ไวรัสตับอักเสบบี เป็นอย่างไร? อันตรายไหม? อาการเป็นเยี่ยงไร?

Thanitanitan

ขีดเขียนหน้าใหม่ (43)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST:66
เมื่อ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 21.39 น.

ตับเป็นอวัยวะภายในบริเวณช่องท้อง ทำหน้าที่สำหรับการกรองเลือดก่อนที่จะไปสู่ส่วนต่างๆของร่างกาย การรับเชื้อเชื้อไวรัสตับอักเสบบี เป็นหนึ่งในต้นเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดภาวการณ์ตับอักเสบซึ่งแม้มีลักษณะเรื้อรังจะนำมาซึ่งโรคตับแข็งและมะเร็งตับ อันเป็นต้นเหตุให้คนทั่วโลกเสียชีวิตถึงกว่า 780,000 คนต่อปี โรคนี้จึงได้ชื่อว่าเป็นโรคติดโรคที่รุนแรงรวมทั้งจำเป็นต้องเฝ้าระวัง

ไวรัสตับอักเสบบี

ไวรัสตับอักเสบมี 5 ชนิดร่วมกัน

อาทิเช่น เชื้อไวรัสตับอักเสบเอ บี ซี ดี แล้วก็อี โดยไวรัสที่คือปัญหาในบ้านเรา อาทิเช่น เชื้อไวรัสตับอักเสบบีและก็ซีไวรัสตับอักเสบบีนั้นติดต่อผ่านทางการสัมผัสสารคัดหลั่งจากร่างกายของผู้ป่วย}โรคนี้ (เลือดน้ำลาย สเปิร์ม รวมทั้งน้ำหล่อลื่นจากอวัยวะเพศ) เหมือนกันกับเชื้อไวรัสตับอักเสบซีแล้วก็ดี ส่วนเชื้อไวรัสตับอักเสบเอแล้วก็อีนั้นจะติดต่อผ่านการกินอาหารแล้วก็น้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส อย่างไรก็ดี ตอนนี้มีวัคซีนที่ช่วยป้องกันเชื้อไวรัสตับอักเสบประเภทบีแล้วก็ดีได้แล้ว

 

อัตราการเกิดโรคไวรัสตับอักเสบบี

สถิติจากองค์กรอนามัยโลก (WHO) ประเมินว่าทั่วทั้งโลกมีผู้ป่วย}โรคตับอักเสบเรื้อรังราวๆ 300 ล้านคน รวมทั้งอย่างต่ำ 1 ล้านคนจะเปลี่ยนเป็นโรคตับแข็งรวมทั้งโรคมะเร็งตับในที่สุด โดยคาดว่าแหล่งที่มีความชุกของการรับเชื้อเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเยอะที่สุดคือบริเวณทวีปเอเชียตะวันออก แล้วก็แอฟริกาใต้ซาฮารา ซึ่งอาจมีประชาชนผู้ใหญ่โดยประมาณ 5-10% ที่เป็นผู้ติดเชื้อ

 

ส่วนในประเทศไทยคาดว่ามีผู้ติดโรคเชื้อไวรัสตับอักเสบบีราวร้อยละ 5 ของจำนวนประชากร หรือประมาณ 3 ล้านคน ยิ่งกว่านั้นยังพบว่าการรับเชื้อส่วนใหญ่เกิดขึ้นตั้งแต่ในวัยเด็ก

 

ต้นเหตุโรคเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและก็ปัจจัยเสี่ยง

เชื้อไวรัสตับอักเสบบี ทนต่อสิ่งแวดล้อมต่างๆได้ดี เมื่อเปรียบเทียบกับไวรัสจำพวกอื่น แล้วก็สามารถติดต่อได้ทางเลือด น้ำเชื้อ น้ำหล่อลื่น แล้วก็สารคัดหลั่งต่างๆของร่างกาย โดยกรรมวิธีแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นได้ อาทิเช่น

 

  • การแพร่เชื้อจากมารดาไปสู่ทารกตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์
  • การใช้เข็มร่วมกับผู้ป่วย}โรคนี้ หรือการใช้อุปกรณ์ฉีดยาที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
  • โดนเข็มที่แปดเปื้อนเชื้อตำ
  • การได้รับเลือดหรือสารคัดเลือกหลั่งต่างๆผ่านทางการถ่ายเลือดหรือทางแผลเปิด
  • การใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้ติดโรค เช่น แปรงสีฟัน หรือใบมีดโกน เนื่องมาจากเชื้อไวรัสตับอักเสบบีสามารถมีชีวิตอยู่นอกร่างกายผู้ป่วย} ตามสิ่งของเครื่องใช้เหล่านี้ได้เป็นเวลานานหลายสัปดาห์
  • การมีเซ็กส์กับผู้ติดโรคโดยไม่ป้องกัน

เชื้อไวรัสตับอักเสบบีไม่สามารถแพร่ผ่านของกินรวมทั้งน้ำดื่ม (เว้นแต่ว่าอาหารนั้นจะผ่านการเคี้ยวมาก่อน เช่น คุณแม่เคี้ยวอาหารก่อนป้อนให้แก่เด็กทารก)  

และไม่สามารถติดต่อผ่านช่องทางต่างๆดังต่อไปนี้

 

  • การใช้ส้อมร่วมกัน
  • การให้นมลูก
  • การกอด จูบ หรือจับมือ
  • การจามหรือไอใส่

 

ลักษณะของโรคไวรัสตับอักเสบบี

การได้รับเชื้อเชื้อไวรัสตับอักเสบบีจำนวนมากเกิดขึ้นตั้งแต่วัยเด็ก โดยพบว่าช่วง 10-15 ปี แรกจะมีจำนวนไวรัสสูงมากมายแต่ว่ามักไม่มีอาการใดๆเพราะว่าเม็ดเลือดขาวยังไม่ทราบว่ามีเชื้อไวรัสอยู่ในร่างกาย กระทั่งเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น เม็ดเลือดขาวจะเริ่มตรวจเจอรวมทั้งทําลายเซลล์ตับที่มีเชื้อไวรัสอยู่ ส่งผลให้เกิดลักษณะของสภาวะตับอักเสบเฉียบพลันได้ เป็น มีลักษณะอาการอ่อนเพลีย คลื่นไส้ เจ็บใต้ชายโครงขวา มีไข้ต่ำ ตาเหลือง ตัวเหลือง แล้วก็ปัสสาวะมีสีเหลืองเข้ม ซึ่งผู้ป่วย}ที่มีลักษณะระยะเฉียบพลันนี้ได้โอกาสหายเป็นปกติสูงถึง 90-95%

 

ส่วนผู้ที่มีลักษณะตับอักเสบแบบเรื้อรังชอบไม่มีการแสดงอาการใดๆไม่เหมือนอาการระยะเฉียบพลัน แล้วก็อาจมีผลการตรวจร่างกายปกติ จึงจำเป็นต้องใช้การตรวจทางห้องทดลองเท่านั้น ซึ่งหากเซลล์ตับของผู้ป่วย}ถูกทำลายมากมายเข้า ก็จะทำให้เกิดโรคตับแข็ง ทำให้มีพังผืดในตับ และกำเนิดโรคมะเร็งตับตามมาได้ พวกนี้เป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยโรคนี้เสียชีวิตนั่นเอง

 

บุคคลที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี

  • ผู้ที่มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือติดเชื้อเอชไอวีมาก่อน
  • คนที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
  • บุคลากรทางการเเพทย์ซึ่งต้องทำงานสัมผัสกับเลือดหรือบาดแผลของผู้ติดโรคไวัรัสตับอักเสบบีโดยตรง
  • คนที่เดินทางไปยังประเทศที่มีความชุกของโรคสูง
  • ผู้ป่วย}ที่ฟอกไตทางหลอดเลือดดำ
  • ผู้ป่วย}โรคเบาหวาน

 

การรักษาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี

อาการจากโรคเชื้อไวรัสตับอักเสบแบบเฉียบพลันสามารถทุเลาลงไปได้เองเมื่อพักผ่อนอย่างเพียงพอ และรับประทานอาหารที่มีคุณประโยชน์ครบ แต่มีผู้ป่วย}บางรายมั่นใจว่าการดื่มน้ำหวานมากจะช่วยทุเลาอาการให้ดีขึ้น ซึ่งวิธีนี้ผิด แล้วก็แพทย์ไม่แนะนำ เพราะว่าน้ำตาลจากน้ำหวานนั้นจะเปลี่ยนเป็นไขมันในตับ ส่งผลให้ตับโตและจุกแน่นกว่าปกติ

 

ส่วนผู้ป่วย}ที่มีลักษณะเชื้อไวรัสตับอักเสบแบบเรื้อรัง ซึ่งมักไม่แสดงอาการ แต่ว่าอาจตรวจเจอจากการตรวจร่างกาย แพทย์จะให้การรักษาโดยฉีดยาอินเตอร์เฟอรอน (Interferon) ให้ผู้ป่วย} โดยจะต้องฉีดตรงเวลาติดต่อกันขั้นต่ำ 4-6 เดือนก็เลยจะเห็นผล ผู้ป่วย}ราว 30-40% มีลักษณะอักเสบของตับแล้วก็ปริมาณไวรัสลดน้อยลงจากการใช้แนวทางลักษณะนี้ แม้กระนั้น ตัวยาที่ใช้แพงออกจะสูงและก็มีผลใกล้กันมาก การใช้ยาจึงต้องควรอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหารเท่านั้น 

 

นอกเหนือจากยาฉีดอินเตอร์เฟอรอนแล้ว ยาอีกชนิดหนึ่งที่แพทย์อาจเสนอแนะให้ใช้ก็คือยาลามิวูดีน ซึ่งเป็นยาแบบกิน มีประสิทธิภาพพอเหมาะพอควรและมีผลข้างๆน้อยกว่า แม้กระนั้นหากใช้ไปนานๆอาจก่อให้กำเนิดเชื้อดื้อยาได้ โดยมีโอกาสเกิดเชื้อดื้อยาได้ถึง 20% ตั้งแต่ในปีแรกที่ใช้ และก็จะมีการเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นนอกนั้นยานี้จะใช้ไม่ได้ผลในผู้ป่วย}ที่มีการปฏิบัติงานของตับธรรมดา หรือเป็นกลุ่มพาหะ

 

ดังนี้ การดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงก็เป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยต่อสู้กับโรคโดยผู้ป่วย}โรคนี้ควรจะงดเว้นเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ทุกหมวดหมู่ เลี่ยงการใช้ยาโดยไม่จำเป็นบริหารร่างกายสม่ำเสมอ แล้วก็ตรวจร่างกายเป็นประจำถ้าปรารถนารับประทานยาคุมกำเนิดสามารถรับประทานได้ตามปกติ และหากปรารถนามีบุตร คุณก็สามารถตั้งครรภ์ได้

 

โพสตอบ

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา