยายผล ซึ่งจัดว่า เป็นศูนย์ย่อยๆของมหาวิทยาลัยอีกทีหนึ่ง และหลังจบค่ายหนึ่ง ก็จะมีการสอบอีกครั้ง เพื่อผ่านเข้ารอบไปค่ายสอง เอาทั้งหมดสามสิบคน จากทั้งสองศูนย์ และก็จะมีการสอบอีกครั้งหนึ่ง เพื่อคัดตัวแทนศูนย์หกคนไปแข่งระดับประเทศ

สิ่งหนึ่งที่เป็นจุดดึงดูดความสนใจ คือ การที่ได้เป็นตัวแทนในการแข่งขันระดับประเทศ จะมีสิทธิ์ในการยื่นโควตาของคณะดังๆในมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วทั้งประเทศ ทันทีที่ฉันติดค่ายสอง ฉันจึงตั้งใจอ่านหนังสือทันที เพราะฉันอยากได้โควตาแพทย์ ฉันไม่อยากไปอ่านหนังสือแข่งกับคนอื่นๆตอนเอนท์ จุดประสงค์ในการเข้าสู่โอลิมปิกของฉันมีเพียงเท่านี้ แต่ฉันไม่รู้ ว่าหลังจากที่ฉันไปเข้าค่ายสอง อะไรบางอย่างอาจทำให้ฉันไม่อาจกลับเป็นคนเดิม ที่มีความคิดเดิมๆได้อีกต่อไป

สารรูปของฉันดูแทบไม่ได้เลย นับตั้งแต่ผ่านค่ายหนึ่งจากศูนย์ขยายผล แล้วได้เข้ามารับการอบรมในค่ายสอง ปรกติฉันเป็นคนชอบกดดันตัวเองอยู่แล้ว นี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยล่ะ ฉันจำตัวเองไม่ได้เลย ยามส่องกระจก ว่านี่คนหรือหมีแพนด้ากันแน่ เวลาจัดอบรมจะมีทั้งหมดสิบห้าวัน เรียนหนึ่งเรื่องต่อหนึ่งวัน ภาคทฤษฎีตอนเช้า แล้วปฏิบัติตอนบ่าย ฉันจึงต้องอ่านหนังสือหนักทุกคืน เพื่อทบทวนความรู้ โดยเฉพาะฉันที่เป็นเด็กม.สี่ เรื่องเกือบทุกเรื่องที่เรียนที่ค่าย จึงนับว่าเป็นเรื่องใหม่ ไม่เคยเรียนมาก่อนเลยทั้งนั้น ด้วยความที่ฉันเกรงใจรูมเมทที่ห้องพัก ฉันจึงอพยพหมอน ผ้าห่ม แล้วออกมานั่งอ่านหนังสือหน้าห้องแทน ประมาณตีสองกว่าๆ จึงค่อยกลับเข้าห้องไป

คงเป็นเพราะ ฉันบ้า ดึกๆดื่นๆยังนั่งอ่านหนังสืออยู่กระมัง ถึงได้เจอคุยกับเขา ฉันเห็นเขาครั้งแรก... ก็เหมือนคนธรรมดาทั่วไป ใส่ฮู้ดสีมืดๆคลุมหัวเวลาเรียน พูดช้าๆนิ่มๆ ใครต่อใครในค่ายพากันพูดว่า แค่เขามา ก็หมดโอกาสในการได้เป็นตัวแทนศูนย์ไปกว่าครึ่งแล้ว เพราะปีที่แล้วเขาก็เคยเป็นตัวแทนศูนย์ไปแข่ง แต่ตกรอบกลับมา เนื่องจากเขาเคยเป็นตัวแทนศูนย์มาแล้ว เขาจึงสามารถกลับมาเข้าค่ายสองใหม่ได้เลย โดยที่ไม่ต้องผ่านการอบรมค่ายหนึ่ง ฉันเจอเขาครั้งที่สอง เพราะเขาขึ้นมาเดินเล่นชั้นบนสุดของหอพัก ซึ่งเป็นที่ๆ ฉันสิงสถิตเพื่ออ่านหนังสือพอดี

ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเล็กๆ ฉันเลยลองถามคำถามเขาดู ถามคำถามเดียว แต่คำตอบมาเป็นชุด สรุปว่าคืนนั้น ฉันกะจะนอนเพียง ตีหนึ่ง กลายเป็นนอนตีสองไปโดยปริยาย

ในบรรดาแล็ปทั้งหมดที่เราเรียนกัน แล็ปพืชถือเป็นแล็ปที่ฉันชอบน้อยที่สุด โดยเฉพาะการเซ็กชั่นพืช ต้องขออธิบายไว้ ณ ที่นี้ก่อน การเซ็กชั่นพืช คือ การตัดลำต้น หรือใบของพืชที่เราต้องการศึกษา ด้วยใบมีดโกน ตามแนวขวาง หรือยาวก็ได้ ให้บางที่สุดเท่าที่จะบางได้ แล้วนำไปวางบนแผ่นสไลด์ ซึ่งเป็นกระจกใสๆบางๆ แล้วหยดสีย้อมลงไป เพื่อที่ว่า จะได้เห็นโครงสร้างภายในชัดเจน ยามเอาไปส่องดุกับกล้องจุลทรรศน์ ตัวอย่างพืชที่มีให้เซ็กชั่น มีประมาณ ห้าถึงหกชนิด ไม่ว่าจะเป็นส่วนของใบ ก้าน ลำต้น

ฉันพยายามเซ็กชั่นลำต้นอยู่นานมาก ผลที่ออกมา คือ ไม่เบี้ยว ก็หนาเกินไป ทำให้ย้อมไม่ติดสีบ้างล่ะ ส่องดูแล้วไม่เห็นเซลล์บ้างล่ะ หลังจากเวลาผ่านไปสามชั่วโมง ความอดทนของฉันเริ่มหมด ฉันทิ้งใบมีดโกนในมือที่ถูกใช้จนทื่อลง แล้วนั่งหงุดหงิดกับผลงานของตัวเอง เสียงเด็กคนอื่นๆที่เจี๊ยวจ๊าว และทานของว่างกันอยู่นอกห้อง มันช่างรบกวนใจฉันจริงๆ

เขานั่งอยู่อีกฟากหนึ่งของห้องแล็ป หลังค้อมลงเล็กน้อยและ ยังไม่ไปทานของว่างที่จัดไว้ให้เหมือนกับฉัน นอกจากนั้นมีคนอื่นๆอีกสองสามคนในห้อง บรรยากาศในห้องเงียบสงัด ฉันจึงแอบย่องไปด้านหลังเขาเงียบๆ และต้องตะลึงขึ้นมา เขากำลังเซ็กชั่นพืชประมาณยี่สิบตัวอย่าง แต่ละตัวอย่าง ทั้งบางเฉียบ และติดสีเข้มสวย ถ้าเอาไปส่องกับกล้องจุลทรรศน์ เซลล์ที่เห็นจะเรียงตัวต่อกันเป็นระเบียบมาก และรอบกายเขา มีแผ่นสไลด์ประมาณ สิบแผ่นวางอยู่ ทั้งที่ความจริงแล้ว เขาสามารถทำเพียงตัวอย่างเดียว ก็ผ่านแล้ว

และแล้ว เขาก็หันมาเจอฉัน

“ทำเสร็จแล้วเหรอครับ”

“ยังทำไม่ได้สักตัวอย่างหนึ่งเลยค่ะ” ฉันโพล่งออกไป ทั้งที่อารมณ์ยังคุกรุ่นอยู่

“งั้นก็ไปทำต่อสิครับ”

“ทำมาสามชั่วโมงแล้ว ขนาดลำต้นหญ้าลออ ยังทำไม่ได้เลยค่ะ”

โดยทั่วไปแล้ว การเซ็กชั่นลำต้นจะง่ายกว่าการเซ็กชั่นใบ เพราะลำต้นหนาเป็นเท่าตัวของใบ การฝึกเซ็กชั่นลำต้น จึงถือเป็นพื้นฐานของการฝึกเซ็กชั่นส่วนอื่นๆของพืช

“ขอพี่ดูหน่อยสิครับ”

เขาเดินมานั่งที่โต๊ะแล็ปของฉัน หยิบมีดโกนใบใหม่ขึ้นมา แล้วเริ่มจัดการ เซ็กชั่นลำต้นหญ้าลออ

“ลำต้นพืชที่เราจะเอามาเซ็กชั่น ต้องอยู่ในส่วนของลำต้นที่ไม่แก่เกินไป แล้วก็ไม่อ่อนเกินไป ถ้าแก่เกินไป เราหั่นบางยาก ต้องตัดเอา ซึ่งจะหนาเกินไป ถ้าอ่อนเกินไป เวลาหั่น มันจะเบี้ยว พอเอาไปส่องดูก็ไม่เห็นเซลล์อีกครับ”

“พี่เก่งจัง ไปฝึกจากไหนเหรอคะ”

“ค่ายเมื่อปีที่แล้วครับผม นอกนั้นก็เก็บใบไม้ ใบหญ้าแถวๆ หอพัก มาฝึกเซ็กชั่นต่อเอาเอง แล็ปเย็นนี้ เราออกสายหน่อยได้ครับ น้องฝึกต่อไปเถอะ ยังมีอีกสี่ห้าตัวอย่าง”

เสียงเพื่อนข้างนอกตะโกนเข้ามา

“เฮ้ ทุกคน วันนี้ พอเลิกแล็ปเสร็จ เราต้องไปเรียนต่อนะ อาจารย์สอนไม่ทันเวลา เลยนัดเพิ่ม”

“เฮ้ย ไม่เอาหน่า งั้นก็เหลือเวลาอีกยี่สิบนาทีสิ”

“ยี่สิบนาทีก็ทันครับ”

“จะทันได้ไงละคะ”

“คิดว่า ทัน ก็ทันครับ”

เอาเถอะ ฉันพูดได้ไม่เต็มปากหรอก ว่าฉันฝึกเซ็กชั่นแล้ว เพราะ ตัวอย่างส่วนมาก ที่ใช้ดูได้จริงๆ พี่เขาทำทั้งนั้น แต่อย่างน้อย ครั้งนั้น เราถูกอาจารย์ดุด้วยกันทั้งคู่โทษฐานเขาห้องเรียนสาย มันเป็นเรื่องที่ตลกดีเพราะ ตอนที่เราอ่านหนังสือด้วยกันดึกๆแล้วเราเอามาเล่าย้อนหลัง เราก็หัวเราะทุกครั้ง ถึงแม้จะนึกไม่ออกก็เถอะ ว่ามันน่าขันตรงไหน และที่สำคัญ หลังจากวันนั้น ตัวอย่างพืช ที่คนไม่ใช้แล้ว ก็มักจะหายไปจากถังขยะ มีดโกนก็ถูกเบิกไปใช้มากกว่าปรกติเป็นประจำ

เรายังอ่านหนังสือกันดึกทุกคืน ประมาณเที่ยงคืน เขาก็จะขึ้นมาสอนฉันที่ชั้นบน มีอยู่วันหนึ่งฉันก็ถามเขาขึ้นมา

“พี่คะ การที่พี่ขึ้นมาสอนหนูทุกคืนเนี่ย หนูรบกวนพี่มากไปไหม”

ฉันยังจำได้ว่า ในตอนนั้นเขาก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความหลังบางอย่าง

“เมื่อปีที่แล้ว ตอนที่พี่อยู่ ม.สี่เท่าน้อง ก็มีพี่คนหนึ่งคอยสอนพี่แบบนี้เหมือนกันครับ แล้วพี่ก็เคยถามคำถามแบบนี้เช่นกันครับ”

“แล้วเขาตอบพี่ว่าอะไรหรือคะ”

“ไม่เป็นไรครับ พี่ก็จะได้อ่านอีกรอบไปเลย”

“แล้วคำตอบของพี่ล่ะคะ”

“ตอบเหมือนกันแหละครับ”

บางที อาจเป็นเพราะฉันนั่งอ่านหนังสือกับเขาทุกคืนกระมัง ทำให้ภาพลักษณ์ของเขาที่มีต่อฉันเปลี่ยนไป จากที่เคยเห็นว่าเป็นคนเก่งแสนเก่ง เทพมาก ก็กลายมาเป็นเพียงคนธรรมดาๆคนหนึ่ง ที่มีเพียงความขยันและความพยายาม เขาทำให้ฉันอดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่า ถ้าเพียงฉันพยายามเหมือนที่เขาพยายาม ฉันก็ต้องทำได้

และแล้ว วันเวลาสอบคัดเลือกก็ใกล้เข้ามาถึง คืนสุดท้ายของการเตรียมตัว ฉันเครียดและเกร็งมาก บอกตามตรง ก่อนที่จะมาที่นี่ ฉันเองก็ไม่ได้เคร่งเครียดกับการอยากไปแข่งมากถึงเพียงนี้ แค่อยากเอนท์ให้ติดโดยการใช้โควตาโอลิมปิกเฉยๆ แต่ อาจเป็นเพราะฉันเป็นเพียงแค่เด็กจากศูนย์ขยายผล ที่หลุดมาเข้าค่ายสองที่มหาวิทยาลัยได้ หรืออาจเป็นเพราะ ในบรรดาเด็กจากศูนย์ขยายผล มีเพื่อนฉันอีกคนหนึ่งที่เป็นคนเก่งมาก ใครๆก็ล้วนแต่จับจ้องไปที่เขาก็ได้ เคยมีรุ่นพี่ในค่ายคนหนึ่ง ที่ไม่ค่อยใส่ใจกับการอ่านหนังสือมากนัก บอกกับฉันว่า สาเหตุที่เธอเป็นแบบนี้ เพราะเขาคิดว่า ปีนี้ตัวเก็งหกคนเก่งหมดน่าจะได้ ส่วนเธอเองก็น่าจะหมดโอกาสแล้ว ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน พอฉันนึกถึงความพยายามของเขาขึ้นมา ฉันก็อดคิดเสียดายแทนรุ่นพี่คนนี้ไม่ได้ โอกาสอยู่ตรงหน้าเราเสมอ สุดแต่ว่าเราจะไขว่คว้า หรือปล่อยมือ

หลังจากที่เราสอบเสร็จ และก่อนที่เราจะแยกย้ายกันกลับไปบ้าน เขายืนพิงกระเป๋าเดินทางใบโข่งที่อัดตำราเอาไว้เต็ม พอฉันเดินผ่าน เขาก็พูดออกมา

“แล้วเจอกันนะครับ”

“จะได้เจอหรือคะ”

“ได้เจอสิครับ”

และแล้ว ฉันก็ได้เจอเขาจริงๆ

การสอบแข่งขันระดับประเทศมีทั้งภาคทฤษฎี และก็ภาคปฏิบัติ ซึ่งถ้าใครผ่านเกณฑ์ ก็จะได้รับเหรียญโอลิมปิกระดับประเทศไป ซึ่งสถานที่แข่งขันคือ มหาวิทยาลัยศูนย์เจ้าภาพ ตัวแทนศูนย์สิบสามศูนย์มีทั้งหมดหนึ่งร้อยสามคน คนที่จะได้เหรียญในครั้งนี้มีประมาณ หกสิบคนซึ่ง ทั้งหมดนี้จะได้ไปเข้าค่าย สสวท. ต่อที่กรุงเทพ เพื่อคัดตัวแทนประเทศไปแข่งขันในระดับนานาชาติ

หลังจากสอบเสร็จ ทางมหาวิทยาลัยศูนย์เจ้าภาพ ก็จะพาเด็กๆไปเที่ยว ปีนี้มหาวิทยาลัยเจ้าภาพตั้งติดกับทะเลพอดี พวกเด็กจากทางภาคเหนือ และกลางพากันเล่นน้ำทะเลสนุกสนาน ในขณะที่ฉันเดินเลาะหาดทรายกับเขาเงียบๆ ปล่อยให้คลื่นซัดสาดเท้า ฉันจำได้ว่า ฉันคุยกับเขามากมาย พอเริ่มค่ำฉันเอนตัวบนผืนทราย เห็นดาวเป็นประกายในฟ้ามืดมิด เหมือนมีคนเอาหมุดที่เป็นประกายแวววาวไปติดอยู่ที่กระดานดำ ปรกติ ยามที่ฉันมองธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ ในหัวของฉันจะว่างเปล่า แต่อาจเป็นเพราะมีเขาอยู่ด้วยกันกระมัง ทำให้ฉันรู้สึกว่า ในคืนนั้น ฉันได้คิดอะไรมากมายยิ่งกว่าดาวบนผืนฟ้า

ตอนทำข้อสอบครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นภาคทฤษฎีหรือภาคปฏิบัติ ฉันรู้ตัวว่าฉันทำไม่ได้เลยสักนิด ไม่ว่าจะเป็นเพราะ ความสะเพร่า และการเตรียมตัวที่ไม่พร้อม ของฉันเอง วันสุดท้ายจะมีการประกาศเหรียญรางวัลกัน ฉันได้แต่นั่งมองคนรอบๆกายฉันลุกขึ้นไปรับเหรียญคนแล้วคนเล่า ฉันรู้ตัวเอง ว่าฉันไม่มีวันได้เหรียญแน่นอน แต่ไม่รู้ทำไม พอได้ยินประกาศชื่อของเขา น้ำตาฉันก็ไหลออกมาเฉยๆ ฉันไม่ได้เสียใจ ที่ตนเองไม่ได้รับเหรียญ แต่เสียใจที่ไม่ได้ขึ้นไปยืนข้างๆเขาตอนรับเหรียญ เจ็บใจที่ตนเองมีโอกาส แต่กลับไม่ใช้มันให้เต็มที่ ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ที่ฉันคิดว่า สักวันฉันต้องเก่งให้ได้อย่างเขา และเก่งกว่าเขา และสามารถสอนคนอื่นๆได้อย่างที่เขาสอนฉัน

มารู้ตัวอีกที่แขนของเขาโอบเบาๆที่บ่าของฉันแล้วปล่อยออก พอฉันหยุดสะอื้น ไห้ เขาก็โน้มตัวลงมาแล้ว กระซิบที่ข้างหูแผ่วเบา หลังจากนั้น เด็กจากภาคอื่นๆ รวมทั้งพวกเราเองก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน เขาจากไปแล้ว แต่ยังทิ้งความฝันให้ฉันไล่ตามจนถึงทุกวันนี้ ถ้อยคำที่เขากระซิบให้ฉันฟังคนเดียวก็ยังจำได้ไม่รู้ลืม

ช่วงชีวิตคนเราเป็นยิ่งกว่าละคร มีฉากสลับสับเปลี่ยนกันไปเรื่อยๆ ทั้งยังต้องเดินตามทางหลากหลาย ต้องพบผู้คนมากมาย เช่นเดียวกับการแข่งขันครั้งนี้ ที่ฉันได้เจอคนมากมาย ที่กลายมาเป็นกำลังใจให้แก่ฉัน แต่ฉันอยากจะเขียนเรื่องราวของเขาเอาไว้เป็นตัวอักษร เพราะฉันอยากคิดถึงเขา ในฐานะที่เขาเป็นคนแรกในชีวิตของฉันที่ทำให้ฉันฝัน และพร้อมที่จะทำตามความฝันของตัวเอง บางคนอาจบอกว่า นี่ คือ ความรัก แต่ฉันอยากเรียกมันว่า การคิดถึงที่มีความสุขเสียมากกว่า หากเจอเขาอีกครั้งหนึ่ง ในตอนนั้นฉันคงเติบโตขึ้นมากกว่าเดิม และอาจจะยังสามารถแบ่งปันให้ผู้อื่นเหมือนกับที่เขาแบ่งปันให้ฉันได้แล้วกระมัง ทั้งยังอาจมีเรื่องราวมากมายมาเล่าให้เขาฟัง แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันอยากพูดที่สุดเมื่อเจอกับเขา คือ คำว่า ขอบคุณ...

ขอบคุณที่ได้ผ่านเข้ามาในชีวิตของฉัน....

ขอบคุณที่ทำให้ฉันรู้ตัวว่า การคิดถึงใครสักคนหนึ่งที่อยู่ไกลแสนไกล มันจะมีความสุขมากถึงเพียงนี้

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา