การทำกิ๊ฟ (Gift) อีกทางเลือกของผู้มีบุตรยาก
การทำกิ๊ฟ (GIFT) ที่พึ่งของคู่สมรสที่ต้องประสบกับภาวะการมีบุตรยาก คือ การรักษาด้วยเทคนิคช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ เช่น การทำกิฟท์ ซึ่งมีอัตราการตั้งครรภ์สูงขึ้น แต่ทั้งนี้ว่าที่คุณพ่อคุณแม่ก็ควรร่วมมือเพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จในการทำกิ๊ฟท์ด้วยการดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ทั้งในเรื่องกินอาหารมีประโยชน์ ออกกำลังกายพอเหมาะ หรือรักษาโรคประจำตัวที่อาจเป็นสาเหตุของปัญหาการมีบุตรยากด้วย
การทำกิ๊ฟ คืออะไร ?
การทำกิ๊ฟท์ (Gamete Intrafallopian Transfer) คือ การนำเอาใข่และตัวอสุจิไปใส่ไว้ที่ทำนำไข่ เพื่อให้เกิดการปฏิสนธิหรือรวมตัวกันตามธรรมชาติ หลังจากนั้นหากไข่และอสุจิสามารถปฏิสนธิกันได้ ก็จะมีการเจริญเติบโตเป็นตัวอ่อนและเดินทางมาฝังตัวในโพรงมดลูก และเกิดเป็นการตั้งครรภ์ในที่สุด ดังนั้น การทำกิ๊ฟท์GIFT จึงเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาภาวะผู้มีบุตรยาก ซึ่งการรักษาด้วยวิธีนี้ค่อนข้างสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย และเวลาต่าง ๆ สำหรับการรักษามาก นอกจากนั้นอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้อีกด้วยถึงแม้ว่าจะเป็นส่วนน้อยก็ตาม
ทำไมต้องทำกิ๊ฟ
เพราะต้องการมีบุตร ต้องการมีครอบครัวที่สมบูรณ์ แต่มีปัญหาทางร่างกายทำให้เจอกับภาวะการมีบุตรยาก เลยจำเป็นต้องพึ่งนวัตกรรมที่คิดค้นขึ้นทางการแพทย์ที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหามีลูกยากได้ เช่น การทำกิฟท์ เป็นต้น คู่สมรสที่ตัดสินใจทำก็ฟท์ก็เพราะ
- ฝ่ายหญิงมีภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) แต่จำเป็นต้องมีท่อรังไข่ปกติอย่างน้อย 1 ข้าง
- มีปัญหาการตกไข่ ไข่ไม่ตก ไม่มีการผลิตไข่
- มีโรคเกี่ยวกับระบบและอวัยวะสืบพันธุ์อื่น ๆ
- ในน้ำเชื้อของฝ่ายชายมีจำนวนอสุจิต่ำ หรือเซลล์อสุจิไม่แข็งแรง
- คู่รักที่มีลูกยากโดยไม่ทราบสาเหตุ
- คู่ที่ใช้วิธีฉีดน้ำเชื้อเข้าโพรงมดลูกแล้วไม่ประสบความสำเร็จ
- คู่ที่ต้องการเก็บรักษาเซลล์สืบพันธุ์หรือตัวอ่อน ก่อนการรักษามะเร็งด้วยเคมีบำบัดหรือฉายแสง
กิ๊ฟต่างจากเด็กหลอดแก้ว (IVF) อย่างไร
การทำกิ๊ฟท์ และ การทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) เป็นเทคโนโลยี่ที่ช่วยแก้ปัญหาภาวการณ์มีบุตรยากเหมือนกัน แต่มีความแตกต่างในด้านเทคนิคและกระบวนการอย่างสิ้นเชิง และอัตราความสำเร็จยังต่างกันอีกด้วย และการทำกิฟท์นั้นถูกคิดค้นขึ้นก่อนโดยนักต่อมไร้ท่อ Ricardo Asch แต่อัตราความสำเร็จน้อยกว่า และมีความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนอื่นระหว่างตั้งครรภ์สูงกว่าปกติ ดังนั้นจึงได้มีการพัฒนาต่อ ๆ มาจนเกิดวิธีการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) ขึ้น ซึ่งวิธีที่มีโอกาสสำเร็จมากกว่าแถมไม่ต้องผ่าหน้าท้อง
การทำกิ๊ฟท์เป็นเทคโนโลยี่ที่ช่วยให้เกิดการปฏิสนธิกันตามธรรมชาติโดยการผ่าที่หน้าท้องเพื่อน้ำอสุจิและไข่ ไปใส่ไว้ที่ท่อนำไข่ แต่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมนักในปัจจุบัน วิธีนี้ต้องใช้ระยะเวลานานในการพักฟื้น และอาจมีภาวะเสี่ยงต่อภาวะการท้องนอกมดลูก แต่การทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) เป็นกระบวนการรักษาในปัจจุบันที่พัฒนากว่าโดยที่ไม่ต้องเจาะหรือผ่าที่หน้าท้อง แต่จะใช้เครื่องมือที่ทันสมัยในการดูดไข่ผ่านทางช่องคลอดไม่ต้องมีการผ่าหน้าท้อง นำไข่กับอสุจิผสมกันภายนอกร่างกายในห้องปฏิบัติการ แล้วเลี้ยงตัวอ่อนจนถึงระยะ Blastocyst หรือตัวอ่อนระยะ 5 วัน ก่อนที่จะย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูกเพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์ วิธีนี้ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น
ขั้นตอนการทำกิ๊ฟ
การทำกิ๊ฟท์มีขั้นตอนวิธีการทำดังนี้
- ให้ยากระตุ้นไข้ในหญิงเมื่อมีรอบเดือนมา โดยการกิน ฉีด หรือพ่นเข้าจมูก แล้วแต่แพทย์จะพิจารณาเป็นรายบุคคล เวลากระตุ้นจะนาน 7-10 วัน
- แพทย์จะทำการกระตุ้นให้ไข่ตกด้วยการฉีด hCG หลังจากทำอัลตร้าซาวด์รังไข่ เพื่อดูว่าขนาดและปริมาณไข่ได้จำนวนมากพอ และฮอร์โมนอยู่ในระดับที่เหมาะสม
- หลังจากไข่ตก 34-36 ชั่วโมง ก็จะทำการเก็บไข่ โดยใช้เข็มเจาะถุงไข่แล้วดูดไข่ภายในถุงออกมา จะมีการเก็บไข่ที่สุกแล้วออกมา 8-15 ใบ ส่วนวิธีเจาะมีอยู่ 2 วิธีที่ทำโดยการผ่าที่หน้าท้อง
วิธีที่ 1 : เจาะผ่านทางผนังหน้าท้อง ใช้กล้องตรวจบริเวณช่องท้องจะสามารถเห็นรังไข่ได้ชัดเจน แล้วใช้เข็มเจาะดูดไข่ออกมาโดยตรง
วิธีที่ 2 : เจาะผ่านผนังช่องคลอด ใช้เครื่องอัลตร้าซาวด์ที่มีเข็มเจาะและดูดไข่ติดอยู่ที่หัวตรวจ แล้วดูดไข่ออกมาผ่านทางช่องคลอด
- ย้ายเซลล์ไข่และอสุจิเข้าสู่ท่อนำไข่ โดยใช้การส่องกล้องทางหน้าท้อง (Laparoscopy) ดูดไข่และเชื้ออสุจิ เพื่อให้เกิดการปฏิสนธิกันตามธรรมชาติ
- แพทย์จะให้ฮอร์โมนช่วยในการฝังตัวของตัวอ่อน หลังจากนั้นจะทดสอบการตั้งครรภ์ โดยการตรวจระดับฮอร์โมน hCG โดยตรวจได้ในกระแสเลือดประมาณ 12 วันหลังจากใส่ตัวอ่อน
โอกาสสำเร็จการทำกิ๊ฟท์
อัตราความสำเร็จจากการทำกิ๊ฟท์นั้น ขึ้นอยู่กับอายุและสภาวะสุขภาพว่าอยู่ในความพร้อมสำหรับทำกิ๊ฟท์ อาจใช้เวลา 6 สัปดาห์ต่อรอบการทำกิ๊ฟท์ 1 ครั้ง
โดยเฉลี่ย ผู้หญิงอายุ 38 ปีหรือต่ำกว่านั้น ประมาณ 37% ประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์และ ผู้หญิงอายุ 39 ปีขึ้นไป อัตราความสำเร็จประมาณ 29%
สำหรับค่าเฉลี่ยจากทุกกลุ่ม อัตราการตั้งครรภ์สำเร็จจนคลอดทารกจะอยู่ที่ 22% แต่อาจเปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยส่วนบุคคล
วิธีที่ใกล้เคียงกับการทำกิ๊ฟท์นั้น คือการทำ IUI ซึ่งก็คือการฉีดเชื้ออสุจิเข้าสู่โพรงมดลูก เป็นการรักษาโดยการใช้ยาเพื่อช่วยในการกระตุ้นไข่ให้มีขนาดตามต้องการและใช้อัลตราซาวด์เพื่อกำหนดระยะเวลาตกไข่โดยการคัดเลือกน้ำเชื้อที่มีคุณภาพที่ดีและแข็งแรงในห้องปฏิบัติการ แล้วจึงทำการฉีดเข้าสู่โพรงมดลูกในวันที่ไข่ตกของฝ่ายหญิง เพื่อให้ฟองไข่และน้ำอสุจิปฏิสนธิภายในร่างกาย วิธีใกล้เคียงกับการมีเพศสัมพันธ์ตามธรรมชาติ วิธีนี้ช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า
ขั้นตอนการปฏิบัติตัวหลังการทำกิ๊ฟ
หลังจากได้รับการรักษาภาวะมีบุตรยากแล้ว สิ่งที่พึงปฏิบัติคือ
- ทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล
- ไม่ควรยกของหนัก และ ออกกำลังกายหักโหม
- กินอาหารที่มีประโยชน์
- งดดื่มเหล้าและสูบบุหรี่
- พยายามพักผ่อนให้มากที่สุด และทำจิตใจให้สดชื่น
- ลดความวิตกกังวล ความเครียด
- งดการมีเพศสัมพันธ์สักระยะหนึ่ง เพื่อไม่ให้มดลูกบีบตัวมากจนเกิดภาวะแท้งบุตรได้
- กินยา และ ใช้ยาตามที่แพทย์สั่ง ไม่ควรซื้อยากินเอง
- หากมีอาการผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์
อาการที่พบได้หลังฝากไข่
อาการที่พบได้หลังฝากไข่นั้นมีดังนี้
- อาการที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาหรือออร์โมน
การใข้ฮอร์โมนกระตุ้นไข่ เพื่อให้ไข่ตกนี้ อาจทำให้รังไข่บวมหรืออาการเจ็บปวดหลังจากที่ได้ทำการเก็บไข่แล้ว อาการที่เกิดนั้น อาจมี ปวดท้อง ท้องอืด คลื่นไส้ อาเจียน และท้องร่วง เป็นต้น
- ภาวะแทรกซ้อนจากการเก็บไข่
การใช้เข็มดูดไข่ออกจากรังไข่นั้น อาจมีผลข้างเคียงให้เกิดอาการเลือดออก รวมถึงติดเชื้อในช่องท้อง และอาจกระทบกระเทือนอวัยวะใกล้เคียง เช่น กระเพาะปัสสาวะ สำไส้ เส้นเลือด
- ภาวะทางด้านอารมณ์
เกิดความแปรปรวนทางด้านอารมณ์ เพราะคาดหวังการตั้งครรภ์สูง
ค่าใช้จ่ายในการทำกิ๊ฟ
การรักษามีบุตรยากด้วยวิธีการทำกิ๊ฟท์นั้น จะต้องมีการผ่าตัดหน้าท้อง ซึ่งมีเพียงแค่สถานพยาบาลที่มีอุปกรณ์ที่พร้อมเท่านั้น ค่าใช้จ่ายจึงค่อนข้างสูง ตกประมาณ 500,000 บาทขึ้นไป การรักษาด้วยวิธีทำกิ๊ฟท์นั้นเป็นวิธีที่ค่อนข้างจะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายและเวลาต่าง ๆ สำหรับการรักษามาก เพราะในกระบวนการทำจำต้องวางยาสลบเพื่อผ่าตัด และต้องมีการพักฟื้นนาน
สรุป
การทำกิ๊ฟท์เป็นเทคโนโลยี่ที่ช่วยรักษาผู้มีบุตรยากในอดีต โดยการผ่าตัดที่หน้าท้องเพื่อนำอสุจิและไข่ไปใส่ไว้ที่ท่อนำไข่ และให้เกิดการปฏิสนธิภายในตามธรรมชาติ ซึ่งในปัจจุบันไม่ค่อยจะนิยมทำกันแล้ว เพราะค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง มีข้อจำกัดในการรักษาเยอะกว่า และมีโอกาสสำเร็จน้อยกว่าการทำเด็กหลอดแก้ว และยังมีผลข้างเคียงค่อนข้างสูง
โพสตอบ
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้