ตัวกู...ไม่ใช่ของกู!

-

เขียนโดย bavaree

วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2562 เวลา 07.08 น.

  1 ตอน
  0 วิจารณ์
  2,345 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2562 07.40 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

1) ตัวกู...ไม่ใช่ของกู!

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          วันนี้เป็นวันที่เก้าสิบหรือครบสามเดือนแล้วที่ฉันนอนอยู่อย่างนี้! ตรงนี้!

          ภาพหญิงชราผิวขาวร่างอ้วนทอดกายอยู่บนเตียงเหล็กของโรงพยาบาล นัยน์ตาปิดสนิท ศีรษะด้านขวามีรอยแผลผ่าตัด หนังศีรษะโป่งและหยุ่นกว่าอีกด้านเนื่องจากไม่มีกะโหลกศีรษะแล้ว สายยางถูกสอดเข้าทางจมูกเพื่อเป็นเส้นทางลำเลียงอาหารลงสู่กระเพาะ และภายในปากมีท่อช่วยหายใจที่ต่อกับท่อออกซิเจนอีกทอดหนึ่ง

          ฉันนอนอย่างนี้มาสามเดือนแล้ว ชีวิตฉันมันดำเนินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?

          ฉันถอนสายตาจากภาพตรงหน้าก่อนย้อนนึกถึงวันสุดท้าย…ที่ฉันยังปกติ

          วันนั้นเป็นเช้าที่สดใส อากาศตอนหกโมงเช้าเย็นอยู่เล็กน้อยเนื่องจากเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว ฉันลุกจากที่นอนตามเวลาที่ตื่นประจำ แต่วันนี้รู้สึกมึนศีรษะไม่สดชื่นอย่างเคย มีเซนิดหน่อยแต่ยังทรงตัวได้ เดินไปแง้มม่านมองออกไปนอกหน้าต่างห้องนอนเริ่มเห็นแสงสีแดงรำไรของดวงอาทิตย์โผล่พ้นเหลี่ยมตึก เสียงตะโกนจากด้านนอกแว่วเข้ามา

          “ตื่นกันได้แล้ว….รีบๆอาบน้ำ จะได้มากินข้าว”

          เสียงนิจพรรณ หรือนิด..ลูกสะใภ้คนสุดท้องของฉันเองล่ะ คงกำลังตะโกนปลุกลูกสองคนเพื่อไปโรงเรียน เป็นอย่างนี้ทุกวัน ฉันเลยไม่ต้องมีนาฬิกาปลุก…ดีไหมล่ะ? หึ

          ฉันเดินจะไปเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำแต่งตัว เอ๊ะ! ทำไมยังมึนหัว ไม่สิคราวนี้ปวดเลย ปวดหัวมากจนต้องค่อยๆเกาะผนังห้องไปจนถึงประตูห้องน้ำที่อยู่ภายในห้องนอน ค่อยๆเปิดประตู คิดในใจเดี๋ยวต้องไปชงยาหอมกินสักหน่อย วันนี้มีนัดไปทำบุญที่ศาลเจ้ากับอาจูซะด้วย ระหว่างที่ก้มหน้าลงเพื่อรองน้ำจากก๊อกล้างหน้า อาการปวดก็จี๊ดดดดดขึ้นมาทันที!

          แล้วโลกของฉันก็ดับไป

          ……………………

          ฉันไม่รู้ว่าโลกของฉันดับไปนานเท่าไหร่ มารู้ตัวอีกทีก็มายืนมองร่างตัวเองที่ทอดกายเป็นผักอยู่บนเตียงผู้ป่วยในห้องไอซียู วันนั้นฉันเห็นคนมากมายผลัดกันเข้ามาเยี่ยมฉัน ทั้งอาเฮง…ลูกชายคนรองกับลูกสะใภ้ที่อยู่หาดใหญ่…อาไฮ้…ลูกชายคนเล็กกับอานิดลูกสะใภ้ที่ฉันอาศัยอยู่ด้วยในปัจจุบัน อ้อ!...ลูกสาวคนโตฉัน…กิมฮวย…เขาตายไปหลายปีแล้วล่ะ โดนรถชนตาย

          ทุกคนที่เข้ามามีสภาพไม่ค่อยต่างกัน กังวล กลุ้มใจ

          ฉันได้แต่เดินวนรอบๆเตียงตัวเอง เคยพยายามเดินตามลูกชายกับลูกสะใภ้ออกไปนอกประตู ก็พบว่ามีแรงดึงดูดมหาศาลดูดให้ตัวฉันกลับเข้าไปอยู่ในที่ที่มืด..มืดมากกกก ไร้แสงสว่าง ฉันได้แต่จมปลักอยู่กับความมืดมิด หาทางออกไม่เจอ มัน..มันน่ากลัว! แล้วสักพัก..แม้ในช่วงแรกฉันจะรู้สึกยาวนาวราวไม่มีวันสิ้นสุด…ก็จะมีแรงมหาศาลผลักให้ฉันกลับมายืนข้างเตียงมองตัวเองนอนเป็นผักอยู่ที่เตียงในไอ.ซี.ยูอีกครั้ง

          ระหว่างที่ฉันยังงงๆและไม่มีอะไรจะทำ (นั่นสิ! แล้วฉันจะไปทำอะไรได้) ฉันก็พบว่าร่างฉันตอนนี้อยู่ได้ด้วยเครื่องช่วยหายใจ อาหารที่ถูกลำเลียงผ่านทางท่อสายยางในจมูกเป็นมื้อๆตามตาราง ขับถ่ายทุกอย่างเป็นอัตโนมัติลงแพมพิร์ส จริงๆช่วงแรกยังมีสายใส่ไปยังท่อปัสสาวะเพื่อระบายปัสสาวะหรือฉี่ออกมา นี่ยังไม่นับรวมน้ำเกลือที่คุณพยาบาลต้องแทงเส้นใหม่บ่อยๆ เพราะบางครั้งเส้นแตกบ้าง น้ำเกลือไหลไม่เข้าบ้าง แล้วแทงแต่ละครั้งนะ…โอ๊ย…เสียวใจจะขาด (แม้ว่าฉันจะไม่รู้สึกหรอกนะ) เข็มแหลมๆนะคุณ เขาบ่นกันว่าเส้นฉันหายากเพราะฉันอ้วน บางครั้งแทง 4-5 ครั้งกว่าจะได้ บางครั้งต้องแทงทั้งที่แขนที่ขา แต่เขาก็พยายามกันมากที่จะหาเส้นให้น้ำเกลือ ให้ยาฉันให้ได้ ถ้าไม่ได้เขาก็จะไปตามพยาบาลคนอื่นๆมาช่วยกัน ไม่เคยเห็นเขาถอดใจกันสักที นอกจากนี้ฉันจะถูกอาบน้ำ ทำความสะอาดร่างกาย เปลี่ยนแพมเพิร์สเป็นเวลาโดยคุณพยาบาลอีกเช่นเคย ไม่ต้องนอนแช่ขี้แช่เยี่ยว และเมื่อถึงกำหนดต้องพลิกตัวก็ต้องคุณพยาบาลอีกนั่นแหละที่ยกโขยงมาช่วยกันพลิกตัวฉัน…หุ่นอย่างฉันขาข้างนึงก็เกือบ 20 โลแล้วมั้งคุณ..ฉันขอบคุณพวกเขาจริงๆ

          นี่แหละนะที่พระท่านว่า ตัวกู…ไม่ใช่ของกู!

          อาการฉันคงที่อยู่สักอาทิตย์ หมอก็เรียกบรรดาลูกๆมาคุยเรื่องอาการและแนวทางการรักษา ฉันเดินตามไปให้ใกล้สุดเท่าที่จะใกล้ได้ โชคดีหมอเขาเรียกทุกคนมาคุยกันตรงหน้าห้องฉันนั่นแหละ ฉันเลยได้ยินไปกับเขาด้วย ลูกๆ และหลานชายอีก 2 คนลูกของกิมฮวยดูตั้งใจฟังกันอย่างดี           หมอเขาว่า..ฉันคงไม่สามารถเอาท่อช่วยหายใจออกได้ ต้องผ่าตัดเจาะคอ แล้วก็บอกข้อดีมากมายของการเจาะคอ ทั้งเคลียร์เสมหะง่ายขึ้น มากขึ้น หย่าเครื่องช่วยหายใจได้เร็วขึ้น บลาๆๆ และความเสี่ยงของการผ่าตัดเจาะคอ อืม…ฉันว่ามันก็ฟังดูดีนะ แต่ฉันสังเกตหลังสิ้นคำแนะนำของหมอ สีหน้าแต่ละคนแตกต่างกันไป ทั้งสับสน ทั้งวุ่นวายใจ ผิดหวัง

          “ผมไม่อยากให้เจาะหมอ…มันทรมาน” เสียงอาเฮงพูดขึ้นในที่สุด

          “แต่ถ้าไม่เจาะก็ไม่สามารถเอาท่อออกได้นะครับ เนื่องจากคนไข้ไม่รู้สึกตัวและท่อนี้ปกติเราไม่สามารถใส่เกินสองสัปดาห์เหมือนกันอย่างที่หมอได้อธิบายไป”

          “ไม่เจาะได้ไหม” อาไฮ้ถามขึ้น

          "ไม่เจาะก็ได้ แต่จะอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ เอาท่อทางปากออกไม่ได้ เพราะคนไข้ไม่รู้สึกตัว ถ้าเอาท่อออกลิ้นจะไปตกกั้นทางเดินหายใจ เขาจะหายใจไม่ได้ เจาะเถอะ เจาะแล้วจะได้ฝึกหายใจเอาเครื่องออกได้”

          “ไม่เจาะ! ผมไม่ให้เจาะ!” อาเฮงยังคงยืนกราน

          “ทำไมล่ะครับ?” หมอหนุ่มถามขึ้นด้วยความสงสัยเหมือนกับฉัน

          “มันทรมานหมอ” อาเฮงตอบด้วยแววตาร้าวราน

          อืม…ฉันเห็นสภาพตัวเองแล้วก็รู้สึกทรมานเหมือนกัน

          “แต่หมอเคยอธิบายก่อนผ่าตัดแล้วนะครับว่า ก้อนเลือดที่ออกในสมองด้านขวาของคุณป้าใหญ่มาก และอาการคนไข้ก่อนจะเข้าผ่าตัดก็ไม่ดีมากๆ การผ่าตัดอาจะทำให้รอดชีวิต แต่หลังผ่าตัดมีโอกาสไม่ตื่น นอนติดเตียง เป็นเจ้าหญิงนิทรา ต้องเจาะคอ ต้องมีคนดูแล ให้อาหารทางสายยาง ทำกายภาพ แล้วรอดูการฟื้นตัวของคนไข้อีกที จะฟื้นตัวมาได้แค่ไหนบอกไม่ได้ เพราะเคสแบบนี้เราใช้เวลารักษากันในระยะยาว ตอนนี้คนไข้ได้รับการผ่าตัดแล้ว คือตอนนี้รอดชีวิตแล้วนะครับถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น ติดเชื้อ ซ้ำเติม ที่หมอมาคุยวันนี้คือแนวทางการรักษาขั้นต่อไป”

          หมอคงกำลังบอกว่าถ้าเลือกทางที่จะสู้ตั้งแต่แรก ก็ควรจะสู้ไปให้สุดทาง สู้ไปด้วยกันทั้งทีมแพทย์ พยาบาล …และญาติ

          เกิดความเงียบ บรรยากาศกลางวงครุกรุ่นขึ้นทันที!

          สายตาของหมอมีความงุนงง ฉันก็งงกับพวกมันเหมือนกัน ถ้าหมอเขาบอกอย่างนี้ตั้งแต่ก่อนผ่าแล้วมันจะตัดสินใจให้หมอผ่าฉันทำไมวะ! ฉันไม่อยากเป็นเจ้าหญิงนิทรา! ฉันไม่อยากนอนเป็นผัก!

          ตัวกู…ไม่ใช่ของกู!

          “เอาอย่างนี้ก็ได้ครับ กลับไปคุยกันก่อนก็ได้ ไม่ได้รีบ ตัดสินใจยังไงหรือยังสงสัยตรงไหนมาถามหมอหรือคุณพยาบาลได้ตลอดเวลา” หมอหนุ่มคนเดียวกลางวงเริ่มเห็นท่าไม่ค่อยจะดีเอ่ยขึ้น

          “คุยกันวันนี้เลยแหละหมอ อยู่กันครบๆแล้ว ตัดสินใจกันยังไงจะได้บอกหมอเขาไป” ยังคงเป็นอาเฮงที่มีบทสนทนา ในขณะที่คนอื่นๆเงียบ ฉันสังเกตอานิดลูกสะใภ้คนเล็กมีสายตาขุ่นเคือง

          “โอเคครับ ตอนนี้มีอะไรจะถามหมอเพิ่มเติมไหม” ทุกคนส่ายหน้า ฉันก็เผลอส่ายหน้าไปกับเขาด้วย หมออีก็พูดเคลียร์ทุกประเด็นนั้นแหละ            หมอกับคุณพยาบาลที่เข้าเวรดูฉันวันนี้เดินจากไป คนอื่นๆเริ่มทยอยจะก้าวเดินออกจากวง ฉันกำลังคิดว่าคงอดรู้อีกตามเคย

          “พวกมึงจะเอาไงกัน แต่สำหรับกูนะ กูไม่ให้เจาะ” ยังคงเป็นอาเฮงที่เสียงดังขึ้นมา

          “ทำไมล่ะครับกู๋” นพ…ลูกชายคนโตของกิมฮวยเอ่ยขึ้น

          “มันทรมาน ทุกวันนี้กูเข้าไปเยี่ยมแกทีไรกูก็สงสาร น้ำตาจะไหล นอนไม่รู้เรื่องอย่างนี้” อาเฮงให้เหตุผล “ตอนนั้นถ้ากูได้รับโทรศัพท์ กูก็จะไม่ให้ผ่า แกอายุ 89 ปี เกือบจะ 90 มานอนเป็นผักอย่างนี้ทรมานเปล่าๆ ไหนจะเรื่องดูแลต่อจากนี้อีก” อาจจะเป็นประโยคหลังละมั้งที่มันไม่อยากให้ฉันเจาะคอ…หึ

          “ก็ตอนนั้นมันต้องตัดสินใจ พี่ไฮ้โทรหาพี่แล้วแต่พี่ไม่รับโทรศัพท์เอง” อานิดพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

          “แล้วทำไมไม่โทรเบอร์กิมลั้ง” อาเฮงเสียงดังขึ้นมาอีกครั้งก่อนรู้สึกตัว “เออ..ช่างเถอะเรื่องมาถึงจุดนี้แล้วพูดไปก็ฟื้นฝอยเปล่าๆ ไม่มีประโยชน์” กิมลั้งคือเมียอาเฮง

          สีหน้าอาไฮ้อึดอัดลำบากใจ ส่วนอานิดนั้นทำหน้าไม่พอใจ…อาไฮ้กับเธอคงเป็นคนตัดสินใจให้หมอผ่าฉันสินะ เพราะก็คงเป็นพวกเธอที่พาฉันส่งโรงพยาบาลวันนั้น

          “งั้นโหวตเลย โหวตกันตรงนี้เลยว่าจะเอาไง กูไม่ให้เจาะ” อาเฮงยกมือพร้อมเอ่ยเสียงดัง แล้วเมียมันก็ยกมือเป็นคนที่สอง

          เฮ้ย!...พวกมึงยกมือโหวตเหมือนที่กูโหวตเลือกหัวหน้าศาลเจ้ายังงี้หรอวะ! ประชาธิปไตยหรอวะ!

          ตัวกู…ไม่ใช่ของกู!

          คุณหมอที่ยังอยู่แถวๆนี้เห็นแววไม่ค่อยดีเดินกลับเข้ามาในวงอีกครั้ง

          “เอ่อ หมอว่าไปคุยกันด้านนอก หรือจะคุยกันในห้องข้างๆที่เป็นห้องประชุมเล็กก็ได้ เดี๋ยวหมอเปิดห้องให้ เกรงว่าจะรบกวนคนไข้และญาติคนอื่นเพราะนี่ยังเป็นเวลาเข้าเยี่ยม”

          ทุกคนคงเริ่มรู้สึกตัวและทยอยเดินออกไปนอกห้องไอ.ซี.ยู

          เฮ้ย!…หมอ ไม่ได้สิ ฉันไปฟังด้วยไม่ได้ เดี๋ยวก่อน! อย่าเพิ่งไป ฉันอยากฟังด้วย ฉันอยากโหวต!

          เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ทุกคนก็ยกขบวนกลับเข้ามาในไอ.ซี.ยู อีกครั้ง

          “สรุปว่าไม่เจาะหมอ” อาเฮงเป็นคนยืนยันผลโหวต..หึ หึ

          “ได้คุยกันหมดแล้วนะครับ” หมอหนุ่มขยับแว่นก่อนถามย้ำอีกครั้ง อีคงไม่แน่ใจว่าได้คุยกันแน่จริงๆ

          “ครับ เจาะคอไปก็นอนติดเตียงเป็นเจ้าหญิงนิทราทรมานเปล่าๆ”

          “อย่างที่เคยบอกมันก็ขึ้นกับการดูแล ทำกายภาพหลังจากนี้นะครับ ถ้าได้รับการดูแลที่ดี ถูกต้อง และเหมาะสมคนไข้อาจจะมีอาการดีขึ้นได้” หมอพยายามยื้อแต่ก็ไม่กล้าฟันธงว่าจะกลับมาเหมือนเดิมแน่ๆ สงสัยอาการของฉันมันจะหนักมากจริงๆ

          “เข้าใจหมอ แต่ใครจะดูแล ผมกับเมียก็อยู่ไกลถึงหาดใหญ่เอาไปดูแลที่โน้นก็ไม่ไหว น้องชายผมกับเมีย…ที่เป็นคนตัดสินใจให้คุณหมอผ่าตัดนั่นแหละ…มันก็บอกมันดูแลไม่ไหวให้ผมเอากลับไปดูแลที่หาดใหญ่ แล้วจะไปยังไง? หลานๆไม่ต้องพูดถึง”

          ประเด็นสำคัญได้เปิดเผยมาแล้วสินะ…พวกมึงสองคนพี่น้องคงดูแลกูไม่ไหวน่ะสิ..หึ…แต่กูปากกัดตีนถีบเลี้ยงพวกมึงสามคนมาได้นะ…กูเลี้ยงพวกมึงมาคนเดียวด้วย!

          ฉันหันไปมองร่างตัวเองที่กำลังไออย่างแรงจากการถูกดูดเสมหะทางท่อช่วยหายใจโดยคุณพยาบาล…โอ๊ย..เจ็บ!

          “ถ้าอย่างนั้นจากนี้คงเป็นการรักษาประคับประคองนะครับ หมอขอคุยเผื่อกรณีฉุกเฉิน เช่น สมมติว่าเกิดปุ๊ปปั๊บคุณป้าความดันตก หรือหัวใจหยุดเต้น จะให้ยากระตุ้นหัวใจ หรือปั๊มหัวใจไหม” คุณหมอถามถึงกรณีที่เลวร้ายที่สุด

          ‘ไม่ต้องปั๊ม!"

          ‘ไม่ต้องปั๊ม!"

          ฉัน..และอาเฮงพูดพร้อมกัน ทุกคนในวงดูเหมือนจะเห็นด้วยในข้อนี้ ไม่ต้องโหวต

          “แล้วถ้าเกิดอาการแย่ลงความดันตก จะให้ยากระตุ้นหัวใจไหมครับ”

          “ไม่ต้องให้แล้วหมอ” อาเฮงสรุป

          “ถ้าไม่ให้แล้วจะเป็นยังไงครับหมอ” หลานชายที่ยืนนิ่งเงียบมาตั้งแต่ต้นถาม

          “ความดันคงจะค่อยๆตกลงเรื่อยๆ ชีพจรค่อยๆช้าลง จนนิ่งไป” ก็คือตายนั่นแหละ!

          “งั้นถ้าความดันตกให้ยายื้อไปก่อนได้ไหมครับ พอดีน้องชายผมจะแต่งงานอาทิตย์หน้านี้” อานพชี้ไปทางอานัทที่ยืนอยู่ข้างๆด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

          “ตอนนี้สัญญาณชีพคนไข้ยังดี เป็นปกตินะครับ ความดันออกจะค่อนสูงต้องให้ยาลดความดัน กรณีนี้หมอถามเผื่อหากอาการแย่ลง ความดันตกน่ะครับ”

          “ยื้อทำไม ยื้อไปก็ไม่เป็นประโยชน์ ถ้าแม่ตายก่อนแกจะไม่แต่งหรอ” อาเฮงค้านขึ้นมา

          ความเงียบไปทั้งวง บรรยากาศครุกรุ่นกลับมาอีกครั้ง

          “ไม่ต้องยื้อหรอกหมอ ไม่ต้องให้ยา กูเป็นลูกชายคนโตกูตัดสินใจเอง” อ้าว…คราวนี้มึงไม่โหวตเรอะ..อาเฮง

          “แต่กู๋…แค่ให้พ้นอาทิตย์หน้านี้เอง” อานพพยายามต่อรองแทนน้องชาย

          อืม…มันคงอิหลักอิเหลื่อกันน่าดูถ้าฉันตายก่อนอานัทแต่งงาน

          ความตาย…ใครเลือกได้บ้างนอกจากฆ่าตัวตายเอง! บางครั้งเลือกจะฆ่าตัวตายเองถ้าไม่ถึงฆาต มันก็ยังไม่ตาย

          ตัวกู…ไม่ใช่ของกู!

          “คนอื่นว่าไง กูว่าไม่ต้องยื้อ” อาเฮงเอ่ยขึ้น นี่มึงจะเปิดโหวตอีกรอบใช่ไหม?

          เงียบ!

          “อันนี้ก็ไม่รีบนะครับ ไปคุยกันก่อนก็ได้จะตัดสินใจยังไงก็มาบอกหมออีกที ข้อนี้หมอถามเผื่อไว้กรณีฉุกเฉิน” เป็นคุณหมอที่เข้ามาไกล่เกลี่ยอีกครั้ง

          “ส่วนเรื่องที่ไม่เจาะคอ ไม่ปั๊มหัวใจ หมอขออนุญาตให้ญาติช่วยเซ็นเอกสารให้ทางโรงพยาบาลไว้ด้วยนะครับ”

          พวกมันมีการมองหน้ากันสักพัก

          “กูเซ็นเอง มีอะไรกูรับผิดชอบเอง” เป็นอาเฮงที่เข้ามาเซ็นเอกสาร เออ…ก็ต้องเป็นมึงนั่นแหละที่ต้องเซ็น

          แล้วทั้งหมดก็ยกโขยงออกกันไปอีกครั้ง

          ฉันก็ได้แต่กลับไปที่เตียง มองร่างตัวเองอย่างอนาถใจ พระท่านว่าอย่าไปยึดติด ตายไปแม้แต่ร่างเราถ้าไม่มีคนใส่เสื้อให้ เราก็ทำอะไรไม่ได้…นี่ฉันยังไม่ได้ตายเลยด้วยซ้ำไป จะไปคาดหวังอะไรล่ะ

          ไม่นานนักอาเฮงก็กลับเข้ามาในหอผู้ป่วย ไอ.ซี.ยูอีกครั้ง คราวนี้เดินเข้ามาคนเดียว เดินเข้ามาคุยกับหมอโดยตรง

          “หมอครับ คืออย่างนี้ ต่อจากนี้การตัดสินใจเรื่องการรักษาทั้งหมดของแม่เป็นที่ผมคนเดียว มีอะไรคุยกับผมคนเดียวได้เลยครับ พวกเราคุยกันแล้ว มีอะไรทุกคนให้ผมตัดสินใจ และรับผิดชอบคนเดียว สรุปตอนนี้นะครับหมอ ไม่เจาะคอ ไม่ปั๊ม ไม่ต้องให้ยากระตุ้นหัวใจ” อาเฮงชี้ไปที่ขวดยาที่แขวนอยู่ข้างเตียง

          “โอเค แต่ตอนนี้เรายังไม่ได้ให้ยากระตุ้นหัวใจนะครับ ที่ให้เป็นยาลดสมองบวมกับยาลดความดัน”

          “อันนั้นก็ไม่เอาครับหมอ”

          “ห๊ะ?”

          ‘ห๊ะ?’ ไม่ใช่แค่หมอ ฉันเองก็งง

          “ครับ ผมขอไม่เอายาฉีดอะไรเลย ผมสงสารแก อยู่อย่างนี้ทรมาน โดนแทงเส้นบ่อยๆ มันเจ็บ ขอไม่เอายาฉีดอะไรเลยครับ ไม่ต้องเจาะเลือด ไม่อยากให้แกต้องเจ็บอีก อยากให้แกไปสบายๆ ไม่ทรมาน”

          “แน่ใจนะครับ”

          “ครับ”

          “ถ้าเป็นยาทานที่ให้ทางสายยางล่ะ”

          “อันนั้นโอเคครับ แต่ยาฉีด ยาลดสมองบวม ยาลดความดันนั้นไม่เอาดีกว่าครับ” แล้วอาเฮงก็เซ็นเอกสารให้กับทางโรงพยาบาลอีกครั้ง “ผมขอถามอีกอย่างนะครับหมอ…แกจะอยู่ได้อีกนานไหมครับ” อาเฮงถามคำถามคาใจก่อนจะออกไป

          นั่นสิหมอ! ฉันจะอยู่ได้อีกนานไหม?

          “หมอก็บอกไม่ได้นะ แล้วแต่สภาวะคนไข้แต่ละคน ที่เคยเจอเคสคล้ายๆอย่างนี้บางคนก็ไม่กี่วัน บางคนก็อยู่เป็นเดือน อืม…ก็คงแล้วแต่วาสนาของคนไข้ด้วยมั้งครับ ยังไงถ้าอาการคนไข้ทรุดลงหมอจะให้ทางพยาบาลแจ้งทางญาติไปนะครับ”

          วาสนาหรอ? หมอใช้คำดีนะ…จริงๆมันคือแล้วแต่บุญกรรมของฉันต่างหาก!

          ถ้าหมดกรรม…ฉันก็คงจะได้ไป

          “ถ้าอย่างนั้นผมจะขอฝากชุดแกไว้หน่อยได้ไหมครับ คือเป็นชุดที่ทางลูกๆตั้งใจจะใส่ให้แกตอนเสีย เผื่อถ้าแกไปตอนไหน จะได้ใส่ให้แกได้เลย”

          คุณหมอหันไปทางพยาบาลเชิงถามความเห็น

          “ได้ค่ะ ฝากไว้กับพยาบาลก็ได้ค่ะ” คุณพยาบาลเป็นคนตอบรับ

          ทุกคนจากไปแล้ว หมอและพยาบาลก็กลับไปทำหน้าที่ตามปกติของตัวเอง เหลือแต่ฉันที่นอนเดียวดายในห้องไอ.ซี.ยู เต็มไปด้วยสายระโยงระยางสอดเข้าไปในทุกรูทวารที่สอดได้ สักพักพยาบาลเดินถือถุงเข้ามาวางตรงชั้นข้างเตียง มันคือถุงใส่ชุดสำหรับคนตายตามประเพณีจีนเป็นชุดใหญ่ มีทั้งหมด 7 ชั้น สีต่างกันไปในแต่ละชั้น ชั้นในสุดจะเป็นสีขาว..อันหมายถึงตัวผู้ตายเอง

          ชุดก็พร้อมแล้ว…หึ…ลูกหลานก็ดูจะพร้อมแล้ว…หึ…ดูสิฉันพร้อมจะตายขนาดไหน

          1 เดือนก็แล้ว…3 เดือนก็แล้ว…จะต้องรออีกกี่เดือน กี่ปีกันหนอ

          คงต้องรอถึงวันที่หมดวาสนา…หมดกรรม ฉันจะได้ไปตามทาง ซึ่งนั่นมันจะเมื่อไหร่ล่ะ?

          ตัวกู..ไม่ใช่ของกู!

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับเรื่องสั้นเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา