รู้ครบเรื่องการเตรียมตัว-พักฟื้นสำหรับการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม

monicalee66

ขีดเขียนหน้าใหม่ (59)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST:75
เมื่อ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 13.58 น.

 “ร่องแก้ม” เป็นจุดที่สะท้อนอายุบนใบหน้าได้ชัดเจนที่สุด เพราะเมื่อผิวและชั้นไขมันบริเวณนี้บางลงจากอายุที่มากขึ้น หรือมีการเคลื่อนตัวของไขมันจากส่วนกลางใบหน้า (midface volume loss) จะทำให้เกิดรอยพับลึกจากปีกจมูกลงมาถึงมุมปาก ส่งผลให้ใบหน้าดูเหนื่อย โทรม หรือดูแก่กว่าวัย การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มจึงเป็นหัตถการยอดนิยมที่ช่วยคืนความอ่อนเยาว์ให้ใบหน้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ แต่เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาสวยและปลอดภัย ผู้เข้ารับบริการจำเป็นต้องเข้าใจขั้นตอนการ “เตรียมตัวก่อน” และ “ดูแลหลังทำ” อย่างถูกต้อง

 

 

ความเข้าใจที่ถูกต้อง "ร่องแก้ม" ไม่ได้เกิดที่ "ร่อง"

สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องทำความเข้าใจก่อนคือ ร่องแก้มที่ลึกชัด ไม่ได้เกิดจากผิวหนังบริเวณร่องแก้มยุบตัวลงไปเอง แต่ส่วนใหญ่มักเกิดจากการ "ทรุดตัว" ของโครงสร้างใบหน้าส่วนกลาง (Midface) โดยเฉพาะการฝ่อตัวของไขมันชั้นลึก (Deep Fat Pads) และการคลายตัวของเส้นเอ็นที่ยึดใบหน้า (Retaining Ligaments) เมื่อ "เสาหลัก" บริเวณแก้มยุบตัวลง เนื้อเยื่อด้านบนจึงพับลงมา เกิดเป็นร่องแก้มที่ชัดขึ้น

ดังนั้น ในทางการแพทย์ที่ถูกต้อง การแก้ไขร่องแก้มที่มีประสิทธิภาพและดูเป็นธรรมชาติ จึงมักไม่ใช่การฉีดฟิลเลอร์อัดเข้าไปที่ "เส้นร่องแก้ม" โดยตรง เพราะอาจทำให้ใบหน้าส่วนล่างดูอูมหนาผิดธรรมชาติ (Simian look หรือ ลักษณะคล้ายปากลิง) แต่เป็นการประเมินโครงสร้างโดยรวม และอาจต้องเริ่มต้นจากการ "ยกพยุง" คืนโครงสร้างที่แก้มส่วนกลางก่อน เมื่อแก้มถูกยกขึ้น ร่องแก้มก็จะดีขึ้นโดยอัตโนมัติ จากนั้นจึงอาจเก็บรายละเอียดที่ร่องแก้มเพียงเล็กน้อย

 

การเตรียมตัวก่อนการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม

การเตรียมตัวที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงจากการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม โดยเฉพาะอาการบวมช้ำ และช่วยให้แพทย์ทำงานได้ง่ายขึ้น

  1. การปรึกษาแพทย์ (Consultation) นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุด ควรเข้ามาปรึกษาเพื่อประเมินโครงสร้างใบหน้า แจ้งประวัติการรักษาที่ผ่านมา (เคยฉีดหรือผ่าตัดอะไรมาบ้าง) และแจ้งโรคประจำตัว ยาที่รับประทานประจำ รวมถึงประวัติการแพ้ยา เพื่อให้แพทย์วางแผนการรักษาได้อย่างแม่นยำและปลอดภัย
  2. งดใช้ยาและอาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดรอยช้ำ ควรงดกลุ่มยาเหล่านี้อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนทำหัตถการ (หากเป็นยาที่ทานเพื่อรักษาโรคประจำตัว ต้องปรึกษาแพทย์เจ้าของไข้ก่อนหยุดยา):
  • ยาต้านการอักเสบกลุ่ม NSAIDs เช่น Aspirin, Ibuprofen, Naproxen
  • วิตามินและอาหารเสริม: Vitamin E, Fish Oil (น้ำมันปลา), Ginkgo (แปะก๊วย), Ginseng (โสม), กระเทียมอัดเม็ด
  1. งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ควรงดการดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมงก่อนการฉีด เพราะแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ขยายหลอดเลือด (Vasodilation) ทำให้เลือดออกง่ายและเพิ่มโอกาสบวมช้ำ
  2. สุขภาพร่างกายและผิวหนัง หากมีแผนจะทำฟัน (ขูดหินปูน, ถอนฟัน) ควรทำก่อนฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม หรือเว้นระยะห่างหลังทำฟันอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ หากในวันนัดมีอาการป่วย เป็นไข้ หรือมีสิวอักเสบรุนแรงในบริเวณที่จะฉีด ควรเลื่อนนัดออกไปก่อน

 

การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม

หลังการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม สารเติมเต็มต้องการเวลาในการผสานเข้ากับเนื้อเยื่อ (Tissue Integration) และร่างกายต้องการเวลาในการฟื้นตัวจากการบวมช้ำเล็กน้อยที่อาจเกิดขึ้น

ระยะ 24-48 ชั่วโมงแรก (ช่วงสำคัญที่สุด)

  • ห้ามสัมผัส: หลีกเลี่ยงการ แตะ นวด กด หรือปั้นบริเวณที่ฉีดเด็ดขาด เพราะฟิลเลอร์ยังไม่เซ็ตตัว การกดอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่ผิดตำแหน่งได้
  • ประคบเย็น: หากมีอาการบวมแดง สามารถใช้ Cool Pack หรือผ้าห่อน้ำแข็งประคบเบาๆ เพื่อช่วยลดบวมและหดหลอดเลือด (ห้ามประคบร้อน)
  • การทำความสะอาด: สามารถล้างหน้าและทาครีมบำรุงได้ตามปกติ แต่ควรทำอย่างเบามือที่สุด
  • งดแอลกอฮอล์: ควรงดต่อเนื่องอย่างน้อย 48 ชั่วโมง หรือจนกว่าอาการบวมจะหายไป
  • การนอน: ในคืนแรก พยายามนอนหงายและหนุนหมอนสูงเล็กน้อย เพื่อลดอาการบวมในตอนเช้า

ระยะ 1-2 สัปดาห์แรก (ช่วงพักฟื้น)

  • งดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด: หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนัก (หนักจนเหงื่อออกมาก หัวใจเต้นเร็ว) เพราะจะกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและทำให้บวมช้ำมากขึ้น
  • หลีกเลี่ยงความร้อน: งดการเข้าซาวน่า, สตรีม, แช่น้ำร้อน, ตากแดดจัด หรือการทำเลเซอร์ที่ใบหน้า เพราะความร้อนอาจส่งผลต่อการเซ็ตตัวของฟิลเลอร์ในบางชนิด
  • การรับประทานอาหาร: หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด ของหมักดอง และอาหารที่ร้อนจัด เพราะอาจกระตุ้นการอักเสบหรืออาการบวม
  • ดื่มน้ำ: ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ เพราะฟิลเลอร์กลุ่ม Hyaluronic Acid (HA) จะอุ้มน้ำได้ดี ทำให้ผลลัพธ์ดูอิ่มฟูและเป็นธรรมชาติ

 

สัญญาณที่ต้องกลับมาพบแพทย์ทันที

แม้ว่าอาการบวม แดง หรือรอยช้ำเล็กน้อยจะเป็นเรื่องปกติ แต่หากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบติดต่อคลินิกหรือพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของการอุดตันของหลอดเลือด (Vascular Occlusion) ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่ต้องรีบแก้ไข:

  • อาการปวดรุนแรงผิดปกติ (ไม่ใช่แค่ปวดตึงๆ)
  • สีผิวบริเวณที่ฉีดหรือใกล้เคียง เปลี่ยนเป็นสีซีดขาว หรือมีลักษณะเป็นจ้ำสีม่วงคล้ำคล้ายตาข่าย
  • การมองเห็นผิดปกติ หรือปวดตา (พบได้น้อยมาก แต่ต้องระวัง)

 

การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มเป็นหัตถการที่ให้ผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน แต่หัวใจสำคัญคือการรักษาสมดุลของใบหน้า การเตรียมตัวที่ดี การดูแลหลังทำที่ถูกต้อง และเหนือสิ่งอื่นใด คือการเลือกแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านกายวิภาคและความปลอดภัย จะช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ดูสดใส อ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ และปลอดภัยในระยะยาว



แก้ไขครั้งที่ 1 โดย monicalee66 เมื่อ12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 13.59 น.

โพสตอบ

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา