ผ่าตัดมดลูก (Hysterectomy) ก้าวสู่ชีวิตใหม่ที่มั่นใจและปลอดภัย

GUEST1649747579

ขีดเขียนในตำนาน (652)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST:1152
เมื่อ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 05.24 น.

ผ่าตัดมดลูก

ทำความเข้าใจการผ่าตัดมดลูกคืออะไร? รู้เหตุผลที่ต้องผ่าตัด ขั้นตอน วิธีดูแลตัวเองหลังผ่าตัดมดลูก และอาการที่ควรเฝ้าระวัง ฟื้นตัวอย่างปลอดภัยด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง

หลายคนอาจรู้สึกหวั่นเมื่อได้ยินคำว่า “ผ่าตัดมดลูก” เพราะคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่หรือส่งผลต่อความเป็นผู้หญิง แต่ในความเป็นจริงการผ่าตัดมดลูกไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ในบางกรณีกลับเป็นทางออกสำคัญที่ช่วยให้ผู้หญิงหลาย ๆ คนกลับมามีชีวิตสบายขึ้นอีกครั้ง 

บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจในทุกมิติของการผ่าตัดมดลูก ทั้งเหตุผลทางการแพทย์ที่นำไปสู่การตัดปีกมดลูกหรือตัดมดลูก ขั้นตอนและเทคนิคทันสมัย รวมถึงการเตรียมตัวดูแลตัวเองเพื่อลดผลกระทบทางร่างกายและจิตใจ นอกจากนี้ยังคลายข้อสงสัยสำคัญ เช่น ตัดมดลูกแล้วต้องตรวจมะเร็งปากมดลูกหรือไม่ ตัดมดลูกแล้วจะท้องนอกมดลูกได้ไหม รวมถึงผ่าตัดมดลูกกินอะไรบำรุงได้บ้าง เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจครบถ้วน พร้อมเริ่มต้นบทใหม่ของชีวิตได้อย่างมั่นใจและมีสติอย่างแท้จริง


 

ก่อนเข้ารับการรักษา มารู้จักกับการผ่าตัดมดลูก

 

hysterectomy-is

 

ผ่าตัดมดลูก (Hysterectomy) คือการผ่าตัดเพื่อนำมดลูก ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญในระบบสืบพันธุ์เพศหญิงออกไปจากร่างกาย การผ่าตัดนี้อาจรวมถึงผ่าตัดปากมดลูกออกด้วย หรือเก็บปากมดลูกไว้ ในบางกรณีที่จำเป็นทางการแพทย์ แพทย์อาจพิจารณาตัดปีกมดลูกหรือตัดรังไข่ออกพร้อมกันได้

  • ผลที่ตามมาโดยตรง: เมื่อผ่ามดลูกออก ผู้ป่วยจะไม่มีประจำเดือนอีกต่อไปและไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อย่างถาวร
  • ความเข้าใจผิดเรื่องฮอร์โมน: การตัดมดลูกออกเพียงอย่างเดียว ไม่ได้ทำให้เกิดภาวะหมดประจำเดือนทันที หากรังไข่ (Ovaries) ยังคงอยู่ รังไข่จะยังคงผลิตฮอร์โมนเพศหญิงตามปกติ

ผ่าตัดมดลูกจะเป็นทางเลือกสุดท้ายหลังจากที่แพทย์ได้ลองใช้วิธีรักษาอื่น ๆ ที่ไม่รุนแรง เช่น ใช้ยา หรือการผ่าตัดเพื่อรักษามดลูกไว้แล้ว แต่ไม่สามารถบรรเทาอาการหรือรักษาโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ


 

ทำไมถึงต้องผ่าตัดมดลูก เรื่องที่คุณผู้หญิงควรรู้!

 

การผ่าตัดมดลูกเป็นการผ่าตัดนำมดลูกออกไปทั้งหมดหรือตัดมดลูกแต่ยังเหลือรังไข่ ถือเป็นการผ่าตัดใหญ่ทางนรีเวชเพื่อรักษาปัญหาสุขภาพที่รุนแรงและเรื้อรังที่รักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล สาเหตุหลักที่ต้องผ่าตัดมดลูกได้แก่

  • เนื้องอกในมดลูก : เมื่อเนื้องอกมีขนาดใหญ่มาก ทำให้เกิดอาการปวดท้องน้อย มีเลือดออกมากผิดปกติ หรือกดทับอวัยวะข้างเคียง เช่น กระเพาะปัสสาวะ
  • ภาวะเลือดออกผิดปกติจากช่องคลอด : มีเลือดประจำเดือนออกมากผิดปกติหรือออกนานผิดปกติ 
  • เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ : เมื่อเนื้อเยื่อบุโพรงมดลูกไปเจริญเติบโตนอกมดลูก ทำให้เกิดอาการปวดท้องรุนแรง วิธีผ่าตัดมดลูกช่วยได้มาก
  • ภาวะมดลูกหย่อน : เมื่อกล้ามเนื้อหรือเอ็นยึดหย่อนยาน จนทำให้มดลูกเลื่อนต่ำลงมาในช่องคลอดหรือยื่นออกมานอกช่องคลอด ทำให้เกิดอาการปัสสาวะลำบาก ปวดหน่วง ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต
  • ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวผิดปกติ หรือ อะดีโนไมโอซิส : ทำให้มดลูกโต มีอาการปวดประจำเดือนอย่างรุนแรง หรือมีเลือดออกมาก 
  • มะเร็ง : เป็นมะเร็งมดลูก มะเร็งปากมดลูก หรือมะเร็งรังไข่บางชนิด การผ่าตัดมดลูกเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด


 

ปัจจุบันการผ่าตัดมดลูกมีแบบไหนบ้าง?

 

การผ่าตัดมดลูก

 

ผ่าตัดมดลูก (Hysterectomy) มีหลายวิธี ซึ่งแพทย์จะเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุดโดยพิจารณาจากสาเหตุที่ต้องผ่าตัด ขนาดของมดลูก และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย ประเภทของการผ่าตัดมดลูกมีดังนี้

  • ผ่าตัดมดลูกผ่านทางหน้าท้อง : เป็นวิธีผ่าตัดมดลูกแบบเปิดหน้าท้องเพื่อนำมดลูกออกมาทำให้แพทย์เห็นอวัยวะภายในชัดเจน เป็นวิธีที่ใช้บ่อยที่สุดสำหรับรักษามะเร็งหรือมดลูกที่มีขนาดใหญ่
  • ผ่าตัดมดลูกผ่านทางช่องคลอด : เป็นวิธีผ่าตัดเอามดลูกออกผ่านทางช่องคลอด ไม่มีแผลภายนอกที่หน้าท้อง เหมาะสำหรับภาวะมดลูกหย่อนคล้อย ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็ว
  • ผ่าตัดมดลูกแบบส่องกล้อง : เป็นวิธีผ่าตัดโดยเจาะรูขนาดเล็ก 3-4 รูที่หน้าท้อง โดยใช้กล้องส่องเข้าไปช่วยในการผ่าตัด ทำให้แผลมีขนาดเล็ก ฟื้นตัวได้เร็ว


 

การดูแลตัวเองหลังผ่าตัดมดลูกควรทำอย่างไร?

 

การดูแลตัวเองหลังผ่าตัดมดลูกเป็นขั้นตอนสำคัญช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็ว ลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน และกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปลอดภัย โดยแนวทางดูแลตัวเองมีดังนี้

  • พักผ่อนให้เพียงพอ : ควรนอนพักอย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง หลีกเลี่ยงยกของหนักหรือออกแรงมากในช่วง 6–8 สัปดาห์แรกหลังการผ่าตัดมดลูก
  • ดูแลแผลผ่าตัดให้สะอาด : ล้างทำความสะอาดบริเวณแผลด้วยน้ำสบู่อ่อน ๆ และเช็ดให้แห้ง หลีกเลี่ยงการเกาแผลหรือแกะสะเก็ด หากแผลมีอาการบวม แดง หรือมีหนอง ควรรีบพบแพทย์ทันที
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ : เน้นอาหารมีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช เพื่อป้องกันอาการท้องผูก ดื่มน้ำวันละ 6–8 แก้ว หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด แอลกอฮอล์ และคาเฟอีนในช่วงพักฟื้น
  • ดูแลระบบขับถ่าย : พยายามขับถ่ายทุกวัน ไม่กลั้นอุจจาระหรือปัสสาวะ หากมีอาการท้องผูกมาก ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาระบาย
  • เคลื่อนไหวร่างกายอย่างเหมาะสม : เริ่มเดินเบา ๆ หลังผ่าตัดมดลูก 1–2 วัน เพื่อป้องกันลิ่มเลือดอุดตัน หลีกเลี่ยงนั่งหรือยืนนานเกินไป
  • งดมีเพศสัมพันธ์ตามคำแนะนำแพทย์ : โดยทั่วไปควรงดอย่างน้อย 6–8 สัปดาห์ หรือจนกว่าแพทย์จะอนุญาต
  • สังเกตอาการผิดปกติ : หากมีไข้สูง หนาวสั่น มีเลือดออกจากช่องคลอดมากผิดปกติ ปวดท้องรุนแรง หรือแผลมีหนอง หากพบอาการเหล่านี้ควรรีบไปโรงพยาบาลทันที

การดูแลตัวเองหลังผ่าตัดมดลูกอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับประเภทของการผ่าตัดและสภาพร่างกายของผู้ป่วยแต่ละราย ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ผู้ผ่าตัดอย่างเคร่งครัดเป็นหลัก


 

อาการหลังผ่าตัดมดลูกที่ควรระวังมีอะไรบ้าง?

 

อาการที่พบได้หลังการผ่าตัดมดลูก (Hysterectomy) ที่ควรเฝ้าระวังและสังเกตอย่างใกล้ชิดมีดังนี้

  • เจ็บแผลบริเวณหน้าท้องหรือช่องคลอด : เป็นอาการปกติในช่วงแรกหลังผ่าตัดมดลูก แต่หากปวดมากขึ้นหรือมีอาการบวมแดง ควรรีบพบแพทย์
  • มีเลือดหรือตกขาวปนเลือดออกทางช่องคลอด : มักเป็นเพียงเล็กน้อย และจะค่อย ๆ ลดลงภายในไม่กี่สัปดาห์ หากมีเลือดออกมากหรือมีกลิ่นผิดปกติควรรีบไปโรงพยาบาล
  • รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย : เนื่องจากเสียเลือดหรือร่างกายอยู่ในช่วงฟื้นตัว ควรพักผ่อนให้เพียงพอ
  • ปัสสาวะขัดหรือเจ็บแสบขณะปัสสาวะ : อาจเกิดจากสายสวนปัสสาวะหรือการระคายเคืองของกระเพาะปัสสาวะ หากมีไข้หรือปัสสาวะขุ่นควรรีบแจ้งแพทย์
  • ท้องอืด แน่นท้อง หรือท้องผูก : เป็นผลจากลำไส้เคลื่อนไหวช้าหลังการผ่าตัดมดลูก ควรดื่มน้ำมาก ๆ และกินอาหารที่มีกากใยสูง
  • อาการร้อนวูบวาบ เหงื่อออกกลางคืน หรืออารมณ์แปรปรวน : มักพบในผู้ที่ผ่าตัดมดลูกและรังไข่ออกทั้งหมด
  • แผลผ่าตัดติดเชื้อหรือมีหนองซึมออกจากแผล : เป็นสัญญาณอันตรายต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์ทันที

การสังเกตอาการอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วขึ้นและลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดมดลูกได้อย่างปลอดภัย


 

ผ่าตัดมดลูก ในมุมที่ผู้หญิงควรรู้

 

การผ่าตัดมดลูกเป็นทางออกสำคัญสำหรับใช้รักษาปัญหาสุขภาพสตรีที่รุนแรงหรือเรื้อรัง เช่น ผ่าตัดมะเร็งปากมดลูก ปัจจุบันมีความปลอดภัยและช่วยให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น แม้การตัดมดลูกจะมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและอารมณ์ แต่ก็เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิต ความสำเร็จขึ้นอยู่กับการดูแลตนเองหลังผ่าตัดอย่างเคร่งครัดทั้งเรื่องโภชนาการ การพักผ่อน และเฝ้าระวังสัญญาณอันตราย เพื่อให้ร่างกายฟื้นคืนสู่สภาวะปกติได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด

แก้ไขครั้งที่ 2 โดย GUEST1649747579 เมื่อ15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 05.25 น.

โพสตอบ

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา