ผ่าตัดหัวใจ การเลือกในการรักษา เมื่อรักษาด้วยยาไม่เป็นผล

GUEST1649747579

ขีดเขียนในตำนาน (634)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST:1124
เมื่อ เมื่อวาน 17.55 น.

ผ่าตัดหัวใจ

 

ผ่าตัดหัวใจ เป็นหัตถการทางการแพทย์ ใช้ในการรักษาโรคหัวใจที่มีอาการรุนแรงโรคที่จำเป็นต้องผ่าตัด ได้แก่ หลอดเลือดหัวใจตีบ ลิ้นหัวใจผิดปกติ และหัวใจพิการแต่กำเนิด

หัวใจ อวัยวะที่เต้นอยู่ตลอดเวลา เปรียบเสมือนเครื่องจักรสำคัญหล่อเลี้ยงชีวิต แต่เมื่อเครื่องจักรนี้เกิดปัญหา ผ่าตัดหัวใจเป็นเหมือนการซ่อมแซมครั้งใหญ่ เพื่อให้หัวใจกลับมาเต้นอย่างแข็งแรงอีกครั้ง

การผ่าตัดหัวใจในอดีตฟังดูน่ากลัว แต่ในปัจจุบันความก้าวหน้าทางการแพทย์ ทำให้การผ่าตัดหัวใจมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

บทความนี้จะพาไปรู้จักกับการผ่าหัวใจในแง่มุมต่าง ๆ ตั้งแต่ผ่าตัดหัวใจคืออะไร วิธีผ่าตัด ข้อบ่งชี้ในการผ่าตัดหัวใจ เตรียมความพร้อมในการผ่าตัด ผ่าตัดหัวใจใช้เวลากี่ชั่วโมง อาการแทรกซ้อนหลังผ่าตัดหัวใจที่อาจเกิดขึ้นได้ รวมถึงผ่าตัดหัวใจ โอกาสรอดกี่เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้เข้าใจเกี่ยวกับวิธีรักษา ไว้เตรียมความพร้อมหากต้องเผชิญกับโรคหัวใจเหล่านี้


 

ผ่าตัดหัวใจ คืออะไร ?

 

การผ่าตัดหัวใจ (Heart Surgery) คือการผ่าตัดเพื่อแก้ไขปัญหาหรือความผิดปกติของหัวใจ และหลอดเลือดหัวใจ โดยมีจุดประสงค์เพื่อรักษาโรคหัวใจต่าง ๆ ให้หัวใจกลับมาทำงานได้ปกติ หรือบรรเทาอาการของโรคให้ดีขึ้น ผ่าตัดหัวใจมีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของโรค

โรคหัวใจที่จำเป็นต้องผ่าตัดหัวใจมีหลายชนิด แต่ที่พบได้บ่อย ได้แก่

  • โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Coronary Artery Disease): เกิดจากการสะสมของไขมันกับคราบพลัคในหลอดเลือดหัวใจ ทำให้หลอดเลือดตีบแคบ เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ไม่เพียงพอ ผู้ป่วยอาจมีอาการเจ็บหน้าอก เหนื่อยง่าย รวมถึงหัวใจวาย จำเป็นต้องผ่าตัดหัวใจเร่งด่วน
  • โรคลิ้นหัวใจ (Valvular Heart Disease): เกิดจากความผิดปกติของลิ้นหัวใจ ทำให้ลิ้นหัวใจตีบแคบหรือรั่ว ส่งผลให้เลือดไหลเวียนในหัวใจผิดปกติ ผู้ป่วยอาจมีอาการเหนื่อยง่าย ใจสั่น หรือบวมตามร่างกาย
  • โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด (Congenital Heart Disease): เป็นความผิดปกติของโครงสร้างหัวใจตั้งแต่กำเนิด เช่น มีรูรั่วในผนังกั้นหัวใจ หลอดเลือดหัวใจผิดปกติ จำเป็นต้องผ่าตัดหัวใจ
  • โรคหัวใจวาย (Heart Failure): ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแอ ไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้เพียงพอ ผู้ป่วยอาจมีอาการเหนื่อยง่าย บวมตามร่างกาย หายใจลำบาก
  • โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmia): ภาวะหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ อาจเต้นเร็วเกินไป ช้าเกินไป หรือเต้นไม่สม่ำเสมอ

การตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดหัวใจขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ โดยพิจารณาจากชนิดหรือความรุนแรงของโรค สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย ไปจนถึงความเสี่ยงของการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ


 

ผ่าตัดหัวใจแบ่งได้เป็นหลายวิธี

 

การผ่าตัดหัวใจสามารถแบ่งออกเป็นหลายวิธี ขึ้นอยู่กับชนิดของโรคและความรุนแรง โดยหลัก ๆ แบ่งได้ดังนี้

  • ผ่าตัดหัวใจแบบเปิด (Open-Heart Surgery): เป็นการผ่าตัดแบบดั้งเดิม โดยแพทย์จะทำการเปิดหน้าอก ใช้เครื่องปอดกับหัวใจเทียม เพื่อช่วยในการไหลเวียนของเลือดขณะผ่าตัด เหมาะสำหรับผู้ป่วยมีภาวะซับซ้อน เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบรุนแรง โรคลิ้นหัวใจ หรือโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
  • ผ่าตัดหัวใจแบบปิด (Off-Pump Bypass Surgery): เป็นการผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจโดยไม่ต้องใช้เครื่องปอดกับหัวใจเทียมเหมาะสำหรับผู้ป่วยมีความเสี่ยงสูงต่อการใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียม
  • ผ่าตัดหัวใจผ่านกล้องหรือผ่าตัดหัวใจแบบแผลเล็ก (Minimally Invasive Heart Surgery): เป็นวิธีผ่าหัวใจโดยใช้เครื่องมือขนาดเล็กและกล้องวิดีโอ สอดเข้าไปในช่องอก ทำให้แผลผ่าตัดมีขนาดเล็กกว่าผ่าตัดแบบเปิด ช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วกว่า ลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อน


 

ผ่าตัดหัวใจจำเป็นเมื่อไหร่? เช็กข้อบ่งชี้ก่อนตัดสินใจ

 

ผ่าหัวใจ

 

ข้อบ่งชี้ในการผ่าตัดหัวใจจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดของโรคหัวใจ หรือความรุนแรงของอาการ โดยทั่วไปแล้ว ผ่าตัดหัวใจจะพิจารณาเมื่อการรักษาด้วยยาหรือรักษาแบบอื่น ๆ ไม่สามารถควบคุมอาการ หรือรักษาโรคได้อีกต่อไป ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างข้อบ่งชี้ในการผ่าตัดหัวใจ สำหรับโรคหัวใจบางชนิด ได้แก่

  • โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ: เกิดจากหลอดเลือดตีบตัน ทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่พอ ข้อบ่งชี้ต้องผ่าตัดหัวใจคือหลอดเลือดตีบตันรุนแรงหลายเส้น โดยเฉพาะหลอดเลือดหลักด้านซ้าย เจ็บหน้าอกรุนแรง ไม่ตอบสนองต่อยา รวมถึงภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือตาย 
  • โรคลิ้นหัวใจ: ข้อบ่งชี้ต้องผ่าตัดหัวใจคือลิ้นหัวใจตีบหรือรั่วรุนแรง ทำให้เกิดอาการเหนื่อยง่าย หายใจลำบาก หรือหัวใจวาย และลิ้นหัวใจติดเชื้อไม่ตอบสนองต่อวิธีรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ
  • โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด: ความผิดปกติของโครงสร้างหัวใจตั้งแต่กำเนิดทำให้เกิดอาการ เช่น รูรั่วในผนังกั้นหัวใจ หลอดเลือดหัวใจผิดปกติ อาจมีความผิดปกติที่เสี่ยงต่อเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
  • โรคหัวใจวาย: ข้อบ่งชี้ต้องผ่าตัดหัวใจคือภาวะหัวใจวายระยะสุดท้ายไม่ตอบสนองต่อวิธีรักษาด้วยยา หรือผู้ป่วยเหมาะสำหรับปลูกถ่ายหัวใจ
  • โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ: ข้อบ่งชี้ต้องผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ เมื่อมีอาการภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะทำให้เกิดอาการรุนแรง เช่น หัวใจหยุดเต้น ภาวะสมองขาดเลือด และไม่ตอบสนองต่อวิธีรักษาด้วยยาหรือรักษาด้วยไฟฟ้า


 

ก่อนเข้าห้องผ่าตัดหัวใจ เตรียมตัวอย่างไรให้ปลอดภัย?

 

การเตรียมความพร้อมก่อนเข้ารับการผ่าตัดหัวใจเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้ผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจเป็นไปอย่างราบรื่นหรือลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ โดยทั่วไปการเตรียมตัวแบ่งออกเป็นดังนี้

การเตรียมตัวด้านร่างกายก่อนผ่าตัดหัวใจ:

  • ปรึกษาแพทย์อย่างละเอียด: แจ้งประวัติแพ้ยา ประวัติเจ็บป่วยทั้งหมด สอบถามเกี่ยวกับขั้นตอนผ่าตัดหัวใจ ความเสี่ยง หรือผลลัพธ์ที่คาดหวัง 
  • ตรวจร่างกายทางห้องปฏิบัติการ: ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) เอกซเรย์ปอด เอกซเรย์หัวใจ ตรวจ echocardiogram ฉีดสีตรวจหลอดเลือดหัวใจ (coronary angiography) ตรวจเลือด เพื่อดูการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ รวมถึงการแข็งตัวของเลือด
  • งดยาบางชนิด: งดยาละลายลิ่มเลือด เช่น วาร์ฟาริน (warfarin) แอสไพริน (aspirin) ตามคำแนะนำของแพทย์ รวมถึงยาต้านการอักเสบไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs)
  • งดสูบบุหรี่กับดื่มแอลกอฮอล์: งดสูบบุหรี่ แอลกอฮอล์อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนการผ่าตัดหัวใจ
  • ดูแลสุขภาพช่องปาก: เข้าตรวจสุขภาพช่องปาก ฟัน รักษาฟันผุ โรคเหงือกก่อนผ่าหัวใจ
  • พักผ่อนให้เพียงพอ: นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 8 ชั่วโมงต่อคืน หลีกเลี่ยงความเครียด
  • งดอาหาร น้ำ: งดอาหาร รวมถึงน้ำดื่มอย่างน้อย 8 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัดหัวใจ

การเตรียมตัวด้านจิตใจก่อนผ่าตัดหัวใจ:

  • ทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีผ่าตัดหัวใจ: ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการผ่าหัวใจจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ สอบถามแพทย์เกี่ยวกับข้อสงสัยต่าง ๆ
  • จัดการความเครียด: ฝึกหายใจลึก ๆ ทำสมาธิ พูดคุยกับครอบครัว เพื่อน หรือผู้ให้คำปรึกษา
  • เตรียมตัวสำหรับช่วงพักฟื้น: วางแผนดูแลตัวเองหลังผ่าตัดหัวใจ เตรียมสิ่งของจำเป็น เช่น เสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัว 


 

ความเสี่ยงการผ่าตัดหัวใจที่หลายคนอาจไม่เคยรู้

 

ผ่าตัดหัวใจเป็นการผ่าตัดใหญ่มีความเสี่ยง อาจเกิดอาการแทรกซ้อนหลังผ่าตัดหัวใจได้ แม้ว่าเทคโนโลยีทางการแพทย์จะพัฒนาไปมาก แต่ความเสี่ยงต่าง ๆ นี้ยังคงมีอยู่ โดยความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อน อาจเกิดขึ้นได้จากการผ่าตัดหัวใจ ได้แก่

ภาวะแทรกซ้อนอาจเกิดขึ้นระหว่างการผ่าตัด:

  • เลือดออกมาก: การผ่าตัดหัวใจเป็นผ่าตัดใหญ่ อาจทำให้เสียเลือดมากได้
  • หัวใจเต้นผิดจังหวะ: หัวใจอาจเต้นผิดจังหวะระหว่างหรือหลังผ่าตัด
  • ภาวะสมองขาดเลือด: อาจเกิดขึ้นได้หากมีลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดไปเลี้ยงสมอง
  • ติดเชื้อ: การติดเชื้อที่แผลผ่าตัดหัวใจหรือในช่องอกเป็นภาวะแทรกซ้อนอาจเกิดขึ้นได้
  • ความเสียหายต่ออวัยวะอื่น: อาจเกิดความเสียหายต่อปอด ไต หรืออวัยวะอื่น ๆ ในระหว่างผ่าตัด

ภาวะแทรกซ้อนอาจเกิดขึ้นหลังผ่าตัดหัวใจ:

  • อาการปวด: ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดบริเวณแผลผ่าตัดหรือบริเวณหน้าอก
  • อาการบวม: หลังผ่าตัดหัวใจ อาจเกิดอาการบวมบริเวณขาหรือเท้าได้
  • ภาวะแทรกซ้อนทางปอด: เช่น ปอดอักเสบ หรือน้ำท่วมปอด
  • ภาวะแทรกซ้อนทางไต: การทำงานของไตอาจลดลงหลังผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ
  • ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท: เช่น อาการสับสน หรือความจำเสื่อม
  • ภาวะแทรกซ้อนทางจิตใจ: เช่น ภาวะซึมเศร้า หรือวิตกกังวล

สิ่งสำคัญคือต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนอาจเกิดขึ้นได้จากการผ่าตัดหัวใจ เพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์ของผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจในแต่ละบุคคล


 

ความสำคัญของการผ่าตัดหัวใจ

 

ผ่าตัดหัวใจเป็นทางเลือกสำคัญในการรักษาโรคหัวใจต่าง ๆ ตั้งแต่หลอดเลือดหัวใจตีบ ลิ้นหัวใจผิดปกติ ไปจนถึงหัวใจพิการแต่กำเนิด ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ทำให้มีความปลอดภัย ทั้งยังมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยแพทย์จะเลือกวิธีผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย การเตรียมตัวที่ดีและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ จะช่วยให้ผ่าตัดหัวใจราบรื่น ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น กลับมามีชีวิตที่ดีอีกครั้ง

โพสตอบ

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา