รู้จักประเภท สิว มีกี่ชนิด พร้อมวิธีดูแล รักษา ให้หายไว

live_well

เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST:1
เมื่อ เมื่อวาน 12.24 น.

สิว เป็นปัญหาผิวที่หลายคนต้องเคยเผชิญ แม้สิวจะดูเหมือนเป็นปัญหาผิวทั่วไปที่สามารถหายเองได้ในสิวบางประเภท แต่อย่างไรก็ตามปัญหานี้สามารถส่งผลต่อความมั่นใจและสุขภาพผิวในระยะยาวได้อย่างแน่นอน แต่ถ้าหากเราเข้าใจประเภทของสิวอย่างถูกต้อง พร้อมเรียนรู้วิธีการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม ก็จะช่วยให้สิวหายเร็วขึ้นและโอกาสกลับมาเป็นซ้ำก็จะน้อยลงได้

 

สิวคืออะไร เกิดจากอะไรบ้าง

สิว (Acne) คือ ภาวะที่รูขุมขนบนผิวหนังเกิดการอุดตันจากไขมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทำให้เกิดการอักเสบบริเวณรูขุมขนจนเกิดเป็นสิวขึ้นมา และอาจมีลักษณะที่แตกต่างกัน เช่น สิวหัวดำ สิวหัวขาว สิวอักเสบ หรือสิวหนอง โดยสิวมักเกิดขึ้นบริเวณใบหน้า หน้าอก หลัง ซึ่งถือเป็นบริเวณที่มีต่อมไขมันมาก นั่นเอง

โดยปกติแล้ว สิว มีสาเหตุจากหลายปัจจัย เช่น 

  • ต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันมากเกินไป ทำให้รูขุมขนเกิดการอุดตัน
  • เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วไม่เกิดการผลัดเซลล์ผิวตามธรรมชาติ ส่งผลให้รูขุมขนอุดตันขึ้นมาได้
  • ฮอร์โมนเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่น มีประจำเดือน หรือมีความเครียด
  • พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การล้างหน้าไม่สะอาด ใช้เครื่องสำอางอุดตันผิว นอนดึก ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้จะทำให้เชื้อโรค แบคทีเรีย เติบโตในรูขุมขน จนกระตุ้นให้เกิดการอักเสบและเป็นหนอง

สิวมีกี่ประเภท

โดยทั่วไปแล้ว สิว จะมีการแบ่งประเภทออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ ได้แก่ สิวไม่อักเสบ และ สิวอักเสบ

  • สิวไม่อักเสบ หรือ Non-inflammatory Acne

สิวไม่อักเสบ จะเกิดจากการอุดตันของรูขุมขนโดยไม่มีการอักเสบของเนื้อเยื่อรอบข้าง มักเป็นระยะเริ่มต้นของการพัฒนาไปสู่สิวอักเสบ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่

  • สิวหัวขาว หรือ Closed comedones

 เป็นสิวที่คนทั่วไปมักเรียกว่าสิวอุดตัน เพราะมีสาเหตุจากการอุดตันของไขมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้วภายในรูขุมขน โดยที่รูขุมขนยังปิดอยู่ ทำให้เห็นเป็นแค่ตุ่มเล็กสีขาวใต้ผิวหนังเท่านั้น

  • สิวหัวดำ หรือ Open comedones

 เป็นอีกหนึ่งประเภทของสิวอุดตันเช่นเดียวกัน มีลักษณะคล้ายสิวหัวขาวแต่รูขุมขนเปิดออก ทำให้ไขมันที่อุดตันสัมผัสกับอากาศและเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันกลายเป็นสีดำขึ้นมา

  • สิวผด หรือ Acne aestivalis

 เป็นสิวที่มีลักษณะเป็นผื่นเม็ดเล็ก ๆ กระจายทั่วใบหน้า มักเกิดจากการแพ้อากาศ ความร้อน หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิว

  • สิวอักเสบ หรือ Inflammatory Acne

เป็นลักษณะของสิวที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในรูขุมขนที่อุดตัน ส่งผลให้เกิดการอักเสบ บวม แดง เจ็บ หรือมีหนอง ซึ่งมีหลายระดับความรุนแรง ได้แก่ 

  • สิวอักเสบนูนแดง หรือ Papules

 เป็นสิวที่มีขนาดเล็ก มีลักษณะเป็นตุ่มนูนสีแดง ไม่มีหัวหนอง มักเจ็บเล็กน้อย เกิดจากการอักเสบของเนื้อเยื่อรอบ ๆ รูขุมขน 

  • สิวหัวหนอง หรือ Pustules

มีลักษณะคล้ายกับสิวอักเสบที่มีตุ่มนูนสีแดงแต่มีหัวหนองอยู่ตรงกลาง สิวประเภทนี้หากดูแลไม่ดี ไม่ถูกต้อง อาจทิ้งรอยแผลเป็นไว้ได้

  • สิวไต หรือ Nodules acne

เป็นลักษณะของสิวอักเสบที่คล้ายกับสิวหัวช้างแต่มีขนาดเล็กกว่า จุดสังเกตหลัก ๆ คือ เมื่อเราสัมผัสบริเวณสิวจะมีความเป็นก้อนแข็งใต้ผิวหนัง ไม่มีหัว มักเกิดขึ้นที่บริเวณใบหน้า หลัง และหน้าอก 

  • สิวหัวช้าง หรือ Acne conglobata

เป็นสิวขนาดใหญ่มีลักษณะบวม นูน แดง เกิดจากการอักเสบในชั้นผิวหนัง มักส่งผลให้มีอาการเจ็บมากแม้ไม่ได้สัมผัส โดยสิวประเภทนี้หายยาก ใช้เวลานาน แนะนำให้ทำการรักษาโดยแพทย์ผิวหนังมากกว่าปล่อยให้หายเอง 

  • สิวซีสต์ หรือ Acne cysts

เป็นสิวที่อักเสบระดับรุนแรงในชั้นผิวหนัง มักมีลักษณะเป็นก้อน นูน แดง คล้ายกับมีหัวสิวหลายหัวรวมกันในจุดเดียวโดยภายในจะมีหนองปนกับเลือด สิวประเภทนี้หากปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษาจะเกิดการขยายบริเวณหัวสิว และเป็นหลุมสิวขนาดใหญ่ได้

  • สิวฮอร์โมน หรือ Hormonal acne

เป็นประเภทสิวที่มักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ลักษณะของสิวประเภทนี้จะเป็นสิวอักเสบ มักเกิดขึ้นบริเวณคางและกราม และสัมพันธ์กับรอบประจำเดือน

สิวแบบไหนอันตราย

สำหรับ สิว ที่มักเป็นอันตราย คือ สิวประเภทที่ทำให้เกิดรอยแผลเป็นถาวร หรือ การอักเสบลุกลามได้ จำเป็นต้องพบแพทย์ผิวหนังเพื่อทำการรักษา ได้แก่

  1. สิวซีสต์ หรือ Cystic Acne

เป็นสิวขนาดใหญ่ ลึก อยู่ใต้ผิวหนัง และมีหนองอยู่ภายใน มีโอกาสสูงที่จะทิ้งรอยแผลเป็นหลุมถาวร (atrophic scar) หรือ รอยแผลเป็นคีลอยด์ พบได้บ่อยในผู้ที่มีสิวฮอร์โมนหรือมีประวัติคนในครอบครัวเป็นสิวรุนแรง

  1. สิวไต หรือ Nodular Acne

มีลักษณะเป็นก้อนแข็ง ใต้ผิวหนัง ไม่มีหัวสิวชัดเจน มักอักเสบรุนแรง เจ็บ และรักษายาก ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็นถาวรมากกว่าสิวชนิดอื่น

นอกจากนั้นยังรวมไปถึงสิวที่เกิดขึ้นร่วมกับอาการผิดปกติอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น สิวที่มาพร้อมกับประจำเดือนที่ผิดปกติ ขนดก หน้ามันมากผิดปกติ ซึ่งอาจบ่งบอกถึงภาวะกลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่ (PCOS) หรือ สิวที่เกิดอย่างเฉียบพลันหลังใช้ยา ซึ่งอาจเป็นผลข้างเคียงจากยาสเตียรอยด์ ซึ่งสิวเหล่านี้หลายคนมักจะเรียกว่า สิวติดสาร นั่นเอง 

สิวอะไรหายยากสุด

สำหรับประเภทสิวที่มีโอกาสหายยากที่สุด คือ สิวซีสต์และสิวไต เพราะสิวทั้ง 2 ประเภทนี้เป็นสิวอักเสบขนาดใหญ่ที่อยู่ลึกใต้ผิวหนัง และไม่สามารถรักษาให้หายได้ง่ายด้วยยาทาภายนอกเพียงอย่างเดียว สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้สิว 2 ประเภทนี้หายยาก ได้แก่ 

  • มีการอักเสบรุนแรงและลึกถึงชั้นใต้ผิว ไม่สามารถกดออกหรือรักษาด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้าทั่วไป และการอักเสบที่ลึกถึงชั้นใต้ผิวหนังนี้ทำให้มีโอกาสเกิดพังผืดและแผลเป็นได้ 
  • สิวทั้ง 2 ประเภทนี้ มักไม่ตอบสนองต่อยาทาแบบสิวหัวดำหรือสิวอักเสบนูนแดง มักต้องมีการรับประทานยารักษาร่วมด้วย
  • เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนในร่างกายโดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีภาวะฮอร์โมนแปรปรวน เช่น PCOS ทำให้มีแนวโน้มกลับมาเป็นซ้ำ แม้จะรักษาจนดีขึ้นชั่วคราว
  • เสี่ยงแผลเป็นถาวรสูง หากรักษาช้าหรือพยายามบีบสิวด้วยตนเอง จะเพิ่มความเสียหายแก่ผิวหนังได้

วิธีดูแลสิวแต่ละประเภทให้หายไว

สิวมีหลายประเภท แต่ละประเภทก็มีสาเหตุและลักษณะเฉพาะตัว การดูแลรักษาที่ถูกต้องและตรงจุดจึงเป็นสิ่งสำคัญ หากรักษาไม่เหมาะสม อาจทำให้สิวลุกลามหรือทิ้งรอยแผลเป็นถาวรได้ โดยตัวอย่างวิธีการดูแลสิวแต่ละประสามารถทำได้ดังนี้ 

  1. สิวหัวเปิด หรือ สิวหัวดำ (Open comedones)

ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี Salicylic Acid หรือ BHA เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิว หลีกเลี่ยงการกดหรือแกะ เพราะอาจทำให้รูขุมขนกว้างถาวร และล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์สูตรอ่อนโยนที่ไม่อุดตันผิว (non-comedogenic)

  1. สิวหัวปิด หรือ สิวหัวขาว (Closed comedones)

ใช้ยาทาที่มี Retinoids เพื่อช่วยเปิดรูขุมขนและผลัดเซลล์ผิว หลีกเลี่ยงการใช้ครีมหรือเครื่องสำอางที่มีน้ำมัน และควรใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตันบริเวณรูขุมขน

  1. สิวอักเสบ (Inflammatory acne)

หลีกเลี่ยงการบีบเพราะเสี่ยงต่อการลุกลามและเกิดแผลเป็น ควรใช้ยาทาภายนอกที่มีส่วนผสมของ Benzoyl Peroxide หรือ Clindamycin แต่ถ้าหากเป็นมากควรใช้ยาปฏิชีวนะรับประทานภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนัง

  1. สิวหนอง (Pustules)

ควรทายาฆ่าเชื้อ เช่น Benzoyl Peroxide และรักษาความสะอาดผิว หลีกเลี่ยงการบีบหรือแกะ เพราะอาจกระตุ้นการติดเชื้อซ้ำ หากเป็นมากควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อใช้ยาเฉพาะทางเช่นเดียวกัน

  1. สิวไต (Nodular acne)

ควรพบแพทย์ผิวหนังเพื่อรับยา ห้ามบีบหรือกดเด็ดขาด เพราะเสี่ยงทิ้งหลุมแผลเป็นถาวร และอาจต้องรักษาด้วยเลเซอร์หรือฉีดยาลดการอักเสบในบางราย

  1. สิวซีสต์ (Cystic acne)

ควรรักษาโดยแพทย์ผิวหนังด้วยการใช้ยา ห้ามบีบหรือพยายามกดออกเอง เพราะเสี่ยงติดเชื้อและแผลเป็นลึกได้

  1. สิวฮอร์โมน (Hormonal acne)

แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อใช้ยาในกลุ่มฮอร์โมน เช่น หรือปรับพฤติกรรมลดรับประทานอาหารหวานจัดหรือไขมันสูง เพราะมีผลต่อระดับอินซูลินและฮอร์โมน พร้อมกับรักษาระดับความเครียดให้ต่ำ และนอนหลับให้เพียงพอ

คนเป็นสิวไม่ควรทำอะไรบ้าง ไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ

สำหรับวิธีการดูแลผิวเบื้องต้นเพื่อลดโอกาสกลับมาเป็นสิวซ้ำนั้น ส่วนมากมักจะเป็นในเรื่องของการดูแลความสะอาดผิวหนัง ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น

  • ล้างหน้าเช้า-เย็นด้วยผลิตภัณฑ์อ่อนโยน
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสหน้าบ่อย ๆ
  • หลีกเลี่ยงการบีบสิว เพราะจะกระตุ้นการอักเสบ
  • อย่าเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ดูแลผิวบ่อยเกินไป
  • เปลี่ยนปลอกหมอน ผ้าเช็ดหน้าเป็นประจำ
  •  งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันหรือก่อให้เกิดการอุดตันรูขุมขนได้ง่าย
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง
  • หมั่นทาครีมกันแดด ไม่ปล่อยให้ผิวเผชิญกับแสงแดดโดยตรง
  • หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ 
  • ไม่เครียด นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

คำถามที่พบบ่อย

สิวควรปล่อยให้หายเองไหม

คำตอบ : ไม่ควรปล่อยสิวให้หายเองโดยเฉพาะสิวอักเสบ เพราะอาจทิ้งรอยแผลเป็นได้ แนะนำควรรับการรักษาจากแพทย์ผิวหนังจะดีกว่า

ทำไมยิ่งบีบสิวยิ่งขึ้น

คำตอบ : การบีบสิวทำให้เชื้อแบคทีเรียแพร่กระจาย จึงเกิดการอักเสบเป็นสิวเพิ่มขึ้น นั่นเอง

ทำไมอยู่ ๆ สิวถึงเห่อ

คำตอบ : ปัจจัยที่ทำให้สิวเห่อเกิดขึ้นได้หลายอย่าง เช่น จากความเครียด การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน หรือการแพ้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ไม่เคยใช้มาก่อน

สิวเห่อกี่วันหาย

คำตอบ : โดยทั่วไปสิวที่เห่อจะใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ในการฟื้นฟูให้สิวยุบตัว แต่อย่างไรก็ตามควรได้รับการดูแลรักษาผิวที่ถูกต้องเพื่อไม่ให้เกิดเป็นสิวเรื้อรัง

ดันสิวเป็นยังไง

คำตอบ : การดันสิว คือ กระบวนการเอาหัวสิวออกอย่างปลอดภัย โดยใช้เครื่องมือเฉพาะและเทคนิคที่ถูกต้อง มักทำโดยผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังเพื่อหรือหลีกเลี่ยงการอักเสบหรือการติดเชื้อที่อาจเกิดจากการบีบสิวเอง

สรุป

การที่เรารู้จักแต่ละประเภทของสิวอย่างละเอียด จะช่วยให้สิวหายไวขึ้น ลดโอกาสการเกิดรอยแผลเป็น และป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำได้ หากใครที่กำลังมีปัญหาสิวที่รบกวนจิตใจอยู่ แนะนำให้ดูแลผิวอย่างเคร่งครัด เพื่อลดโอกาสที่จะทำให้สิวเกิดการอักเสบขึ้นในภายหลัง จนอาจนำไปสู่ปัญหาเรื่องหลุมสิว รอยแผลเป็นที่รักษาได้ยาก ทั้งนี้ ก็ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังเพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้องด้วยเช่นกัน 

แก้ไขครั้งที่ 1 โดย live_well เมื่อเมื่อวาน 12.25 น.

โพสตอบ

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา