ซะขนาดนี้หรือจะลืมลง

9.9

เขียนโดย มังกุมภ์

วันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 15.05 น.

  48 ตอน
  40 วิจารณ์
  44.52K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 10 เมษายน พ.ศ. 2558 16.39 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

8) หมู่หมีไม่มีหลง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

                                             ช่วงเหตุการณ์  ป.5

 

          คราวก่อนผมได้เล่าถึงวิชาสุดโปรดของผม คือวิชาลูกเสือ แต่เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับความรันทด เพราะไม่ได้เรียนวิชานี้ คราวนี้ผมจะย้อนกลับไปตอนที่ได้เข้าค่ายลูกเสือกันครับ มามะมาเริ่มกันเลยดีกว่า

          ช่วง ป.5 เป็นครั้งแรกที่ผมได้เข้าค่ายพักแรม เพราะสมัย ป.4 เข้าค่ายลูกเสือจะเป็นแบบ ไปเช้าเย็นกลับ แค่ทำกิจกรรมทั้งวัน ซึ่งยังไม่สะใจวัยเด็กแบบผม ตอนเด็กๆ ที่พี่ชายผมไปเข้าค่ายลูกเสือ แล้วกลับมาเล่าให้ฟัง ผมฟังด้วยความสนุก ตื่นเต้น อยากจะเข้าค่ายกับเค้ามั่ง จนในที่สุด ก็ถึงเวลาของตัวเองซะที

          จำได้ว่าวันเข้าค่าย ผมตื่นเช้าผิดปกติ เพราะปกติแล้วแม่มาฟาดก้นปลุก ก็ยังไม่อยากจะตื่น พอมาถึงโรงเรียน หลังจากเคารพธงชาติเสร็จ เหล่าลูกเสือ ก็เคลื่อนทัพไปยังหลังโรงเรียน ซึ่งเป็นสนามบอล และลึกลงไป เป็นดงไม้สลับสนามหญ้า ที่ล้อมไว้ด้วยกำแพงสูง หลังกำแพง เป็นท้องนา ทุ่งหญ้า บ่อเลี้ยงปลา ฯลฯ

          เมื่อจัดแถวเรียบร้อย ครูผู้กำกับก็ออกมาแถลงว่า จะมีการแบ่งหมู่กัน พวกเราตื่นเต้นกันมาก เพราะอยากรู้ว่าตัวเองจะได้อยู่หมู่อะไร แน่นอนว่า หมู่ในฝันของเด็กๆ คงจะหนีไม่พ้น หมู่เสือ หมู่สิงโต หมู่อินทรีย์ หมู่เหยี่ยว อะไรประมาณนี้

          ลองทายสิครับ ว่าผมได้อยู่หมู่อะไร? หึหึ คนอ่านชื่อเรื่องคงเดาไม่ยาก "หมู่หมี" ครับ พอรู้ว่าตัวเองอยู่หมู่หมี ผมก็ลอบมองสมาชิกของหมู่หมี พร้อมกับคิดในใจว่า ผู้กำกับกำหนดชื่อหมู่ จากการจับฉลาก หรือมองลักษณะสมาชิกในหมู่กันแน่ เพราะแต่ละตัว เอ๊ย คน มันเหมือนหมีจริงๆ

          ที่น่าภูมิใจเล็กน้อยคือ ผมได้เป็นรองหัวหน้าหมู่หมีครับ นั่นไม่รู้ว่าเพราะผมเหมือนหมีอันดับสองหรือป่าว

          พอได้ชื่อหมู่มาเรียบร้อย เราก็เริ่มกางเต้นท์ และหุงข้าวทำอาหารเที่ยงกันทันที เพราะตอนบ่ายเรามีภาระกิจกันยิ่งใหญ่ นั่นก็คือ "การเดินทางไกล" นี่แหละที่รองหัวหน้าหมู่หมีรอคอยมานาน

          หลังจากที่กินข้าวเที่ยงไหม้ๆเกรียมๆเรียบร้อย เพราะสมาชิกหมู่หมีไม่มีใครหุงข้าวเป็นซักคน เลยได้กินข้าวไหม้ พร้อมกับต้มฟักที่ไม่รู้คนทำมันต้มได้ไง คือทำกินเฉพาะหมู่แต่หม้อที่มันเอามา ใหญ่ขนาดต้มกินทั้งกองร้อย หมู่หมีกะขนาดไม่ถูก เลยใส่ฟักมันเต็มหม้อเลย ผลก็คือจนกระทั่งเลิกค่ายกลับบ้าน ต้มฟักยังเหลือเกินครึ่งหม้อ ต้องเททิ้ง

          ระหว่างรอเดินทางไกล ผู้กำกับสั่งให้ทุกหมู่ต้มน้ำชงไมโลกิน โดยมีเงื่อนไขให้คือ มีไม้ขีดให้แค่สามก้าน ให้จุดไฟให้ติดภายในสามก้านนี้ ถ้าใช้ก้านเดียวจะได้คะแนนเต็ม ถ้าสอง สาม ก็ลดหลั่นกันไปตามจำนวน

          หนึ่งในสมาชิกหมู่หมีก็เสนอมาด้วยความฉลาดว่า

          "มึงจะใช้ไม้ขีดจุดทำไม ไฟแช็คก็มี ไม่ก็ไปขอต่อไฟจากหมู่อื่ีนสิวะ ไม้ขีดเหลือสามก้านได้คะแนนเต็มๆ"

          พวกเราก็เออ ออห่อหมกไปด้วย โดยไม่ได้คิดเลยว่า จะพาหมู่เราลงเหวลึก แต่สวรรค์ยังเป็นใจ เพราะว่าไม่ได้มีแต่หมู่เราที่คิดแบบนี้ ระหว่างครูเดินตรวจให้คะแนน หมู่อะไรจำไม่ได้แล้ว ถัดจากเราไปประมาณ 5-6 แถว ได้ใช้วิธีเดียวกะเราคือ ไปต่อไฟจากหมู่อื่น แล้วอวดครูด้วยความภาคภูมิใจว่า ไม้ขีดยังเหลือครบ

          "เพี๊ยะะ" เสียงฝามือตบป้าบเข้าไปตรงหัวเกรียนๆของสมาชิกกลุ่มดังกล่าวพร้อมกับเสียงด่า "พวกมึงคิดอะไรกันอยู่วะ คะแนนนี้อดทั้งกลุ่ม"

          หมู่หมีพอได้ยินเสียงสวรรค์ก็เลยไหวตัวทัน รีบหยิบไม้ขีดออกจากกล่อง 1 ก้านทันที ..เกือบไปแล้วหมู่หมี  หลังจากให้คะแนน กินไมโลเสร็จ เราก็เตรียมตัวเดินทางไกลกัน

          แดดยามบ่าย อันร้อนระอุ ถึงจะเป็นช่วงฤดูหนาวก็ตามที ไม่ได้ทำให้ความคึกคะนองลดลงแต่อย่างใด ช่วงนี้มีแต่ความตื่นเต้น ที่จะได้ผจญภัยไปยังสถานที่ต่างๆ  หมู่หมีของพวกเราหลังรายงานตัวเรียบร้อยก็เดินทางออกทางประตูหน้าโรงเรียน โดยมีหมู่อื่นๆ ตามหลังมาอีกประมาณ 2 หมู่ ซึ่งถือว่ากลุ่มพวกเราเป็นกลุ่มท้ายๆที่เดินทางออกจากโรงเรียน

          ในช่วงแรก ทุกคนเดินออกจากโรงเรียนเหมือนทหารเดินขบวน ทุกคนยืดอกเท่ถือไม้ง่ามพาดบ่าเหมือนถือปืน ธงแสดงสัญลักษณ์หมู่หมีสะพัดกระพืบดูน่าฮึกเหิมยิ่ง

          แต่ผ่านไปได้ไม่ถึง500เมตร หมู่หมีก็เริ่มหมดแรง เพราะสมาชิกส่วนใหญ่แบกน้ำหนักกันเกินวัย เดินตุปัดตุเป๋เหมือนหมาขาเดี้ยง น้ำในกระติกบางคนหมดไปตั้งแต่ 200เมตรแรก เพราะดันใส่เป๊ปซี่เย็นๆมา พอกินแล้วชื่นใจก็กระดกจนหมด ผลก็คือ บางคนต้องแบ่งน้ำของตนให้เพื่อนๆในหมู่ดื่มกัน

          พอผ่านช่วงหนึ่งกิโลแรก กำลังพวกเราก็เริ่มอยู่ตัว คือเดินได้เรื่อยๆถึงจะเหนื่อยแต่ก็เดินได้ แดดยามบ่ายเผาผลาญพวกเราอย่างไร้ความปราณี แทบจะกลายเป็นหมีย่าง เมื่อเราเดินผ่านถนนยางมะตอยเยิ้มๆเพราะแดดเผาจนร้อน ซึ่ง ณ จุดนี้ สามารถมองเห็นหลังคาบ้านผมได้อยู่ลิบๆ

          ในใจตอนนั้นผมอยากจะวิ่งกลับบ้านไปอาบน้ำเอาแป้งตรางูโปะไข่เปิดแอร์แถมด้วยพัดลมเบอร์สามจ่อเป่าให้เย็นตายไปเลย แต่ก็ทำได้แค่คิด เพราะมีตำแหน่งรองหัวหน้าหมู่หมีให้เรารับผิดชอบอยู่

          ระหว่างทางที่เราเดิน เราก็ดูแผนที่ไปพลาง บอกตรงๆเลยว่าดูแล้วไม่ค่อยเข้าใจแผนทีฉบับนี้เท่าไหร่ ครูท่านเขียนไว้คร่าวๆ บอกไม่ละเอียดนัก แต่อาศัยเดินตามหมู่ข้างหน้าเอา และระหว่างทางครูผู้กำกับก็จะขี่แมงกะไซด์กับรถยนต์ วนไปมา คอยดูพวกเราอยู่ พร้อมกับชี้เส้นทางเป็นระยะๆ

          สุดท้ายพวกเราเดินมาถึงชายหาด ซึ่งเป็นจุดพักสุดท้ายก่อนจะเดินทางกลับค่ายของเรา เวลานั้นก็เป็นเวลาประมาณสี่โมงกว่าๆ ถึงแม้จะแค่สี่โมงกว่าๆ แต่อากาศเริ่มขมุกขมัวเพราะเป็นช่วงหน้าหนาว มันรู้สึกว่าจะมืดเร็วผิดปกติ ทำให้พวกเรากังวลใจกันมาก

          กว่าจะถึงเวลาปล่อยตัวหมู่เราให้เดินทางต่อ ก็เป็นเวลาร่วมห้าโมงเย็นแล้ว เราเดินข้ามสะพานแขวนที่ทำด้วยไม้และเชือก เดินโยกเยกข้ามคลองเล็กๆที่มองลงข้างล่างแล้วรู้สึกหวั่นๆ เพราะก่อนจะข้ามดันมีคนเล่าว่า คลองนี้มีผีคอยโผล่แขนมาจับขาคนข้ามสะพาน

          และเนื่องด้วยสมาชิกหมู่หมีเกือบครึ่งร่างกายค่อนข้างไปทางล่ำๆแบบไม่อำพราง จึงเดินข้ามช้าเป็นพิเศษ กว่าจะลงสะพานได้ หมู่ที่อยู่ข้างหน้าเราก็เริ่มทิ้งห่างออกไปทุกที

          พวกเราเดินไปเรื่อยๆ ตามทางลูกรัง คันนา ดงไม้ต่างๆ ซึ่งตอนนี้แผนที่เริ่มมองไม่เห็นแล้วเพราะเริ่มมืดเข้าไปทุกที ทุกคนไม่มีไฟฉายติดตัวมา เพราะโดนสั่งห้ามให้พกไฟฉายเด็ดขาด ระหว่างทางนั้น สมาชิกบางคนซึ่งมันน่าจะไปอยู่หมู่เก้งมากกว่า ก็เริ่มสร้างปัญหาขึ้นมา เดินตกคันนามั่ง เหยียบรองเท้ากันเอง ไม้ง่ามไปเกี่ยวกับกิ่งไม้ริ่มทาง บางคนเจอหญ้าถูขาก็ร้องกรี๊ดๆ นึกว่างูหรือแมลงมีพิษ

          กว่าจะตั้งตัวตั้งสติจัดแถวกันใหม่ได้ หมู่ที่อยู่ข้างหน้าพวกเราก็หายลับไปแล้ว... แต่พวกเราก็ยังเดินกันต่อไปเพราะคิดว่าไม่น่ามีอะไร จนกระทั่งพักใหญ่ๆ หัวหน้าหมู่ก็หยุดกึก พร้อมกับเรียกผมไปคุยด้วย

          "หลงทางว่ะ!"

          เสียงหัวหน้าตัวใหญ่พูดมาสั่นๆ

          "........." 

          ผมพูดไม่ออก

          แล้วก็มีเสียงจ๊อกแจ๊กของพวกลูกหมู่คุยกันว่าจะทำอย่างไรดี บางคนก็เริ่มจะร้องไห้ด้วยความกลัว เพราะตอนนี้มืดสนิทแล้ว มองหน้ากันแทบจะไม่เห็น อากาศก็เย็นวูบอย่างรวดเร็ว

          ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าเหมือนขงเบ้งดูดาว เพ่งไปมาชั่วขณะก็บอกทิศให้หัวหน้าเดินต่อไป ไม่ใช่ว่าผมดูดาวเป็นหรอก แต่ผมหาจุดที่ไฟสว่างที่สุด ซึ่งเดาว่าน่าจะเป็นค่ายในโรงเรียนของเรา

          "เดินไปทางนั้น"

          ผมบอก

          "แน่ใจนะ?"

          เสียงหัวหน้าหมีถามมา

          "เออน่าไม่หลงหรอก..แถวนี้ถิ่นกู"

          ผมตอบแบบขอไปทีเพราะไม่อยากอยู่ตรงนี้นา่น กลัวผี

          พวกเราเดินดุ่มๆไปตามทางเล็กๆ ตามคันนา และมีดงไม้นิดหน่อย โดยยึดแสงสว่างที่ว่าเป็นเป้าหมาย เดินอยู่ราวๆ เกือบชั่วโมง เราก็ถึงที่หมาย แสงสว่างที่ว่า..

          มันเป็นงานคล้ายๆงานแสดงสินค้า หรืองานวัดเล็กๆ มีชิงช้าสวรรค์ มีม้าหมุนและมีของกิน

          หมู่หมีของเราเดินเข้าไปในงานแบบมึนๆ คนที่ไปเดินเที่ยวงานมองมาที่พวกเราแบบงงๆ ว่าลูกเสือหมู่นี้หลุดมาจากป่าไหน พอเข้ามาในงานผมก็รู้ทันทีว่าเราอยู่ห่างโรงเรียนไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร เมื่อรู้ตำแหน่งแล้ว ความสบายใจก็ตามมา เพราะว่า อยู่ไม่ไกลแล้ว

          "เห็นมะ กูบอกแล้ว ไม่หลงหรอก"

          ผมโม้ด้วยความภูมิใจ

          "แล้วหมู่อื่นๆไปอยู่ไหนกันหมดล่ะ?"

          หนึ่งในนั้นถามมาพร้อมมองซ้ายขวา

          "ป่านนี้คงถึงโรงเรียนแล้วมั้งพวกเราเสียเวลาไปเยอะ"

          อีกคนบอกมา

          พวกเราเดินออกจากงานมาด้วยใบหน้าแช่มชื่น ปากมันแพล่บ เพราะแวะซื้อทอดมันกับลุกชิ้นทอดและโค้กกินกัน เมื่อถึงประตูหน้าโรงเรียนพวกเราก็รีบจ้ำอ้าวเพื่อไปรายงานตัวทันที

          ผู้กำกับนั่งบนเก้าอี้หันหลังให้พวกเรา เพื่อรอลูกเสือที่ถึงค่ายมารายงานตัวอยู่ เมื่อได้ยินเสียงพวกเราเดินมาจากทางหน้าโรงเรียนครูท่านก็หันมาพร้อมกับร้องว่า

          "เฮ้ย พวกมึงทำไมมาทางหน้าโรงเรียน? หมู่อื่นเค้าเข้าทางหลังโรงเรียนกัน"

          พวกเรามองหน้ากันไปมาเพราะไม่รู้จะตอบยังไงเหมือนกัน  ระหว่างที่กำลังเงียบๆ งงๆนั้น ก็มีเสียงเดินมาจากทางเดียวกันกับพวกเราอีกสองกลุ่ม ผู้กำกับรีบเรียกมาพร้อมกับถามว่า

          "ทำไมพวกมึงมาทางนี้วะ?"

          สองหมู่ที่ตามมาทำหน้ามึนๆ (ไม่รู้ว่าปากมันเหมือนพวกผมหรือป่าวไม่ทันสังเกต) พร้อมกับชี้นิ้วมาทางหมู่หมีแล้วบอกว่า

          "ตามหมู่นี้มาฮับ"

          เสียงผู้กำกับด่าปนหัวเราะมาว่า

          "ไอ้ห่า..หมู่อื่นเค้ามาทางหลังโรงเรียน พวกมึงกลับเดินมาหน้าโรงเรียน เออ ไม่เป็นไร ถึงก็ดีแล้ว รีบไปอาบน้ำเตรียมตัวทำกิจกรรมรอบค่ำ"

          พวกเรารีบกลับเต๊นท์ไปเตรียมตัวอาบน้ำ ระหว่างรอทำกิจกรรมรอบค่ำ พวกเราได้คุยกับหมู่อื่น ได้ความว่าเหนื่อยกันมาก เพราะต้องเดินลุยตามคันนา ก่อนจะถึงหลังโรงเรียน ยังมีด่านที่ครูผู้กำกับได้ทำไว้ ต้องคลานรอดลวดหนาม ไต่เชือก ปีนกำแพงซึ่งสูงมาก บางคนได้แผลถลอกปอกเปิดเต็มหน้าแข้ง มีเพื่อนคนหนึ่งเหยียบตะปูต้องส่งโรงพยาบาล ทุกคนสะบักสะบอมกันมาก           

          ส่วนพวกเราหมู่หมี แค่ปากมันเท่านั้น.

                                     ---จบ---

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา