โลกไม่ลืม ! 5 ทีม “ม้านอกสายตา” ที่คว้าถ้วย แชมเปียนส์ลีก แบบสุดเซอร์ไพร์ส

อณาวิน

ขีดเขียนชั้นมอต้น (110)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST:165
เมื่อ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 16.51 น.
รูเล็ตออนไลน์ 
อีกไม่กี่วันก็ถึงเวลาเปิดศึก ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศของ ฤดูกาล 2015-16 นี้แล้ว โดยสองทีมที่จะต้องมาไฝว้กันก็คือ เรอัล มาดริด แชมป์ 10 สมัย กับทีม “ม้านอกสายตา” อย่าง แอตเลติโก มาดริด ที่กลายมาเป็นขวัญใจคอลูกหนังได้อย่างในทุกวันนี้
แต่ก่อนที่จะลุ้นให้ทีมตราหมีเป็นแชมป์ เราลองมาดูกันว่าในอดีตที่ผ่านมา มีทีมไหนบ้างที่ถูกมองว่าเป็น “ม้านอกสายตา” แต่กลับทะยานขึ้นมาคว้าแชมป์รายการนี้ได้อย่างยิ่งใหญ่แบบไม่น่าเชื่อ

1. เรดสตาร์ เบลเกรด : ฤดูกาล 1990-91
ย้อนกลับไปในฤดูกาล 1990-91 สมัยที่ ถ้วยใบใหญ่สุดของยุโรปยังใช้ชื่อว่า ยูโรเปียน คัพ อยู่ แถมตอนนั้นยังไม่มีรอบแบ่งกลุ่มอย่างทุกวันนี้ และมีทีมเข้าชิงชัยมากถึง 31 ทีม ซึ่ง 30 ทีมในนั้นจะต้องเตะ เหย้า-เยือน กันตั้งแต่รอบแรก
เรดสตาร์ เบลเกรด ถึงแม้จะเป็นทีมหัวแถวของลีก ยูโกสลาเวีย แต่บนเวทียุโรปแล้วพวกเขากลับถูกมองเป็นแค่สโมสรไม้ประดับที่จะมาเป็นทางผ่านเท่านั้น
แต่แล้วสิ่งที่ไม่มีใครอยากเชื่อเกิดขึ้น พวกเขาผ่านคู่แข่งอย่าง กราสฮอปเปอร์, กลาสโกว เรนเจอร์, ดินาโม เดรสเดน มาได้ใน 3 รอบแรก ก่อนจะเจอศึกหนักกับ บาเยิร์น มิวนิค ในรอบรองชนะเลิศ แต่ก็ทะลุไปได้ด้วยผลสกอร์รวม 4-3
และในเกมรอบชิงชนะเลิศ ก็จัดการปราบ โอลิมปิก มาร์กเซย์ ไปได้ในการดวลจุดโทษที่สกอร์ 5-3 คว้าแชมป์ไปอย่างยิ่งใหญ่ และ 3 ผู้เล่นสำคัญที่คอลูกหนังรู้จักกันดีในทีมชุดนั้นก็คือ ซินิซา มิไฮจ์โลวิช, โรเบิร์ต โปรซิเนสกี และ เดยัน ซาวิเซวิช นั่นเอง

2. โอลิมปิก มาร์กเซย์ : ฤดูกาล 1992-93
2 ปีให้หลัง นับจากวันที่พ่ายให้กับ เรดสตาร์ฯ มาในเกมรอบชิง โอลิมปิก มาร์กเซย์ ก็ต่อสู้จนกลับขึ้นมาเป็นแชมป์ได้ดั่งใจหวัง ในปีที่ถ้วยรายการนี้ เปลี่ยนชื่อมาใช้ “ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก” เป็นครั้งแรกนั่นเอง
จริงอยู่ที่ มาร์กเซย์ ถือเป็นทีมสุดแกร่งของ ลีกเอิง ฝรั่งเศส แต่ยุคนั้นก็เทียบไม่ได้กับบารมีของเหล่าทีมดัง ๆ จากอิตาลี อย่าง เอซี มิลาน หรือ ยูเวนตุส ได้เลยแม้แต่น้อย
ในฤดูกาลนี้ระบบการแข่งขันจะดูแปลก ๆ อยู่พอสมควร เพราะต้องเตะเหย้า-เยือนก่อน แล้วค่อยเอาทีมชนะมาแบ่งเป็น 2 กลุ่ม สุดท้ายก็เอาแชมป์กลุ่มทั้งสองมา แข่งตัดสินในรองชิงชนะเลิศ ซึ่งทีมที่เจอกับ มาร์กเซย์ ก็เป็นโคตรสโมสรอย่าง เอซี มิลาน ที่มี 3 ทหารเสือฮอลแลนด์อยู่ในทีม
แต่สุดท้ายพวกเขาก็เอาชนะไปได้อย่างเหลือเชื่อจากการยิงประตูชัยประตูเดียวของ บาซิเล โบลี ในช่วงท้ายครึ่งแรก จนได้แชมป์ที่ต้องการในที่สุด
ส่วนผู้เล่นสำคัญในทีมชุดนั้นก็ได้แก่ ฟาเบียง บาร์กเตซ, มาร์เซล เดอไซญี, ดิดิเยร์ เดชองส์, รูดี้ โฟลเลอร์, อเลน บ็อคซิช

3. โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ : ฤดูกาล 1996-97
หากใครจะบอกว่า ดอร์ทมุนด์ ในยุคนั้นถือเป็นทีมระดับท็อปที่มีแข้งดาวดังอยู่มากมาย เช่น มัตเธียส ซามเมอร์, สเตฟาน รอยเตอร์, สเตฟาน ชาปุยซา, แอนดี้ โมเลอร์, คาร์ลไฮน์ซ ริดเล, ยอร์ก ไฮน์ริช, ลาร์ส ริคเคน, เปาโลซูซา
แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้ว ความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นก็เป็นรองบรรดาทีมชั้นนำกว่าอย่าง อาแจกซ์, แอตฯ มาดริด, ยูเวนตุส, แมนฯ ยูไนเต็ด, ปอร์โต หรือ เอซี มิลานได้เลย จนถูกมองว่าเป็น “ม้านอกสายตา” มาตั้งแต่ก่อนเริ่มฤดูกาลแล้วด้วยซ้ำ
แถมเส้นทางของพวกเขานั้นก็ไม่ง่าย เพราะต้องผ่านทั้ง แอตฯ มาดริด, โอแซร์, แมนฯ ยู, ก่อนจะมาปราบ ยูเว่ ลงได้ในนัดชิง ด้วยสกอร์ 3-1 คว้าแชมป์ไปครองได้อย่างน่าทึ่งสุด ๆ

4. เอฟซี ปอร์โต : ฤดูกาล 2003-04
การที่ เอฟซี ปอร์โต ก้าวขึ้นไปคว้าแชมป์รายการนี้ได้อย่างไม่มีใครอยากเชื่อเมื่อปี 2004 ถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความยิ่งใหญ่ของชายที่ชื่อ โฆเซ มูรินโญ เลยก็ว่าได้
และถึงแม้ว่าคู่ชิงชนะเลิศของพวกเขาจะเป็นสโมสรที่มีระดับใกล้เคียงกันอย่าง โมนาโก แต่กว่าจะผ่านเข้ามาถึงจุดนั้นได้ ก็ต้องบอกว่ามีทั้งเก่งทั้งเฮงผสมปนเปกันไป
ในรอบแบ่งกลุ่ม พวกเขาต้องรับมือกับทีมอย่าง เรอัล มาดริด และ มาร์กเซย์ จากนั้นก็อัด แมนฯ ยูไนเต็ด ในรอบ 16 ทีม, ลียง ในรอบ 8 ทีม และ ลาคอรุนญา ในรอบรองชนะเลิศ สุดท้ายก็กด โมนาโก ไป 3-0 คว้าแชมป์อย่างสวยหรู
นอกจากจะเป็นการสร้างชื่อให้โค้ชแล้ว เหล่าบรรดานักเตะอย่าง ริคาร์โด คาวัลโญ, คอสตินญา, เดโก้, โบซิงวา, มานิเช, แฟร์ไรรา ก็แจ้งเกิดไปตาม ๆ กันด้วย แถมอีกนิดว่า อังเดร วิลาส โบอาส เองก็เป็นหนึ่งในนักเตะของทีมชุดนี้ด้วยเช่นกัน

5. ลิเวอร์พูล : ฤดูกาล 2004-05
หลังจากที่ ปอร์โต สร้างประวัติศาสตร์ได้ในซีซั่นก่อนหน้า คราวนี้ก็มาถึงทีมยักษ์หลับอย่าง ลิเวอร์พูล ที่เป็นผู้เขียนตำนานบทใหม่ให้เกิดขึ้นบนเวทีนี้ด้วย ในอีกหนึ่งปีต่อมา 
ทีมหงส์แดง ในเวลานั้น เรียกได้ว่าอ่อนแอสุด ๆ เพราะพวกเขาเพิ่งได้ ราฟาเอล เบนิเตซ เข้ามาคุมทีม และยังไม่มีใครเชื่อในฝีมือของเขา แม้จะเก่งมาก่อนกับ ลาลีกา ก็ตามที แถมยังต้องเสีย ไมเคิล โอเวน ดาวยิงหมายเลข 1 ให้กับ เรอัล มาดริด ไปอีก
อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูล ที่ปีนั้นมี สตีเวน เจอร์ราร์ด อยู่เป็นหัวใจหลักของทีมก็สร้างปาฏิหารย์ผ่านทะลุผานคู่แข่งอย่าง เลเวอร์ฯ, ยูเว่, เชลซี ขึ้นมารอบแล้วรอบเล่าจนถึงรอบชิงได้อย่างเหลือเชื่อ
และในเกมสุดท้ายกับ มิลาน พวกเขาก็ถูกนำไปก่อน 3-0 แถมรูปเกมยังสู้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แต่กลับพลิกเกมในครึ่งหลังตามตีเสมอ 3-3 และเบียดเอาชนะปีศาจแดงดำไปได้ในการดวลจุดโทษ จนกลายเป็นตำนานนัดชิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของประวัติศาสตร์ลูกหนังเลยก็ว่าได้


เครดิต : 90min.com
เรียบเรียง : http://www.gclub18.com
อ่านต่อ : http://blog.gclub18.com
จีคลับ Gclubเข้าไม่ได้ golden slot Genting royal1688 โกเด้นสล็อต บาคาร่า gclub sbobet

 

โพสตอบ

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา