ปวดกระบอกตาบ่อย เกิดจากอะไร มารู้คำตอบไปด้วยกัน
ด้วยพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย อาการปวดกระบอกตาสามารถพบได้บ่อยกับคนยุคปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีกลุ่มสาเหตุอื่นๆที่สามารถทำให้เกิดอาการกระบอกตาได้อีกเช่นกัน ดังนั้นแล้วเราจึงควรทำการเรียนรู้หาสาเหตุและการรักษาเพื่อเป็นการป้องกันสุขภาพในเบื้องต้น
ซึ่งในบทความนี้ได้ทำการรวบรวมสาเหตุของอาการปวดกระบอกตาที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ และอาการโดยรวมที่จะแสดงออกมาให้ได้ลองสังเกต รวมไปถึงวิธีการรักษาในรูปแบบต่างๆไว้ด้วยกัน
ปวดกระบอกตา
อาการปวดกระบอกตามักเกิดได้จากความตึงเครียด หรือจากความอ่อนล้าบริเวณกล้ามเนื้อต้นคอ หรือบริเวณกล้ามเนื้อตา ซึ่งมีสาเหตุทั่วๆไปมาจากการอ่านหนังสือ หรือการเพ่งมองจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ
รู้จัก กระบอกตา
กระบอกตา (Orbit wall) คือ กล้ามเนื้อบริเวณรอบๆของดวงตา ซึ่งในบริเวณนี้มักจะมีปัญหาการปวดอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งอาจเกิดได้จากความตึงเครียดบริเวณส่วนกล้ามเนื้อต้นคอ หรือเกิดจากการปวดร้าวไปทั่วบริเวณขมับ และส่วนของหน้าผากได้
ปวดกระบอกตาเกิดจากสาเหตุใด
1.ปัญหาค่าสายตา
ปัญหาเรื่องค่าสายตาผิดปกติมักจะก่อให้มีอาการปวดหัวแต่ไม่มาก ซึ่งต่างจากกรณีที่สายตาทั้ง 2 ข้างไม่เท่ากัน หรือบุคคลมีสายตาเอียงมากๆจะมีอาการปวดหัว หรือปวดตาได้
2. กล้ามเนื้อตาล้า
กล้ามเนื้อตาล้าเกิดขึ้นได้จากเวลาทำงานที่ต้องใช้สายตาเพ่งงานที่ต้องใช้ความละเอียด ซึ่งจะใช้วายตาเพ่งเป็นนเวลานานไม่ได้ เพราะกล้ามเนื้อตาที่ใช้มองใกล้หรือรวมตัวเพ่งในที่ใกล้ไม่ได้แข็งแรงพอจะมีอาการปวดตา ปวดหัว หรือปวดที่กระบอกตาและร้าวไปถึงท้ายทอยได้ ซึ่งบางครั้งอาจตาลายเมื่ออ่านหนังสือ หรือทำงานที่ต้องใช้สายตามองระยะใกล้ๆ
3. การหดเกร็งของกล้ามเนื้อ
การหดเกร็งของกล้ามเนื้อเป็นสาเหตุของการเกิดสายตาเพลียได้ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้จากจากความเครียดที่เพิ่มขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น เครียดกับการทำงานที่ใช้สายตาเป็นเวลานานๆหรือการพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือจากทำงานในอิริยาบถที่ไม่พึ่งประสงค์
4. โรคไมเกรนและอาการปวดศีรษะอื่นๆ
อาการปวดศีรษะอาจอาจส่งผลให้เกิดอาการปวดบริเวณด้านหลังดวงตา เช่น การปวดศีรษะจากความเครียดซึ่งเป็นการปวดตื้อหรือแน่นบริเวณหน้าผากหรือบริเวณด้านหลังศีรษะและส่วนลำคอ ซึ่งสำหรับผู้ที่มีแรงดันหลังลูกตาสูงอาจมีอาการอื่นๆร่วม เช่น รู้สึกเจ็บคอ ปวดกล้ามเนื้อบริเวณหัวไหล่ ตาแดง มีน้ำตาไหล หรือมีเหงื่อออกได้
5. ประสบอุบัติเหตุที่กระทบกระเทือนดวงตา
อุบัติเหตุสามารถส่งผลกระทบต่อดวงตาซึ่งอาจทำให้รู้สึกปวดดวงตาอย่างรุนแรงหรือกระจกตาเกิดถลอกได้
6. ผลข้างเคียงจากโรคอื่นๆ
- โรคเกี่ยวกับตา เช่น ต้อหินชนิดเฉียบพลัน ม่านตาอักเสบ เส้นประสาทตาอักเสบ เป็นต้น
- โรคทางกายภาพ เช่น ไซนัสอักเสบ โรคเกรฟส์ ปัญหาสุขภาพปากและฟัน เป็นต้น
ลักษณะอาการปวดกระบอกตา
- มีอาการปวดตื้อๆ
- รู้สึกว่ามีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในดวงตา
- รู้สึกปวดแสบปวดร้อนบริเวณดวงตา
- รู้สึกเจ็บแปลบเหมือนโดนของแหลมแทง
- มีบ่อยครั้งเมื่อรู้สึกปวดตาจะมีอาการตามัว หรือตาแดงและอาจไวต่อแสงร่วมเข้ามาด้วย
อาการปวดกระบอกตาที่ควรพบแพทย์
อาการปวดกระบอกตานั้นมีลักษณะปวดแบบตื้อๆจนรู้สึกถึงแรงแรงตึงบริเวณดวงตา ซึ่งถ้าปวดไม่มากนักก็สามารถบรรเทาอาการปวดนี้ได้ด้วยวิธีเบื้องต้น แต่หากมีอาการปวดรุนแรงที่ไม่สามารถใช้วิธีบรรเทาหรือกรณีมีอาการแทรกซ้อนเข้ามา เช่น ตาแดง มีน้ำตาไหล ไม่ควรนิ่งดูดายและเข้ารับการรักษากับแพทย์เฉพาะทางทันที
การวินิจฉัยอาการปวดกระบอกตา
โดยเบื้องต้นแพทย์จะเริ่มจากซักประวัติสุขภาพของคนไข้ จากนั้นสอบถามรายละเอียดของอาการ ตรวจร่างกาย และส่งต่อไปยังแพทย์เฉพาะทางตามอาการ ซึ่งอาจต้องเข้ารับการตรวจเพิ่มเติม ดังนี้
การตรวจดวงตา
หากอาการปวดกระบอกตาเกิดจากความผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา แพทย์ใช้แสงไฟส่องดวงตาว่าประสาทตาและส่วนประกอบต่างๆของดวงตามีความผิดปกติหรือไม่ และอาจมีการตรวจแบบเฉพาะเจาะจงเพิ่มเติม เช่น การตรวจวัดค่าสายตา การตรวจชั้นต่างๆของดวงตาโดยใช้กล้องจุลทรรศน์ชนิดพิเศษ รวมไปถึงการตรวจความดันของดวงตา
การส่องกล้อง
แพทย์จะทายาชาก่อนเริ่มใช้ท่อขนาดเล็กที่มีกล้องติดอยู่ในส่วนปลายท่อสอดเข้าไปภายใน เพื่อที่จะดูว่ามีอาการบวมหรือมีเนื้องอกอยู่ในโพรงไซนัสหรือไม่
การถ่ายภาพ
ขั้นตอนนี้ทำเพื่อดูความผิดปกติของอวัยวะภายในร่างกายด้วยวิธีต่างๆ เช่น MRI Scan, CT Scan หรือการอัลตราซาวด์
การตรวจเลือด
โดยจะใช้ชุดทดสอบที่มีความเกี่ยวข้องอาการปวดกระบอกตาได้ เช่น การตรวจระดับฮอร์โมนของไทรอยด์ หรือการตรวจหาสารก่อภูมิแพ้ที่ร่างกายสร้างขึ้นมา
การใช้สารกัมมันตรังสีไอโอดีน
วิธีนี้ใช้สำหรับตรวจหาโรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์และโรคเกรฟส์ โดยแพทย์จะฉีดสารกัมมันตรังสีไอโอดีนเข้าไปในร่างกายในปริมาณเพียงเล็กน้อย แล้วจะใช้กล้องชนิดพิเศษถ่ายภาพต่อมไทรอยด์เพื่อดูหาความผิดปกติ
การตรวจทางทันตกรรม
หากอาการของคนไข้เกิดจากปัญหาเกี่ยวกับปากและฟัน ทันตแพทย์จะทำการตรวจดูบริเวณขากรรไกร การเรียงตัวของฟันและการกัด เพื่อต้องการจะดูว่ามีความผิดปกติที่ทำให้กล้ามเนื้อตึงจนส่งผลกระทบไปกดบริเวณตาหรือไม่
วิธีรักษาอาการปวดกระบอกตา
การรักษาอาการปวดกระบอกตา สามารถแบ่งด้วยวิธีการรักษาด้วยวิธีเบื้องต้นสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มเป็นหรือต้องการการบรรเทาและอีกวิธีเป็นการรักษาตามการวิจัยฉัยของแพทย์เฉพาะทาง
การบรรเทาอาการปวดกระบอกตาเบื้องต้น
- ทานยาบรรเทาอาการปวด เช่น ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) หรือไอบูโพรเฟน (Ibuprofen)
- ประคบร้อน ซึ่งสามารถจะช่วยบรรเทาอาการปวดกระบอกตาได้ในเบื้องต้นเป้นอย่างดี
- บริหารกล้ามเนื้อตา จะช่วยเรื่องให้อาการดวงตาเพลียเกิดขึ้นได้น้อยลง
การรักษาอาการปวดกระบอกตาจากสาเหตุของโรค
- โรคไมเกรน - สามารถรักษาด้วยการใช้ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) หรือไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) หากอาการยังไม่ดีขึ้นและต้องการใช้ยาที่มีฤทธิ์แรงกว่านั้นหากจะต้องอยู่กับดุลพินิจของแพทย์ว่าสามารถให้เป้นปรเภทไหนได้
- ไซนัสอักเสบ - สามารถรักษาด้วยการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ และรับประทานยาแก้ปวด หากมีการติดเชื้อแบคทีเรียต้องรับประทานยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อร่วมด้วย สำหรับกรณีที่มีอาการหนักมากต้องเข้ารับการผ่าตัด
- โรคเกรฟส์ - สามารถรักษาได้ด้วยการรับประทานยาที่มีฤทธิ์ไปยับยั้งการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ที่มากเกินจำเป็น ส่วนวิธีอื่นๆ เช่น การผ่าตัดต่อมไทรอยด์ ก็จะต้องรับประทานยาเพื่อทดแทนฮอร์โมนไทรอยด์ เพราะร่างกายจะไม่สามารถผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ได้แล้ว
- โรคต้อหิน - โดยทำการหยดยาที่ช่วยทำให้ม่านตาแคบลง หรือยาที่จะไปลดปริมาณของเหลวที่ดวงตาสร้างขึ้น จากนั้นแพทย์จะใช้เลเซอร์เจาะรูขนาดเล็กในม่านตา เพื่อเป็นการระบายของเหลวในดวงตาและช่วยให้การไหลเวียนของน้ำในตากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
- เส้นประสาทตาอักเสบ - แพทย์อาจให้ใช้ประเภทยาสเตียรอยด์เพื่อลดอาการบวมของเส้นประสาทตา แต่หากเป็นกรณีที่อักเสบจากโรคเอ็มเอสหรือโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง อาจจะต้องใช้ยาประเภทอื่นที่สามารถกดภูมิต้านทานเพื่อจะป้องกันเส้นประสาท
ภาวะแทรกซ้อนจากอาการปวดกระบอกตา
ตามทั่วไปอาการปวดกระบอกตาจะทำให้รู้สึกไม่ค่อยสบายตาและรบกวนต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งอาจเกิดจากโรคอื่นๆที่ส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้ โดยหากมีอาการอื่นๆเข้ามาร่วมด้วยตรงกับที่ได้กล่าวตามนี้ ควรทำการเข้าพบแพทย์เฉพาะทาง
- มีอาการไข้ขึ้น
- รู้สึกปวดศีรษะอย่างรุนแรง
- สูญเสียการมองเห็น
- สูญเสียการรับความรู้สึกหรือการเคลื่อนไหวส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย
ปรับพฤติกรรมป้องกันการปวดกระบอกตา
การป้องกันและบรรเทาอาการปวดกระบอกตาอย่างง่ายๆสามารถทำตามได้ ดังนี้
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ไม่จ้องหน้าจอเป็นเวลานานเกินไป เช่น จอคอมพิวเตอร์ หรือจากจอสมาร์ทโฟน
- พกยาแก้ปวดไว้ติดตัวเมื่อต้องออกไปข้างนอกอยู่เสมอ
- หลีกเลี่ยงการอยู่บริเวณกลางแจ้งหรือร้อนจัดเป้นเวลานาน
- ตรวจสุขภาพตามกำหนด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคที่ส่งผลประทบต่อดวงตา
และการรักษาที่ต้นเหตุของอาการปวดกระบอกตาเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่นอกจากการรักษากับแพทย์เฉพาะทางแล้ว การปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดเป็นสิ่งที่ควรทำเช่นกัน และหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆเพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพที่สุด
ข้อสรุป
อาการปวดกระบอกตานั้นสามารถเกิดขึ้นได้บ่อยจากพฤติกรรมจากใช้ชีวติประจำวันและเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ จึงไม่สามารถระบุไม่มีวิธีป้องกันได้อย่างชัดเจน ดังนั้นเราควรดูแลสุขภาพของตนเองด้วยวิธีเบื้องต้นโดยการรับประทานอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนอย่างเพียงพอ หากรู้สึกอาการผิดปกติเกิดขึ้นกับดวงตา เช่นการมองเห็นที่ผิดแปลกไป หรือมีอาการที่น่าเป็นห่วง ควรไปตวรจกับแพทย์เฉพาะทางเพื่อเข้ารับการรักษาให้ทันท่วงที
โพสตอบ
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้