สุริโยไขแสงส่องฟ้า

-

เขียนโดย Bush

วันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 18.01 น.

  4 ตอน
  0 วิจารณ์
  5,502 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 14.11 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

3) นิทานอีสป

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว” เสียงไบร์ดดังก้องอยู่ในหูได้ไง เคที่ไม่แน่ใจนักคืนที่ผ่านมาเธอจำต้องสะดุ้งตื่นหลายครั้งหลายหน ไม่ใช่ด้วยความกลัวผีของไบร์ด แต่อาจจักเป็นเพราะ ความอ้างว้างว้าเหว่ปราศจากมิตรใดๆ ที่จักดีไปกว่าพ่อของลูกในท้องของเธอเองในยามยากเย็นแสนเข็ญเยี่ยงนี้ “ไบร์ดฉันขอโทษได้โปรดออกมาให้เห็นตัวหน่อยได้มั้ย”
เคที่ลาออกจากงานที่สำนักพิมพ์โดยพลการจับรถกลับไปยังบ้านนอกที่เมืองมิชิแกน มลรัฐโอไฮโอ เธอดิ่งตรงไปยังบ้านพักเดิมของตนเมื่อครั้งยังเด็กเล็ก สายตาเธอมองทอดยาวตรงไป เห็นไร่ส้มเต็มไปด้วยต้นส้มพันธุ์ที่เรียกว่า ซัลควิซ สีส้มอร่ามเหลืองออกผลคากิ่งก้านสาขาตามลำต้นเต็มพรึดไปหมด แลดูเป็นแถวเป็นแนวยาวขนานกันไปตามแปลงเพาะปลูกที่ชาวไร่ส้มท่านได้เตรียมการไว้แต่แรกเริ่มที่มีการเพาะปลูก เพื่อรอการเก็บเกี่ยวตามฤดูกาล ไร่ส้มอันกว้างใหญ่มองดูสุดลูกหูลูกตา และที่นั่นเองที่พึ่งแหล่งสุดท้ายของตัวเธอเองแทบทุกครั้งเลยทีเดียวก็ว่าได้ “แกรนด์ม่าร์ ฮู้วๆ ๆ” หญิงชราผิวสีร่างท้วมสวมกางเกงยีนส์ตัวใหญ่สมตัวสวมบูทส์หนังสูงครึ่งน่องดูจากสภาพของหนังรองเท้าดูรู้ว่าผ่านการใช้งานมานานหลายปี
“อุ้ย รองเท้าหนังแบบนี้ใช่ว่าถูกๆ ยิ่งเก่าหนังยิ่งสวยยิ่งดูดีฉันถึงโปรดปรานพวกกระเป๋ารองเท้าเข็มขัดสิ่งละอันพันละน้อยนี่ดูสิพวงกุญแจมีแผ่นหนัง แกรู้มั้ยว่าเป็นของพวกแขกฮิบรูฉันไปได้มาจากไอ้แผงแบกะดินแถวปั้มน้ำมันเก่าแก่มันมาก่อนแกเกิดอีกหนา ตลาดนัดคนเดินกับไอ้ปั้มน้ำมันแขกนี่ พวกแขกหน้าสวยๆ เหมือนผู้หญิงมันเอามาวางขายฉันเห็น ความชอบเว้ยเลยตัดใจซื้อมา ห้าดอลล่าร์ ห้าเหรียญ ใช่มันเก่าคร่ำคร่า แต่หนังมันยิ่งเก่ายิ่งสวยไม่รู้นะคนอื่นคิดไง แต่ฉันคิดงี้แหล่ะเสมอๆ มันเขียนอะไรไม่รู้ว่ะ อ่านไม่เป็น ภาษาฮิบรู แปลว่า หยุดไม่ให้เคลื่อนที่ quit or stop ไอ้ตาแขกหล่อตาสวยๆ ที่มันเอามาขายมันแปลให้ฟังเอง เหมือนมันแปลก ไอ้บ้านี่มันอ่านใจคนออก ฉันได้ยินมาเยอะมันคงเห็นฉันทำหน้าเง็งๆ เหมือนอยากรู้ความหมายมั้งเลยชิงบอกให้เอง เพื่อประหยัดเวลาจักได้ไปขายสินค้าของมันให้ลูกค้าคนอื่นที่เข้ามามุงดูอยู่เหมือนกันกับฉันนี่แหล่ะ....น่าคิดอะไรมากขนาดนั้น เคที่ แกท้องแกเพี้ยนๆ ฉันก็เป็นตอนท้องแม่แกไง ฮื๋อ.... แวมไพร์กูล่ะหน่าย”
หนสุดท้ายกรรมมา “กรรมย่อมตามสนองผู้กระทำกรรมนั้น” เสมอมาไม่เคยเปลี่ยนจากสาระบบนี้
“ผัวแกเอาชื่อ ไอ้ไบร์ด นี่นะมาใส่เป็นเจ้าของสำนักพิมพ์มายังไง นังเคที่ เอาเอกสารมาให้ อ้อ แล้วพ้นมั้ยถามตรงๆ เหอะ ทำไงดีว่ะ มีรันดา ช่วยฉันคิดหน่อยสิ ว่าแต่ตาแก่ผัวเธอ ไอ้เติร์กมันอยู่ไหนว่ะ ไปเรียกมันออกมารับทราบความผิดบาปที่มันได้กระทำต่อพระเจ้าไฟซาลอย่างกูซะดีๆ ดีกว่า อย่าให้ถึงขนาดต้องสั่งลูกน้องตามล่าเลย เด็กของฉันเวลามันนึกวิบขึ้นมาที ฉันเองคิดไม่ถึงคาดเดายากมาก...ไม่ใช่ขู่แต่นี่หวังดีเห็นว่าเป็นเพื่อนฝูงทำมาหากินด้วยกันมาก่อน เกือบหกสิบปีกันแล้วอายุทั้งฉันและมัน....”
เสียงมิสเตอร์ ซานเต เปรองตา รอสโซ อดีตบอสต์ใหญ่ ประจำสำนักพิมพ์ในเครือบริษัทฯ น้ำมันตะวันออกกลางที่ทั้งเคที่และไบร์ดเคยทำงานอยู่ด้วย พูดเหมือนตะคอกด้วยเสียงอันดังลั่น เหมือนจงใจให้ ท่านเคาส์ เติร์ก ได้ยินได้รับรู้แล้วรีบเดินลงมาจากห้องพักข้างบนตัวปราสาทลงมาหาตนเองด้วยอำนาจบาตรใหญ่ที่คิดว่าต่างคนต่างก็มี และมีเหนือกว่าฝ่ายตรงข้ามเสมอเป็นยังงี้ไม่เคยเปลี่ยน
สักพัก ท่านเคาส์ เติร์ก ก้าวเดินลงมาอย่างสง่างาม มาหยุดยืนตรงพื้นหินอ่อนเบื้องล่างในห้องรับแขก ยืนตรงนิ่งเงียบไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่สักคำเดียว ท่านคงยืนนิ่งตัวตรงแน่วสายตามองจ้องเป๋งประจันหน้ากันกับซานเต ทั้งสองยืนตัวตรงนิ่งเงียบงันราวรูปปั้นที่ไม่ยอมไหวติง......
“เคที่ คลอดลูกเมื่อไรเราค่อยฉลองกัน แต่ตอนนี้เด็กแข็งแรงไม่มีปัญหาโชคดีไป อยู่ที่นี่น่ะดีแล้วเชื่อฉัน”
ปู่มอร์แกนเป็นสามีใหม่ของ ยายแคทเธอรีน แม่แท้ๆ ของแม่ของเคที่ แกได้แต่พูดเชื้อเชิญ เพราะเกรงว่าเคที่จักอยู่อย่างไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนัก
“ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องอาหารการกินเรื่องที่อยู่ ที่นี่เหมือนบ้านเธอเอง ขอแค่ให้ช่วยหยิบช่วยจับอะไรบ้างนิดๆ หน่อยเป็นการออกกำลังกายไปด้วยในตัวเพื่อสุขภาพของตัวเธอและลูกชายน้อยในท้องที่กำลังจักเกิดมารับรองคลอดง่ายแน่ๆ ถ้าหมั่นออกกำลังพอเหมาะไม่มากไปไม่หักโหมจนเป็นอันตรายกับเด็กในท้องเธอเรื่องธรรมชาติง่ายๆ ไม่ต้องตั้งท้องเองก็รู้ได้เว้ย....ฉันผิวขาวแต่ไม่เห็นความจำเป็นอะไรต้องไปแบ่งแยกสีผิวตลกมะกันแบบนี้น้ำเน่าฉิกจัดการง่ายนิดเดียวไอ้ซานเตโจรจับโจร”
วีนัสหัวเสียอย่างแรงเหวี่ยงซองกระดาษสีน้ำตาลที่ภายในเต็มไปด้วยแบงค์ดอลล่าร์สหรัฐฯ ปลอมปึกใหญ่หน้าซองเขียนชื่อของพนักงานแต่ละคนไว้จนครบหมดทั้งสำนักงานไม่เว้นแม้แต่เคที่เองที่ไม่ได้มาทำงานแรมเดือน....หลายเดือนแล้ว แต่พอเปิดซองออกกลับกลายเป็นหนังสือไล่ออกจากงานตามอำเภอน้ำใจของเจ้าของบริษัทฯ ตัวจริง นายซานเต เปรองตา รอสโซ
“แล้วไล่ออกจ่ายเงินปลอมๆ ให้พวกกูๆ ใช้ไม่ได้หรอกเงินกงเต็กพวกนี้ ใครมันรับว่ะ ซื้อของโดนมันตบมันจิกหัวด่าด้วยซ้ำประสาทเสียแต่เช้าเชียวทำไงดีกลับที่พักกันก่อนดีกว่าว่ะ....”
ต่างคนต่างพากันกลับที่พักซึ่งหนีไม่พ้นคอนโดสวัสดิการของบริษัทฯ แต่ทุกคนกลับไม่ได้รับอนุญาตให้แม้แต่เข้าไปในตัวอาคารคอนโดมีเนียมกลางกรุงนิวยอร์คแห่งนั้นเลยด้วยซ้ำ
“ของพวกกูอยู่ในห้องตรึมไปหมด เครื่องเสียง คอมพิวเตอร์ เสื้อผ้า ใช่ พวกกูเอาเงินพลาสติกปลอมๆ ไปจ่ายให้มันแล้วไงแต่นั่นมันก็ของกู....ทำไมเร้อว่ะ”
เสียงสาวๆ กลุ่มของวีนัสเริ่มโวยวายดังมากขึ้นๆ แต่แล้วอยู่ๆ พวกเธอกลับต้องถอยหลังกลับออกมาแทบไม่ทัน เมื่อบรรดาสมุนมาเฟียของซานเตเจ้าพ่อนิวยอร์คเดินกรูกันออกมาหมายจักทำร้ายเข่นฆ่าพวกเธอกัน....
วีนัสหมดทางไปเข้าจริงๆ แล้วแถมใจเธอมุ่งตรงไปหาแต่ท่านเคาส์เติร์กสามีสุดที่รักของเธออยู่ทุกลมหายใจอยู่แล้วด้วยยามนี้เธอยิ่งมีข้ออ้างที่จักมาพักอาศัยอยู่ร่วมร่มไม้ชายคาเดียวกันกับท่านของเธออย่างไม่น่าจักมีข้อน่ารังเกียจรังงอนใดๆ หรือมีเหตุผลอื่นใดเลยที่จักมาขับไล่ไสส่งเธอให้ไปพักอาศัยอยู่ที่อื่นอีก แล้วยิ่งฤดูหนาวค่อยย่างกรายคืบคลานใกล้เข้ามาแล้วด้วยยังงี้
“ให้มันรู้ไปสิเอ้าพับผ่าเหอะว่ะ” แต่แล้ววีนัสกลับต้องสะดุดหยุดฝีเท้าของตัวเธอเอง เมื่อเห็นสาวๆ ในกลุ่มเดียวกันกำลังยืนรออยู่ก่อนหน้าที่เธอจักมาถึงแล้ว บางคนเธอก็นั่งรอบนโซฟาและเก้าอี้ในห้องรับแขกในตัวปราสาทแวมไพร์แห่งนั้นนั่นเอง เพื่อรอคอยสามีสุดที่รักของพวกเธอกันเองทั้งกลุ่มอยู่ในห้องรับแขก
“ถ้าเอากับหมาดีกว่ากูแล้วล่ะก้อ พวกมึ้งทุกคนยกมือไหว้หมากันไปได้เลยแล้วกัน พวกมึ้งรู้กันเอาไว้ด้วยถ้าหมามันเก่งเป็นผัวมึ้งได้ดีกว่าหรือเก่งกว่ากูล่ะก้อ.....ออกไปให้พ้น มีรันดา เรียกคนของเราไล่พวกมันออกไป ไสหัวพวกมันออกไปให้หมดต่อนี้ไปที่นี่ไม่ต้อนรับใครทั้งน้าน ไอ้ซานเตมันไปไหนไม่ได้อีกต่อไปแล้วมันต้องอยู่ที่นี่ตลอดไปชั่วนิจนิรันดรกูไม่อนุญาตให้มันไปไหนได้อีกต่อไปแล้ว ฮ่ะๆ ๆ ออกไปซ้า ถ้ากูไม่นึกรำคาญอิดหนาระอาใจพวกมึ้งอย่างถึงขีดสุดล่ะก้อ...กูจักแกล้งให้พวกมึ้งไปไหนไม่ได้เหมือนไอ้กันซานเตนายเก่าของพวกมึ้ง...ออกไปซ้า...”
เสียง ท่านเคาส์ เติร์ก ฟังดูเศร้า พร่าสั่นน้ำเสียงเครือแฝงหรือเจือปนด้วยความหวงความหึงรักใคร่หลงใหลนายซานเตชาวอเมริกันผู้นี้อย่างผู้ชายรักผู้ชายด้วยกันเอง
เสียงมิรันดายังคงสำทับต่อจากท่านเคาส์ เติร์กด้วยเสียงอันดังไม่ต่างกัน “ออกไปซ้า ออกไปเถิดค่ะ...ได้โปรดเถิดก่อนจักไม่มีโอกาสได้ออกไปไหนกันอีกเลยเหมือนกับตัวฉัน น่าสงสารนักผู้หญิงหน้าโง่พวกนี้ ฉันเตือนพวกคุณแล้วนะว่าให้ออกไปเสียก่อนจักไม่มีโอกาสได้ออกไปไหนได้อีกเลย....ตลอดกาล”
กลิ่นเหมือนซากศพของคนที่ตายแล้ว โชยกลิ่นหืนน่าสะอิดสะเอียนขึ้นมาทันใด เมื่อร่างของ นายซานเต เปลองตา รอสโซ ได้เคลื่อนกายเดินลงมาจากที่พักชั้นบนของตัวปราสาทแห่งนี้ในสภาพเดินตัวตรงแข็งทื่อเหมือนผีดิบ หลังจากที่ท่านเคาส์ได้ออกปากใช้ให้คนของท่าน ซึ่งเป็นชายร่างผอมดูซีดเซียวเหมือนไม่มีเลือด และกำลังยืนคอยคุมเชิงอยู่ข้างๆ กายท่าน เป็นคนเดียวกันกับที่เดินสาวเท้าก้าวเดินตามหลังนายซานเตลงมาห่างๆ อย่างเชื่องช้า เหมือนมีท่าทีนอบน้อมด้วยเมื่อมองเพียงเผินๆ
“เธอขึ้นไปเรียนเชิญมิสเตอร์ซานเตให้ลงมาหน่อย” คงจักเพื่อให้ลงมาบอกกล่าวเป็นการอำลาต่อบรรดาอดีตพนักงานสาวๆ กลุ่มนี้เป็นครั้งสุดท้าย ทำให้เกิดความสงสัยอย่างเหลือคณานับว่าทำไม
“หน้าเค้าซีดขาว ปากซีดท่าทางดูอิดโรย สายตาเค้าเต็มได้ด้วยความหวาดกลัว แถมทำท่าหรี่ตาอยู่ตลอดเวลา เหมือนแสบตา เหมือนพยายามหลบสายตาไปเสียให้พ้นจากแสงแดด เค้าเหมือนแพ้แสงแดดที่สาดส่องเข้ามาอย่างรุนแรง สังเกตเห็นมั้ยว่ะ เมื่อกี้นี้ตอนที่พวกเราอยู่ใน ปราสาทผีดิบบ้าๆ นั่นอ่ะ”
สาวๆ กลุ่มของวีนัส ต่างพากันตั้งข้อสงสัยและพูดคุยกันมาตลอดทางระหว่างที่ต่างคนต่างพยายามรีบสาวเท้าเดินหนีออกมาจากที่นั่นกันอย่างว่องไวที่สุด เพื่อให้ไปได้ไกลที่สุด และเร็วที่สุดเท่าที่จักทำได้
ถ้าขืนยังโกหกเยี่ยงนี้คิดว่าคงต้องใช้เครื่องจับเท็จกันมั่งล่ะ “เคที่ไม่ไหวแล้วพอทีไบร์ดมันเป็นวิญญาณมาหาอาจเป็นไปได้แต่ว่าทำไมนะแวมไพร์เป็นผีดิบมันโดนผีสาวมิลานดูดเลือดรึไงกันทำไมว่ะแต่งงานไม่กี่เท่าไรไปโดนยิงทิ้งตายกลางถนนที่อิสตันบูล...โอ้ยพอทีเสียประสาทไม่ไหวท้องแพ้ครรภ์ปกติธรรมด๋า...” เสียงยายแคทเธอรีนแกล้งทำโมโหโวยวายเพื่อกลบเกลื่อนอารมณ์ขันด้วยนิสัยเป็นคนคุยสนุกติดตลกเป็นทุนเดิม และในทันทีที่เคที่ได้คล้อยหลังเดินกลับเข้าไปในห้องพักของเธอในบ้านชานเมืองแบบชาวชนบทที่ใช้ชีวิตแบบชาวไร่ทำไร่ส้มและพืชพันธุ์นานาชนิด เพื่อเก็บเกี่ยวเป็นสินค้าขายหาเงินเลี้ยงชีพตนเองและครอบครัว สองผัวเมียชรานั่งหัวร่องอหายอย่างไม่อาจระงับหรือทนกลั้นหัวเราะไว้ได้อีกต่อไป “เรื่องผีดิบนี่มัน...นิทานอีศพไบร์ด...อีกแล้วเร้อ ฮ่ะๆ ๆ ฝันไปคิดไปคงเครียด เหงา ไม่มีอะไรสบายใจได้ไม่ต้องกังวลไปอีแก่...เดี๋ยวจักไข้จักเจ็บตามมันแก่แล่ว...นะแก”

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา