แม่ค้าออนไลน์ต้องรู้ Social Commerce ต่างกับ e-Commerce อย่างไร

เชื่อว่าทุกคนคงเคยได้ยินคำว่า e-Commerce กันมานาน ไม่มากก็น้อย หลายคนแม้ว่าจะเป็นผู้บริโภคก็ต่างทราบว่า e-Commerce หมายถึงการค้าขายผ่านเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ แต่เมื่อไม่กี่ปีมานี้มีคำว่า Social Commerce เกิดขึ้นมา ทำให้หลายคนนึกสงสัยว่า แล้ว Social Commerce ต่างกับ e-Commerce อย่างไร วันนี้เราจะมาเล่าให้ฟังกัน 

ทบทวนความเข้าใจเรื่อง e-Commerce กันหน่อย

ก่อนที่เราจะไปอธิบายว่า Social Commerce ต่างกับ e-Commerce อย่างไร เรามาทบทวนกันดูสักหน่อยว่า e-Commerce คืออะไร 

e-Commerce สามารถแปลเป็นไทยแบบตรงๆ ได้ว่า การค้าขายอิเล็กทรอนิกส์ หรือก็คือ การค้าขายผ่านเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน หรือสื่ออื่นๆ ที่อยู่ในรูปแบบออนไลน์ โดยสามารถทำการซื้อขายได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะมีพนักงานประจำการหรือไม่ โดยสามารถแบ่งเป็นการขายสินค้าบนระบบ e-Commerce ของตัวเอง คือ มีระบบ e-Commerce บนเว็บไซต์ของตัวเอง และใช้แพลตฟอร์ม e-Commerce ในการขาย อย่าง Shopee, Lazada เป็นต้น

แล้ว Social Commerce คืออะไร 

เมื่อทุกคนพอเข้าใจ e-Commerce แล้ว เราจะพาทุกคนไปดูว่า Social Commerce คืออะไร เพื่อที่จะได้เข้าใจและรู้ว่า Social Commerce ต่างกับ e-Commerce อย่างไร Social Commerce หากพูดง่ายๆ แบบคร่าวๆ ก็คือ การซื้อขายผ่านทางสังคมออนไลน์หรือโซเชียลเน็ตเวิร์กนั่นเอง 

แน่นอนว่าทุกวันนี้เราทุกคนต่างมีโซเชียลเน็ตเวิร์กในการติดต่อสื่อสาร และเชื่อมโยงกับผู้คน ทั้งครอบครัว เพื่อน คนรู้จัก คู่ค้า หรือแม้แต่คนที่เราไม่เคยรู้จัก ก็สามารถติดต่อผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์กได้ ประกอบกับการเจริญเติบโตของธุรกิจการค้าออนไลน์ ทำให้หลายคนหันมาค้าขายและโปรโมทสินค้าผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์หรือโซเชียลเน็ตเวิร์กกันมากขึ้น ทำให้ Developer หรือผู้พัฒนาแอปพลิเคชันโซเชียลเน็ตเวิร์กต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น facebook, Instagram หรือแพลตฟอร์มอื่นๆ พัฒนาฟีเจอร์เพื่อเอื้อต่อธุรกิจและการค้ามากยิ่งขึ้น 

ดังนั้น หากจะถามว่า Social Commerce ต่างกับ e-Commerce อย่างไร ก็อาจจะตอบแบบกำปั้นทุบดินได้ว่า Social Commerce คือการค้าขายผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กที่มีปฏิสัมพันธ์กันสูง ต่างจาก e-Commerce อื่นๆ ที่จะเน้นการค้าขายเหมือนเป็นร้านค้ามากกว่านั่นเอง 

Social Commerce ต่างกับ e-Commerce อย่างไร และควรเลือกแบบไหนดี

ที่จริงแล้วการขายสินค้าออนไลน์ทั้งสองรูปแบบนี้ เป็นระบบการขายออนไลน์ที่ทรงประสิทธิภาพ แต่จะเลือกอะไรนั้น ขึ้นอยู่กับความพร้อมและตัวเราเองด้วย 

พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์หลายคนที่ยังไม่มีเงินทุนมากนัก หรือเป็นคนพูดคุยเก่ง สามารถสร้างคอมมิวนิตีให้คนมาติดตามได้ เรียกว่ามีการขายที่เป็นเอกลักษณ์และมีเสน่ห์ การใช้ Social Commerce อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายในเรื่องของการพัฒนาเว็บไซต์ ซึ่งหากว่าเราขายดี มีการขยายธุรกิจก็อาจจะขยายแพลตฟอร์มไปยังรูปแบบของ e-Commerce ได้ แต่หากว่าเราอยากพัฒนาเว็บไซต์ขายสินค้าของตัวเอง ให้สามารถจัดการได้ด้วยตัวเอง การใช้ e-Commerce เป็นตัวหลักก็จะช่วยให้ธุรกิจของเรามั่นคงยิ่งขึ้น 

Social Commerce ต่างกับ e-Commerce อย่างไร คงจะไม่สำคัญเท่าเราจะใช้อย่างไรถึงจะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจของเรา