ปวดหัวจนทรมาน ลองใช้ 6 วิธีแก้ปวดหัวอย่างง่ายด้วยตัวเอง
อาการปวดหัวที่ใครหลาย ๆ คนก็คุ้นเคยกันดี ไม่ว่าจะเป็นปวดหัวไมเกรน ปวดหัวจากความดันโลหิตสูง ปวดหัวจากความเครียด ปวดหัวจากไซนัส ปวดหัวคลัสเตอร์ หรือปวดหัวจากความผิดปกติของข้อต่อขากรรไกร ซึ่งไม่ว่าจะเป็นอาการปวดหัวแบบไหนก็ล้วนสร้างความลำบาก และความรำคาญใจแก่เรากันทั้งนั้น
และเพื่อที่เราจะสามารถอยู่กับอาการปวดหัวเหล่านี้ได้อย่างไม่ทรมานมากนัก จึงมีวิธีแก้ปวดหัว หรือการบรรเทาอาการปวดหัว ด้วยวิธีต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการดื่มน้ำขิง การนวด หรือการประคบเย็น
ปวดหัวมีกี่แบบ อะไรบ้าง
อาการปวดหัวล้วนมีสาเหตุและมีที่มา ซึ่งการที่เราจะแก้อาการปวดหัวได้นั้น ส่วนนึงก็ต้องแก้ที่สาเหตุหรือที่มานั้น ๆ ด้วย และเพื่อที่เราจะสามารถหาวิธีแก้อาการปวดหัวได้อย่างตรงจุด เราจึงควรที่จะรู้จักอาการปวดหัวในแต่ละแบบกันก่อน โดยอาการปวดหัวจะแบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลัก ๆ คือ
อาการปวดหัวชนิดไม่รุนแรง
- ปวดหัวจากความเครียด
อาการปวดหัวจากความเครียดจะมีอาการปวดเล็กน้อยจนถึงปานกลาง ปวดบีบ ๆ คล้ายกับมีบ้างอย่างรัดรอบศีรษะ และอาจมีอาการเจ็บแปลบที่หนังศีรษะ ปวดลามมาที่กระบอกตา โดยสาเหตุที่เกิดอาการปวดหัวนั้นมาจากความเครียด ความหิว อ่อนเพลีย หรืออดนอน จึงส่งผลให้กล้ามเนื้อรอบศีรษะเกิดการเกร็งตัว
- ปวดหัวไมเกรน
อาการปวดหัวจากไมเกรนจะมีอาการปวดปานกลางจนถึงมาก ซึ่งนอกจากอาการปวดหัวแล้ว ยังมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย และอาจมีอาการผิดปกติทางการมองเห็นนำมาก่อนที่จะเกิดอาการปวดหัว โดยสาเหตุที่เกิดอาการปวดหัวจากไมเกรนนั้นมาจากการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ความเครียด ทานอาหารไม่ตรงเวลา ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมากเกินไป
- ปวดหัวคลัสเตอร์
อาการปวดหัวคลัสเตอร์จะมีอาการปวดอย่างรุนแรงข้างเดียว ปวดแปลบ ๆ บริเวณขมับ หรือกระบอกตาข้างเดียว และในบางคนอาจมีอาการเหงื่อออก น้ำมูกไหล และรูม่านตาหด ร่วมอยู่ด้วย โดยสาเหตุที่เกิดอาการปวดหัวคลัสเตอร์นั้นมาจากการเดินทาง การขึ้นที่สูง หรือการได้รับยากลุ่มไนเตรต
อาการปวดหัวรุนแรง
- ปวดหัวเรื้อรัง กินยาแล้วไม่ดีขึ้น
อาการปวดหัวเรื้อรังเป็นอาการปวดที่จะมีความถี่เกิดขึ้นมากกว่า 15 วันต่อเดือน โดยที่มักจะมีอาการปวดติดต่อกันนานอย่างน้อย 3 เดือน โดยอาการปวดหัวเรื้อรังนั้นอาจเกิดจากสาเหตุของโรคต่าง ๆ ได้ เช่น โรคหลอดเลือดสมอง เนื้องอกในสมอง โรคหัวใจ และโรคความดันโลหิตสูง
- ปวดหัวเฉียบพลัน รุนแรง
อาการปวดหัวอย่างรุนแรงโดยเฉียบพลันหรือทันทีทันใด อาจมีสาเหตุจากหลอดเลือดในสมองตีบหรือหลอดเลือดในสมองแตก
- ปวดหัวจนต้องตื่นกลางดึก
อาการปวดหัวจนทำให้ตื่นกลางดึกนั้น นอกจากจะมีสาเหตุมาจากความเครียดแล้ว ยังมีความเป็นไปได้ที่อาจเกิดเนื้องอกในสมองอีกด้วย
- ปวดหัวร่วมกับอาการผิดปกติอื่น ๆ
อาการปวดหัวที่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมอยู่ด้วย เช่น มองเห็นภาพซ้อน แขนหรือขาขยับไม่ได้ เป็นลมหมดสติ หรือหน้าเบี้ยว ซึ่งเป็นอาการที่บ่งชี้ว่าอาการปวดหัวในแบบนี้นั้นมาจากสมอง
วิธีแก้ปวดหัวด้วยตัวเอง
โดยทั่วไปแล้วเมื่อมีอาการปวดหัว เราก็มักจะใช้วิธีแก้ปวดหัวด้วยการทานยาแก้ปวด แต่การใช้วิธีทานยานั้นอาจไม่ส่งผลดีต่อร่างกายเท่าไหร่นัก ซึ่งในบทความนี้เราจะมาแนะนำวิธีแก้ปวดหัวง่าย ๆ ที่สามารถทำได้ด้วยตัวเองกัน
1. จิบน้ำขิงอุ่น ๆ รักษาอาการปวด
การดื่มน้ำขิงเพื่อรักษาอาการปวดนั้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดหัวไมเกรน โดยใช้วิธีการจิบน้ำขิงอุ่น ๆ ซึ่งการดื่มน้ำขิงนั้นสามารถช่วยลดการอักเสบ ลดอาการปวดในร่างกาย ลดการสร้างสาร Prostiglandins ลดอาการเวียนหัว และยังช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียนในโรคไมเกรนอีกด้วย
2. บรรเทาอาการปวดหัวด้วยยาหอม หรือน้ำมันหอมระเหย
การบรรเทาอาการปวดหัวด้วยยาหอม หรือน้ำมันหอมระเหย เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดหัวไมเกรน ผู้ที่มีอาการปวดหัวจากการเกร็งของกล้ามเนื้อ ผู้ที่มีอาการปวดหัวจากความเครียด และผู้ที่มีอาการปวดหัวจากไซนัส โดยการใช้ยาหอมนั้นนิยมนำมาผสมกับน้ำร้อนเพื่อดื่ม และน้ำมันหอมระเหยนั้นนิยมนำมาสูดดม เช่น น้ำมันลาเวนเดอร์ น้ำมันเปปเปอร์มินต์ และน้ำมันยูคาลิปตัส ซึ่งจะช่วยให้ผ่อนคลาย และคลายจากอาการปวดหัว
3. ดื่มน้ำเพิ่มความชุ่มชื้นให้ร่างกาย
การดื่มน้ำให้เพียงพอต่อร่างกายก็เป็นอีกวิธีแก้ปวดหัวเช่นกัน เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดหัวไมเกรน และผู้ที่มีอาการปวดหัวจากการเกร็งของกล้ามเนื้อ โดยการดื่มน้ำให้เพียงพอ หรือทานอาหารที่มีปริมาณน้ำเยอะ เช่น แตงโม และส้ม ซึ่งจะช่วยป้องกันการขาดน้ำ ที่เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดหัว
4. นวดกดจุดผ่อนคลายอาการปวด
การนวดกดจุดเพื่อผ่อนคลายอาการปวด เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดหัวจากความเครียด หรือปวดหัวจากการเกร็งของกล้ามเนื้อ โดยการนวดจะนวดบริเวณคอ ไหล่ และขมับ ใช้เวลานวดประมาณ 2-3 นาที ซึ่งการนวดผ่อนคลายอาการปวดจะช่วยลดอาการปวดเมื่อย กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และยังทำให้ผ่อนคลายอีกด้วย
5. การประคบเย็นแก้ปวดศีรษะ
การประคบเย็นเพื่อแก้อาการปวดศีรษะ เหมาะกับผู้ที่มีอาการปวดหัวไมเกรน สามารถใช้เป็นเจลเย็น หรือนำน้ำแข็งมาห่อด้วยผ้าสะอาดก็ได้ แล้วนำมาประคบบริเวณศีรษะ และลำคอ โดยประคบเป็นเวลา 15 นาที ซึ่งการประคบเย็นจะช่วยลดการอักเสบ ชะลอกระแสประสาท และชะลอการไหลเวียนของเลือด
6. นอนพักผ่อน ฟื้นฟูร่างกาย
การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอนั้นเหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดหัวในทุกแบบ โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการปวดหัวไมเกรน โดยการพักผ่อนอย่างเพียงพอควรที่จะนอน 8-9 ชั่วโมงต่อวัน ไม่ควรนอนต่ำกว่า 6 ชั่วโมง และไม่ควรนอนมากเกินกว่า 9 ชั่วโมง ซึ่งการนอนพักผ่อนอย่างเพียงพอ ไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป จะช่วยลดโอกาสเกิดอาการปวดหัวได้
ปวดหัวรุนแรง เรื้อรัง อาจต้องพบแพทย์
ในกรณีที่มีอาการปวดหัวอย่างรุนแรง และเป็นมานานเรื้อรัง ซึ่งหากมีอาการดังนี้ ควรรีบพบแพทย์ทันที
- ปวดหัวรุนแรงขึ้นมาทันทีทันใด
- ปวดหัวมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่ตอบสนองต่อการรักษา
- ปวดหัว และมีอาการคอแข็ง และมีไข้ร่วมอยู่ด้วย
- ปวดหัวในผู้ที่ป่วยโรคมะเร็ง หรือผู้ที่ติดเชื้อ HIV
- ปวดหัว พร้อมกับมีอาการผิดปกติทางระบบประสาทร่วมอยู่ด้วย
โดยแพทย์จะมีการวินิจฉัยด้วยการตรวจเลือด และตรวจเอกซเรย์ ซึ่งจะมีทั้งการเอกซเรย์กะโหลกศีรษะแบบธรรมดาเพื่อตรวจดูโพรงไซนัส และการส่งตรวจด้วยสนามแม่เหล็ก (MRI) ซึ่งจะมีความละเอียดที่มากกว่า
วิธีแก้ปวดหัวทางการแพทย์
ถ้าหากใช้วิธีแก้ปวดหัวด้วยตัวเองแล้วไม่เห็นผล หรือให้ผลลัพธ์ที่ไม่รวดเร็วตามที่ต้องการ เราก็อาจต้องใช้วิธีแก้ปวดหัวทางการแพทย์แทน โดยวิธีแก้ปวดหัวทางการแพทย์จะมีอยู่ 4 วิธีหลัก ๆ ดังนี้
1. การฝังเข็มรักษาอาการปวดหัว
การรักษาอาการปวดหัวด้วยการฝังเข็มนั้นเป็นศาสตร์จีน ซึ่งควรทำการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น การฝังเข็มสามารถช่วยแก้อาการปวดหัวไมเกรนได้เทียบเท่ากับการทานยา นอกจากได้ผลดีแล้วยังปลอดภัยกว่าการใช้ยากันชักที่ใช้ในการรักษาไมเกรนอีกด้วย โดยการรักษาด้วยการฝังเข็มนั้น ต้องใช้ความต่อเนื่องในการรักษา จำนวนครั้งในการรักษาจะขึ้นอยู่กับพื้นฐานร่างกายของแต่ละคน
2. ฉีดโบท็อกซ์แก้ปวดหัวไมเกรน
การฉีดโบท็อกซ์เพื่อแก้อาการปวดหัวไมเกรนนั้นไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ก็สามารถลดความถี่ในการเกิดอาการ และลดความรุนแรงในอาการปวดหัวลงได้ โดยแพทย์จะทำการฉีดโบท็อกซ์รอบ ๆ ศีรษะจำนวน 31 จุด และโบท็อกซ์ก็จะเข้าไปยับยั้งปลายประสาทที่จะมีการส่งสัญญาณความเจ็บปวดไปยังสมองที่ต่อกับกล้ามเนื้อ จึงทำให้กล้ามเนื้อที่เกร็งตัวอยู่นั้นคลายลง
3. ทานยาแก้ปวดหัว
ยาทานสำหรับแก้อาการปวดหัว จะมีการแบ่งเป็น 5 กลุ่มหลัก ๆ ได้แก่
- ยา Paracetamol เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดหัวไม่มาก ซึ่งไม่ควรรับประทานยานี้มากกว่า 6 เม็ดต่อวัน และไม่ควรใช้ติดต่อกันเกิน 5 – 7 วัน เนื่องจากอาจทำให้ตับทำงานผิดปกติได้
- ยาแก้อักเสบกลุ่มที่ไม่ใช่สเตอรอยด์ (NSAIDs) เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดหัวเล็กน้อยจนถึงปานกลาง โดยยาที่อยู่ในกลุ่มนี้ได้แก่ Ibuprofen , Mefenamic acid และ Naproxen ในผู้ที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด การทำงานของไตผิดปกติ และผู้ที่เป็นแผลหรือมีเลือดออกในทางเดินอาหาร ควรใช้อย่างระมัดระวัง
- ยาแก้ปวดกลุ่ม Triptan ได้แก่ Sumatriptan และ Eletriptan เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดหัวไมเกรน ในผู้ที่ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ สมอง และขา ควรเว้นระยะการทานยาอย่างน้อย 12 ชั่วโมง และไม่ควรทานต่อเนื่องเกิน 10 เม็ดต่อเดือน
- ยาแก้ปวดที่มีการผสมระหว่าง Ergotamine และ Caffeine เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดหัวไมเกรนเฉียบพลัน ไม่ควรทานยามากกว่า 6 เม็ดต่อวัน หรือ 10 เม็ดต่อสัปดาห์ ในผู้ที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด มีการทำงานของตับหรือไตผิดปกติ ผู้ที่มีปัญหานอนไม่หลับ ควรใช้อย่างระมัดระวัง
- ยาแก้ปวดในกลุ่มของฝิ่น เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดหัวปานกลางจนถึงรุนแรง โดยผลข้างเคียงที่จะเจอได้จากยากลุ่มนี้คือ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก ง่วงซึม มึนหัว กดการหายใจ ในผู้ที่มีประวัติเป็นลมชัก มีการทำงานของตับหรือไตผิดปกติ เป็นโรคในระบบทางเดินหายใจ ควรใช้อย่างระมัดระวัง
4. การผ่าตัด
การผ่าตัดเพื่อรักษาอาการปวดหัวนั้น นิยมใช้ในผู้ที่มีอาการปวดหัวไมเกรน ซึ่งการผ่าตัดนั้นสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดหัวได้ แต่ก็ยังไม่มีผลการศึกษาที่แน่ชัดว่าการผ่าตัดสามารถรักษาได้อย่างหายขาด โดยการผ่าตัดนั้นจะเป็นการผ่าเอาเนื้อเยื่อบริเวณผิวกะโหลกบางส่วนที่แพทย์เห็นว่าเป็นต้นเหตุของการเกิดไมเกรนออก
ข้อสรุป
อาการปวดหัวที่สร้างความรบกวนเหล่านี้ล้วนมีวิธีต่าง ๆ ในการแก้ไขเสมอ ไม่ว่าจะเป็นวิธีแก้ปวดหัวที่สามารถทำได้ด้วยตัวเองที่บ้าน โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งยาให้เป็นผลเสียต่อตับ หรือจะเป็นวิธีแก้ปวดหัวทางการแพทย์ที่ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรวดเร็วกว่า
โพสตอบ
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้