เด็กชายกับปู่โสม(เฝ้าทรัพย์)

8.7

เขียนโดย นิกซ์

วันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2560 เวลา 21.42 น.

  10 ตอน
  9 วิจารณ์
  12.89K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 31 มกราคม พ.ศ. 2561 14.13 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

8) ตอนที่ 7 เกลี้ยกล่อม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

วันต่อมา

วาโยนำเงินส่วนหนึ่งที่ได้จากการปราบผีป่าไป บริจาคให้มูลนิธิ เด็กกำพร้า คนชรา คนพิการ ไป เพราะตัวเค้าไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เงินเยอะนัก

เด็กหนุ่มถอนใจอย่างล้าๆขณะที่กำลัง อยู่ในชั่วโมงโฮมรูม

…เหลืออีกสองวัน…

 ...กลับอยุธยาดีกว่า...

หลังจากเลิกเรียน วาโยได้ทำเรื่องเขียนจดหมายลาเรียน เพื่อกลับไปอยุธยา วันนั้นเค้ากลับอยุธยาไปโดยไม่บอกกล่าวคนในครอบครัวสักคน โดยสองดำเค้าไม่ได้เอาไปด้วย

เด็กหนุ่มมาถึงอยุธยาก็ตอนค่ำ ซึ่งดีสำหรับเค้า เพราะเค้าไม่ต้องการพบใคร ก่อนมาเค้าได้แวะซื้อขนมจีน เหล้าขาวหมากพลูบุหรี่

ที่ๆเค้ามาคือ ป่าช้า วัดใกล้บ้านปู่ของเค้า เค้าตรงไปยังที่ประจำของเค้า

‘วาโย ลมอะไรหอบเจ้ามาล่ะ’วิญญาณปู่โสมร้องทัก

ผมมีเรื่อง อะ..อ๊อค!”ความเจ็บปวดเกิดขึ้นที่คอ ตัวชา ข้าวของในมือร่วงลงพื้น

‘วาโย ทำใจดีๆไว้’

สักพัก ร่างกายของเค้าก็กลับมาเป็นปกติ วาโยจัดการเก็บของที่ตกพื้น ดีที่ถุงน้ำยาขนมจีนไม่แตก และขวดเหล้าขาวก็ยังอยู่ในสภาพดี โล่งอก

‘วาโย เงยหน้าขึ้นซิ’

“ครับ?”

‘อืม...จริงๆด้วย อย่าเพิ่งพูดอะไรนะ’

เด็กหนุ่มพยักหน้า

‘เธอโดนสายสิญจน์ลงอาคมรัดคอไว้ เป็นคาถากำกับเฉพาะเรื่อง เรื่องนี้ข้าช่วยเอ็งไม่ได้นะ เอ็งต้องให้คนทำแก้เองนะ แต่ระวังหน่อย คนที่ทำกับเอ็งแบบนี้ได้ ถ้าจะไม่ธรรมดา ’

วาโยอยากจะโต้ตอบแต่กลัวมันจะเกิดเหตุอะไรขึ้นมาอีก ปู่โสมจึงอธิบายต่อ ‘คนที่สามารถทำได้ ต้องเป็นคนที่มีพลังวิญญาณและอาคมแกร่งกล้ามาก ถึงขนาดพรางตาได้ วาโย เอ็งต้องหาทางจัดการเอาเองเถิดหนา’

“ขอบคุณครับ”แล้วเค้าจะไปเจอไอ้คนที่ทำได้ยังไง

เค้าจัดการนำขนมจีน เหล้า หมากพลูบุหรี่ ไหว้ปู่โสมก่อนจะจากไป

คืนนั้น เด็กหนุ่มจำต้องเดินทางกลับกรุงเทพทันที เพื่อหาทางแก้ไขโดยเฉพาะเรื่องสายสิญจน์ที่รัดคอเค้าเอาไว้ กว่าจะถึงห้องพักก็เล่นเอาเกือบเช้า

เวลาบ่าย วาโยตื่นขึ้นมาในห้องพัก

“หลับสบายเลยนะจ๊ะหนุ่มน้อย”

เด็กหนุ่มสะดุ้งโหยง เค้าจำใบหน้าหวานละมุนนี้ได้ นี่คือจำปา นางไม้คู่หูของ พายุ

“เข้ามาได้ยังไง!”

“ต๊าย!ลืมไปแล้วเหรอว่า พี่เป็นผีนะ พายุรอเธออยู่นะ อาบน้ำแต่งตัวเร็วๆล่ะ”

วาโยชักสีหน้าแต่ก็คิดได้ มาได้ก็ดี จะได้มาเอาไอ้สายสิญจน์บ้าๆนี่ออกไปจากคอเค้าเสียที

วาโยลงมาจากหอพักด้วยสีหน้าบึ้งตึง โดยให้สองดำอยู่ในห้อง

“ตามพี่มา มีคนต้องการพบ”พายุพูดแค่นั้นก่อนจะขึ้นรถเต่าสีดำ

หลังจากที่ขึ้นรถแล้ว

วาโยเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อน “พี่ใช่มั้ยครับที่เอาสายสิญจน์นี่มาผูกคอผม”

“เปล่า และชั้นเองก็เอาออกไม่ได้ด้วยนะ อย่าหวัง”

พายุพาวาโยไปยังองค์กรวิญญาณอีกครั้ง และพาเค้ามาที่ห้องๆหนึ่ง

สองหนุ่มเปิดประตูเข้าไป วาโยพบว่ามันคือห้องพยาบาลที่เค้าเคยมานอนเมื่อคราวก่อน

พายุรีบเดินออกจากห้องนั้นทันทีงานนี้ทำเอาวาโยแปลกใจมาก

“สวัสดี”เสียงๆหนึ่งร้องทัก

เจ้าของเสียงคือ เจ้าคนร่างท้วม ที่คอยดูแลเค้าเมื่อวานกำลังนั่งเล่นบนเก้าอี้นวมตัวใหญ่สวมชุดแบบเมื่อวานแต่ที่เปลี่ยนคงจะเป็นเสื้อที่สวม ครั้งก่อนสวมเชิ้ตขาว แต่ครั้งนี้สวมเสื้อโปโล ในมือถือหนังสือการ์ตูนอยู่

...หรือว่า!...

“ใช่ ชั้นเป็นคนเอาสายสิญจน์มาพันคอนายเอง”

เด็กหนุ่มพยายามข่มอารมณ์โกรธ “ทำไม”

“เป็นการป้องกันความลับ องค์กรพิทักษ์วิญญาณ ถ้านายคิดจะพูดเรื่องนี้ล่ะก็ ร่างกายจะชาขยับไม่ได้ ที่จริงวิชานี่ไม่มีชื่อเรียกนะ” ร่างท้วมในชุดกาว์นหยิบบางสิ่งจากบนโต๊ะ นั่นคือม้วนสายสิญจน์ “นี่น่ะ คือสายสิญจน์ลงอาคม กำกับเฉพาะเรื่อง คนที่ใช้วิชาได้ คือหน่วยแพทย์ หรือก็คือหน่วยอินทร์เทพรักษา เท่านั้น และต้องขอโทษด้วย เพราะไม่ไว้ใจนายจะทำความลับแตกน่ะนะ นั่งลงซี่ เราคงต้องคุยกันอีกยาว”

ร่างสูงนั่งลงตรงข้ามกับคนที่เชื้อเชิญ “ขอถามอะไรหน่อย”

“ว่ามา”

“นายเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง”

“แล้วนายคิดว่า...”

วาโยประเมินคนที่นั่งตรงกันข้าม “ผู้หญิง แต่ ท่าทางไม่น่าใช่”

“ผู้หญิงมีได้หลายรูปแบบนะ”น้ำเสียงของอีกฝ่ายแฝงไว้ด้วยอารมณ์ขุ่นๆ

ด้วยน้ำเสียงอีกฝ่ายไม่แตกสาว เอาง่ายๆยังโตไม่เต็มที่ แต่ตัวน่ะ สูงพอๆกับเค้าแล้ว “ขอโทษที ก็ไม่เห็นหน้านี่นา ทำไมไม่เปิดหน้าคุยกันล่ะ ไม่สบายเหรอ”

“ก็ไม่เชิง ตอนนี้ไม่อยากให้ใครเห็นหน้า”เด็กสาวตอบด้วยท่าทีสบายๆ “ชั้นไม่แปลกใจเท่าไหร่เพราะเสียงชั้นยังไม่แตกสาว...”

“ก็คงจะเป็นอย่างนั้น เธอช่วยเอาสายสิญจน์ออกจากคอชั้นสักทีเถอะ”

“นี่ นายเคยได้ยินเรื่อง ราชาหูลา ไหม”

“เคยนะ ราชาที่ตัดสินให้เทพแห่งพงไพรชนะการดนตรี แทนที่จะเป็นเทพแห่งดวงอาทิตย์ จนโดนสาปให้มีหูเป็นลา”

“รู้รึเปล่า ใครเป็นคนรู้ความลับ”วาโยยังคงนิ่งเงียบ “คนที่รู้ความลับอันน่าอับอายคือ ช่างตัดผม ช่างตัดผมเก็บความลับไว้ไม่ไหวจึงไประบายกับหลุม แต่นั่นก็ทำให้ ชาวเมืองรู้ ยังไงล่ะ”

วาโยเบิกตากว้าง ถ้าเค้าพูดเรื่องนี้ในป่า ไม่แน่อาจมีคนได้ยิน ความลับได้แตกแน่

“นายหลงใหล...ใช่มั้ย?”

เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว “หลงใหล?”

“ใช่ นายหลงใหล อาถรรพ์ นายหลงใหลศาสตร์มืด นายรักมัน นายชอบพลังอาถรรพ์ นายชอบวิชาไสยเวทย์ แต่นายจะเรียนไปทำไม ในเมื่อนายไม่มีโอกาสใช้”

“นี่เธอ...พยายามกล่อมชั้น?”

“ใช่ และชั้นพูดถูกรึเปล่า ที่นายน่ะ หลงใหลในไสยเวทย์”

“ใช่ ชั้นชอบไสยศาสตร์”

“แล้วนายจะเรียนไปทำไม ในเมื่อนายไม่มีโอกาสใช้มันน่ะ”

วาโยพูดอะไรไม่ออก  ที่อีกฝ่ายพูดออกมา นั้นถูกทุกอย่าง ตอนแรกที่เค้าเรียนก็เพื่อป้องกันตัว เท่านั้น ต่อมาพอได้เรียนกลับรู้สึกชอบ ยิ่งเรียนยิ่งหลงใหล นับวันยิ่งจะถลำลึก จนยากที่จะถอนตัวออกมา 

ร่างท้วมยังเอ่ยต่อ “แต่ถ้านาย เป็นมือปราบวิญญาณ นายก็สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ปละนายยังใช้ไสยศาสตร์ต่อได้ คนนอกไม่มีใครล่วงรู้ แต่ถ้านายไม่มาเป็นมือปราบวิญญาณ สักวัน ทุกคนก็จะรู้ความลับด้านไสยฯดำของนาย”

เด็กหนุ่มยักไหล่“แถวบ้านชั้นรู้หมดละ...”ก็ตั้งแต่เจ้าเบิ้มโดนเค้าสาปนั้น ทำเอาหลายคนระแวงแต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเชื่อนัก

แววตาของร่างท้วมดูราวกับยิ้มด้วยไม่เห็นปาก แต่เค้าก็เดาได้ว่า เจ้าหล่อนกำลังยิ้ม

“แต่คนที่เป็นพวกพ้องของนายไม่เชื่อในตอนนี้ ต่อมาน่ะไม่แน่ พวกนั้นอาจจะตีจากนายหมด ชีวิตนายอาจจะดิ่งเหวได้ ยากมากที่ควาลับจะมีในโลก ยกเว้นว่ามันจะถูกลืม...แต่ถ้านายมาเป็นมือปราบวิญญาณ ก็จะไม่มีใครรู้ นายจะได้เรียนไสยเวทย์เพิ่มเติมด้วย ไม่ดีรึ? มีเงินใช้ ได้เล่นไสยเวทย์”

“ทำไม ต้องมีองค์กรพิทักษ์วิญญาณล่ะ ปัจจุบันชั้นยังเห็นวิญญาณเร่ร่อนตายโหงตั้งมาก ไหนจะวิญญาณปู่โสมอีก พวกเค้าไม่สามารถไปไหนได้ ทำไม”

“ถ้าเป็นวิญญาณตายโหงตามที่ต่างๆส่วนมาก นั่นไม่ใช่วิญญาณ”

“แล้วมันคืออะไร”

“ภาพในอดีตของวิญญาณ มันก็เหมือน...ภาพสไลด์ที่ฉายบนจอมอนิเตอร์ ถ้าว่าคาถาไล่ มันก็หายไปแค่ชั่วคราว แต่การที่ท่านปู่โสม ที่นายรู้จักไม่สามารถไปไหนได้ นายก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจ ท่านกลายเป็นภูติ มีภาระหน้าที่ ที่ต้องทำ”

วาโยขมวดคิ้ว ก่อนจะแย้มยิ้ม “ดูท่าเธอจะพยายามน่าดู”

“อยู่แล้ว ชั้นอยากให้คนเก่งอย่างนายมาร่วมงาน ความสามารถของนายจะช่วยพวกเราได้มาก”

“แล้วถ้าชั้นตกลง”

“นายก็ต้องเลือกคู่หู และมาฝึกพื้นฐานเพิ่มน่ะสิ ตกลงแล้วใช่ม้า”

“ยัง”

“อ้าว? ทำไม นายกังวลอะไรอีก”

“ทำไมต้องเป็นชั้น”

“เพราะพลังวิญญาณของนายยังบริสุทธิ์อยู่น่ะสิ”

“พลังวิญญาณบริสุทธิ์?หมายความว่ายังไง”

“มนุษย์เรามีภูมิจิตที่ต่างกันนะ ภูมิจิตก็จะส่งผลต่อพลังวิญญาณ และคนที่จะเป็นมือปราบวิญญาณหรือหน่วยอินทร์เทพรักษาได้จะต้องเป็นคนที่มีภูมิจิตที่สูงพอสมควร คนเหล่านี้จะเป็นผู้ที่มีพลังวิญญาณที่บริสุทธิ์ บางคนมีภูมิจิตสูงแต่มีพลังวิญญาณน้อยแต่เรื่องนี้ถ้าทำสมาธิก็สามารถเพิ่มพลังวิญญาณได้ ทำให้เหล่าภูตผีอยากเข้าใกล้ เพื่อหวังกลืนกินพลังวิญญาณ”

“แบบนี้ ชั้นไม่แย่เอารึ?ในตอนเด็กน่ะ”

เด็กสาวที่สวมชุดกาวน์กรอกตาอย่างหน่ายๆ ก่อนจะเอื้อมไปหยิบเอกสารปึกหนึ่งมาอ่าน “นายเกิดที่อยุธยาและบ้านที่นายอยู่ดันใกล้วัด ผีที่ไหนจะกล้า”สายตาคมๆมองไปที่เค้า“นายห้อยตะกรุดที่พระเกจิชื่อดังเคยปลุกเสกไว้ ผีชั้นต่ำไม่กล้าใกล้หรอก นั่นทำให้นายเห็นผีแต่ผีไม่กล้าใกล้”

เด็กหนุ่มลูบสร้อยตะกรุด ที่ปู่ของเค้าให้รับขวัญเค้าตอนเกิด มันกลายเป็นของประจำตัวที่ไม่เคยห่างกาย ปู่บอกเค้าว่า พระอาจารย์ที่เป็นพระเกจิชื่อดังได้ปลุกเสกเอาไว้ และมอบให้ปู่พร้อมสั่งไว้ว่า ให้มอบกับหลานชายที่จะเกิด ซึ่งก็คือตัวเค้า ยัยคนนี้รู้ได้ยังไง ว่าตะกรุดนี่คือตะกรุดที่พระเกจิชื่อดังปลุกเสกไว้ เมื่อตอนที่ท่านยังมีชีวิตและได้มอบให้ปู่ของเค้าโดยสั่งว่าให้มอบห็หลานชายคนแรก

“รู้ดิ เห็นหน่วยมือปราบหลายคนห้อยเอาไว้ ถ้านายยังกังวลเรื่องคู่หู”เด็กสาวผิวปากสองที

ก็มีใครบางคนเปิดประตูเข้ามา แต่พอมองก็ไม่เจอใคร แต่พอมองต่ำลงมาก็เจอกับสุนัขตัวโตสีน้ำตาล “ไง”

วาโยทำตาโตที่เจ้าหมาพันทางตัวนี้พูดได้

“อ่ะ ชั้นให้นะแป๊บซี่”เด็กสาวยื่นขนมขาไก่ชิ้นใหญ่ให้

“บอกกี่ครั้งแล้ว ชั้นชื่อกาแฟ”เจ้าหมาตัวโตบ่นอุ้บ แต่ก็เคี้ยวขนมขาไก่กรุบๆ

“ชั้นชอบเรียกแป๊บซี่นี่นา”

“ชื่อโหล”

“กาแฟก็โหลยะ พี่วุธล่ะ”

“ไปกินข้าว เรียกชั้นมาทำไม”

เด็กสาวหันไปมองวาโยที่กำลังตะลึง “นี่คือคู่หูของพี่วุธ ชั้นเดาว่า นายคงได้เจอเค้าแล้ว เค้าเป็นอีกคนที่มีคู่หูเป็นสัตว์อาคม”

วาโยย่อกายลงเสมอเจ้าหมากาแฟ “ไง  นายเป็นคู่หูมือปราบสินะ”

“ใช่”

เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยความเอ็นดู”นายดูหงุดหงิดนะ”

“จะไม่ให้หงุดหงิดได้ไง ก็ไอ้เจ้าของบ้า มันเอาแต่ให้ชั้นกินอาหารหมาให้กินแต่เพดดีกรีๆ รสก็รสจืดๆไม่ถามใจหมาเลย”

คนสวมชุดกาวน์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเอ็นดู“ถ้าเบื่อก็บอกพี่วุธซี่ และที่ชั้นเรียกแกมา อยากให้แกช่วยอธิบายให้วาโยเค้าหน่อย ว่าการที่แกเป็นสัตว์อาคม มันเป็นยังไง”

“ขอกินน้ำก่อน อยากกินแป๊บซี่”เจ้าหมาตัวโตมองไปยัง กระป๋องแป๊บซี่ที่เด็กสาววางไว้บนโต๊ะ

เด็กสาวหรี่ตาก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุๆ “ถึงเป็นสัตว์อาคมแต่แกก็ยังเป็นหมาอยู่ดี และหมาไม่ควรกินน้ำอัดลม เดี๋ยวดุมากกว่าเดิมนะ ไปกินน้ำในชักโครกเถอะ”

“ชิ”

ร่างของเด็กสาวในชุดกาวน์ก็หายไป

...

“กลับมาแล้ว...”

“ไปไหนมา”เด็กหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยถามคนที่กำลังนั่งพิงใต้ต้นไม้ ในมือข้างหนึ่งยังคงถือกระดานวาดภาพ อีกมือถือดินสอสำหรับสเก็ตภาพ

“”อีกฝ่ายไม่ตอบกลับหยิบกระดาษและดินสอมาสเก็ตภาพต่อ

เด็กหนุ่มขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ แต่ก็ไม่อาจว่าอะไรคนข้างๆตัวได้ เค้าทำได้แต่ถอนใจเท่านั้น

...

วาโยได้มานั่งที่โซฟากับเจ้ากาแฟ สัตว์อาคม โดยเค้าจำต้องวิ่งไปซื้อน้ำขวดที่ตู้กดน้ำมาให้ พอกลับเข้ามาในห้อง ก็เห็นแต่ชายหนุ่มสูงร่างใหญ่แลบึกบึน ผมสีน้ำตาลดูยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ตาสีเปลือกไม้ ผิวขาวซีดในชุดเสื้อกล้ามสีดำ และกางเกงขายาวลายทหารนั่งอยู่

เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว “คุณเป็นมือปราบเหรอครับ”

อีกฝ่ายแสยะยิ้มพลางเอ่ยอย่างยียวน”อะไรกัน อายุไม่เท่าไหร่ อัลไซเมอร์กินรึยังไง”ฉับพลันร่างสูงใหญ่แลบึกบึนของคนที่เอ่ยอย่างยียวนก็กลับกลายเป็นเจ้าหมาพันทาง กาแฟ

“นี่แก แปรงร่างเป็นคนได้”

“ใช่ นั่นคือความสามารถหนึ่ง ชั้นมีความสามารถในการต่อสู้กับวิญญาณและดมกลิ่นวิญญาณและอาถรรพ์บางครั้งก็ขังวิญญาณไว้ในตัว...แต่ก็นานๆที”

“เจ๋งแฮะ ”

“เท่าที่ชั้นทำงานร่วมกับเจ้านายมา ขอแนะนำว่าไม่ค่อยมีใครใช้แมวนักหรอก เพราะอย่างมากแมวจะถูกใช้สู้ ไปดูลาดราวไม่ก็ไปเก็บวิญญาณเสียมากกว่า”

“ดูท่านายจะมีอคติกับแมวนะ”

“ใช่ พวกมันน่ารำคาญ ยียวนกวนประสาทเป็นบ้า ลองคิดดูนะ การเป็นสัตว์อาคมน่ะดีออก พวกเราพูดได้แต่ต้องระวังให้คนอื่นได้ยิน แถมเราอาจจะแปรงร่างได้บางเวลา แต่จะนานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับพลังของเจ้าของด้วย ทำไมนายไม่ลองมาเป็นมือปราบล่ะ สนุกออกนะ”

“แต่ชั้นลองทำภารกิจแล้ว มันไม่สนุก”

“หึ เรื่องนี้แม้แต่หมายังรู้ นั่นเพราะนายทำภารกิจคนเดียวยังไงล่ะ การทำงานแบบนี้อปราบส่วนใหญ่จะไม่ชอบ นายอยากคุยกับสัตว์เลี้ยงของนายไหม ชั้นว่าเจ้าหมาและยัยแมวคงจะดีใจที่ได้คุยกับนายนะ”

“นายรู้ได้ยังไงว่าชั้นเลี้ยงหมาตัวผู้กับแมวตัวเมีย”

“ดมกลิ่นที่ติดตัวนายมาก็รู้แล้ว และแมวของนายชอบเกาะไหล่ขวานายประจำอีก”

“โห ปกติหมาก็จมูกดีแล้วนะ”

“ใช่ นอกจากกลิ่นธรรมดา เราดมกลิ่นวิญญาณได้”

“สารพัดประโยชน์ดีนะ”

“ใช่ ไปวุธสิ ขอมนต์เสกวาจากับเค้า และเมื่อนายร่ายมนต์บทนี้กับสัตว์เลี้ยงของนาย พวกมันจะพูดได้”

“แล้วพี่วุธอยู่ที่ไหนล่ะ”

“คงอยู่ที่คลังอาวุธ หมอนั่นคงจะไปซื้ออาวุธไปปลุกเสกแล้วขายต่อน่ะ”

กาแฟเดินนำวาโยไปยังคลังอาวุธของมือปราบวิญญาณ

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา