We are Under Sieg/e! : Battle of Frieden

9.7

เขียนโดย Sasoric_Yukari

วันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เวลา 16.01 น.

  1 บท
  1 วิจารณ์
  2,827 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 16.05 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

1) Battle of Frieden

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

               4 เมษายน ปี 244  เมืองเฟรย์เดน เมืองเล็กๆที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเมืองโซฟานอเรีย ที่ตั้งของกองพลที่ 2 โซฟากุนอฟ ถูกโจมตีและปิดล้อมฝั่งตะวันตกโดยกองร้อยที่ 117 ลินดานเซเฟีย ของฝ่ายข้าศึก ทหารรักษาดินแดนของที่นั่นส่งข้อความเพื่อร้องขอกำลังเสริมด่วนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทางกองกำลังหลักจากเมืองหลวงไม่ต้องการเสียทหารของตน จึงโยนภาระนั้นมาให้กองพลที่ 2 ให้จัดกำลังพล 1 กองร้อยเพื่อไปสนับสนุนการป้องกันที่เฟรย์เดน แล้วทางการจะจัดส่งทหารมาทดแทนให้ภายหลังจำนวน 1 กองร้อย

 กำลังพลที่จะถูกส่งไปรบคือ “กองร้อยรักษาดินแดนที่ 17” ประกอบด้วยทหารเกณฑ์ใหม่ๆไร้ประสบการณ์และทหารที่ไม่มีผลงานในการรบทหารจำนวน 176 นาย ทั้งนี้ ดูเหมือนเบื้องบนคงจะไม่อยากเสียทหารมือดีไปสักเท่าไหร่...

ฉันเองก็ถูกเกณฑ์เข้ามาในกองร้อยนี้ มีข่าวลือว่าสภาพเมืองนั้นไม่สู้ดีนักและศัตรูมีอาวุธหนักสำหรับสนับสนุนการรบ ทำให้ทหารในกองร้อยนี้ขวัญเสียไปไม่น้อย ตัวฉันนั้นก็เหลืออะไรให้อาลัยอาวรณ์แล้ว ก็คงต้องก้มหน้าก้มตาทำตามคำสั่งไป

 

               อาจจะช้าไปเสียหน่อย ดิฉัน จ่าสิบตรี ซาโซริ เซคิซารุ ทหารหญิงที่ทำการรบมาจนติดยศจ่าสิบตรี ไม่มีผลงานโดดเด่น ก็จึงไม่แปลกใจที่เขาส่งฉันไปกับกองร้อยนี้ ฉันถูกแต่งตั้งให้เป็นผบ.หมู่ของหมู่ที่ 4 หมวดที่ 2 แห่งกองร้อยรักษาดินแดนที่ 17 ในเย็นวันนี้ ฉันจะได้ไปพบผู้ใต้บังคับบัญชาของฉันเพื่อทำความรู้จักซึ่งกันและกัน

ช่วงบ่าย ผู้บังคับบัญชากองร้อยเรียกประชุมผบ.หมู่และผบ.หมวดทุกคน เนื้อความชี้แจงเกี่ยวกับเวลาที่จะเดินทาง โดยจะเดินทางในวันพรุ่งนี้ก่อน 8 นาฬิกา บางคนกระตือรือร้นกับภารกิจ บางคนก็แสดงความหวาดกลัวออกมาทางสีหน้าจนสามารถดูออก เมื่อจบการประชุม เวลาก็ล่วงเลยมาจนบ่ายแก่ๆ ฉันรีบเดินมาที่ห้องทำงานของฉันเพื่อเตรียมตัวตัวเองก่อนไปพบผู้ใต้บังคับบัญชาเล็กน้อย เดิมทีฉันเป็นคนของฝ่ายเอกสาร คอยดูแลจัดเก็บเอกสารต่างๆในห้องฝ่ายเอกสารที่ 2

นั่นคืองานหลักของฉันที่นี่

                สี่โมงเย็นของวัน ฉันกำลังยืนอยู่ต่อหน้าทหารใหม่ทั้งสิบคนที่กำลังจะกลายมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของฉัน พวกเขาแม้มีความหวาดกลัวอยู่ในดวงตาแต่ก็แสดงความเข้มแข็งออกมาได้อย่างน่าประทับใจ ฉันเริ่มทักทายพวกเขาทีละคนๆ ก่อนจะชี้แจงเวลาเดินทาง แม้จะจำเสียงหรือชื่อไม่ได้หมด แต่ฉันก็พยายามจำหน้าของพวกเขาให้ได้ เดิมทีฉันเป็นเด็กขี้อาย จนมักมีคนเข้าใจผิดว่าเป็นคนหยิ่งยโส แต่ฉันก็พยายามสร้างความประทับใจให้เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของฉันเต็มทีแต่ก็รักษาระยะไม่ให้ล้ำเส้นระหว่างหัวหน้ากับลูกน้อง เย็นวันนั้น กองร้อยที่ 17 ทานอาหารเย็นพร้อมกันที่โรงอาหาร โดยนั่งเป็นหมู่เป็นหมวดเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดี พวกทหารเริ่มคุยกัน สร้างมิตรภาพซึ่งกันและกัน หลังอาหารเย็น

ฉันกลับมาที่ห้องฝ่ายเอกสารที่ 2 ของฉันเพื่อซ่อมบำรุงอาวุธประจำกายของฉัน “MP 40” ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนกองเอกสารและหลับไป...

 

                เช้าวันต่อมา 5 เมษายน ปี 244 ฉันตื่นขึ้นพร้อมความตื่นเต้นกับภารกิจที่กำลังจะเริ่มในวันนี้ ฉันใช้เวลาสักพักในการเตรียมตัวก่อนจะเดินไปที่จุดรวมพล

เมื่อฉันเดินมาถึง ทหารในหมู่ของฉันที่กำลังจับกลุ่มคุยกันลุกขึ้นและทำความเคารพฉัน ฉันวันทยาหัตถ์และยิ้มให้พวกเขาเล็กน้อย เมื่อถึงเวลาที่ ผบ.กองร้อยเรียกประชุมผบ.หมู่และผบ.หมวดเพื่อจัดสรรกำลังพลขึ้นรถขนส่ง ใช้เวลาวุ่นวายกันสักพักเพราะจำนวนรถที่ประชุมไว้ครั้งแรกกับตอนนี้ไม่เท่ากัน แต่สุดท้ายก็เริ่มออกเดินทางก่อนเวลา 8 นาฬิกานิดๆ บนรถขนส่ง มีเสียงทหารคุยกันเป็นครั้งคราว พวกเขาคุยกันเกี่ยวกับเรื่องราวของแต่ละคนบ้าง ไม่ก็ถามความเห็นเกี่ยวกับภารกิจ บรรยากาศอึมครึม ความกดดันทำให้ทหารหลายคนเริ่มเครียดและส่งผลลบต่อกำลังใจโดยรวมของกองร้อย

พวกเราใช้เวลาราวๆชั่วโมงนิดๆในการนั่งรถที่เต็มไปด้วยความกดดันที่เพิ่มขึ้นเรื่อยของทหารแต่ละคน ในที่สุดก็ถึงที่หมาย

เมืองเฟรย์เดนอยู่ตรงหน้าเราแล้ว..

 

ผบ. กองร้อยติดต่อเข้าไปยังในเมืองผ่านกองกำลังรักษาการด้านหน้าเมือง ไม่นาน ผบ.ของกองกำลังรักษาดินแดนของที่นี่ก็ออกมาด้วยความรีบร้อนและยินดีเพื่อมาพบและพูดคุยเกี่ยวกับแผนการรับมือข้าศึกต่อไป ทั้งคู่เดินไปสู่อาคารที่พวกเขาใช้เป็นศูนย์บัญชาการของเมือง ทหารส่วนใหญ่ใช้เวลานี้ในการผ่อนคลายตัวเอง บ้างก็เดินไปรอบๆเมือง บ้างก็พูดคุย แบ่งปันสิ่งของกับทหารที่อยู่ที่นี่ การพบปะเพื่อนใหม่ๆอาจเป็นเรื่องที่ดีก็ได้ในการผ่อนคลายตัวเองของมนุษย์

ฉันเดินไปรอบๆเมือง แม้เมืองอาจจะเป็นแค่เมืองธรรมดาๆ แต่ที่นี่วิวสวยใช้ได้ ฉันนั่งพักหน้าร้านคาเฟ่ของเมืองมองไปรอบๆพลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อย มันน่าเบื่อเสียจนง่วงเลยล่ะ

 

                ช่วงเที่ยง ผบ. กองร้อยเรียกประชุมอีกครั้งพร้อมแผนการและจัดวางกำลังพล สามารถสรุปได้ง่ายๆคือ รอบๆเมืองจะมีแนวป้องกันบางๆ ในเมืองจะมีแนวป้องกันอีกชั้นหนึ่งที่มีอาวุธประเภทปืนกลหนักตามจุดต่างๆพร้อมกับกำลังทหารส่วนหนึ่งคอยประจำอยู่ตามอาคาร บ้านเรือนต่างๆกระจายอยู่รอบๆเมือง ฉันและผู้ใต้บังคับบัญชาถูกแยกออกเป็นสองส่วนแต่ประจำอยู่ในบ้านใกล้ๆกันทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้

พวกเราแยกย้ายไปอยู่ประจำตำแหน่งของแต่ละคน พวกเราอยู่ที่นั่นจนเริ่มเย็นก็ไม่มีวี่แววของการโจมตี

ช่วงอาหารค่ำ หมู่ของฉันส่งเวรไปรับอาหารมาแจกจ่ายให้คนในหมู่ พวกเราผลัดเวรกันเฝ้ายาม เหตุการณ์เป็นไปด้วยความสงบ ฉันว่ามันคงลดความเครียดของทหารในกองร้อยไปได้เยอะในคืนแรกนี้

               เช้าวันต่อมา 6 เมษายน ปี 244 ท้องฟ้ามืดครึ้ม พวกเราหมู่ที่ 4 ช่วยกันเสริมเติมต่อบ้านหลังที่พวกเราประจำอยู่ให้มีที่พื้นที่กำบังที่ดีขึ้น ทำรั้วไม้ให้ทึบและหวังว่ามันจะช่วยบังกระสุนได้

ฉันเดินเล่นออกมาจากบ้าน เดินไปรอบๆเมือง ทหารในแนวป้องกันกำลังขุดสนามเพลาะให้ยาวและกว้างขึ้น ทหารที่กำลังลำเลียงกระสุนปืนด้วยความเร่งรีบ ทหารช่างกำลังหาวิธีซ่อมปืนต่อต้านรถถังที่พัง และอาคารศูนย์บัญชาการที่มีความกดดันของทหารทุกคนรวมอยู่ส่งกลิ่นลอยออกมาจากทางหน้าต่าง ฉันเดินเล่นไปเรื่อยๆและภาวนาว่าพวกเราส่วนใหญ่ของที่นี่จะรอดชีวิต ฉันเดินกลับมาที่บ้านด้วยความเหนื่อย นั่งลงกับพื้นในห้องนั่งเล่นที่ข้าวของถูกรื้อออกไป หลับตาและหลับไป

                ฉันตื่นขึ้นมาบนความเงียบสงัด เมื่อลุกขึ้นมองหน้าต่าง เหล่าทหารต่างวิ่งไปที่แนวรบด้วยท่าทางเคร่งเครียด ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องแล้วพาฉันวิ่งไปที่แนวรบ ท่าทางของเขาเคร่งเครียด มือเขาสั่นเล็กน้อยแต่ฉันก็รับรู้ได้ สถานการณ์แบบนี้ ศัตรูคงจะเปิดฉากบุกแล้วสินะ?

ฉันอยู่ในสนามเพลาะที่ขุดขึ้นอย่างลวกๆ สายตาพวกเรามองสอดส่องเพื่อหาสิ่งที่เคลื่อนไหวได้ พื้นดินเริ่มสั่นเล็กน้อยและสั่นแรงขึ้นเรื่อยๆ เสียงของเครื่องยนต์ค่อยๆดังเข้ามา รถถัง! รถถังคันหนึ่งปรากฏขึ้นและมุ่งหน้ามาที่เรา ทหารของเราเริ่มแสดงอาการขวัญเสียออกมา ทหารราบหลายคนเดินออกมาจากด้านหลังรถถัง และตรงมาทางเรา รถถังหยุดวิ่งและขยับกระบอกปืนหลัก ทหารบางคนสติแตกและวิ่งหนีเข้าไปในเมือง ฉันและพวกที่เหลือพยายามห้ามแต่ก็สายไปเสียแล้ว ปืนหลักของรถถังยิงเข้ามาที่แนวป้องกันห่างจากฉันไปไม่กี่เมตร เสียงระเบิดทำเอาหูฉันอื้อจนไม่ได้ยินเสียงอะไรไปซักพัก ปืนกลจากรถถังยิงกราดไปที่ทหารที่กำลังสติแตกล้มลงทีละคนๆจนหมดก่อนจะเคลื่อนเข้ามาใกล้แนวป้องกันอีก ทหารราบศัตรู ยิงสนับสนุนซึ่งกันและกันและเคลื่อนเข้ามาใกล้เราเรื่อยๆ ฉันและทหารคนอื่นๆพยายามยิงตอบโต้แต่ก็โดนปืนกลรถถังยิงกดจนเราต้องหลบอยู่แต่ในสนามเพลาะ

“ถอย ...ถอย!!” เสียงของผบ.หมวดที่ 2 ตะโกนขึ้นมา พวกเราถอยร่นเข้าไปในเมือง ทหารฝั่งศัตรูโห่ร้องดีใจและกราดยิงใส่พวกเรา

ฉันวิ่งหนีสุดชีวิตก้าวข้ามศพของเพื่อนพ้อง เสียงร้องแห่งความเจ็บปวด เสียงร้องขอความช่วยเหลือ ระงมเต็มไปหมด ฉันได้แต่ทำเป็นไม่ได้ยินและวิ่งหนีต่อไป หลังจากคิดว่าน่าจะปลอดภัย ผบ.ของแต่ละหมู่รวมถึงฉันก็ให้สัญญาณรวมพล

หมู่ของฉันเสียไปหนึ่งคน เขาโดนยิงตายในสนามเพลาะ อีก9คนที่เหลือไม่ต่างกับตายทั้งเป็น

ตกกลางคืน ทั้ง 9 คนพักผ่อนอย่างสงบในบ้านหลังเดียวกันก่อนที่อีกครึ่งจะกลับไปที่บ้านหลังถัดไปในรุ่งเช้า ฉันคอยเฝ้ายามระวังให้พวกเขา เสียงปืนสงบลงราวๆสองทุ่ม เสียงร้องขอความช่วยเหลือยังคงดังอยู่ เสียงโหยหวนยังคงกรีดร้องไปทั่วถนน ไม่นานเสียงเหล่านั้นก็เงียบไป จะด้วยเพราะความช่วยเหลือหรือเพราะหมดแรงไปเองก็เถอะ ฉันรู้สึกว่าตัวเองตอนนี้เป็นมนุษย์ที่ไร้ซึ่งมนุษยธรรมที่สุดในช่วงชีวิต

               รุ่งเช้าของวันที่ 7 เมษายน ปี 244 ฉันไปรับน้ำร้อนและกาแฟที่ศูนย์บัญชาการ เท่าที่ฉันเดินมองไปรอบๆ สภาพจิตใจของทหารส่วนใหญ่อยู่ในขั้นน่าเป็นห่วง บ้างก็เริ่มคุมสติไม่อยู่ บ้างก็เหม่อลอย

ก่อนกลับที่พัก ฉันเข้าไปเยี่ยมผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ในบ้านหลังถัดจากฉัน  พวกเขายังมีกำลังใจที่ดีแม้จะเสียเพื่อนไปคนนึงแล้ว ฉันเดินเข้าไปในบ้านเดินไปรอบๆ ในห้องนอนฉันเจอหวีไม้เล่มหนึ่ง ฉันหยิบมันเก็บใส่ไว้ในกระเป๋าก่อนจะเดินกลับที่พักของตัวเอง แม้ฉันจะเป็นทหาร แต่ฉันก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ในยามสงครามอย่างน้อยๆ ฉันขอแค่ผมของฉันไม่ยุ่งกระเซอะกระเซิงก็พอ ฉันหยิบหวีออกมา ถอดหมวกแล้ววางข้างๆตัว หวีผมตัวเองอย่างลวกๆและหวังว่ามันจะเรียบร้อย

ช่วงบ่าย มีการปะทะเริ่มขึ้นในเขตตะวันตก การบุกครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งแรกมาก มีทีท่าว่าการบุกครั้งต่อไปมันจะยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก หมู่ของฉันถูกเรียกเพื่อไปช่วยโรงครัวของกองร้อย งานมีตั้งแต่ขนของไปจนถึงทำอาหาร เป็นช่วงเวลาที่ทำให้ฉันสามารถสงบจิตใจจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้าและลืมเรื่องสงครามไปได้พักหนึ่ง

การปะทะครั้งแล้วครั้งเล่าเกิดขึ้นในวันนี้ แนวป้องกันบางส่วนต้องถอยร่นเข้ามา คนเจ็บถูกหามเข้ามาในอาคารที่ถูกจัดเป็นสถานพยาบาล ฉันได้แต่มองดูแล้วภาวนาขอไม่ให้ตัวเองต้องไปเป็นแบบนั้น

ช่วงเย็น ฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือและใต้ถูกโจมตี ฉันและทหารในหมู่นั่งพักเงียบๆในบ้าน เสียงปืนและปืนใหญ่จากรถถังดังจนเราได้ยินชัดเจน หกโมงเย็น ผบ.หมู่ของหมวดที่ 2 ถูกเรียกมาประชุมฉุกเฉิน รายงานบอกมาว่าผบ.หมวดที่ 2 เสียชีวิตแล้ว ทุกคนรวมถึงฉันตกใจที่ได้ยินข่าวนี้ ผบ.กองร้อยแต่งตั้งให้ฉันเป็นผบ.หมวดที่ 2 ผบ.หมู่อีกสามคนที่เหลือดูเหมือนจะไม่คัดค้าน ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงถูกแต่งตั้งให้เป็นผบ.หมวดที่ 2 และรับหน้าที่ป้องกันฝั่งตะวันตกของเมืองเฟรย์เดนต่อไป

ฉันกลับมาที่หมู่ของตนและแจ้งข่าว เหล่าผู้ใต้บัญชาของฉันแสดงความยินดี พวกเราจัดงานฉลองกันเล็กน้อยด้วยขนมที่แต่ละคนนำติดตัวมาด้วย มีทั้งช็อกโกแลตและแครกเกอร์ มันเป็นงานฉลองเล็กๆที่มีค่าสำหรับฉัน

                8 เมษายน ปี 244 เวลา 06:34 น.

ฉันออกมาจากบ้าน เดินเล่นไปตามทาง ทักทายทหารเฝ้ายาม พูดคุยกับพวกเขา ทุกอย่างดำเนินต่อไปได้ด้วยดี ดูเหมือนพวกเขาจะเริ่มชินกับสภาวะนี้แล้ว ฉันเดินกลับเข้าที่ตำแหน่งของตนและพักผ่อน

“ข้าศึกมาแล้ว!!” เสียงของทหารคนหนึ่งที่กำลังวิ่งไปตะโกนไปด้วยท่าทางที่ตื่นตระหนกสุดๆ

ฉันรีบปลุกทหารคนอื่นในหมู่ เสียงปืนดังขึ้นมาจากทิศตะวันตก การปะทะครั้งแรกของวันนี้เริ่มขึ้นด้วยความรวดเร็ว

ฉันและทหารหมู่สี่ออกมาจากบ้านเพื่อไปที่แนวป้องกัน แต่ก็สายไปเสียแล้ว ทหารศัตรูเจาะผ่านแนวป้องกันบางๆของเราได้และเคลื่อนกำลังเข้ามาเรื่อยๆ พวกเราต้องถอยร่นเข้าไปในตัวเมือง

ณ จุดนัดพบของหมวดสอง ที่นั่นฉันและหมู่สี่ได้เข้ารวมพลกับหมู่อื่นๆในหมวดสอง ฉันออกคำสั่งให้รักษาแนวป้องกัน แต่พูดนั้นย่อมง่ายกว่าทำ พวกเราทำได้แค่ยื้อเวลาไปเรื่อยๆพลางถอยเข้าไปในตัวเมืองทีละก้าว

                พวกเราถอยมาเรื่อยๆจนใกล้ถึงกลางเมือง รถถังศัตรูคันหนึ่งปรากฏออกมาจากซอยแคบๆด้านหลังพวกเรา มันหันกระบอกปืนเข้ามาหาพวกเราและยิง ฉันกระเด็นตามแรงระเบิดนอนคว่ำลงกับพื้น เสียงระเบิดของมันทำให้หูฉันอื้อจนไม่ได้ยินเสียง ตรงหน้าของฉันคือศพของทหารคนอื่นๆที่ไม่ได้โชคดีแบบฉัน ทหารหมู่ที่สี่สองสามคนวิ่งมาหาฉันและหิ้วปีกฉันออกมาจากแนวรบ ก่อนที่ฉันจะหมดสติไป หูของฉันก็ค่อยได้ยินเสียงต่างๆ หนึ่งในนั้นคือเสียงของผู้คนที่กรีดร้องอย่างโหยหวนด้วยความเจ็บปวดและทรมาน

ฉันตื่นขึ้นมาโดยมีทหารในหมู่ของฉันอีกสามคนคอยเฝ้าอยู่ พวกเรากำลังซ่อนตัวอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง เสียงปืนดังไปทั่ว ผู้ใต้บัญชาของฉันบอกฉันว่าแนวป้องกันของพวกเราแตกพ่ายกระจัดกระจายออกไป พวกเราขาดการติดต่อกับทั้งหมวดสองและกองร้อย ได้แค่หวังลมๆแล้วๆว่าพวกเขายังคงปลอดภัย ฉันลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่างเพื่อดูภายนอกรอบๆ

                อาคารที่ฉันซ่อนตัวอยู่นี้เป็นตึกแถวที่ตั้งอยู่ในซอยเล็กๆที่เชื่อมระหว่างศาลากลางเมืองกับใกล้ๆศูนย์บัญชาการ และในซอยนั้น มีรถถังศัตรูจอดอยู่โดยมีทหารรถถังยืนอยู่รอบๆ ถ้าเรายึดรถถังคันนั้นมาใช้ได้คงดีไม่น้อย ฉันไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป ฉันสั่งให้ผู้ใต้บัญชาตามฉันออกมา  พวกเราลงมาที่ชั้นล่างสุด เดินออกมาจากอาคารอาศัยรั้วเป็นที่กำบัง ทหารศัตรูพูดคุยกันเฮฮาสนุกสนาน ทหารคนหนึ่งทำอะไรบางอย่างกับด้านหลังรถที่เป็นเครื่องยนต์ เขาน่าจะกำลังซ่อมมันอยู่ ฉันเฝ้ามองอยู่สักพักจนดูเหมือนพวกเขาจะซ่อมอะไรบางอย่างนั่นเสร็จแล้ว ก่อนที่พวกเขาทั้งหมดจะเขาไปในรถถัง ฉันลุกขึ้นจากที่กำบัง หยิบปืนพกที่เก็บอยู่ที่เอวออกมาแล้วยิงไปที่ทหารคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังรถถัง ทหารคนอื่นเมื่อเห็นฉันในสภาพนั้นก็มีปฏิกิริยาคล้อยตาม พวกเขาเล็งไปที่ศัตรูและยิงอย่างรวดเร็ว ศัตรูไม่ทันตั้งตัว บางคนก็พยายามเข้าไปในรถถัง บางคนก็วิ่งหนี ฉันเก็บปืนพกและหยิบปืนกลมือ อาวุธประจำกายของฉันที่สะพายอยู่ออกมาและกราดยิงออกไป ทหารศัตรูที่กำลังวิ่งหนีล้มลงร้องด้วยความเจ็บปวดและสิ้นใจ

พวกเราวิ่งไปที่รถถัง ทหารศัตรูที่อยู่ในนั้นร้องขอชีวิตร้องไห้ฟูมฟาย ฉันหยิบปืนพกออกมาอีกครั้ง จ่อไปที่ศีรษะของเขา หลับตาและเหนี่ยวไก ฉันถือคติที่จะไม่หันด้านหลังให้ศัตรูแม้มันจะเป็นไอ้ขี้ขลาดแค่ไหนก็ตาม มันเป็นบทเรียนแสนแพงของฉันในอดีตที่ฉันจะไม่มีวันลืม พวกเราเข้ามาด้านในรถถัง มันแคบ เหม็นกลิ่นเหล็กและน้ำมัน แต่มันทำให้ฉันรู้สึกดีเล็กน้อยที่ได้มันมา

พวกเราไม่รู้วิธีใช้งานเจ้านี่ แต่ก็ไม่มีใครแก่เกินที่จะเรียนรู้ ฉันแยกหน้าที่ให้แต่ละคน โดยฉันเป็นคนขับ และที่เหลือคือ พลยิง พลบรรจุกระสุน และพลปืนกลหนักด้านบนของรถถัง โชคดีที่ด้านหน้าของฉันมีคู่มือสำหรับขับเจ้านี่อยู่ ฉันอ่านมันอย่างรีบๆและเรียนรู้ให้เร็วที่สุด

                พวกเรากำลังขับรถถังออกมาจากซอยเล็กๆ หวังจะขับเจ้านี้เพื่อไปช่วยคนอื่นๆที่ศูนย์บัญชาการ เราออกมาสู่ถนนและเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ เมื่อเข้าใกล้อาคารศูนย์บัญชาการ ด้านหน้าของพวกเราคือทหารราบศัตรูจำนวนมาก ดูเหมือนพวกศัตรูจะไม่รู้ว่าภายในรถถังของพวกเขาคันนี้คือศัตรูของพวกเขาเอง พลยิงเตรียมพร้อมทำการ ฉันชะลอความเร็วลงเพื่อให้เขาเล็งได้แม่นยำขึ้น เขาเล็งอย่างใจเย็นและยิงมันออกไป เสียงของมันดังก้องภายในรถถัง กระสุนของพลยิงพุ่งที่รั้วปูนที่ศัตรูใช้เป็นที่กำบัง ทำให้ทหารศัตรูคนอื่นๆตื่นตระหนกตกใจ พลปืนกลหนักเปิดฝารถถังขึ้นไปและกราดยิงปืนกลหนักใส่ทหารศัตรูที่กำลังแตกตื่น เสียงโห่ร้องดีใจดังมาจากศูนย์บัญชาการ

แต่โชคดีก็ไม่ได้เข้าข้างพวกเราไปตลอด เสียงระเบิดดังออกมาจากด้านหลังของพวกเรา ฉันหันหลังไปก็พบกับไฟที่กำลังไหม้ที่เกิดจากเครื่องยนต์ระเบิดลุกโหมรถถังคันนี้ พวกเราถูกยิงจากด้านหลัง ฉันพยายามออกมาจากรถถังด้วยความทุลักทุเล เสียงระเบิดดังสนั่นอีกครั้ง คร่าชีวิตผู้ใต้บัญชาทั้งสามคนของฉันไปพร้อมกับรถถังที่ฉันยึดมาได้ รถถังศัตรูอีกคันเคลื่อนเข้ามาพร้อมทหารราบ

                เสียงแหวกอากาศของวัตถุบางอย่างดังมาจากบนฟ้า ผบ.กองร้อยออกมาจากศูนย์บัญชาการและตะโกนสุดเสียง

“ปืนใหญ่สนับสนุนจากพันธมิตร ทุกคน หาที่หลบซะ!!” สิ้นเสียงผบ.กองร้อย ทหารส่วนใหญ่ของพวกเราวิ่งเข้าไปตามอาคารต่างๆ ฉันค่อยลุกจากพื้น เดินกะเผลกๆไปที่อาคารใกล้ๆ เสียงระเบิดของกระสุนปืนใหญ่ดังสนั่นไปทั่วเมือง ฉันหลบอยู่ใต้อาคารแห่งหนึ่งและหวังว่ามันจะไม่พังถล่มลงมา สิ้นเสียงปืนใหญ่ ฉันและทหารคนอื่นๆเดินออกมาจากอาคาร รถถังศัตรูกลายเป็นแค่เศษเหล็กบนถนนที่มีไฟไหม้ออกมา ทหารของกองร้อยที่ 17 และทหารรักษาดินแดนโห่ร้องสุดเสียง วิ่งเข้าปะทะศัตรูที่รอดชีวิต พวกเขาสามารถหนีไปได้ แต่ก็ถูกลอบโจมตีจากทหารหมวดที่สองที่รอดชีวิตที่ซ่อนอยู่ภายในเมือง ทำให้กองร้อยที่ 117 ของศัตรูถูกทำลาย

                ในตอนบ่าย ผบ.กองร้อยแจ้งว่าเราจะได้กลับบ้านในเช้าพรุ่งนี้ ทหารในศูนย์บัญชาการได้เล่าพวกเราฟังว่าผบ.กองร้อยพยายามติดต่อไปยังกองพันที่ 2 เพื่อขอกำลังสนับสนุน โชคดีที่กองร้อยรถถังอัตราจรที่ 2 เคลื่อนพลผ่านเมืองนี้พอดี ทางกองพันจึงสั่งให้พวกเขาเข้ามาช่วยพวกเรา และมันก็ประสบความสำเร็จ

 

★                เย็นวันนั้น มีการเรียกรวมพลเป็นหมวดหมู่เพื่อรับอาหารเย็น ฉันมองไปรอบๆ บางหมู่ยังมีสมาชิกครบซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดี บ้างก็เสียไปคนสองคน ไปจนถึงเหลือคนเดียวแบบฉันหรือเสียชีวิตยกหมู่เลยก็มี

ฉันรับอาหารใส่หม้อสนามของฉัน เดินแยกตัวออกมาจากโรงครัว เดินไปตามถนนของเมือง ไปยังที่พักที่ฉันเคยอยู่กับผู้ใต้บัญชา มันว่างเปล่าและมืด นั่นคือสิ่งที่ฉันเห็น แต่สิ่งที่ฉันรู้สึก มันคือสถานที่ๆฉันเคยอยู่อย่างอบอุ่นกับทหารคนอื่นๆ ในสนามรบเราไม่ใช่ผู้บังคับหมู่กับผู้ใต้บัญชา เราคือพี่น้องที่จะสู้ไปด้วยกันในสนามรบที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด

ฉันเดินเล่นไปเรื่อยๆจนถึงสนามเพลาะที่ฉันเคยอยู่ แสงตะวันสีแสดสาดส่องไปทั่วท้องฟ้าที่มีเมฆมีเทาเข้ม สายลมอ่อนๆพัดใบหญ้าปลิวไสวเกิดเป็นเสียงที่แสดงถึงความสงบจากธรรมชาติที่แสนงดงาม ฉันนั่งลงกินอาหารเย็นจนหมด เอาหม้อสนามไปล้างและนอนหลับที่โรงครัว

               รุ่งเช้าของวันที่ 9 เมษายน ปี 244

รถที่เคยนำพวกเรามาส่งที่นี่ ครั้งนี้มาเพื่อรับพวกเรากลับ เมื่อเริ่มเดินทาง ฉันยังคงเฝ้ามองเมืองเฟรย์เดนที่ค่อยๆเล็กลงๆจนสุดสายตา ฉันล้วงกระเป๋าเพื่อหาหวีไม้แต่สิ่งที่ฉันพบคือขนมและลูกกวาดที่ผู้ใต้บัญชาเคยให้ฉันไว้ ฉันยิ้มก่อนจะแกะเปลือกและกินมันอย่างมีความสุข

แม้เราจะคิดว่าการต่อสู้ที่เมืองเฟรย์เดนยิ่งใหญ่เพียงใด แต่เมื่อเรากลับมา มันก็กลายเป็นแค่ผลงานชิ้นหนึ่งของเราบนแฟ้มประวัติ สำหรับฉัน มันจะกลายเป็นความทรงจำที่ดีถึงสีสันแห่งความทุกข์และสุขที่ฉันคนนี้ได้ผ่านมันมา

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา