[นิยายแปล] ย้อนลิขิตเขียนรักพระชายาอ๋อง ตอนที่ 30 (06/07/2563) โดย kawebook (มาใหม่!)

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST:93
เมื่อ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 20.03 น.

ย้อนลิขิตเขียนรัก พระชายาอ๋อง 

 

 

ชาติที่แล้วเขาตกต่ำจนต้องฆ่าตัวตาย ผู้ที่อยู่ข้างกายและยินยอมถูกประหารไปพร้อมกับเขา

คือพระชายาบุรุษที่เขาไม่เคยชายตาแลแม้แต่หนเดียว

หลังจากได้กลับมาเกิดใหม่ เขาตัดสินใจจะใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อทะนุถนอม​พระชายาบุรุษของตน

จะเสมอต้นเสมอปลาย​ไม่เหินห่าง จะคอยปกป้องดูแลให้เขามีความสุขตลอดชีวิต

ด้วยเหตุนี้...

 

หากพระชายาเสวย.. ท่านอ๋องก็จะป้อน

หากพระชายาบรรทม.. ท่านอ๋องก็จะกอดไว้

หากพระชายาไปไหน.. ท่านอ๋องก็จะตามไปด้วย

แม้กระทั่งพระชายาเข้าห้องน้ำ.. ท่านอ๋องก็จะเฝ้าไว้

ท่านอ๋องถูกถีบลงจากเตียง พระชายาเกิดโทสะ! 

"ข้าข้ามเวลามาต้องการมีเหล่าหญิงงามรอบกาย ไม่ใช่มาถูกมอมเมาด้วยความรักระหว่างบุรุษเช่นนี้!"

 

 

-----------------



เจ้าของลิขสิทธิ์ต้นฉบับ :  Hangzhou Jiukuang Network Technology Co., Ltd.

ประพันธ์โดย :  Iris鸢尾 

แปลและเรียบเรียงโดย :  Ramie



         --------------------------------------------

 

https://www.kawebook.com

เว็บอ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปล นิยายจีน นิยายญี่ปุ่น นิยายรัก นิยายY แฟนตาซี จำนวนมาก | กวีบุ๊ค

 

แก้ไขครั้งที่ 35 โดย Kawebook เมื่อ6 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 19.45 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
1 เมื่อ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 20.05 น.

เล่มที่1 บทที่1 โชคชะตาฟ้าลิขิต

 

        ปี1992  ปักกิ่ง ภายนอกวัดหลิงกวาง

         

        โยม...ดวงชะตาชีวิตของโยม...” พระภิกษุรูปหนึ่งสวมจีวรสีส้มอมเหลือง ผู้มีริ้วรอยบนใบหน้าดุจเปลือกส้ม กำลังขมวดคิ้วพิจารณาฝ่ามือขาวเนียนละเอียดข้างหนึ่ง โยม...ในบ้านยังมีคนอื่นอยู่อีกไหม?”

         

        ก็ไม่มีใครแล้วครับ ใครๆ ก็บอกว่าผมดวงชะตาอาภัพต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเกิดมามีแต่จะทำลายคนอื่นเขา พระอาจารย์คิดว่าดวงชะตานี้พอจะมีทางแก้ไหมครับ?”

         

        กู้โยวหนิง อายุ 18 ปี หน้าตางดงามราวกับดอกไม้ เสียก็แต่ 4 ขวบสูญเสียพ่อ 6 ขวบสูญเสียแม่ ส่วนพี่ชายนานๆ จะเจอกันสักครั้ง พอเจอกันทีต้องโชคร้ายไปทีญาติและเพื่อนบ้านต่างพากันเดินอ้อมเพื่อหลีกให้ห่างจากเขา

         

        ดวงชะตาของมนุษย์สวรรค์เป็นผู้กำหนดไว้แล้ว แต่โยมไม่ใช่ดวงอาภัพต้องโดดเดี่ยวอย่างที่ว่าแน่นอน มนุษย์ล้วนเป็นไปตามผลกรรมที่ทำมาแต่ช้านาน โยมไม่ต้องรีบร้อนไป

         

        พอแล้วครับๆ” กู้โยวหนิงชักมือกลับอย่างหมดความอดทน พระอาจารย์อย่าบอกนะครับว่าให้ผมประพฤติตนในศีลธรรม ยึดมั่นคุณธรรม ค้ำจุนผู้อื่นอะไรทำนองนั้น นอกจากคำพวกนี้ท่านพูดอย่างอื่นบ้างได้ไหมครับ ถ้าเป็นอย่างนี้ผมก็พูดได้เหมือนกัน ถ้าไม่ประพฤติตนในศีลธรรม ยึดมั่นคุณธรรม ค้ำจุนผู้อื่นซะแล้วท่านจะให้ผมหาทางย้อนกลับไปเกิดใหม่เหรอครับ!”

         

        เรื่องนั้นมัน...” พระอาจารย์ขมวดคิ้ว มองพิจารณาใบหน้าของกู้โยวหนิงทันใดนั้นสีหน้าแสดงออกถึงความประหลาดใจ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีทางแก้ไข ทางแก้ไขจะว่ามีก็มี...”

         

        จริงเหรอครับ?” ดวงตาของกู้โยวหนิงเป็นประกายทันที หลายปีมานี้เขามีแต่โชคร้ายจริงๆ ไม่เคยราบรื่นสักเรื่องเลย ออกตระเวนไหว้พระขอพรมาแทบทุกที่ ถามหาหนทางแก้ไขกับผู้คนมาก็มากมาย นอกจากพวกนักต้มตุ๋นแล้วต่างพากันบอกว่าไม่มีทางแก้ พระภิกษุรูปนี้มีชื่อเสียงโด่งดังสามารถหยั่งรู้ฟ้าดิน เขาจึงไม่รอช้ารีบถามต่อว่า พระอาจารย์ ท่านรีบบอกผมสิครับว่าจะแก้ไขได้ยังไง

         

        โยมมีองค์ประกอบหน้าตาที่ดี คิ้วงาม เดิมทีถือเป็นลักษณะโหงวเฮ้งดีมากแต่ลักษณะโหงวเฮ้งนี้เป็นลักษณะโหงวเฮ้งงดงามเหมือนกับผู้หญิง ทั้งยังเกิดใน*วันหยิน พลังชั่วร้ายถึงเข้าหาได้ง่าย อีกอย่างบิดามารดาก็บุญวาสนาน้อยทำให้โยมขาดคนประคับประคองมาตั้งแต่ยังเล็ก เดิมทีดวงชะตานี้ไม่มีทางจะมีโชคดีได้ แต่...” พระอาจารย์หยุดชะงักเล็กน้อย พูดต่อ แต่ว่าชะตาชีวิตของโยมจะมีผู้สูงศักดิ์อยู่ท่านหนึ่ง ผู้สูงศักดิ์ท่านนี้เป็นบรรพบุรุษผู้มีบุญวาสนาอย่างมากสามารถปกป้องดูแลโยมให้อยู่รอดปลอดภัย และใช้ชีวิตอย่างราบรื่นได้ทั้งชีวิต

         

        ผู้สูงศักดิ์???” ในหัวของกู้โยวหนิงเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม มือของเขาที่จับกับมือพระอาจารย์มาครึ่งค่อนวัน ตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็นคว้าเอามือของพระอาจารย์มากุมไว้ พร้อมกับพูดด้วยความเศร้าโศก พระอาจารย์ครับ ผมดวงไม่ดีมาตั้งแต่เด็ก คิดว่าชาตินี้คงต้องอาภัพอยู่คนเดียวไปทั้งชีวิต แต่วันนี้พระอาจารย์ก็ได้ทำให้ผมมีความหวังอีกครั้ง ท่านต้องเป็นพ่อแม่ของผมที่กลับชาติมาเกิดแน่ๆ!”

         

        เอ่อ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกโยม โยมพูดเกินไปแล้ว

         

        ไม่เกินไปเลยสักนิดครับ” กู้โยวหนิงจับมือพระอาจารย์ไม่ยอมปล่อย ถามพระอาจารย์ต่ออย่างรีบร้อน “ถ้าอย่างนั้นพระอาจารย์โปรดบอกผมได้ไหมครับ ผู้สูงศักด์เปี่ยมเมตตาของผมตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?”

         

        เรื่องนั้น...” พระอาจารย์มีท่าทีลำบากใจ ผ่านไปครู่ใหญ่ตอบกลับว่า “ผู้สูงศักดิ์ท่านนี้...โยมต้องอดใจรอก่อน โชคชะตาจะนำพาให้พบ แต่ไม่นำพาให้แสวงหาผู้สูงศักดิ์ท่านนี้...เป็นถึงเชื้อสายกษัตริย์ตำแหน่งสูง เขาก็กำลังตามหาโยมเหมือนกัน

         

        ……

         

        กู้โยวหนิงเกิดอาการงงงวยไปพักนึง จากนั้นก้มหน้าพูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้อย่างไม่พอใจ “ที่พูดมาไม่ต่างอะไรกับไม่พูดเลยสักนิด...

         

        กู้โยวหนิงหันหลังเดินออกมาจากวัด เขาทำความเคารพรูปปั้นพระโพธิสัตว์ในวัดทั้งหมดอีกรอบ ก่อนจะเรียกแท็กซี่กลับบ้าน มีเพียงพระภิกษุรูปนั้นที่ยังคงอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน คิ้วขมวดเล็กน้อย ใบหน้าดุจผิวเปลือกส้มดูเหมือนจะผ่อนคลายลงยังคงย้ำถามตัวเองไปมาว่า “จริงๆ แล้วดวงชะตามีผู้สูงศักดิ์ที่เหนือกว่าบรรดาผู้สูงศักดิ์ทั้งปวงอยู่แท้ๆ แต่ผู้สูงศักดิ์กลับอยู่ในที่แสนไกล หรือว่าจะต้อง**เทียนว่ายเฟยเซียนมาเจอกัน น่าประหลาดจริงๆ...

         

        กู้โยวหนิงผู้ตามหาความรักที่อยู่ข้ามภพข้ามชาติไม่รู้ตัวเลยสักนิด รู้ก็แต่ว่าถึงยังไงต่อจากนี้ไปเขาก็ยังโชคร้ายเหมือนเดิมและนี่ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง

         

        ขณะที่เขานั่งอยู่บนรถเป็นเวลาตอนเย็น เมื่อรถเคลื่อนตัวมาถึงทะเลสาบโฮ้วไห่ แสงอาทิตย์ที่กำลังส่องสะท้อนบนผิวน้ำ ให้ความรู้สึกเงียบสงบในใจจนไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ ทั้งยังแฝงความรู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยว เขาลงจากรถและยืนข้างทะเลสาบอยู่นานสองนาน สายตาทอดมองโลกที่แสนสวยงามใบนี้ คล้ายต้องการจดจำทุกสิ่งทุกอย่างของที่แห่งนี้ให้ละเอียด กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีท้องฟ้าก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีดำ

         

        พี่ชายโทรศัพท์เข้ามาในขณะที่เขากำลังจะกลับบ้านพอดี บอกว่าวันนี้มาหาเขาแต่เขาดันไม่อยู่ ของที่เตรียมมาให้ได้ฝากเอาไว้ที่ป้อมยาม บอกกำชับให้เขาอย่าลืมแวะไปเอาด้วย

         

        กู้โยวหนิงรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ตั้งแต่พ่อกับแม่ด่วนจากไปก็มีพี่ชายเป็นคนคอยดูแลเขามาตลอด จะแย่ก็ตรงที่ตัวเองเกิดมามีดวงพาซวย เขาอยู่กับพี่ชายมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็มีแต่อุปสรรคเข้ามาขัดตลอด พอโตขึ้นทุกครั้งหลังจากเจอกับพี่ทีไร พี่ก็ต้องเจอกับเรื่องโชคร้ายไปอีกหลายวัน แต่ไม่ว่าจะอย่างไรพี่ก็ยังคงรักเขาเหมือนเดิมอยู่ดี

         

        ----

         

        เสี่ยวฮวาคือสุนัขตัวหนึ่ง แต่ไหนแต่ไรมามันไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นแค่สุนัขสักนิด พักหลังมานี้เจ้านายของมันอุ้มกระถางดอกไม้กลับมาด้วยกระถางหนึ่ง ทั้งวันเอาแต่นั่งมองเจ้าดอกไม้นั่น เสี่ยวฮวารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก ถึงชื่อของตัวมันเองจะแปลว่าดอกไม้เหมือนกันก็ตาม ในวันนี้เจ้านายของมันไม่อยู่บ้าน เสี่ยวฮวาคิดว่านี่เป็นโอกาสดี มันจะได้กำจัดเจ้าดอกไม้ที่บังอาจมาแย่งความรักจากเจ้านายของมันเสีย คิดได้อย่างนั้นเสี่ยวฮวากระโดดไปที่หน้าต่าง ประจวบเหมาะกับที่หน้าต่างไม่ได้ปิด มันค่อยๆ ใช้หัวดันเจ้ากระถางดอกไม้ที่แสนน่ารังเกียจออกไปและในที่สุดเจ้าดอกไม้กระถางนั้นก็ได้ร่วงลงไปด้านล่าง

         

        ด้วยเหตุนี้ กระถางดอกไม้จึงหล่นใส่หัวของกู้โยวหนิงที่พึ่งเดินออกจากตึกเพื่อจะไปป้อมยามเข้าอย่างพอดิบพอดี

         

        ……

         

        นาทีที่เผชิญหน้ากับความตาย กู้โยวหนิงรู้สึกถึงความไม่เป็นธรรม เขายังมีชีวิตอยู่ไม่ถึงวันที่ผู้สูงศักดิ์ของตัวเองปรากฏตัว มันน่าเสียดายเกินไป เขายังไม่ได้รู้เลยว่าพี่เอาของอร่อยอะไรมาฝากบ้าง แล้วเขาก็ยังไม่ได้รู้เลยว่าใครที่เกลียดเขาถึงขั้นโยนกระถางดอกไม้ลงมาแบบนี้ แล้วก็...แล้วก็...ทั้งๆ ที่ใกล้จะตายแล้ว เขากลับยิ่งรู้สึกเสียดายมากที่ชาตินี้เกิดมาทั้งทียังไม่เคยความรักด้วยซ้ำ...

         

        ……

         

        กู้โยวหนิงพยายามค้นหาทางออกภายใต้ความมืดมิดที่เข้าปกคลุม ทุกอย่างรอบกายบิดเบี้ยว หมุนเวียนแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังแว่วเข้ามาครู่หนึ่ง แต่แล้วสักพักกลับกลายเป็นความเงียบสงัด ในที่สุดเขาก็สามารถลืมตาขึ้นมาได้สักที

         

        สายตาไล่มองรอบกายที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความโบราณ คล้ายกับเขาได้ย้อนเวลากลับมาในสมัยอดีต หลังจากนั้นพบว่าร่างกายตัวเองหดเล็กลง ถึงมันจะน่าเหลือเชื่อแต่เขาจำเป็นต้องบอกกับตัวเองว่าเขาข้ามเวลากลับมาในอดีตจริงๆ แต่ที่โชคร้ายกว่าคือเขาไม่ได้แค่ย้อนเวลากลับมาในอดีตเท่านั้น นี่มันยิ่งกว่าเรื่องเหลวไหลที่กุขึ้นมาหลอกเด็กซ่ะอีก เพราะยุคสมัยที่เขาข้ามเวลามาไม่เคยปรากฏในหนังสือประวัติศาสตร์เล่มไหนมาก่อน

         

         

         

*ตามตำรา10จักรราศีสวรรค์ของจีน วันหยินคือวันที่แสดงถึงสีดำ สตรีเพศ พระจันทร์ สัญลักษณ์ของฝ่ายถูกกระทำและความสงบนิ่ง ตรงข้ามกับวันหยางที่แสดงถึงสีขาว บุรุษเพศ พระอาทิตย์ สัญลักษณ์ของพลังและการเคลื่อนไหว ในปรัชญาโบราณจีนนั้น คือด้านสองด้านที่ตรงข้าม แต่ต่างรักษาสมดุล ของกันและกันไว้

**มีที่มาจากหนังเรื่องเทียนว่ายเฟยเซียน เป็นเรื่องราวความรักของเซียนหญิงเสี่ยวชีกับมนุษย์ธรรมดานามว่าถงหย่วน กฏของสวรรค์ที่ห้ามเซียนกับมนุษย์รักกันทำให้ชาตินี้ไม่อาจสมหวัง ก่อนร่างของเซียนหญิงเสี่ยวชีจะสลายไปได้อธิฐานให้ชาติต่อไปทั้งคู่เกิดมาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา หลังจากที่ผ่านไปหลายพันปี ท้ายที่สุดทั้งคู่ก็ได้มาเกิดมนุษย์และพบรักกัน ทำให้เรื่องราวความรักที่ข้ามภพ ข้ามชาติได้สมหวังในที่สุด

 

______________________________________________

 

หากชอบนิยายเรื่อง "ย้อนลิขิตเขียนรัก พระชายาอ๋อง" ละก็เพื่อน ๆ สามารถตามเข้าไปอ่านได้ที่ลิงค์ด้านล่างเลยน้า

https://www.kawebook.com/story/3088

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

แก้ไขครั้งที่ 2 โดย Kawebook เมื่อ8 มิถุนายน พ.ศ. 2563 15.00 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
2 เมื่อ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 19.56 น.

เล่มที่1 บทที่2 ชาติก่อนและชาตินี้

 

        รัชศกเต๋อเซิ่งปีที่27 วันที่2เดือน10 ของรัฐจาว

         

        เหวินอ๋องสร้างคุณงามความดี แต่มีอำนาจเกินควร ฮ่องเต้ไม่อาจปล่อยไว้องค์รัชทายาทรับพระบัญชา นำกำลังทหารเข้าปราบปราม

         

        รัชศกเต๋อเซิ่งปีที่27 วันที่2เดือน10 ของรัฐจาว

         

        หลังจากมรสุมหิมะในเมืองฉางอันผ่านพ้นไป พยับเมฆบดบังทัศนวิสัยจนมืดมนยากจะมองเห็นแสงสว่าง หิมะโปรยปรายตลอดทั้งวันกลับไม่ยอมละลายหายไป ผู้คนต่างกล่าวขานกันว่านั่นเป็นเพราะบรรดานักรบสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์ เพื่อรับดวงวิญญาณของเหวินอ๋องผู้เปรียบดั่ง*กงเฉิงเซินทุ้ย

         

        กู้โยวหนิงวิ่งฝ่าเข้าไปในเหล่าทหาร เบื้องหน้าคือท่านอ๋องผู้เคยสูงส่ง แต่แล้วในวันนี้เวลานี้ กลับตกต่ำได้ถึงเพียงนี้ แม้ที่ผ่านมาทั้งคู่จะไม่มีไมตรีต่อกัน แต่ในใจกู้โยวหนิงกลับรู้สึกทนไม่ได้

         

        ทั่วหล้ามีผู้ใดไม่รู้กันบ้างว่าเหวินอ๋องฉู่ยวีมีใจซื่อสัตย์ภักดี ชื่อเสียงด้านการรบเลื่องลือ สร้างคุณงามความดีมากมาย แต่สุดท้ายกลับตกต่ำกลายเป็นพระโอรสที่ฮ่องเต้ไม่เมตตา เหล่าพระเชษฐาและพระอนุชาไม่เคารพรัก ฮ่องเต้ผู้เป็นพระบิดาต้องการเบิกทางให้องค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์อย่างไร้อุปสรรคในภายหน้า จึงมีพระราชโองการสั่งให้เหวินอ๋องลงมือปลิดชีพตน ถึงจะรู้ว่าการแก่งแย่งชิงดีภายในราชสำนักโหดร้ายถึงเพียงใด แต่เขาไม่เคยคิดเลยสักนิดว่าจะอำมหิตถึงเพียงนี้

         

        องค์รัชทายาทนำอยู่ด้านหน้าเหล่าทหาร ใบหน้าเย่อหยิ่งย่างเข้าหาเหวินอ๋องผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสเบื้องหน้า พร้อมทั้งโยนมีดสั้นลงไปเล่มหนึ่ง “เหวินอ๋องฉู่ยวีปกปิดเบื้องสูง มีใจคิดคดก่อกบฏ ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้ปลิดชีพเสีย แต่ข้าผู้เป็นพี่ไม่ใจแข็งพอ เจ้าจงจบสิ้นเรื่องนี้ด้วยตนเองเถิด”

         

        เหวินอ๋องในยามนี้แทบไร้เรี่ยวแรงหายใจ เลือดหลั่งไหลจนเกือบจะแห้งเหือดรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายใช้หอกค้ำยันไว้ไม่ให้ถึงกับล้มลงบนพื้น จากนั้นเงยหน้าขึ้นมององค์รัชทายาทในชุดราชสำนักสีเหลืองหม่น รวมถึงเหล่าอนุชายาของตนที่ตอนนี้ยอมสวามิภักดิ์ เขาได้แต่หัวเราะเยาะให้กับตนเอง

         

        องค์รัชทายาทผู้ที่เกลียดชังเขาเข้ากระดูกดำมาโดยตลอด ก่อนจะสิ้นลมหายใจยังทำให้เขารู้สึกเกลียดชังมากขึ้นอีก เหล่าอนุชายาของเขาไม่มีนางใดภักดีเลยสักคน องค์รัชทายาทยังไม่ทันประกาศให้ยอมจำนน พวกนางกลับพร้อมใจกันหักหลังเจ้านายเก่า แล้วไปสวามิภักดิ์ต่อองค์รัชทายาทในทันทีทันใด

         

        แต่ก็ช่างเถอะ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ผู้ใดจะไม่แสวงหาทางรอดให้กับตนเอง

         

        เหวินอ๋องหลับตาลง ขณะกำลังจะยื่นมือหยิบมีดสั้นขึ้นมาปลิดชีพตน กลับมีร่างหนึ่งวิ่งมาหยุดตรงหน้า คุกเข่าอย่างเรียบร้อยพร้อมก้มศีรษะคำนับแนบไปกับพื้น

         

        “ท่านอ๋อง กระหม่อมมีความผิด”

         

        ท่านอ๋องมีท่าทีงงงวย จ้องมองผู้ที่นั่งคุกเข่าบนพื้นนองไปด้วยเลือดเบื้องหน้าบุรุษสวมอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์นั้นงามราวกับแกะสลักออกมาจากหยกชั้นดี

         

        คนผู้นี้คือพระชายาของเขา เพราะต้าจาวเปิดกว้าง ผู้คนสามารถมีภรรยาเป็นบุรุษได้ แต่เนื่องจากฮ่องเต้ต้องการบีบบังคับและควบคุมเขา จึงมีพระราชโองการให้บุตรของอนุภรรยาอัครเสนาบดีฝั่งซ้ายนามกู้โยวหนิงเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับตน

         

        “ได้ยินมาว่าพระชายาของเหวินอ๋องรูปโฉมงดงาม ทั้งยังฉลาดปราดเปรื่องยิ่งนัก ข้าช่างรู้สึกเสียดายเหลือเกิน หากพระชายายอมสวามิภักดิ์ต่อข้า ก่อนที่เหวินอ๋องจะสิ้นใจไป ข้าจะหารือกับเขาแทนเจ้าเรื่องหนังสือหย่าเอง เจ้าว่าดีหรือไม่”

         

        องค์รัชทายาทกล่าวด้วยน้ำเสียงเริงร่า เหล่าอนุชายาของเหวินอ๋องต่างก็ยอมสวามิภักดิ์ต่อตน แม้พระชายาจะเป็นบุรุษ แต่เมื่อเหวินอ๋องอยู่ในสภาพเช่นนี้ ทั้งยังได้ยินมาว่าเหวินอ๋องไม่ได้ดูแลเอาใจใส่พระชายาผู้นี้เสียเท่าใด เพราะเช่นนั้นพระชายาเหวินอ๋องย่อมต้องยอมสวามิภักดิ์ต่อตนอย่างแน่นอน

         

        ผ่านมากี่ปีแล้ว ในที่สุดก็ถึงเวลานี้ที่ข้ารอคอยมาตลอดเสียที!

         

        หลายปีมานี้แม้จะมีตำแหน่งเป็นองค์รัชทายาท แต่เขากลับถูกความสามารถที่สวรรค์สรรค์สร้างมาให้ของเหวินอ๋องกดขี่ไว้ตลอด แต่ในที่สุดวันนี้เขาก็ได้อยู่เหนือกว่าเสียที

         

        กู้โยวหนิงคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าเหวินอ๋อง ไม่สนใจคำประกาศให้ยอมจำนนขององค์รัชทายาทสักนิด สายตายังคงจดจ้องเหวินอ๋องเช่นเดิม

         

        “กระหม่อมมีความผิด”

         

        “รัชศกเต๋อเซิ่งปีที่22 ในฤดูใบไม้ผลิ กระหม่อมมั่วโลกีย์กับฮูหยินเหลียนชายารองของท่าน วันนั้นกระหม่อมขาดสติถลำตัวไป กระหม่อมไม่ได้ตั้งใจ”

         

        องค์รัชทายาทเดิมทีขมวดคิ้วเพราะท่าทีของกู้โยวหนิงในตอนแรก ถึงกับเปล่งเสียงหัวเราะเยาะทันทีหลังจากได้ยินสิ่งที่กู้โยวหนิงกล่าว พระชายาเอกกับชายารองลักลอบได้เสียกัน นี่มันจะไม่ใช่เรื่องน่าตลกขบขันของคนทั่วหล้าได้อย่างไรเล่า

         

        “ข้าทำไม่ดีกับเจ้า เจ้าจะเกลียดข้าย่อมเป็นเรื่องสมควร แต่ในวันนี้ข้าเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้าจำเป็นอะไรยังมา...” ฉู่ยวีไม่อาจกล่าวสิ่งใดต่อ ตั้งแต่พระชายาอภิเษกเข้ามาในจวน เขาไม่เคยถามไถ่หรือชายตาแลเลยสักหน ไม่หนำซ้ำยังให้ชายารองเป็นผู้คอยจัดการดูแลทุกเรื่องภายในจวน หากตอนนี้คนผู้นั้นจะมาเยาะเย้ยถากถางเขาย่อมเป็นเรื่องปกติ

         

        หากในวันนี้จะต้องสิ้นชีพ ขอเพียงชาติหน้าตนไม่ต้องเกิดมาในเชื้อพระวงศ์อีก

         

        กู้โยวหนิงไม่สนใจคำพูดของเหวินอ๋อง ทั้งยังก้มศีรษะคำนับลงกับพื้นอีกครั้งแล้วพูดต่อ “กระหม่อมยังมีความผิด”

         

        “กระหม่อมทราบ ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ท่านอ๋องหาได้มีหนทางรอดไม่กระหม่อมไม่อาจเอาตัวรอดแต่เพียงผู้เดียว ทว่ากระหม่อมกลัวเจ็บ...” กู้โยวหนิงสะอื้น “กระหม่อมกลัวเจ็บและกลัวสกปรก ทั้งไม่อยากให้พวกเขาเอาดาบเสียบทะลุกาย ด้วยเหตุนี้ก่อนกระหม่อมจะมา กระหม่อมจึงดื่มพิษ**เฮ้อติ่งหงไปขวดหนึ่ง”

         

        ฉู่ยวี “...”

         

        กู้โยวหนิงไม่ยี่หระต่ออาการตกตะลึงของผู้คนรอบข้าง ค่อยๆ สูดลมหายใจกล่าวทั้งน้ำตา “ท่านอ๋อง กระหม่อมรู้สึกผิดต่อท่าน ตั้งแต่ออกมากระหม่อมคิดแล้วว่าแม้กระหม่อมจะกลัวเจ็บกลัวสกปรก แต่ท่านอ๋องผู้เป็นนักรบมาทั้งชีวิต ย่อมต้องไม่กลัวเจ็บ แต่ว่าท่านอ๋องไม่ชอบสกปรกเช่นกัน เหวินอ๋องนักรบผู้หาญกล้าทั้งชีวิตรบชนะข้าศึกมานับครั้งไม่ถ้วน ย่อมไม่อาจสิ้นชีพภายใต้น้ำมือของพวกเขา เช่นนั้นแล้ว กระหม่อมจึงเตรียมพิษเฮ้อติ่งหงมาให้ท่านอ๋องอีกหนึ่งขวด”

         

        ฉู่ยวี “...”

         

        ในตอนนี้ผู้คนต่างพากันควานหาสติไม่เจอ แม้กระทั่งฉู่ยวีเองก็ตกตะลึงกับคำพูดนั้นเช่นกัน

         

        กู้โยวหนิงร้องไห้อย่างหนัก ก้มศีรษะคำนับลงบนพื้นอีกครั้ง

         

        “แต่ทว่า ท่านอ๋อง ตอนที่กระหม่อมมาได้รีบร้อนจนเกินไป ทำให้หกล้มจนทำขวดยาพิษเฮ้อติ่งหงแตก กระหม่อมมีความผิด แค่ยาพิษขวดเดียวกระหม่อมยังรักษาเอาไว้ไม่ได้”

         

        ……

         

        ฉู่ยวีขมวดคิ้วมองพระชายาความไม่เข้าใจ เพราะเหตุใดพระชายาที่เขาปฏิบัติอย่างเย็นชามาโดยตลอด ในเวลาที่ชีวิตจะต้องดับสูญกลับยินยอมพร้อมใจตายไปกับเขา

         

        กู้โยวหนิงร้องไห้อย่างน่าสงสาร พร้อมทั้งนำชายอาภรณ์เช็ดน้ำตาราวกับเด็กฉู่ยวีจำได้ เมื่อตอนที่พระชายาเข้าพิธีอภิเษกกับตนอายุยังน้อยนัก ตอนนี้คงจะราว 20 ปีได้ เป็นเวลาที่ควรจะปกป้องให้ดีแท้ๆ แต่ตนกลับทำให้คนผู้นี้ต้องมาลำบากเช่นนี้

         

        “เปิ่นหวางถามเจ้า ที่เจ้าหกล้ม เจ็บหรือไม่?” ฉู่ยวีค่อยๆ ไล่เช็ดน้ำตาบนดวงหน้าพระชายา แต่มือที่เปื้อนเลือดสีสดกลับยิ่งทำให้ดวงหน้านั้นเปรอะเปื้อน ฉู่ยวีรู้สึกว่าคนผู้นี้ช่างงดงามเหลือเกิน และดวงหน้าดุจหยกยิ่งแลดูงดงามยิ่งนักเมื่อถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงสด งามล้นล่มเมืองเลยทีเดียว

         

        “ข้าไม่เจ็บสักนิด” กู้โยวหนิงค่อยๆ กลืนสิ่งที่มีกลิ่นคาวปนหวานในปากลงไปใบหน้าเริ่มปรากฏร่องรอยยาพิษที่เริ่มออกฤทธื์ เอื้อนเอ่ยอย่างกล้ำกลืนว่า

         

        “ล้มไม่เจ็บแม้แต่นิด แต่พิษเฮ้อติ่งหงที่ดื่มเข้าไป...ทำให้...ทำให้ปวดท้องยิ่งนัก ยังดีที่...ยังดีที่ท่านอ๋องไม่ได้ดื่ม ความเจ็บปวดนี้ทำให้... รู้สึกทรมานเหลือเกินนำดาบมาแทงให้สิ้นตอนนี้ยังดีเสียกว่า หาได้คำนึงว่าจะสกปรกไม่...”

         

        แม้กู้โยวหนิงอายุจะยังน้อยนักแต่กลับมากวาจา ยังไม่ทันเอ่ยสิ่งใดต่อก็กระอักเลือดออกมาและล้มเข้าสู่อ้อมกอดของเหวินอ๋องทันที

         

        เหวินอ๋องประคองร่างที่ยังหลงเหลือความอุ่นไว้ จากนั้นเอ่ยถามคนในอ้อมกอด “โยวหนิง ข้าทำไม่ดีต่อเจ้า ไยเจ้าจึงไม่หาทางรอดให้ตนเอง และยอมสวามิภักดิ์ต่อองค์รัชทายาทเช่นพวกนางเล่า?”

         

        “แม้ท่านจะไม่เคยทำดีกับข้า แต่ท่านก็ไม่เคยพาลใส่ข้าเลยสักครั้ง...” กู้โยวหนิงหอบหายใจครู่หนึ่ง เอ่ยต่อ “แท้จริงแล้ว...แท้จริงแล้วข้าไม่ใช่กู้โยวหนิงของที่นี่ ข้ามาจาก...มาจากอนาคตอันแสนไกล ข้าก็ไม่รู้...ไม่รู้ว่าข้ามาที่นี่ได้อย่างไร แต่ข้าโชคดี ที่่หลายปีมานี้...มีท่านอ๋องคอยคุ้มครอง ข้า...”

         

        ยังไม่ทันได้เอ่ยจบ กู้โยวหนิงพลันสิ้นลมอยู่ภายในอ้อมกอดของเหวินอ๋อง

         

        เหวินอ๋องค่อยๆ สูดลมหายใจเข้า หางตาที่มีร่องรอยของความเปียกชื้นค่อยๆ หลับลง

         

        เกิดเป็นบุรุษชั่วชีวิตเสียน้ำตาให้เพียงแค่สองสิ่ง

         

        สิ่งแรกคืออาณาประชาราษฎร์ และสิ่งที่สองคือผู้เป็นที่รัก

         

        มือข้างหนึ่งของเหวินอ๋องโอบกอดกู้โยวหนิง

         

        อีกข้างหนึ่งหักหอกยาว แทงเข้าที่ลำคอของตน

         

        พระชายาพูดถูก ข้าคือเหวินอ๋องผู้เป็นนักรบกล้าหาญมาทั้งชีวิต หากต้องตายก็จะไม่ยอมกลายเป็นวิญญาณภายใต้คมดาบของผู้ใด เพียงแต่เขาได้ทำให้คนในอ้อมกอดต้องลำบากเปล่าเสียเเล้ว

         

        ฉู่ยวีใช้แรงเฮือกสุดท้ายโอบกอดกู้โยวหนิงที่เหลือเพียงร่างไร้ลมหายใจแน่น

         

        หากยังมีภพหน้า ข้าจะคอยปกป้องให้เจ้าปลอดภัยและมีความสุขชั่วชีวิต

         

        แต่ถ้าหากภพหน้าไม่มีจริง ก่อนตาย ข้าจะตระกองกอดเจ้าเอาไว้แนบอก

         

        …

         

        ท่ามกลางความมืดมิดไร้จุดสิ้นสุด ฉู่ยวีรู้สึกราวกับร่างของเขาถูกภูเขาทั้งลูกกดทับเอาไว้ เขาทั้งหายใจไม่ออกและขยับตัวไม่ได้ ขณะที่กำลังมึนงงไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ กลับได้ยินเหมือนเสียงร้องไห้ดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท

         

        เป็นเสียงร้องไห้ของสตรี ความกระวนกระวายใจมีมากเป็นทุนเดิม เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้เช่นนี้จึงยิ่งทวีขึ้นอีก แต่จะทำอย่างไรได้ เพราะร่างกายยังคงไม่อาจขยับเขยื้อน ต่อให้รวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ก็ยังไม่อาจไหวติงแม้แต่นิดเดียว

         

        เมื่อเสียงร้องไห้ยิ่งดังขึ้น!

         

        ความกระวนกระวายในใจยิ่งทวีคูณ

         

        ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?

         

        แล้วเหตุใดข้าจึงมาอยู่ที่นี่?

         

        ที่นี่คือที่ใด?

         

        อีกทั้ง…

         

        ข้า...เป็นใคร?

         

        คำถามมากมายที่เกิดขึ้นในระยะเวลาอันสั้นลอยละล่องไปกับความมืดรอบกาย ไม่มีหนทางอื่นนอกจากฝืนกายพยายามดิ้นรนต่อไป เขาพยายามสุดชีวิตเพื่อให้หลุดพ้นจากความมืดมิดนี้ แต่ทันทีทันใดนั้นความเจ็บปวดกลับแล่นไปทั่วสรรพางค์กาย พร้อมกับแสงสว่างอันเจิดจ้าที่สาดส่องมา หลังพยายามลืมตาขึ้นพลันพบว่าภายในห้องทั้งห้องนั้นเต็มไปด้วยแสงสว่าง

         

        ฉู่ยวีหอบหายใจอย่างหนัก ภาพเบื้องหน้ายังคงเป็นสีขาวโพลน มีเพียงความเจ็บปวดที่แล่นไปทั่วทั้งร่าง เขาไม่รู้ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น จำได้แค่หลังจากฮ่องเต้ถูกเหล่าขุนนางยุยงว่าเขามีใจคิดคดก่อกบฏ และมีพระราชโองการให้เขาปลิดชีพตนเอง แต่เพราะเขาไม่ยอม จึงนำกองกำลังทหารเข้าต่อต้าน แต่ท้ายที่สุดถูกองค์รัชทายาทนำกำลังทหารเข้าห้อมล้อม

         

        ก่อนที่จะตาย...

         

        ฉู่ยวีดวงตาเบิกกว้างทันใด

         

        กู้โยวหนิง!

         

        ผู้ที่ยินยอมพร้อมใจจะตายไปกับเขา ผู้ที่อยู่เคียงข้างเขาตราบจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต คนผู้นั้นอยู่ที่ใด!

         

        ฉู่ยวีลุกพรวดพราด กวาดสายตาไปทั่วทุกทิศเพื่อค้นหาผู้ที่สิ้นใจในอ้อมกอดตน ต่อให้ตัวเขาอยู่ในปรโลก เขาก็จะต้องตามหาคนผู้นั้นให้เจอ เพื่อบอกกับเหล่าผู้เป็นใหญ่ในปรโลกว่า ผู้ที่สมควรถูกจองจำในนรกมีแค่ตนแต่เพียงผู้เดียว กู้โยวหนิงหาได้เกี่ยวข้องอันใดไม่

         

        แต่เมื่อมองไปยังเบื้องหน้ากลับต้องตกตะลึง เขาพบว่าห้องทั้งห้องเต็มไปด้วยเด็กรับใช้ที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ทุกคนล้วนพากันส่งเสียงร้องไห้ดังระงม ท่ามกลางพวกเขามีสตรีนางหนึ่งสวมชุดกระโปรงสีชมพูยืนเด่น ครั้นนางเห็นเขากำลังพยายามจะลุกขึ้น พลันโผเข้าหาและส่งเสียงร้องไห้ดังกว่าเดิม

         

        “ท่านอ๋อง ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว”

         

        ฉู่ยวีนิ่วหน้ามองดวงหน้าดั่ง***ดอกสาลี่ต้องหยาดฝนตรงหน้าตน สตรีนางนี้คือชายารองของเขา นามถังซู่ยหวิน แม้นางจะเป็นเพียงชายารอง แต่ฐานะในจวนอ๋องแห่งนี้กลับดูสูงส่งกว่าพระชายาเสียอีก เขายกย่องและปฏิบัติต่อนางเยี่ยงชายาเอก แต่ในตอนที่องค์รัชทายาทนำกำลังทหารเข้ากวาดล้างจวนของเขา สตรีที่แลดูอ่อนแอผู้นี้กลับคุกเข่า พร้อมทั้งนำหลักฐานชี้ผิดเขามอบให้องค์รัชทายาทเพื่อขอความชอบให้ตนเอง

         

        ถังซู่ยวิ๋นเดิมทีกำลังร้องห่มร้องไห้ ทันใดนั้นจับสังเกตได้ว่าแววตาที่ฉู่ยวีใช้มองตนเองแปลกไป นับตั้งแต่นางเข้ามาอยู่ในจวนอ๋องแห่งนี้ แม้ท่านอ๋องจะไม่มีความรักมากล้นอันใดต่อนาง แต่อย่างน้อยท่านอ๋องก็ให้ความสำคัญกับนางมาโดยตลอด ทั้งยังให้คำมั่นกับนางว่าแม้ภายหน้าจะมีพระชายาเข้ามา ท่านอ๋องจะยังให้นางเป็นใหญ่คอยจัดการดูแลเรื่องภายในจวนเช่นเดิม แต่ในวันนี้...

         

        “ท่านอ๋อง...”

         

        นางส่งเสียงเรียกท่านอ๋องแผ่วเบา สายตาจ้องมองฉู่ยวีที่แสดงสีหน้าและท่าทางราวกับรังเกียจตนอย่างไม่เข้าใจ รีบนึกย้อนหาความผิดของตนทันที ท่านอ๋องเข้าร่วมพิธีล่าสัตว์และพลัดตกหลังม้าจนบาดเจ็บหนัก นางคอยเฝ้าดูแลเกือบตลอดทั้งวันไม่ได้ห่างไปไหน แล้วเหตุใดหลังท่านอ๋องฟื้นขึ้นมาถึงจ้องมองนางเช่นนี้

         

        เสียงเรียกอันแผ่วเบาของถังซู่ยหวินทำให้เขาได้สติกลับคืนมา มองไปโดยรอบพบว่าสายตาของทุกคนมองมายังตนด้วยความเป็นห่วง มีทั้งเด็กรับใช้ทั้งหญิงและชาย ท่ามกลางพวกเขายังมีเฉิงกุ้ย ผู้ดูแลจวนที่คอยติดตามเขาตลอดรวมอยู่ด้วย

         

        นี่มันเรื่องอะไรกัน เขาไม่ได้ตายไปแล้วหรือ?

         

        เขารีบยกมือขึ้นคลำรอบลำคออย่างตื่นตระหนก ก่อนตายเขาใช้หอกแทงเข้าบนลำคอตนเอง แต่พอคลำสำรวจจนรอบกลับไม่พบร่องรอยใดๆ! ทันใดนั้นรีบสะบัดผ้าห่มออก ก้มลงมองตนเองที่กำลังสวมอาภรณ์สีดำทอจากผ้าไหมอย่างเหลือเชื่อ

         

        เขายังไม่ตาย!

         

        ฉู่ยวีผลักถังซู่ยหวินออกห่างแล้วรีบร้อนลงจากเตียง ยืนบนพื้นด้วยเท้าเปลือยเปล่าพร้อมจะฝ่าผู้คนออกไปด้านนอก แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อร่างกายยังมีอาการบาดเจ็บอยู่ เดินอย่างทุลักทุเลเพียงไม่กี่ก้าวก็ถูกเฉิงกุ้ยเข้ามาประคองด้วยความร้อนใจ

         

        “ท่านอ๋อง ท่านจะไปที่ใดขอรับ?”

         

        ฉู่ยวีค่อยๆ หันหน้าไปมองเฉิงกุ้ย ปากพร่ำเพ้อถึงชื่อของคนผู้หนึ่ง

         

        กู้โยวหนิง!

         

        กู้โยวหนิง!!

         

        กู้โยวหนิง!!!

         

        กู้โยวหนิงคือนามของผู้ที่กำลังจะเข้าพิธีอภิเษกมาเป็นพระชายาเอกของเหวินอ๋องนั่นเอง

         

        คนทั้งเมืองฉางอันต่างรู้กันทั่วว่า เหวินอ๋องกำลังจะอภิเษกกับบุตรที่เกิดจากอนุภรรยาของอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายนามกู้โยวหนิง เดิมทีท่านอ๋องรังเกียจเรื่องนี้ยิ่งนัก เป็นถึงนักรบผู้กล้าหาญ สร้างคุณงามความดีแก่บ้านเมืองมากมาย แต่ฮ่องเต้กลับไม่ไว้พระทัย มีพระราชโองการให้อภิเษกพระชายาที่เป็นบุรุษ ถือเป็นเรื่องที่น่าน้อยเนื้อต่ำใจยิ่งนัก ไม่เพียงแต่ขาดคุณสมบัติในการสืบต่อบัลลังก์ เพราะแม้แต่เลือดเนื้อเชื้อไขของเหวินอ๋องเองก็ต้องไร้ซึ่งผู้สืบทอด เหวินอ๋องจะไม่โปรดพระชายาบุรุษผู้นี้ก็นับเป็นเรื่องที่เห็นสมควร แต่เพราะเหตุใดกันเล่า หลังจากฟื้นคืนสติท่านอ๋องหาได้สนใจผู้ใดไม่ กลับเอาแต่พร่ำเพรียกเรียกหาแต่ชื่อของคนผู้นั้น

         

        เฉิงกุ้ยไม่มีเวลาคิดสิ่งใดให้มากความ รีบเอ่ยปลอบเหวินอ๋องที่กำลังกระวนกระวายใจว่า “ท่านอ๋องขอรับ ท่านให้หมอหลวงตรวจอาการเสียก่อน ข้าน้อยจะออกไปรับคุณชายกู้ให้ท่านเอง ดีหรือไม่ขอรับ?”

         

         

         

*กงเฉิงเซินทุ้ย หมายถึงเมื่อทำภารกิจสำเร็จลุล่วงแล้วจึงขอถอนตัวไม่เข้ายุ่งเกี่ยวใดๆอีก มาจากเรื่องราวของเหวินจ่งผู้เป็นขุนนางนักวางแผนการแห่งรัฐเยว่หลังจากที่ร่วมมือกับฟ่านลี่ล้มล้างรัฐอู๋สำเร็จ โกวเจี้ยนได้ขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองรัฐเยว่ฟ่านลี่ล่วงรู้ว่าเจ้าแห่งรัฐเยว่นั้นร่วมทุกข์แต่ไม่อาจร่วมสุขได้ ฟ่านลี่จึงตัดสินใจออกจากราชสำนักและรัฐเยว่เพื่อไปซ่อนตัว และเขาได้เขียนจดหมายเตือนเหวินจ่งใจความว่า “ล่ากระต่ายได้แล้วมักฆ่าหมาล่าเนื้อ ปรปักษ์พินาศมักพิฆาตผู้วางแผน” แต่เหวินจ่งกลับคิดว่าตัวเองมีความชอบใหญ่หลวงไม่ฟังคำเตือนจากสหาย หลังจากได้รับจดหมายจากฟ่านลี่ได้อ้างว่าตนเองล้มป่วยไม่อาจเข้าราชสำนัก ขุนนางในราชสำนักต่างพากันยุยงโกวเจี้ยน จนในท้ายที่สุดโกวเจี้ยนได้มอบดาบสั้นให้เหวินจ่งเพื่อใช้ในการปลิดชีพตนเอง

**เฮ้อติ่งหง คือยาพิษในสมัยโบราณที่ได้จากหินที่มีสีแดง ในปัจจุบันเรียกว่าสารหนู

***ดอกสาลี่ต้องหยาดฝนคือสำนวนจีน เปรียบเปรยความงามของสตรี มีที่มาจากท่าทางของหยางกุ้ยเฟยในตอนที่กำลังร้องไห้

 

______________________________________________

 

หากชอบนิยายเรื่อง "ย้อนลิขิตเขียนรัก พระชายาอ๋อง" ละก็เพื่อน ๆ สามารถตามเข้าไปอ่านได้ที่ลิงค์ด้านล่างเลยน้า

https://www.kawebook.com/story/3088

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

แก้ไขครั้งที่ 2 โดย Kawebook เมื่อ8 มิถุนายน พ.ศ. 2563 15.01 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
3 เมื่อ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 20.29 น.

เล่มที่1 บทที่3  ตามหาข้ามภพ

 

        เฉิงกุ้ยเห็นฉู่ยวี้เอาแต่ลุกๆ นั่งๆ อยู่บนเตียงด้วยอาการกระวนกระวายใจ บนร่างสวมชุดบรรทมสีดำ เท้าเปลือยเปล่า ไหนจะผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงในตอนนี้ จากท่านอ๋องผู้เต็มไปด้วยความสุขุมดุดัน ยามนี้กลับคล้ายเด็กที่กำลังตื่นตระหนกผู้หนึ่ง

 

        เขาต้องคอยกล่าวปลอบฉู่ยวี้อยู่ตลอด พูดจาโน้มน้าวอยู่พักใหญ่กว่าจะทำให้ผู้ที่จะวิ่งเปลือยเท้าไปหาว่าที่พระชายายอมกลับมานั่งลงบนเตียง เฉิงกุ้ยยังคงรับรู้ได้ถึงความกระวนกระวายใจของท่านอ๋องอย่างชัดเจน ครั้นชายารองผู้ที่ได้รับการโปรดปรานมาโดยตลอดจะเข้ามาปรนนิบัติ กลับถูกท่านอ๋องปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย ไม่ว่าจะกล่าวเช่นไรก็ไม่ยอมให้นางเข้าใกล้แม้แต่นิดเดียว

 

        ฉู่ยวี้หวนนึกถึงวันที่พยับเมฆปกคลุมหนาหิมะโปรยปรายทุกครั้งเมื่อเห็นหน้าถังซู่ยหวิน นึกถึงสีหน้าเย็นชาของนางที่มองมายังตนยามยืนอยู่เบื้องหลังองค์รัชทายาท ตอนนี้เขาต้องการพบกู้โยวหนิงเพียงผู้เดียว ผู้ที่ยินยอมเคียงข้างเขาในยามสุดท้ายของชีวิต และมีเพียงการพบกู้โยวหนิงเท่านั้นถึงจะสามารถทำให้เขารู้สึกสบายใจได้

 

        ผ่านไปครู่ใหญ่ เฉิงกุ้ยเอาแต่พูดจาเยิ่นเย้อเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บที่ยังไม่หายดี แต่กลับทำให้ฉู่ยวี้ค่อยๆ สงบลง และเริ่มถามไถ่เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้นกับข้า?”

 

        เฉิงกุ้ยนิ่งอึ้งครู่หนึ่ง ตอบกลับท่านอ๋องว่า “เมื่อวันก่อนท่านอ๋องพลัดตกหลังม้าระหว่างพิธีล่าสัตว์ หมอหลวงรายงานว่าไม่ได้รับอันตรายใดๆ ท่านอ๋องช่างเป็นผู้ที่มีวาสนายิ่งนักขอรับ”

 

        ฉู่ยวี้ค่อยๆ หลับตาลง เมื่อครั้งออกล่าสัตว์แล้วพลัดตกหลังม้า?

 

        นั่นไม่ใช่รัชศกเต๋อเซิ้งปีที่ยี่สิบในพระราชพิธีล่าสัตว์ของเหล่าเชื้อพระวงศ์งั้นหรือ เขาถูกองค์รัชทายาทลอบทำร้ายจนพลัดตกหลังม้าและเกือบเอาชีวิตไม่รอด ทั้งยังเป็นปีเดียวกันกับที่เขาต้องเข้าพิธีอภิเษกกับบุตรอนุภรรยาของอัครเสนาบดีฝั่งซ้ายนั่นเอง

 

        หรือว่า!

 

        เขากลับมามีชีวิตอีกครั้ง? ไม่ใช่ว่าเขาไม่ตาย แต่เป็นการย้อนกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง สวรรค์เมตตาให้โอกาสเขากลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

 

        หากในยามนี้คือรัชศกเต๋อเซิ่งปีที่ยี่สิบ ตำแหน่งรัชทายาทเพิ่งจะแต่งตั้งแค่เพียงสองปี ฉู่ยวี้มีตำแหน่งเป็นแม่ทัพใหญ่ ออกรบจนนำดินแดนซีเซี่ยกลับคืนมา ผลงานด้านการศึกสงครามเป็นที่กล่าวขานโดยทั่ว

 

        แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเพราะความโดดเด่นของเขา ทำให้เขาต้องเข้าร่วมการแก่งแย่งชิงดีในราชสำนัก กลายเป็นที่เกลียดชังขององค์รัชทายาทและเหล่าองค์ชายทั้งหลาย ในท้ายที่สุดแม้แต่เสด็จพ่อก็ยังไม่ไว้พระทัยเขา สายพระเนตรที่ใช้มองมาล้วนปราศจากความเมตตา

 

        เมื่อนึกถึงยามที่ฮ่องเต้ทรงใช้ความผิดไม่สมเหตุสมผลเรียกคืนอำนาจทางการทหาร สั่งคุมขังเขาไว้ในจวนตลอดชีวิต รวมถึงยามที่ถูกองค์รัชทายาทโยนพระราชโองการสั่งให้ปลิดชีพตนใส่หน้าเขาอย่างหยิ่งผยอง เป็นเหตุให้ฉู่ยวี้ถึงกับขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างเกลียดแค้น

 

        เฉิงกุ้ยมองท่านอ๋องที่คล้ายกำลังสับสน แต่ยังดูโหดเหี้ยมในเวลาเดียวกัน เมื่อเห็นฉู่ยวี้สแยะยิ้มเย็น เฉิงกุ้ยถึงกับกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ในใจเริ่มรู้สึกหวาดหวั่น ในเวลาไม่กี่ชั่วยามท่านอ๋องกลับเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน

 

        ผ่านไปพักใหญ่ ฉู่ยวี้ออกคำสั่งเสียงเยือกเย็น “เปลี่ยนชุด เตรียมม้า ข้าจะออกไปข้างนอก!”

 

        “แต่ว่าท่านอ๋อง...” เฉิงกุ้ยมีท่าทีลำบากใจ “ท่านยังไม่หายดี ท่านควรจะ...”

 

        ฉู่ยวี้มองเฉิงกุ้ยด้วยสายตาดุดันเพียงครู่ “ให้เจ้าไปจัดการก็จงไปจัดการ มามัวพูดพร่ำไร้สาระอะไรอยู่!”

 

        เขารอไม่ได้แม้แต่นาทีเดียว เขาต้องไปจวนอัครเสนาบดีเพื่อพบกู้โยวหนิง มีเพียงการพบกู้โยวหนิงถึงจะสามารถทำให้เขาวางใจได้ แค่กู้โยวหนิง ... เขามีแค่กู้โยวหนิงผู้เดียวแล้ว

 

        “ขอรับๆ!” เฉิงกุ้ยถูกตวาดจนสติแทบกระเจิง รีบร้อนออกไปเตรียมการตามคำสั่งท่านอ๋องด้วยความหวาดกลัว

 

        ถังซู่ยหวินผู้ยืนอยู่ด้านข้างมานานสองนานเดินออกมาหาเขาด้วยความลังเล จากนั้นเอ่ยเรียกฉู่ยวี้ด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร “ท่านอ๋อง~”

 

        ฉู่ยวี้หลงลืมถังซู่ยหวินไปชั่วขณะ แสดงสีหน้าเบื่อหน่ายทันทีที่หันไปหานาง “เจ้ากลับไปเสียเถอะ”

 

        “ท่านอ๋อง~” ถังซู่ยหวินไม่ยอมออกไป ร้องไห้ไร้เสียงและกล่าว “ท่านอ๋อง หม่อมฉันไม่ทราบว่าทำอะไรผิด หรือมีอะไรทำให้ท่านอ๋องโกรธเคืองหม่อมฉัน?”

 

        ฉู่ยวี้เหลือบมองสตรีที่กำลังหมอบอยู่บนตักตน สตรีผู้นี้ที่เขาปฏิบัติเยี่ยงชายาเอกมาโดยตลอด แม้จะไม่มีความรักลึกซึ้งต่อนาง แต่เขาได้ให้เกียรติและความสำคัญกับนางเสมอ แต่ท้ายที่สุดในตอนที่เขากำลังตกทุกข์ได้ยาก นางกลับรวบรวมหลักฐานที่แสดงถึงความผิดของเขามอบให้องค์รัชทายาทเพื่อขอความดีความชอบ หากทุกคนจะหาหนทางเอาตัวรอดเมื่อยามมีภัยย่อมเป็นเรื่องปกติ แต่สตรีนางนี้อยู่ข้างกายเขามานานหลายปี ไร้ความจริงใจยังไม่เท่าไหร่ แต่คาดไม่ถึงว่านางจะกล้าลักลอบรวบรวมหลักฐานแสดงความผิดของเขาเช่นนี้ ช่างเสียเปล่าที่มีชีวิตอยู่มา 30 กว่าปีในชาติที่แล้ว เพราะเขากลับมองสตรีผู้นี้ไม่เคยออก

 

        ฉู่ยวี้อดยิ้มเยาะตนเองไม่ได้ เขามองสตรีนางนี้ไม่ออกเพียงผู้เดียวเสียเมื่อไหร่ เพราะไม่ว่าจะใครเขาก็มองไม่เคยออกทั้งนั้น คาดไม่ถึงว่าพระชายาที่เขาไม่เคยสนใจไยดีอะไรจะเป็นผู้อยู่เคียงข้างเขาในเวลาสุดท้ายของชีวิต แต่สตรีที่เขาเฝ้าทะนุถนอมและให้ความเกรงอกเกรงใจกลับกลายเป็นคนที่ทรยศหักหลังเขาเสียเอง

 

        ฉู่ยวี้ไม่เงียบอยู่นาน ท้ายที่สุดปรายตามองถังซู่ยหวินอย่างเฉยชาครู่หนึ่ง “ข้าไม่เป็นอะไร เจ้าจงกลับไปก่อนเถอะ”

 

        ถังซู่ยหวินคล้ายยังอยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง นางลุกขึ้นด้วยท่าทางอ่อนโรยแรง ค่อยๆ เช็ดน้ำตาแล้วคำนับฉู่ยวี้ก่อนจะเดินจากไป สตรีนางนี้ฉลาดนัก นางรู้ว่าต้องเกิดอะไรขึ้น ไม่เช่นนั้นเหวินอ๋องไม่มีทางมองนางด้วยสายตาอย่างนี้ หรือว่าสตรีนางอื่นในจวนไปพูดถึงเรื่องไม่ดีของนางกับเหวินอ๋อง

 

        ถังซู่ยหวินค่อยๆ ขมวดคิ้ว ในจวนอ๋องแห่งนี้หากนับรวมนางที่เป็นชายารอง มีสตรีทั้งหมดอยู่ห้านาง อีกสามนางเป็นอนุชายา และยังมีสตรีอีกหนึ่งนางที่พำนักอยู่ในจวนเหวินอ๋องชั่วคราว คาดว่าในภายหน้าเหวินอ๋องต้องรับนางเป็นชายารองอีกคนแน่นอน

 

        เหล่าอนุชายาทั้งสามนาง หนึ่งในนั้นเคยเป็นเด็กรับใช้นาง อีกนางหนึ่งคือสตรีนักบรรเลงดนตรีที่ต่างเมืองส่งมา อีกหนึ่งนางมาจากโรงละครเทียนตู พวกนางล้วนไม่มีชาติกำเนิด ไม่มีอำนาจพอจะให้นางต้องรู้สึกเกรงกลัว หรือว่าจะเป็นนางผู้นั้น?

 

        ถังซู่ยหวินหรี่ตาลง นึกได้ว่าสตรีนางนั้นคือบุตรสาวของหลินเจิ้งพาน ผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าของเหวินอ๋อง ในตอนที่เหวินอ๋องเพิ่งจะเข้าร่วมกองทัพ หลินเจิ้งพานมีตำแหน่งเป็นแม่ทัพ สำหรับเหวินอ๋อง หลินเจิ้งพานเป็นทั้งอาจารย์และสหาย หลังจากหลินเจิ้งพานสิ้นชีพในสนามรบ เหลือทิ้งไว้แต่บุตรชายและบุตรสาว บุตรชายนามหลินเหลียง หลินเจิ้งพานขอให้เหวินอ๋องรับเข้าไปอยู่ในกองทัพ ส่วนบุตรสาวนามหลินเหลียน หลินเจิ้งพานขอให้เหวินอ๋องรับเข้าจวนมาเลี้ยงดู

 

        หรือจะเป็นนางจริงๆ?

 

        ถังซู่ยหวินคิดวิตกกังวลไปไกลถึงไหนต่อไหน แต่ฉู่ยวี้กลับไม่สนใจสิ่งอื่นใดแม้แต่นิด ตอนนี้เขาไม่มีเวลาสนใจสิ่งอื่น ในหัวคิดเพียงแค่ว่าต้องรีบพบหน้ากู้โยวหนิงให้ได้ ฉู่ยวี้รีบร้อนเปลี่ยนชุดและควบม้ามุ่งหน้าไปยังจวนอัครเสนาบดีทันที

 

        เขาต้องการพบกับกู้โยวหนิงให้เร็วที่สุด หากคนผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาทั้งคู่ยังมีชีวิตอยู่ ทุกอย่างยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้

 

        ฉู่ยวี้เหยียบย่ำลงบนแสงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิ แม้ต้องข้ามภพข้ามชาติ เขาก็ต้องตามหาให้เจอ

 

 

 

______________________________________________

 

หากชอบนิยายเรื่อง "ย้อนลิขิตเขียนรัก พระชายาอ๋อง" ละก็เพื่อน ๆ สามารถตามเข้าไปอ่านได้ที่ลิงค์ด้านล่างเลยน้า

https://www.kawebook.com/story/3088

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

แก้ไขครั้งที่ 2 โดย Kawebook เมื่อ8 มิถุนายน พ.ศ. 2563 15.01 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
4 เมื่อ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 19.39 น.

เล่มที่1 บทที่4 คุณชายกู้โยวหนิง

 

        “เจียนยวี่ เจ้าระวังหน่อย ในนั้นเป็นของมีค่า ถ้าเจ้าทำเสียหายไปซ่ะแล้ว ภายหลังพวกเราจะเอาชีวิตรอดกันได้อย่างไรเล่า” หนุ่มน้อยสวมอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่บนสันกำแพง กิ่งของต้นซิ่งข้างกำแพงเกี่ยวกับชายผ้าโปร่งบางของเขา แต่หนุ่มน้อยกลับไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก เอื้อมมือมาฉีกชายผ้าให้ขาดออกจากกิ่งไม้ หันไปทางเด็กรับใช้ที่ยังอยู่บนพื้นแล้วยื่นมือไปหา “มา ข้าจะดึงเจ้าขึ้นมาเอง”

 

        “คุณชายห้า... พวกเราจะทำอย่างนี้จริงๆ หรือขอรับ?” เด็กรับใช้กอดห่อผ้าใบใหญ่เอาไว้แนบอก ใบหน้าเกลี้ยงเกลาคล้ายกำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อ “ถูก...ถูกนายท่านจับได้ต้องโดนตีตายเป็นแน่นะขอรับ”

 

        “จะทำอย่างไรได้เล่า หรือว่าเจ้าอยากเห็นข้าออกเรือนไป?” หนุ่มน้อยถลึงตาคู่งามทันที “ข้ากู้โยวหนิงข้ามเวลามาเพื่อพบรักกับเหล่าหญิงงามยุคโบราณ ไม่ใช่มาแต่งงานไปกับองค์ชายงี่เง่าคนไหนทั้งนั้น นั่นกลายเป็นพวกรักร่วมเพศหรืออย่างไร”

 

        ใช่แล้ว คนผู้นี้คือกู้โยวหนิง

 

        วันเวลาผ่านไปอย่างเงียบเชียบ โลกเปลี่ยนแปลงอย่างไม่แน่นอน แต่ละวันผ่านไปอย่างไม่สงบสุขนัก และแล้วตอนนี้เขาก็อายุครบ 16 ปี

 

        หลังจากกู้โยวหนิงถูกกระถางดอกไม้ตกใส่หัวในวันนั้น พอลืมตาตื่นก็มาโผล่ในยุคสมัยที่เขาไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน แถมยังกลายเป็นเด็กอายุหกขวบอีก

 

        เด็กคนนี้รูปร่างหน้าตาเหมือนเขาราวกับแกะ ขนาดชื่อยังชื่อกู้โยวหนิง เขาคือบุตรที่เกิดจากอนุภรรยาของอัครเสนาบดีและไม่ได้รับความรักใคร่ บิดาของเขาคืออัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย หลังดื่มเหล้าเมามายได้ทำการขืนใจหญิงรับใช้ เพราะอย่างนั้นการเกิดมาของเขาจึงเป็นเรื่องน่าอับอายของบิดา อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายไม่เคยทำดีกับเขาสักครั้ง และแน่นอนว่าเขาก็ไม่คิดจะทำดีกับบิดาแย่ๆ คนนี้เหมือนกัน เป็นแค่คนมักมากในกามอารมณ์ แต่ดันทำเป็นรักมั่นแค่ภรรยาเอก ส่วนภรรยาเอกก็ไม่เห็นจะมีอะไรดี ทั้งขี้ริษยาและเลือดเย็น ถ้าไม่ใช่เพราะเขาฉลาดป่านนี้คงถูกฆ่าตายไปแล้วไม่รู้ตั้งกี่รอบ ตอนนี้คนพวกนั้นจะให้เขาแต่งเข้าจวนเหวินอ๋อง เขาล่ะอยากจะหยิบมีดไปสู้กับคนพวกนั้นให้รู้แล้วรู้รอด ต่อให้ไม่ชอบเขายังไงก็ไม่ควรมีความคิดเอาลูกแท้ๆ โยนเข้าขุมนรกอย่างนี้

 

        เพราะอย่างนั้นเขาจะหนี เมื่อก่อนเคยคิดว่ายังไงเขาก็เป็นบุตรชายของอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย ถึงจะเป็นแค่ลูกเมียน้อยแต่เขาก็เป็นคนฉลาดพอตัว อนาคตพึ่งบารมีบิดาทำการค้าขายคงไม่เลวเหมือนกัน

 

        แต่น่าเสียดาย เพราะตอนนี้บิดาของเขากับฮูหยินเอกดันบังคับให้เขาออกเรือนกับองค์ชายงี่เง่าที่ไหนก็ไม่รู้

 

        ออกเรือน!!!

 

        นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย เขาเป็นถึงผู้ชายอกสามศอก ต้องการมีภรรยาและเหล่าอนุภรรยาคอยรายล้อม ต้องการพานพบกับหญิงงามอาภรณ์พลิ้วไหวตามสายลมในยุทธภพต่างหาก จะมาออกเรือนได้ยังไง อีกอย่าง...เขารู้ว่าถ้าเขาแต่งไปต้องไม่มีทางใช้ชีวิตอย่างสงบสุขแน่นอน เป็นถึงท่านอ๋องแต่ต้องอภิเษกพระชายาที่เป็นบุรุษ นี่มันเป็นเรื่องน่าอัดอั้นตันใจขนาดไหนกัน เหวินอ๋องอะไรนั่นต้องคอยข่มเหงรังแกเขาแน่ๆ หลังจากประตูของตำหนักใหญ่ปิดลง ก็จงรอโดนคนพวกนั้นครอบงำได้เลย จะตายยังไงก็ยังไม่รู้ และที่สำคัญกว่านั้น ความใฝ่ฝันอันยิ่งใหญ่ที่จะมีเหล่าหญิงงามรายล้อมของเขาล่ะ จะทำยังไง?

 

        เพราะอย่างนั้นเขายิ่งจำเป็นต้องหนี ท่านพ่อผู้เป็นอัครเสนาบดีเอย ท่านอ๋องผู้เป็นว่าที่สามีอะไรก็ตาม ข้าต้องขอโทษด้วยจริงๆ ไปให้พ้นข้าเถอะ คุณชายอย่างข้าจะขอออกไปท่องยุทธภพก่อนก็แล้วกัน

 

        ใบหน้าเรียวงามได้รูปของกู้โยวหนิงแสดงให้เห็นถึงความแน่วแน่ จากนั้นหันไปร้องบอกเจียนยวี่ “เร็วๆ หน่อย ตอนนี้ต้องรีบออกไป ซื้อรถม้าสักคัน รอฟ้ามืดก็ออกจากเมืองได้แล้ว”

 

        เจียนยวี่หมดหนทาง สะพายห่อผ้าไว้ด้านหลังแล้วปีนกำแพงขึ้นไป ตนติดตามกู้โยวหนิงมาตั้งแต่ยังเล็ก ย่อมรู้ดีว่าคนผู้นี้ฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก อยู่ในจวนอัครเสนาบดีเป็นเพียงบุตรที่ไม่ได้รับความสำคัญอะไร แต่เขากลับไม่สนใจและใช้ชีวิตตามแบบของตัวเองอย่างสง่างาม

 

        เจียนยวี่ถอนหายใจ แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่แท้จริงแล้วน่าสงสารยิ่งนัก ผู้ที่สง่างามราวกับเทพเซียนเช่นนี้กลับถูกบีบบังคับให้เข้าพิธีอภิเษกกับท่านอ๋องที่โปรดสตรี นับแต่นี้ไปจำต้องเผชิญหน้ากับเรื่องจุกจิกภายในจวนอ๋อง แค่นึกก็คับแค้นใจเต็มทน

 

        “เร็วๆ เข้า คุณชายห้าอยู่บนกำแพง กำลังจะหนีไปแล้ว เร็ว เร็วเข้า!”

 

        กู้โยวหนิงกับเจียนยวี่กำลังจะกระโดดลงไปข้างล่าง ทันใดนั้นมีเสียงคนรับใช้ของจวนดังขึ้น ทั้งคู่หันไปสบตากันด้วยใบหน้าซีดเซียว

 

        กู้โยวหนิงได้สติก่อน ตะโกนดังลั่นว่า “รีบกระโดดลงไปข้างล่างเร็วเข้า!”

 

        เจียนยวี่ไม่มีเวลาคิดอะไรให้มากสิ่ง ก้มหน้าก้มตาตั้งใจจะกระโดดลงไปข้างล่าง แต่เขากลับต้องตกตะลึงและนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม เพราะนอกกำแพงเต็มไปด้วยคนรับใช้ของจวนที่ล้อมรอบพวกเขาไว้หมดแล้ว

 

        เจียนยวี่ร้องไห้ทันใด หันหน้าไปหากู้โยวหนิง กู้โยวหนิงเห็นผู้คนด้านนอกเช่นกัน คิ้วงามขมวดเป็นปม นิ้วมือขาวหมดจดจับยึดสันกำแพงแน่น

 

        “มารดามันเถอะ ให้คนมาจับตาดูข้าไว้ก่อนแล้ว นี่มัน...”

 

 

______________________________________________

 

หากชอบนิยายเรื่อง "ย้อนลิขิตเขียนรัก พระชายาอ๋อง" ละก็เพื่อน ๆ สามารถตามเข้าไปอ่านได้ที่ลิงค์ด้านล่างเลยน้า

https://www.kawebook.com/story/3088

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

แก้ไขครั้งที่ 2 โดย Kawebook เมื่อ8 มิถุนายน พ.ศ. 2563 15.02 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
5 เมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 18.38 น.

 เล่มที่1 บทที่5 แม่นางชิงซวง

 

        บรรยากาศภายในจวนอัครเสนาบดีเต็มไปด้วยความกดดัน

 

        กู้โยวหนิงนั่งแผ่นหลังเหยียดตรงอยู่กลางห้องโถง เมื่อเทียบกับเจียนยวี่ที่ตัวสั่นระริกอยู่ด้านข้างช่างต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

        กู้ถิงจ้องมองบุตรคนเล็กของตน พลางบีบนวดระหว่างคิ้ว “เจ้าคิดจะหนี?”

 

        “ขอรับ” กู้โยวหนิงตอบเสียงใสกังวานอย่างไม่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวแต่อย่างใด

 

        กู้ถิงฉวยเอาจอกน้ำชาบนโต๊ะเขวี้ยงลงบนพื้นอย่างแรง จอกน้ำชาจอกนั้นพลันแตกกระจายอยู่หน้ากู้โยวหนิงอย่างพอดิบพอดี

 

        “เจ้ารู้หรือไม่ ถ้าหากว่าเจ้าหนีไปเสียแล้ว ผู้คนในจวนร้อยกว่าคนจะมีชีวิตรอดกันได้อย่างไร?”

 

        “ข้าไม่อยากออกเรือน!”

 

        “นี่ใช่เรื่องที่เจ้าเลือกได้หรือ? เมื่อมีพระราชโองการออกมาแล้ว เจ้ามีหัวสักกี่หัวพอที่จะขัดขืนพระราชโองการได้?”

 

        พระราชโองการ?

 

        ช่างน่าขำจริงๆ เดิมทีผู้ที่ราชสำนักเลือกมาคือบุตรชายลำดับที่สองที่เกิดจากฮูหยินของกู้ถิง แต่เพราะพวกเขาทำใจไม่ได้ถึงได้เปลี่ยนเป็นสละเขาให้ไปแต่งแทน

 

        กู้โยวหนิงเม้มริมฝีปาก เงยหน้าขึ้นมองกู้ถิงด้วยแววตาแฝงความเย็นยะเยือก จากนั้นแค่นหัวเราะเสียงเย็นตอบกลับไปว่า

 

        “ชีวิตของผู้คนในจวนแห่งนี้ร้อยกว่าชีวิตล้วนขึ้นอยู่กับข้า หากข้าไม่รักชีวิตต่ำต้อยคิดจะขัดขืน อย่างมากก็แค่ให้คนในจวนนี้ตายไปพร้อมข้า เพราะชั่วชีวิตนี้ข้าก็สุดจะทนแล้วเหมือนกัน!”

 

        “เจ้าๆ...เจ้าคนอกตัญญู!”

 

        กู้ถิงเอามือกุมอกเพราะเมื่อครู่ถูกยั่วโมโหจนรู้สึกโกรธอยู่ไม่น้อย ฮูหยินแซ่หลี่ของอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายรีบเข้ามาประคองเขาไว้ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ท่านพี่ ท่านต้องรักษาสุขภาพของท่านเป็นหลัก กู้โยวหนิงอายุยังน้อยไม่รู้ความ คาดว่าต้องมีบ่าวไพร่ยุยงเป็นแน่”

 

        กล่าวจบส่งยิ้มเย็นยะเยือกไปทางเจียนยวี่ ผู้ที่ยามนี้ตื่นกลัวจนแทบสิ้นชีวิต “เฟิงเจียนยวี่ อยู่ข้างกายเจ้านายแต่กลับไม่ค่อยปรนนิบัติรับใช้ให้ดี โยวหนิงต้องการจะหนีไป ต้องเป็นเพราะเจ้ายุยงเป็นแน่ ใครก็ได้เข้ามาลากตัวออกไปสั่งสอนให้สาสม!”

 

        กู้โยวหนิงเปลี่ยนสีหน้าทันที ฮูหยินแซ่หลี่มองเขาเป็นสิ่งขวางหูขวางตามาตั้งแต่ยังเด็ก ต้องการให้เขาอภิเษกกับเหวินอ๋องก็เป็นความคิดของนาง ในตอนนี้ทำอะไรเขาไม่ได้เลยจะไปลงมือกับเจียนยวี่ กู้โยวหนิงมองไปยังเจียนยวี่ที่ตอนนี้ราวกับแขนขาไร้เรี่ยวแรงและกำลังถูกลากออกไป

 

        “ใครกล้า!” กู้โยวหนิงลุกขึ้นถีบเด็กรับใช้ที่กำลังจะลากเจียนยวี่ออกไป จากนั้นดึงเจียนยวี่กลับเข้ามาหาตัวเอง “ข้าจะดูว่าใครมันกล้าทำอะไรเขา!”

 

        ฮูหยินแซ่หลี่โมโห ประกายแสงวูบผ่านนัยน์ตา “โยวหนิง เจ้าจะทำอะไร นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะปกป้องเด็กรับใช้?”

 

        “เหอะๆ...” กู้โยวหนิงหัวเราะ พูดด้วยความรันทดว่า “จวนอัครเสนาบดีใหญ่โตขนาดนี้ นอกจากเด็กรับใช้ที่คอยพึ่งพาอาศัยกัน ข้าจะยังมีผู้ใดอีก หากข้าไม่ปกป้องเขา แล้วใครจะปกป้องเขา!”

 

        กู้ถิงมองบุตรคนสุดท้องที่กำลังยืนอยู่กลางโถง เจ้าของร่างผอมบางทำให้ตนรู้สึกสงสารจนอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก ไหนจะมือคู่นั้นที่กำลังสั่นระริก เขาจึงเอ่ยขัดฮูหยินแซ่หลี่ทันใด “ขอแค่เพียงเจ้าเชื่อฟังและเข้าพิธีอภิเษก ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจจะทำอะไรเจ้าได้ อนาคตต่อให้เจ้าจะรับราชการใดๆ ก็คงเป็นได้เพียงข้าราชการยศต่ำ แต่ถ้าเจ้ายอมอภิเษกย่อมหมายความว่าเจ้าจะเป็นถึงพระชายาเหวินอ๋อง...”

 

        “หึๆๆ...” กูถิงยังไม่ทันได้กล่าวจบ กลางห้องโถงกลับมีเสียงหัวเราะเยาะของสตรีผู้หนึ่งในชุดกระโปรงสีม่วง “พระชายา*ชินอ๋องผู้เป็นขุนนางขั้นหนึ่ง เหตุใดบุตรอนุผู้มีฐานะต่ำต้อยผู้นี้ถึงได้ตำแหน่งนี้มาอย่างง่ายดายนัก?”

 

        “เจ้าหุบปาก!” ฮูหยินแซ่หลี่ตวาดเสียงต่ำ

 

        สตรีผู้นี้คือพี่สาวลูกพี่ลูกน้องของกู้โยวหนิง นามกู้ชิงซวง นางต่างจากสตรีอื่นๆ ที่ดูอ่อนแอและไม่เด็ดขาด ถึงแม้จะเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่เพราะพวกเขาเป็นชายและหญิง กู้โยวหนิงถึงไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับนางมากเท่าไหร่ แต่นึกไม่ถึงว่าท่านพี่ผู้ไม่ค่อยจะมีปากมีเสียงอะไร ยามนี้กลับกล้าออกหน้าแทนเขา

 

        แม่นางชิงซวงไม่สนใจคำตำหนิของฮูหยินแซ่หลี่ กล่าวต่อด้วยท่าทีเอ้อระเหยว่า “ท่านโปรดอย่าได้โกรธเคืองข้าไปเลย ที่ชิงซวงกล่าวมาแต่ละประโยคล้วนแต่เป็นความจริง ถ้าหากว่าน้องห้าได้ขึ้นเป็นพระชายาของเหวินอ๋อง เขาก็จะมียศเป็นพระชายาอ๋องขั้นหนึ่ง ได้รับการจารึกในบันทึกประวัติศาสตร์และศาลบรรพชนอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงเวลานั้นยามพบหน้ากันพวกท่านยังต้องทำความเคารพเสียอีก”

 

        สิ่งที่กู้ชิงซวงกล่าวนอกจากจะเป็นความจริง ยังเป็นสิ่งที่ฮูหยินแซ่หลี่รวมถึงกู้ถิงกังวลมาโดยตลอด ตั้งแต่เล็กจนโตพวกเขาปฏิบัติอย่างไรต่อบุตรอนุ พวกเขาย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ หากภายหน้ากลายเป็นพระชายาเหวินอ๋อง ไม่ได้รับการโปรดปรานและถูกบังคับให้อยู่แต่ในตำหนัก ปีหนึ่งต้องพบหน้ากันไม่กี่หนยังถือว่าดีไป แต่ถ้าเป็นที่โปรดปรานขึ้นมา เกรงว่าพวกตนจะต้องลำบากเสียแล้ว เพราะนอกจากเหวินอ๋องจะมีบรรดาศักดิ์เป็นชินอ๋อง ยังได้รับการแต่งตั้งยศเป็นผู้บังคับบัญชาการกองทัพทั้งหกของรัฐจาว แม้ยามนี้จะมีพระราชโองการให้อภิเษกพระชายาบุรุษ ไร้ซึ่งคุณสมบัติสืบทอดราชบัลลังก์ ทว่าจากอดีตถึงปัจจุบัน มีฮ่องเต้หลายพระองค์ได้ขึ้นครองราชย์หลังนำกองทัพรบชนะกลับมา ยิ่งไปกว่านั้นเหวินอ๋องยังเป็นถึงองค์ชายที่มีเชื้อสายของฮ่องเต้

 

        กู้ถิงได้แต่ถอนหายใจ บุตรคนเล็กของเขาใฝ่รู้ใฝ่เรียน เดินในทางสายกลางไม่คิดจะแก่งแย่งชิงดีกับผู้ใด ทว่ายามนี้องค์รัชทายาทอภิเษกกับบุตรสาวฮูหยินเอกของอัครเสนาบดีฝ่ายขวา อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาต่างฝ่ายต่างคอยควบคุมซึ่งกันไว้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ฮ่องเต้มีพระราชโองการให้บุตรชายของตนอภิเษกกับเหวินอ๋องเช่นนี้ เกรงว่ากำลังจะเตือนอะไรบางอย่างเป็นแน่ ภายหน้าไม่ว่าจะองค์รัชทายาท หรือองค์ชายพระองค์ใดขึ้นครองราชย์ เขาเป็นพ่อตาเหวินอ๋องจะมีทางรอดหรือ ดังนั้นเขาจำต้องยอมเสียสละบุตรอนุผู้นี้ เพื่อแสดงจุดยืนว่าตนไม่เข้าร่วมการแก่งแย่งชิงดีในอำนาจใดๆ และมีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่จะสามารถปกป้องตระกูลกู้ไว้ได้

 

        กู้โยวหนิงเดินออกมาจากโถงใหญ่เพื่อขวางทางของลูกพี่ลูกน้องหญิงเอาไว้ จากนั้นกล่าวขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง “ขอบคุณท่านพี่มากที่เมื่อครู่ออกรับหน้าแทนโยวหนิง!”

 

        กู้ชิงซวงอายุ 17 ปี อยู่ในวัยที่ความงามดุจหยกบริสุทธิ์กำลังปรากฏให้เห็นอยู่ไม่น้อยส่วน เส้นผมที่ยาวสลวยราวกับม่านน้ำปักไว้ด้วยปิ่นหยก ใบหน้าแต่งเติมอย่างเบาบางและชุดกระโปรงสีม่วงที่ดูเรียบง่าย ทำให้นางดูงามบริสุทธิ์ดุจหยกขาวที่ไร้การแปดเปื้อนจากมลทินใดๆ

 

        กู้ชิงซวงเงยหน้าขึ้นมองกู้โยวหนิง นางมักจะให้ความสนใจกับน้องชายที่ไร้ตัวตนในจวนนี้อยู่ไม่น้อยหน ทั้งยังทราบดีว่ากู้โยวหนิงงามล้ำเหนือผู้คนเช่นไร ทว่าหลายปีมานี้ใบหน้าที่แสนงดงามกลับมีเพียงความเย็นชาและรอยยิ้มเย้ยหยัน ผู้ที่สามารถทำให้เขายิ้มออกมาจากใจมีเพียงเด็กรับใช้ข้างกายเขาผู้เดียว ยามนี้นางกลับต้องถอดถอนหายใจขณะเผชิญหน้ากับรอยยิ้มตรึงใจผู้คน จากนั้นจูงกู้โยวหนิงไปยังศาลาเงียบสงบละแวกนั้น

 

        “ตอนนี้ข้าสามารถพูดเพื่อเจ้าแค่เท่านี้ อย่างน้อยก็ให้พวกเขารู้สึกเกรงกลัวสักนิด ขนาดเจ้ากำลังจะจากพวกเขาไป ยังต้องมาถูกพวกเขาข่มเหงอีก ชีวิตช่างขมขื่นอะไรเช่นนี้ ท่านลุงก็ช่างโง่เขลาเสียจริง เด็กฉลาดหลักแหลมเช่นเจ้า อย่าว่าแต่ตระกูลกู้ในยามนี้ ต่อให้ย้อนขึ้นไปอีกสามชั่วอายุคนก็หาแบบเจ้าไม่ได้”

 

        กู้ชิงซวงกล่าวด้วยความไม่พอใจ ท้ายที่สุดถอนหายใจ กล่าวต่ออย่างช่วยไม่ได้ “แต่เจ้าก็ไม่ต้องกลัวไป เรื่องมาถึงขั้นนี้ เหวินอ๋องต้องข่มเหงเจ้าเป็นแน่ แต่ข้าได้ยินมาว่าเหวินอ๋องเป็นผู้ปฏิบัติตนอยู่ในครรลองครองธรรม เข้าจวนอ๋องไปอย่างแรกที่ต้องทำคือดูแลตนให้ดี ไม่มีเรื่องสำคัญก็อย่าได้เข้าใกล้เขาเป็นพอ หากอนุชายาในจวนอ๋องมาหาเรื่องเจ้า เจ้าก็อย่าตอบโต้จนเป็นเรื่องใหญ่ สตรีเหล่านั้นหาเรื่องเจ้าเพียงครั้งสองครั้ง เมื่อเห็นว่าเจ้าไม่แก่งแย่งชิงดีกับพวกนาง เดี๋ยวพวกนางก็จะเลิกราไปเอง”

 

        ชิงซวงกล่าวไปถอนหายใจไป “สงสารก็แต่ผู้ที่อนาคตไกลเช่นเจ้า ต่อจากนี้กลับต้องโดนกักไว้ภายในตำหนักใหญ่ แต่พรุ่งนี้ข้าจะไปเลือกหญิงงามสักนางสองนางด้วยตนเอง ข้าจะส่งพวกนางไปกับทรัพย์สินออกเรือนของเจ้าที่ต้องนำไปจวนอ๋อง เจ้าชอบพอแม่นางอันดับหนึ่งของหอชุนเฟิงใช่หรือไม่ เช่นนั้นแล้วจงไปซื้อตัวนางออกมา พี่มีหนทางจะนำนางส่งไปกับทรัพย์สินออกเรือน ในตำหนักใหญ่กว่าจะผ่านพ้นไปแต่ละวันช่างเดียวดายนัก หากมีพวกนางเจ้าจะได้ผ่านมันไปอย่างมีความสุขขึ้นสักนิด แต่มีหนึ่งสิ่งที่เจ้าต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก เจ้าเป็นคนฉลาดย่อมรู้ดีว่าข้าหมายถึงสิ่งใด”

 

        กู้โยวหนิงซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก มารดาของเขาจากโลกนี้ไปตั้งแต่เขายังไม่ข้ามเวลามา ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีเพียงเจียนยวี่คอยอยู่เคียงข้างกาย นึกไม่ถึงว่าจวนอัครเสนาบดีที่เกียรติแห่งนี้จะยังมีคนยอมเอ่ยปากพูดอะไรเพื่อเขา เมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของกู้ชิงซวง ดวงตาของกู้โยวหนิงจึงถึงกับปริ่มไปด้วยน้ำตา ผู้หญิงที่ดีขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่ว่าเขาต้องแต่งงานกับองค์ชายอะไรนั่น ไม่แน่ว่าเขาอาจจะได้แต่งงานในเครือญาติกับลูกพี่ลูกน้องคนนี้ก็ได้

         

         

         

*ชินอ๋อง คือตำแหน่งสูงสุดที่องค์ชายจะมีได้รองลงมาจากองค์รัชทายาท ส่วนมากคือพระโอรส พระเชษฐาและพระอนุชา ชินอ๋องสามารถปกครองแคว้นได้

 

______________________________________________

 

หากชอบนิยายเรื่อง "ย้อนลิขิตเขียนรัก พระชายาอ๋อง" ละก็เพื่อน ๆ สามารถตามเข้าไปอ่านได้ที่ลิงค์ด้านล่างเลยน้า

https://www.kawebook.com/story/3088

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

แก้ไขครั้งที่ 1 โดย Kawebook เมื่อ8 มิถุนายน พ.ศ. 2563 15.02 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
6 เมื่อ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 19.52 น.

เล่มที่1 บทที่6 แม่นางเชียนเซวี่ย

 

“กู้ชิงซวงเด็กนั่นมันรู้ว่าภายหน้าการอภิเษกจะไม่ตกอยู่ใต้การควบคุมของข้า แต่คิดไม่ถึงว่านางจะกล้ามากระด้างกระเดื่องกับข้าเช่นนี้”

 

ฮูหยินแซ่หลี่โมโหจนถึงกับโยนผ้าเช็ดหน้าของตนทิ้งลงพื้น กู้โยวหนิงเป็นดั่งฝุ่นผงที่คอยขัดหูขัดตานางมาโดยตลอด นึกอยากจะฆ่าให้ตายเสียตั้งหลายครั้งหลายครา ทว่ากลับรอดไปได้ทุกที ถือว่ายังโชคดีที่ผ่านมาหนีรอดไปได้ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วเรื่องอภิเษกนี้ต้องหนีไม่พ้นลูกชายของนางเป็นแน่

 

“ท่านแม่โปรดอย่าได้ขุ่นเคืองไป” บุตรชายคนที่สองของกู้ถิงนามกู้เหรินอัน หรือผู้ที่ราชสำนักเลือกให้เป็นพระชายาของเหวินอ๋องในคราแรก ค่อยๆ รินน้ำชาวางลงตรงหน้ามารดาตน

 

“ที่ชิงซวงกล่าวมีความจริงอยู่บ้าง ถึงแม้เหวินอ๋องจะไม่โปรดบุรุษ แต่ท่านดูเจ้าสุนัขจิ้งจอกมากมารยานั่น ไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นที่พึงพอใจของเหวินอ๋องขึ้นมาได้”

 

“เป็นที่พึงพอใจแล้วจะมีประโยชน์อะไรกัน จวนอ๋องขาดเหล่าสตรีงามเสียเมื่อไหร่ ทั้งมันเป็นเพียงบุรุษไม่มีทางให้กำเนิดบุตรได้ เช่นนี้แล้วไม่เป็นการทำให้เหวินอ๋องไร้ซึ่งทายาทหรอกหรือ เรื่องอัปยศเช่นนี้ข้าอยากจะถามจริงๆ ว่าบุรุษผู้ใดจะยอมรับได้” ฮูหยินหลี่รอยยิ้มแฝงด้วยความเยือกเย็น เอ่ยต่ออย่างไม่สะทกสะท้าน “กู้ชิงซวงจงใจกล่าวเช่นนั้น เพราะต้องการจะข่มขู่ให้ข้ารู้สึกกลัว เพื่อให้ข้าทำดีต่อเด็กนั่น หึ แต่ข้าไม่ทำ ข้าจะคอยดูว่ามันจะเป็นที่โปรดปรานได้ถึงขั้นไหนกันเชียว?”

 

ฮูหยินหลี่มองกู้เหรินอันครู่หนึ่ง “ครั้งนี้ที่เจ้าส่งคนไปจับตาดูเด็กนั่นไว้ถือว่าทำได้ดีมาก นับแต่นี้จัดการหาคนไปจับตาดูเด็กนั่นเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย หากพบว่ามันยังจะหนีอีกให้จับไปขังไว้ในห้องเก็บฟืนเสีย ยังมีเจ้าเด็กรับใช้นั่น ถึงเวลาจัดการตีให้ตาย แล้วไม่ต้องรายงานอะไรพ่อของเจ้า!”

 

กู้เหรินอันพยักหน้ารับคำสั่งมารดาอย่างเงียบเชียบ เขาจะไม่จัดหาเด็กรับใช้ไปเฝ้าเจ้าเด็กนั่นเพิ่มได้อย่างไร เกิดหนีไปได้จริงๆ ตนไม่ต้องเป็นผู้ขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวเองหรอกหรือ เป็นถึงบุรุษจะมีผู้ใดยอมให้ตนโดนกักขังไว้ในตำหนักตลอดไปกัน

 

----

 

หลังจากกู้โยวหนิงร่ำลากับกู้ชิงซวงก็เอาแต่นั่งถอนหายใจอยู่ภายในห้องของตัวเอง

 

เจียนยวี่นึกว่าเขาเสียใจเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ถึงได้มีท่าทีร้อนรนยิ่งกว่าอะไร ราวกับกลัวว่าตนจะคิดไม่ตก “คุณชายห้า ท่านจะทานอะไรสักหน่อยหรือไม่ขอรับ? วันนี้ห้องครัวทำขนม ท่านจะลองชิมดูหรือไม่?”

 

กู้โยวหนิงโบกมือปฏิเสธอย่างอ่อนแรง “ข้าไม่อยาก เจ้ากินเถอะ”

 

“ถ้าเช่นนั้นข้าจะออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนท่าน พวกเราไปหาแม่นางเชียนเซวี่ยที่หอชุนเฟิงเยี่ยมดีหรือไม่ขอรับ?” 

 

“จะดีอย่างไรเล่า ข้าจะต้องขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวอยู่แล้ว ยังจะมีหน้าไปหอนางโลมได้อย่างไร วันนี้ฮูหยินทำอะไรเจ้าไม่ได้ เจ้าเลยอยากจะหาเรื่องใส่ตัวใช่ไหม?”

 

“คุณชายห้า...” เจียนอยู่เงียบลง

 

เจียนยวี่อายุพึ่งจะ 12 ย่าง 13 ปี ใบหน้าผุดผ่องมักจะปรากฏให้เห็นถึงความขลาดกลัวของเด็กน้อยอยู่เสมอ น้ำเสียงที่ทั้งอ่อนโยนและอบอุ่น ขานเรียกคุณชายห้าราวกับจะบีบหัวใจผู้ฟังให้หยุดเต้นในทันที

 

กู้โยวหนิงค่อยๆ ถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้ง หันหน้าไปมองเจียนยวี่และที่จะอดนึกไม่ได้ว่า รูปร่างบอบบางน่าทะนุถนอมแบบนี้สิถึงเหมาะจะออกเรือน นี่เขาเป็นถึงผู้ชายแท้ๆ กลับคิดไม่ถึงว่าต้องเป็นฝ่ายออกเรือนเอง?

 

เขาคาดไม่ถึงเลยจริงๆ!

 

ในขณะที่กู้โยวหนิงกำลังถอนหายใจครั้งที่ร้อยแปด ทันใดนั้นมีเด็กรับใช้เดินเข้ามาจากด้านนอกพอดี

 

“คุณชายห้า มีแม่นางผู้หนึ่งรอพบท่านอยู่ประตูด้านหลังเจ้าค่ะ” 

 

“แม่นางที่ไหนกัน? แล้วยังรอที่ประตูด้านหลัง เจ้ารีบไปเชิญนางเข้ามา”

 

……

 

“คุณชายห้า~”

 

กู้โยวหนิงตกตะลึงครู่หนึ่ง เสียงเจียนยวี่ที่ได้ยินเมื่อครู่ราวกับบีบหัวใจผู้ฟังให้หยุดเต้น ทว่าน้ำเสียงเรียกคุณชายห้าที่ได้ยินในตอนนี้ กลับเปี่ยมด้วยความอ่อนโยนที่เข้ากอบกุมหัวใจเขา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีความโศกเศร้าปะปนอยู่

 

“...เชียนเซวี่ย เจ้ามาได้อย่างไร?” กู้โยวหนิงรีบเข้าไปกล่าวคำทักทายหลังรู้ว่าเป็นใครที่มาหาตน ทางด้านเจียนยวี่ก็ฉลาดนัก รีบไล่เด็กรับใช้ผู้นั้นออกไปแล้วเดินมาเฝ้าประตูแทน

 

“ข้าอยากพบคุณชาย ข้าอ้างว่าจะไปไหว้พระแต่ แท้จริงแล้วตั้งใจจะมาหาท่าน ข้าไม่ได้สร้างความลำบากอะไรให้คุณชายใช่หรือไม่?”

 

เชียนเซวี่ยสวมชุดกระโปรงสีชมพู เส้นผมสีดำยาวสลวยปักไว้ด้วยปิ่นที่สตรีทั่วไปนิยมใช้ ทว่าบนผมยังผูกไว้ด้วยผ้าไหมผูกผมสีทอง แลดูหรูหราโอ่อ่า งามจนยากจะหาสิ่งใดเปรียบ ใบหน้าเรียวงามราวดอกบัวทำให้นางกลายเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของหอชุนเฟิง แรกเริ่มเดิมทีผ้าไหมผูกผมสีทองเส้นนี้ คือของรักของหวงของท่าน*รัฐทายาทยูนนานอ๋องที่นำมาจากเมืองสู่จงเมื่อครั้งพำนักที่นั่น ภายหลังมอบมันให้กับกู้โยวหนิงเพราะชื่นชมในความงามล่มเมือง ทว่ากู้โยวหนิงกลับนำผ้าผูกผมเส้นนี้มามอบให้แม่นางเชียนเซวี่ย ในวันที่มอบให้กู้โยวหนิงยังเป็นผู้ผูกผ้าไหมสีทองเส้นนี้ไว้บนผมสตรีผู้รู้ใจด้วยมือของเขาเอง

 

“ไม่เป็นอะไร แต่เจ้าเป็นสตรี หากอยากพบหน้าข้า เพียงให้ผู้อื่นมาบอกกล่าวสักนิด ข้าจะออกไปหาเจ้าเอง”

 

กู้โยวหนิงลอบถอยหายใจอีกครั้ง เขานึกโกรธและเกลียดท่านอ๋องมากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว ถ้าไม่ใช่เพราะท่านอ๋องอะไรนั่น ป่านนี้กู้โยวหนิงผู้นี้คงมีสาวงามคู่ใจทั่วทั้งเมืองฉางอันไปนานแล้ว ช่างหัวท่านอ๋องที่ไม่ใช่หญิงงามอันดับต้นๆ นั่นปะไร

 

กู้โยวหนิงไม่ได้กล่าวเกินจริงสักนิด ตั้งแต่โดนกระถางดอกไม้ตกใส่หัว จนกระทั่งข้ามเวลามา เขาไม่เคยนึกถึงหรือสนใจสิ่งอื่น นอกจากมองหาเหล่าหญิงงามในชุดโบราณเหล่านั้น เพราะเกิดมาหน้าตาดีเป็นทุนเดิม และสำหรับหญิงงามกู้โยวหนิงยังให้ความรู้สึกคล้ายกับ**เจี่ยเป่าอวี้ความรู้สึกที่ว่านั้นคือความรู้สึกเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่ทำให้พวกนางต้องรู้สึกผิดหวัง ยกตัวอย่างเช่นแม่นางเชียนเซวี่ยผู้นี้ นางคือผู้ที่ภักดีต่อกู้โยวหนิงอย่างสุดชีวิต คอยเฝ้ารอให้เขาแต่งงาน จากนั้นนางถึงจะขอแต่งเข้ามาเป็นอนุภรรยา แต่ผู้ใดจะรู้ว่าสิ่งที่นางรอมาตลอด กลับกลายเป็นว่ากู้โยวหนิงจะต้องเป็นฝ่ายออกเรือนเสียเอง

 

เชียนเซวี่ยกุมมือของกู้โยวหนิง หลังจากจดจ้องเขาอยู่พักใหญ่จึงเริ่มร้องไห้ออกมา

 

“เมื่อครู่ยังดีๆ อยู่ จู่ๆ เจ้าร้องไห้ทำไมกัน อยู่ในหอชุนเฟิงถูกผู้อื่นรังแกมาใช่หรือไม่”

 

เชียนเซวี่ยหลุบตาลงต่ำ ค่อยๆ ส่ายหัว ทันใดนั้นคุกเข่าอยู่ต่อหน้ากู้โยวหนิงแล้วเอ่ยทั้งน้ำตา “คุณชาย ได้โปรดไถ่ตัวข้าออกมาเถิด เชียนเซวี่ยจะเข้าจวนอ๋องไปพร้อมกับท่าน ภายหน้าเป็นเด็กรับใช้คอยอยู่ดูแลข้างกายท่านตลอดไป!”

 

กู้โยวหนิงถอนหายใจออกมาอีกรอบ “ข้าเข้าไปในจวนอ๋องก็ยังไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดอยู่หรือไม่ ถึงยามนั้นหากเจ้าเป็นที่พึงพอใจของท่านอ๋อง คงหนีไม่พ้นเป็นได้แค่อนุชายา เจ้าจะมีความสุขเยี่ยงทุกวันนี้ได้อย่างไร”

 

“เชียนเซวี่ยไม่อยากเป็นอนุชายาของท่านอ๋องแม้แต่นิดเจ้าค่ะ เชียนเซวี่ยต้องการอยู่ข้างกายคุณชายห้า คอยพูดคุยแบ่งเบาความทุกข์ใจ เพื่อเป็นการตอบแทนไมตรีของคุณชายห้าเท่านั้น”

 

เชียนเซวี่ยเอื้อมมือมาดึงชายอาภรณ์ของกู้โยวหนิง พร้อมทั้งร้องห่มร้องไห้อย่างหนัก 

 

นางชื่นชมกู้โยวหนิงเป็นอย่างมาก สตรีในยุคนี้ใช้ชีวิตไม่ง่ายนัก หากเกิดเป็นคุณหนูในตระกูลมั่งคั่งร่ำรวยถึงจะสามารถแต่งเป็นฮูหยินเอก ต้องออกเรือนไปกับชายที่ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน และผู้ชายที่พอมีหน้ามีตา ผู้ใดบ้างจะไม่มีเมียเล็กเมียน้อย แต่ถ้าเป็นบุตรสาวในตระกูลเล็กๆ ไร้อำนาจและเงินทอง ล้วนต้องแต่งเข้าไปเป็นอนุภรรยา ทั้งชีวิตต้องตกอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้อื่น และสตรีเช่นนางยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง หากจะเปรียบกับกรรมกรก็ยังด้อยค่ากว่านัก แม้จะเป็นอันดับหนึ่งในหอชุนเฟิง แต่ถึงอย่างไรท้ายที่สุดก็ยังเป็นสตรีที่เดินอยู่บนความลำบาก บุรุษเหล่านั้นต้องการแค่หาความสุขสนุกสนานจากร่างกาย จะมีผู้ใดรักนางด้วยใจจริงบ้าง ทว่ากู้โยวหนิงกลับแตกต่างออกไป แม้ไม่ได้มีความรักลึกซึ้งต่อกัน แต่นางรู้ว่ากู้โยวหนิงใส่ใจและเอ็นดูนางหากได้พบเจอกับผู้ที่มีจิตใจงดงามเช่นนี้แล้ว ทั้งชีวิตสตรีนางหนึ่งจะยังต้องการสิ่งใดอีก 

 

“พอได้แล้วๆ เจ้าหยุดร้องไห้แล้วฟังในสิ่งที่ข้าจะพูด” กู้โยวหนิงประคองนางลุกขึ้น กล่าวอย่างจนปัญญา

 

“เจ้าติดตามข้าไปมันจะดีได้อย่างไร ยามนี้เจ้าเป็นถึงหญิงงามอันดับหนึ่งของหอชุนเฟิง แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าเป็นฝ่ายเลือกบุรุษ และคนในหอชุนเฟิงก็ไม่มีผู้ใดรังแกเจ้า ภายหลังข้าเข้าไปอยู่ในจวนอ๋องคงจะพอมีทรัพย์สินส่วนตัวอยู่บ้าง ถึงเวลานั้นข้าจะซื้อหอชุนเฟิงให้เจ้า วันข้างหน้าหากเจ้าชอบก็จงใช้ชีวิตกับบุรุษอย่างสบายใจ หรือหากไม่ชอบ อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นเจ้าของหอชุนเฟิง ถึงคราวแก่ชรายังพอมีที่พึ่งพิง”

 

กู้โยวหนิงกับเจียนยวี่ยืนอยู่หน้าประตูหลังส่งแม่นางเชียนยวี่ที่ยังคงร้องไห้ระงมกลับหอชุนเฟิง

 

“สตรีที่ดีเยี่ยงนี้ หากไม่ใช่ว่าข้าต้องออกเรือน นางคงต้องเป็นอนุภรรยาที่งามจนผู้คนต้องพากันอิจฉาข้าแน่ๆ”

 

ระหว่างที่เจ้านายกับเด็กรับใช้ทั้งสองไร้ซึ่งคำใดๆ จะกล่าว และกำลังลอบถอนหายใจ ทันใดนั้นมีบุรุษควบม้าพันธุ์งามมาหยุดอยู่เบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว เมื่อกู้โยวหนิงเงยหน้าขึ้นมองตามสัญชาตญาณ จึงพบกับสายตาคู่หนึ่งเข้าพอดี

 

 

 

*รัฐทายาทหรือซื่อจื่อ หมายถึงผู้สืบทอด ใช้เรียกบุตรชายคนโตหรือคนรองที่จะสืบทอดบรรดาศักดิ์ต่อจากบิดา ส่วนมากคือบุตรคนโตที่เกิดจากภรรยา แต่บางกรณีอาจแล้วแต่บิดาจะเลือกมอบบรรดาศักดิ์ให้ใคร

**เจี่ยเป่าอวี้ชื่อตัวตัวละครเอกจากวรรณกรรมเรื่องความฝันในหอแดง

 

 

______________________________________________

 

หากชอบนิยายเรื่อง "ย้อนลิขิตเขียนรัก พระชายาอ๋อง" ละก็เพื่อน ๆ สามารถตามเข้าไปอ่านได้ที่ลิงค์ด้านล่างเลยน้า

https://www.kawebook.com/story/3088

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

แก้ไขครั้งที่ 1 โดย Kawebook เมื่อ8 มิถุนายน พ.ศ. 2563 15.03 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
7 เมื่อ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 20.06 น.

เล่มที่1 บทที่7 แรกพบท่านอ๋อง

 

        กู้โยวหนิงไม่มีวันลืมเลือนครั้งแรกพบสบตากับฉู่ยวี้ไปทั้งชีวิต สายตาที่ฉู่ยวี้ใช้มองมาเต็มเปี่ยมไปด้วยความร้อนรน ความปรารถนา และความกระวนกระวายใจ ราวกับมีคำพูดมากมายเป็นหมื่นพันคำต้องการจะเอื้อนเอ่ย แต่สายตากลับแฝงความอบอุ่นคล้ายกับสามารถทำให้เหล็กหลอมละลายลงได้

 

        การพบกันครั้งแรกของเขากับฉู่ยวี้ดุจกาลเวลาหมุนเวียนอย่างเชื่องช้า ยาวนานจนไร้จุดสิ้นสุด คุณชายผู้สง่างามบนหลังม้า ท่ามกลางแสงอาทิตย์สาดส่อง ความอบอุ่นอ่อนโยนทั้งหมด ล้วนไม่ต่างจากแสงอาทิตย์อัสดงในวันนี้

 

        ทันใดนั้นกู้โยวหนิงรู้สึกราวกับว่าการข้ามเวลาพันปีมายังยุคสมัยแปลกประหลาดนี้ เพียงเพื่อรอคอยวินาทีนี้เท่านั้น

 

        ฉู่ยวี้กระโดดลงจากหลังม้า สายตายังคงจับจ้องไปยังร่างบางงามสง่า

 

        ดวงตาคนทั้งคู่สบประสาน

 

        “โยวหนิง...”

 

        ฉู่ยวี้อดรู้สึกโศกเศร้าไม่ได้ คนผู้นี้ยังเป็นหนุ่มน้อยงามล่มเมือง ไหนจะอาภรณ์สีขาวพลิ้วไหวตามแรงลม ทั้งเส้นผมงามสลวยสีดำขลับในยามนี้ พานให้หวนนึกย้อนกลับไปวันที่ผู้คนต่างต้องหวาดหวั่น เด็กหนุ่มผู้นี้กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นเจิ่งนองด้วยเลือดเบื้องหน้าตน ภาพเรื่องราวทั้งหมดคล้ายกับกำลังปรากฏต่อหน้าเขาอีกครั้ง

 

        กู้โยวหนิงยังคงนิ่งค้างอยู่ที่เดิม สายตาจ้องมองผู้ที่ลงจากหลังม้า และกำลังมุ่งหน้าเข้าหาตนด้วยความหวาดกลัว เขาตกใจจนเผลอก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันได้ถอยหลังอีกก้าว กลับถูกบุรุษเบื้องหน้ารวบกายเข้าสู่อ้อมกอดแสนอบอุ่นเสียก่อน

 

        ไม่ใช่แค่กู้โยวหนิงที่ตกตะลึงจนดวงตาคู่งามเบิกโพลง แม้แต่ผู้คนรอบกายในยามนี้ก็ไม่ต่างกัน โดยเฉพาะองครักษ์ข้างกายของฉู่ยวี้ที่ตกตะลึงจนอ้าปากค้างไปเรียบร้อยแล้ว

 

        ผู้คนทั้งฉางอันต่างรู้ดี เหวินอ๋องเคยเกือบจะต่อต้านพระราชโองการของฝ่าบาท เพราะไม่พอใจในการอภิเษกพระชายาบุรุษ

 

        ทว่าท่านอ๋องในยามนี้...

 

        เห็นท่านอ๋องโอบกอดว่าที่พระชายาอย่างแนบแน่น พวกเขาได้แต่มองตามด้วยความตกตะลึงจนตาค้าง หรือว่าท่านอ๋องจะพลัดตกจากหลังม้าจนสติฟั่นเฟือนไปแล้ว? แต่การกระทำเช่นนี้แลดูบุ่มบ่ามเกินไปสักหน่อย ยังไม่ทันเข้าพิธีอภิเษก จะกระทำกิริยาเช่นนี้ในที่โจ่งแจ้งได้อย่างไรกัน?

 

        ฉู่ยวี้ไม่มีเวลามาคำนึงว่าผู้อื่นจะตกตะลึงเช่นไร ตอนนี้เขาคิดแค่ว่าอยากจะโอบกอดและดอมดมกลิ่นของคนผู้นี้อย่างคนละโมบเท่านั้น

 

        กู้โยวหนิงทั้งตกใจและมึนงงกับการกระทำอุกอาจของคนตรงหน้า จากนั้นค่อยๆ ย้อนถามตัวเองถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้อีกครั้ง เขายืนอยู่หน้าประตูจวนดีๆ จู่ๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งที่เขาไม่รู้จักพุ่งเข้ามากอด มิหนำซ้ำยังเรียกชื่อของเขาอีก แบบนี้ใครมันจะไม่ตกใจก็บ้าแล้ว ทว่ากู้โยวหนิงไม่มีเวลาคิดว่าแท้จริงแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพราะเขารู้แค่ว่าตอนนี้ชีวิตของเขาถูกคุกคามเสียแล้ว

 

        กู้โยวหนิงพยายามขัดขืนอย่างสุดชีวิตเพื่อให้หลุดจากอ้อมกอดบุรุษตรงหน้า แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่เป็นผล ท้ายที่สุดทำได้เพียงเอ่ยปากบอกกับบุรุษผู้นั้นว่า“นี่ พี่ชาย พี่ชาย ท่านปล่อยข้าก่อน ข้าจะโดนท่านรัดตายแล้ว”

 

        ทางด้านฉู่ยวี้ที่รู้สึกร้อนระอุในอกราวกับถูกไฟลน ราวกับมีเพียงการโอบกอดผู้ที่อยู่อ้อมกอดเท่านั้น ถึงจะทำให้เขาไม่รู้สึกเคว้งคว้าง ทุกคนในที่นี้ไม่มีใครที่เขาสามารถเชื่อใจได้สักคน เว้นแต่เพียงคนผู้นี้ผู้เดียว มีเพียงคนในอ้อมกอดผู้นี้เท่านั้นที่ยังอยู่ข้างกายเขา แม้กำลังจะเผชิญหน้ากับความตาย เพราะฉะนั้นไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม คนผู้นี้ไม่มีทางทอดทิ้งเขาแน่นอน

 

         

 

        คิดเพียงอยากจะโอบกอดเขาให้แน่น โอบกอดไว้ให้แน่นขึ้นอีกสักนิด จนกระทั่งได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของกู้โยวหนิง ฉู่ยวี้ถึงมีสติกลับมาและรีบคลายกอดทันที ทว่าสายตายังคงจดจ้องไปที่กู้โยวหนิง คล้ายต้องการจดจำผู้ที่อยู่เบื้องหน้าให้ฝังลึกเข้าไปในหัวใจ เพราะเขาเกรงว่านับแต่นี้ไปจะเผลอมองข้ามคนผู้นี้อีกแม้แต่นิดเดียว

 

        กู้โยวหนิงรีบสูดอากาศหายใจเข้าปอดหลังได้รับอิสระ ให้ตายเถอะ นี่เขาเกือบจะโดนรัดตายอยู่ตรงนี้แล้ว

 

        เจียนยวี่เห็นดังนั้นรีบยื่นมือไปช่วยลูบอกกู้โยวหนิง จากนั้นหันไปถลึงตาใส่ฉู่ยวี้แล้วตะโกนลั่น “เจ้ามักมากในกามผู้นี้มาจากแห่งหนตำบลใด กล้ามาทำตัวอันธพาลที่จวนอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายเช่นนี้...”

 

        เสียงร้องตะโกนของเจียนยวี่ไม่ทำให้ผู้อื่นเกรงกลัวสักนิด แต่เป็นกู้โยวหนิงต่างหากที่รู้สึกกลัวขึ้นมาเสียเอง เด็กหนุ่มหน้าตาสวยสดงดงามถลึงตาเช่นนี้ไม่ได้มีความน่าเกรงกลัวสักนิด กลับแลดูน่ารักเง้างอนเสียด้วยซ้ำ กู้โยวหนิงรีบลากเจียนยวี่ให้มายืนอยู่ด้านหลังตนทันที ถ้าเจ้าเด็กโง่นี่ตะโกนออกไปอีกที นอกจากหัวสองหัวนี้จะรักษาไว้ไม่ได้แล้ว กระทั่งหลุมฝังศพก็คงจะไม่มีเหมือนกัน

 

        กู้โยวหนิงเงยหน้ามองบุรุษผู้นั้น ทั้งร่างสวมอาภรณ์สีดำทอด้วยผ้าไหมแลดูหรูหรา ผมเผ้ามัดรวบไว้ด้านหลังอย่างไม่ใส่ใจนัก หลังพิจารณาจากหน้าตาที่คมคายถึงรู้ว่าเป็นบุรุษรูปงาม ไหนจะดวงตาราวกับดวงดาวสุกสกาวบนท้องนภาคู่นั้น ช่างแลดูลึกลับน่าค้นหามากกว่าผู้คนทั่วไปเป็นไหนๆ กู้โยวหนิงจิ๊ปาก คิดว่าตั้งแต่เขาย้อนเวลามาอยู่ที่ยุคนี้ ทั้งยังอาศัยอยู่ในจวนอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายที่ราวกับขุมนรกมาตลอดสิบปี พบเจอผู้คนมาตั้งมากมาย เมื่อก่อนคิดว่ารัฐทายาทยูนนานอ๋องคือบุรุษรูปงามอันดับหนึ่ง แต่หลังจากที่พบกับบุรุษผู้นี้ ถ้าจะให้เทียบกันแล้ว ท่านรัฐทายาทยูนนานอ๋องไม่มีค่าพอให้เอ่ยชื่อมาเทียบเลยด้วยซ้ำ

 

        แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น คนผู้นี้มีกลิ่นอายของความสูงศักดิ์ ในยุคสมัยแบบนี้ถือว่าพบเจอคนแบบนี้ได้ยาก เพราะอย่างนั้นเขามั่นใจว่าบุรุษผู้นี้ต้องเป็นผู้ลากมากดีอย่างแน่นอน

 

        ทันใดนั้นองครักษ์ด้านหลังคนผู้นั้นเอ่ยออกมาว่า “บังอาจ ท่านผู้นี้คือเหวินอ๋อง ยังไม่รีบ...”

         

        ……

         

        “เหวินอ๋อง!”

 

        องครักษ์ผู้นั้นยังไม่ทันได้เอ่ยจบ กลับได้ยินเสียงร้องที่ทำให้นกบนท้องฟ้าถึงกับส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ กู้โยวหนิงในยามนี้ใบหน้าซีดเซียว มองไปยังฉู่ยวี้ด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัว

 

        “ช่างเถิด” ฉู่ยวี้หันไปเอ่ยเสียงเย็นกับองครักษ์ผู้นั้น เมื่อเห็นว่ากู้โยวหนิงขมวดคิ้วเป็นปมและใบหน้าซีดเซียว “พวกเจ้าทั้งหมดออกไปก่อน!”

 

        “แต่ว่า...ท่านอ๋อง...อาการบาดเจ็บของท่าน...”

 

        องครักษ์ผู้นั้นคล้ายต้องการจะกล่าวต่อ แต่เพราะถูกเหวินอ๋องจ้องหน้าจึงหยุดพูดในทันที รีบคำนับฉู่ยวี้แล้วนำคนอื่นๆ ถอยออกห่างระยะหนึ่ง

         

        เมื่อเห็นเหล่าองครักษ์ถอยออกไปแล้ว ฉู่ยวี้ถึงหันกลับมามองกู้โยวหนิงอีกครั้ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เมื่อครู่เปิ่นหวางล่วงเกินเจ้า เจ้าตกใจกลัวหรือไม่”

 

        “เพราะฉะนั้นแล้ว...” กู้โยวหนิงกับเจียนยวี่ถอยหลังไปอยู่ข้างกัน มองไปยังฉู่ยวี้และตัวสั่นงกๆ

 

        “เพราะฉะนั้นแล้วท่านคือเหวินอ๋องจริงๆ หรือ?”

 

        ฉู่ยวี้เห็นกู้โยวหนิงตื่นตระหนกถึงขั้นนั้น จึงได้แต่ยกยิ้มมุมปากแล้วพยักหน้า

 

        กู้โยวหนิงสั่นสะท้านไปทั้งกาย เขาผลักเจียนยวี่ออกแล้วโผเข้าไปกอดขาฉู่ยวี้ทันที แบะปากส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญจนดังสนั่นฟ้าสะเทือนดิน

 

        “*กรรมเกิดจากเหตุ มีเหตุจึงมีผลตามมา ข้าไม่ได้อยากจะอภิเษกกับท่านเลยสักนิด ท่านอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายต่างหากที่บังคับข้า ขอท่านโปรดอย่าได้ทำอะไรข้าเลย ท่านอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ได้โปรดเมตตาข้าด้วย”

 

        เจียนยวี่เห็นเจ้านายตนร้องห่มร้องไห้อย่างนั้น พลันคุกเข่าลงแล้วกอดขาอีกข้างของฉู่ยวี้ จากนั้นเริ่มส่งเสียงร้องไห้ออกมาเช่นกัน

 

        “ใช่แล้วขอรับ คุณชายห้าของพวกเราถูกบีบบังคับ ขอท่านอ๋องโปรดเห็นใจ ไว้ชีวิตคุณชายห้าของพวกเราด้วยเถอะนะขอรับ”

 

        กู้โยวหนิงร้องไห้ปานใจจะขาดอย่างน่าสงสาร “ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยนะขอรับ ข้ายังไม่อยากตาย เบื้องบนยังมีลูกมีหลาน เบื้องล่างยังมีท่านพ่อท่านแม่ที่ต้องดูแลนะขอรับ”

 

        เจียนยวี่เกิดอาการงงงวยไปพักหนึ่ง ค่อยๆเอื้อมมือไปกระตุกชายอาภรณ์กู้โยวหนิง “คุณชายห้า! ผิดแล้วขอรับ เบื้องบนยังมีท่านพ่อท่านแม่ เบื้องล่างยังมีลูกมีหลานต่างหากขอรับ”

 

        “หา!” กู้โยวหนิงถึงกับหยุดนิ่งไปพักหนึ่งเพราะสติหลุด ทันใดนั้นเริ่มส่งเสียงร้องไห้ออกมาอีกครั้งหนึ่ง “ใช่แล้วๆๆ เบื้องบนยังมีท่านพ่อท่านแม่ เบื้องล่างยังมีลูกมีหลานต้องดูแล ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิดขอรับ!”

         

         

         

*กรรมเกิดจากเหตุ มีเหตุจึงมีผลตามมา หมายถึง ทุกๆ เรื่องมีต้นตอ ควรให้คนก่อเป็นผู้รับผล

 

______________________________________________

 

หากชอบนิยายเรื่อง "ย้อนลิขิตเขียนรัก พระชายาอ๋อง" ละก็เพื่อน ๆ สามารถตามเข้าไปอ่านได้ที่ลิงค์ด้านล่างเลยน้า

https://www.kawebook.com/story/3088

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

แก้ไขครั้งที่ 1 โดย Kawebook เมื่อ8 มิถุนายน พ.ศ. 2563 15.03 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
8 เมื่อ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 20.20 น.

เล่มที่1 บทที่8 ดั่งคนคุ้นเคย

 

        ฉู่ยวี้ลอบยิ้มมุมปากครู่หนึ่ง ยื่นมือไปประคองกู้โยวหนิงให้ลุกขึ้น ขมวดคิ้วมองใบหน้าดั่งดอกสาลี่ต้องหยาดฝน ดวงตาที่เดิมแลดูอบอุ่นอ่อนโยนถูกความดุดันของเขาบดบังไว้เกือบครึ่ง เมื่อจดจ้องไปยังผู้ใดมักจะให้ความรู้สึกเฉียบขาดและดุดันเสมอ ยามนี้สายตาคู่นั้นกำลังจดจ้องใบหน้างดงามที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา พานให้หวนนึกถึงเรื่องราวในชาติก่อนที่คล้ายกับเพิ่งจะเกิดขึ้น ในตอนนั้นกู้โยวหนิงร้องไห้อยู่เบื้องหน้าตนอย่างนี้เหมือนกัน

 

        เมื่อนึกถึงเรื่องนี้มือของฉู่ยวี้ที่จับอยู่บนต้นแขนของกู้โยวหนิงเพิ่มแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว กู้โยวหนิงเจ็บจนขมวดคิ้วแน่น นึกสงสัยว่าท่านอ๋องผู้นี้กำลังจะมาไม้ไหนกัน

 

        แต่จู่ๆ ได้ยินเสียงแหบแห้งของฉู่ยวี้เอ่ยขึ้นว่า “อย่าร้อง...”

 

        เขาไม่ต้องการเห็นคนผู้นี้ร้องไห้หรือเสียน้ำตาอีกต่อไป ฉู่ยวี้ค่อยๆ ไล่เช็ดน้ำตาบนใบหน้าเล็กอย่างอ่อนโยน แต่เพราะมือหนาหยาบกร้านจากการจับดาบจับกระบี่ เมื่อสัมผัสกับผิวบอบบางเนียนละเอียดจึงทิ้งรอยปื้นสีแดงไว้แทน

 

        จริงๆ แล้วกู้โยวหนิงแกล้งทำเป็นร้องไห้ น้ำตาเหล่านั้นถูกบีบออกมาเพราะอยากให้การแสดงดูน่าสงสารและสมจริง เขารู้ดีว่าในยุคนี้ไม่เหมือนกับยุคปัจจุบันที่ฆ่าคนแล้วต้องชดใช้ด้วยชีวิต คนที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้เป็นถึงท่านอ๋องที่มีฐานะสูงส่ง ถ้าอยู่ดีๆ คิดจะจัดการเขาขึ้นมาคาดว่าคงไม่ได้รับโทษอะไรด้วยซ้ำ เพราะอย่างนั้นบางครั้งบางคราวการแกล้งทำตัวอ่อนแอให้ดูน่าสงสารถือเป็นเรื่องจำเป็นเหมือนกัน

 

        แต่ตอนนี้เขารู้สึกได้ถึงฝ่ามือใหญ่ที่แสนอบอุ่นของเหวินอ๋องกำลังกอบกุมใบหน้าอันเย็นซีดของตนเอาไว้ เขาได้แต่เงยหน้ามองฉู่ยวี้ด้วยความสับสนมึนงงระคนแปลกใจเป็นอย่างมาก

 

        สายตาหยาดเยิ้มและแวววาวคู่นั้นเต็มไปด้วยความใสซื่อไร้เดียงสา ดวงหน้านวลผ่องราวดวงจันทร์วันเพ็ญช่างงามล้ำทำให้ผู้คนต้องพากันหลงใหล ในท้ายที่สุด ฉู่ยวี้เผลอจดจ้องเขาจนตกอยู่ในภวังค์เสียแล้ว

 

        เขาจำได้แค่ก่อนสิ้นใจในชาติที่แล้ว กู้โยวหนิงสวมอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ นั่งคุกเข่าอยู่ท่ามกลางลานเลือด ผมสีดำขลับสยายและพลิ้วไหวตามสายลม ดวงหน้างามล้ำตรึงใจ เขาไม่เคยคิดว่าคนผู้นี้จะยังมียามที่งามวิจิตรตระการตาได้ถึงเพียงนี้

 

        เพียงแค่มองเท่านั้น ความปรารถนาที่จะครอบครองพลันถือกำเนิดขึ้น

 

        ฉู่ยวี้เกิดความละอายใจ ชาติที่แล้วเขาปฏิบัติไม่ดีต่อกู้โยวหนิงเพราะคิดว่าการอภิเษกพระชายาบุรุษเป็นเรื่องอัปยศ ปล่อยปละละเลยกู้โยวหนิงให้อยู่ในจวนโดยไม่เคยถามไถ่สักคำ ยามนี้เขาเพิ่งจะเข้าใจว่าเขาคิดไปเองว่าการแต่งภรรยาบุรษเป็นเรื่องอัปยศ กู้โยวหนิงเป็นถึงบุตรชายอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย ทั้งยังรูปงามราวกับเทพจากสรวงสววรค์ ต้องมาออกเรือนกับบุรุษเช่นนี้เขาจะไม่รู้สึกอัปยศได้อย่างไรเล่า

 

        ฉู่ยวี้จดจ้องกู้โยวหนิงคล้ายมีคำพูดมากมายอยากจะเอ่ย แต่กลับไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใดออกไป เมื่อมองโดยรอบถึงนึกได้ว่าที่นี่คือหน้าประตูจวนอัครเสนาบดี และดูจะไม่เหมาะสมเท่าใด “ที่นี่ไม่ใช่ที่จะสามารถพูดคุยกันได้ เจ้าตามข้ามา”

 

        ดวงตาคู่งามของกู้โยวหนิงสอดส่องไปมา การจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในยุคสมัยนี้นี่ช่างยากจริงๆ ตอนนี้เขาอาศัยอยู่ในจวนอัครเสนาบดี ต่อให้พยายามใช้สมองระดมความคิดจนไม่ต้องแต่งเข้าจวนอ๋อง แค่ตราบใดที่ยังมีนางแม่มดนั่นอยู่ ชีวิตในวันข้างหน้าของเขาก็ไม่มีทางสงบสุขอยู่ดี ครั้นคิดทบทวนเรื่องนี้อยู่หลายครา จากนั้นเงยหน้ามองแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักใคร่ของฉู่ยวี้อย่างใช้ความคิด กู้โยวหนิงขมวดคิ้วพร้อมทั้งคิดว่าในเมื่อเป็นอย่างนี้ เขาก็ควรฉวยโอกาสตอนนี้เข้าไปเกาะขาขออาศัยบารมีเหวินอ๋อง ถ้าหากวันหน้าท่านอ๋องผู้นี้ได้สืบราชสมบัติ ก็เท่ากับกลายเป็นฮ่องเต้ ถึงเวลานั้นเรื่องราวทุกอย่างคงคลี่คลาย เขาจะได้มีโอกาสกลับมาเจอกับเหล่าหญิงงามในยุคโบราณอีกครั้งสักที

 

        คิดมาถึงตรงนี้ กู้โยวหนิงส่งยิ้มประจบสอพลอให้ฉู่ยวี้ในทันที ฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันและตอบรับคำเหวินอ๋อง

 

        ชานเมืองฉางอันมีแม่น้ำเล็กๆ ไม่ทราบชื่ออยู่สายหนึ่ง น้ำในแม่น้ำนี้ใสจนสามารถมองเห็นเบื้องล่าง บนฝั่งเต็มไปด้วยบุปผาในฤดูใบไม้ผลิที่กำลังแข่งกันออกดอกผลิบาน มวลบุปผาสะท้อนกับแสงอาทิตย์ยามกำลังจะลับขอบฟ้า เป็นภาพที่งดงามจนผู้พบเห็นอดที่จะอุทานออกมาไม่ได้

 

        ฉู่ยวี้ให้เหล่าองครักษ์คอยตามอยู่ห่างๆ ตนและกู้โยวหนิงจูงม้าเดินเล่นตามริมแม่น้ำอยู่เบื้องหน้า จิตใจที่เดิมกระวนกระวายถึงคราวสงบลงเสียที

 

        เเต่หัวใจของกู้โยวหนิงราวกับว่ามีคนกำลังตีกลองอยู่ เหวินอ๋องหมายความว่ายังไงกันแน่ เดินมาตั้งนานแต่ดันไม่พูดอะไรสักคำ ไม่ใช่ว่าเมื่อกี้อยู่หน้าประตูจวนลงมือไม่สะดวกถึงพาเขามาที่ป่ารกร้างอย่างนี้ แล้วจัดการกำจัดปัญหาอย่างเขาด้วยการฟันฉับในดาบเดียว

         

        ……

         

        กู้โยวหนิงยิ่งคิดยิ่งกลัว เมื่อกี้เขาต้องไม่มีสมองแล้วแน่ๆ ถึงคิดจะไปอาศัยบารมีเหวินอ๋อง ตอนนี้ท่านอ๋องต้องเกลียดเขาจนจะตายอยู่แล้วแน่ๆ

 

        ฉู่ยวี้สังเกตเห็นถึงความร้อนรนใจของกู้โยวหนิง ไหนจะยังหยุดเดินอย่างน่าประหลาดใจ ครั้นกำลังจะเอ่ยปากถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง กู้โยวหนิงกลับยื่นมือมากุมมือเขาเสียก่อน กล่าววาจาระรัวออกมาหมื่นพันคำ แต่สรุปใจความได้เพียงแค่ประโยคเดียวว่า...

 

 

______________________________________________

 

หากชอบนิยายเรื่อง "ย้อนลิขิตเขียนรัก พระชายาอ๋อง" ละก็เพื่อน ๆ สามารถตามเข้าไปอ่านได้ที่ลิงค์ด้านล่างเลยน้า

https://www.kawebook.com/story/3088

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

แก้ไขครั้งที่ 1 โดย Kawebook เมื่อ8 มิถุนายน พ.ศ. 2563 15.04 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
9 เมื่อ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 19.13 น.

เล่มที่1 บทที่9 การใหญ่ของท่านอ๋อง

 

        “ท่านอ๋อง ข้ายังไม่อยากตาย” กู้โยวหนิงกุมมือฉู่ยวี้ไว้แน่น

 

        ฉู่ยวี้ถอนหายใจ ไม่ประหลาดใจเลยสักนิด เหตุใดชาติที่แล้วยามพระชายาของตนพบหน้าตนคราใดถึงมักมีท่าทางไม่ต่างจากหนูเห็นแมวอยู่ร่ำไป แท้จริงแล้วเป็นเพราะเขากลัวจะถูกตนสังหารมาโดยตลอดนั่นเอง

 

        “เจ้าวางใจเถอะ เจ้าเป็นพระชายาของข้า ไม่มีผู้ใดกล้าทำอะไรเจ้า ข้าไม่มีทางทำร้ายเจ้า และไม่มีทางให้ผู้ใดทำร้ายเจ้าได้”

 

        “จริงหรือขอรับ?” กู้โยวหนิงเอ่ยถามย้ำ

 

        “ต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอน ข้าฉู่ยวี้ผู้นี้ขอสาบานว่าชั่วชีวิตนี้ต่อให้ต้องสละสิ้นทุกอย่าง ข้าก็จะขอปกป้องโยวหนิงให้ปลอดภัยและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขชั่วชีวิต”

 

        “ท่านจะไม่ข่มเหงข้า?” กู้โยวหนิงเบิกตากว้าง แต่สายตายังคงมองฉู่ยวี้ด้วยความหวาดระแวง

 

        ใบหน้าฉู่ยวี้แสดงออกถึงความละอายใจ กล่าวพลางเผยแววตาอบอุ่น “เดิมข้าเคยข่มเหงเจ้า แต่ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว...”

 

        กู้โยวหนิงกะพริบตาปริบๆ ที่แท้คำเล่าลือพวกนั้นไม่เป็นความจริงเลยสักนิด ถ้าเหวินอ๋องมีท่าทีอย่างนี้ งั้นเรื่องทุกอย่างก็คงจะจัดการได้ง่ายขึ้น

 

        “ท่านอ๋องออกรบจนนำดินแดนซีเซี่ยกลับคืนมาได้ ชื่อเสียงเกรียงไกร จนแม้แต่องค์รัชทายาทยังจับตามองท่าน เหล่าองค์ชายต่างเริ่มแบ่งฝักฝ่าย ยามนี้มีพระราชโองการให้ท่านอภิเษกพระชายาบุรุษ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วท่านอ๋องไม่วางแผนการอะไรเลยหรือขอรับ” กู้โยวหนิงเอ่ยด้วยความจริงใจ และความปวดใจเป็นอย่างยิ่ง จู่ๆ คว้ามือฉู่ยวี้ไว้อีกหน “ท่านอ๋องมีลักษณะของผู้ที่จะเป็นใหญ่ในภายหน้า ข้าน้อยยินยอมพร้อมใจจะขอติดตามท่าน แต่หวังเพียงหลังการใหญ่ของท่านอ๋องสำเร็จลุล่วงแล้ว โปรดคืนอิสระให้แก่โยวหนิงเท่านั้น”

 

        …

 

        ฉู่ยวี้งงงัน ครู่หนึ่งค่อยๆ พยักหน้า “หากได้รับความช่วยเหลือจากโยวหนิง ข้ายินดียิ่งนัก”

 

        เมื่อได้ยินดังนั้น กู้โยวหนิงจึงเผยรอยยิ้มออกมาทันที แบบนี้ก็ถือว่าเขากับท่านอ๋องทำข้อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว

 

        กู้โยวหนิงเดินมาเบื้องหน้าฉู่ยวี้ โค้งคำนับพร้อมเอ่ยอย่างนอบน้อม

 

        “กระหม่อมจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยเหลือการใหญ่ของท่านอ๋อง ตราบใดที่ยังมีลมหายใจนี้ จะต้องได้เห็นท่านปกครองใต้หล้า!”

 

        ฉู่ยวี้ยกยิ้มมุมปาก เป็นรอยยิ้มที่แลดูอบอุ่นและน่ามองยิ่งนัก แต่กู้โยวหนิงกลับไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกว่ารอยยิ้มนี้เต็มไปด้วยความขมขื่น

         

        ----

         

        เต๋อเซิ่งฮ่องเต้ทรงอ่านฏีกาอยู่ภายในตำหนักกว่างเซียน ทั่วทั้งพระวรกายเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของความสุขุมน่าเกรงขาม รวมถึงความโหดเหี้ยมอำมหิตอย่างที่ฮ่องเต้พึงมี

 

        หลังทรงวางฏีกาขอรับโทษขององค์รัชทายาทในพระหัตถ์ลง จึงหันพระพักตร์ไปทางฝูกุ้ยผู้เป็นหัวหน้าขันทีที่อยู่ข้างกาย “อาการบาดเจ็บของเหวินอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง”

 

        “กราบบังคมทูลฝ่าบาท หมอหลวงกล่าวว่าอาการบาดเจ็บของท่านอ๋องไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด และตอนนี้ท่านอ๋องฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ฝูกุ้ยลอบชำเลืองไปยังฮ๋องเต้ จงใจกล่าวต่อด้วยท่าทีลังเล “ทั้งยังได้ยินมาว่า...”

 

        พระภมุกาของเต๋อเซิ่งฮ่องเต้ขมวดเข้าหากันทันใด “ได้ยินมาว่าอะไร?”

 

        ฝูกุ้ยถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แสร้งยิ้มอย่างอารมณ์ดี “ได้ยินขันทีที่กลับจากติดตามหมอหลวงกล่าวว่า หลังจากท่านอ๋องฟื้นขึ้นมาได้รีบร้อนออกไปหาว่าที่พระชายาที่จวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายทันทีพ่ะย่ะค่ะ”

 

        ผู้นี้ถูกพระมเหสีติดสินบนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร หลายปีมานี้ไม่ว่าจะทั้งในที่ลับหรือที่แจ้ง ต่างก็คอยพูดหาความดีความชอบให้พระมเหสีกับองค์รัชทายาทโดยตลอด และยามนี้เมื่อเหวินอ๋องกระทำสิ่งไม่เหมาะสม เขาย่อมต้องช่วยองค์รัชทายาทนำสิ่งเหล่านี้มากราบทูลให้ฝ่าบาททรงทราบอย่างแน่นอน

 

        “...” พู่กันในพระหัตถ์ของฮ่องเต้ถึงกับชะงักทันใด พระภมุกาขมวดเป็นปมยิ่งกว่าคราแรก “มีเรื่องเช่นนี้?”

 

        “จะไม่เป็นความจริงได้เช่นไรพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้ฟังยังรู้สึกอัดอั้นใจ คราวก่อนนั้นเหวินอ๋องปฏิเสธพระราชโองการ เป็นเหตุให้ฝ่าบาทต้องทุกข์พระทัย แต่ครั้งนี้เกรงว่าท่านอ๋องจะรับรู้ถึงความลำบากพระทัยของฝ่าบาท จึงได้เปลี่ยนความคิดเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”

 

        เต๋อเซิ่งฮ่องเต้โยนพู่กันในพระหัตถ์ทิ้งทันที “หากจะเปลี่ยนความคิดเขา ให้ตายยังง่ายเสียกว่า”

 

        จะมีผู้ใดรู้จักบุตรมากไปกว่าบิดา เขารู้จักนิสัยของบุตรชายผู้นี้ดี มีทั้งความสามารถและความองอาจกล้าหาญ ทว่าความดื้อรั้นไร้เหตุผลกลับมีมากเกินไป ไม่เคยเห็นผู้ใดอยู่ในสายตา และสิ่งเหล่านี้คือสาเหตุที่เต๋อเซิ่งฮ่องเต้ทรงไม่โปรดเหวินอ๋อง ยามนี้ยังได้ยินว่าอาการบาดเจ็บยังไม่หายดี กลับลอบไปพบว่าที่พระชายาโดยไม่คำนึงถึงธรรมเนียมปฏิบัติ เต๋อเซิ่งฮ่องเต้จึงยิ่งไม่พอพระทัยกับท่าทีที่เปลี่ยนไปมาของฉู่ยวี้

 

        แต่เขากลับไม่รู้แม้แต่นิดว่าบุตรชายที่เขาคิดว่ากลับใจยากเสียยิ่งกว่าตายนั้น เคยผ่านพ้นความตายมาแล้วหนหนึ่ง

 

______________________________________________

 

หากชอบนิยายเรื่อง "ย้อนลิขิตเขียนรัก พระชายาอ๋อง" ละก็เพื่อน ๆ สามารถตามเข้าไปอ่านได้ที่ลิงค์ด้านล่างเลยน้า

https://www.kawebook.com/story/3088

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

แก้ไขครั้งที่ 1 โดย Kawebook เมื่อ8 มิถุนายน พ.ศ. 2563 15.04 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
10 เมื่อ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 22.11 น.

เล่มที่1 บทที่10 พ่อให้ลูกตาย

 

        หลังจากวันที่เหวินอ๋องขี่ม้าไปพบกู้โยวหนิงอย่างฉุกละหุก ทั่วทั้งเมืองฉางอันได้เริ่มมีข่าวลือต่างๆ มากมาย ผู้คนส่วนใหญ่กล่าวกันว่าการที่เหวินอ๋องลอบไปพบพระชายาก่อนเข้าพิธีอภิเษกถือเป็นเรื่องไม่เหมาะสม เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ก็ควรจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับผู้คนใต้หล้า การกระทำเช่นนี้ของฉู่ยวี้ เพียงชั่วพริบตาได้ถูกเหล่าขุนนางหยิบยกขึ้นมาถกเถียงกันไม่หยุด โต้เถียงกันมาหลายวันกลับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น นั่นเป็นเพราะฮ่องเต้มีพระราชานุญาตให้เหวินอ๋องไม่ต้องประชุมในท้องพระโรง เพื่อพักรักษาอาการบาดเจ็บจากการเข้าร่วมพิธีล่าสัตว์ครั้งก่อน

 

        แต่ไม่รู้ว่ามีผู้ใดจงใจหรือเพราะเหตุใด คำครหาถึงยิ่งบิดเบือนจนไม่น่าฟังขึ้นเรื่อยๆ เต๋อเซิ่งฮ่องเต้ทรงได้ยินแต่เสียงถกเถียงกันของเหล่าขุนนางเป็นเวลาหลายวันจนเริ่มทนไม่ไหว อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายอยู่ในจุดที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถ้าหากฮ่องเต้จะลงโทษเหวินอ๋องในยามนี้ ก็เท่ากับกำลังตบหน้าอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายไปด้วย เต๋อเซิ่งฮ่องเต้ได้แต่กักเก็บความกริ้วโกรธเอาไว้ เพราะเขาไม่สามารถทำสิ่งใดโดยไม่เห็นแก่หน้าตาของขุนนางเก่าแก่ แต่หลังจากการเข้าเฝ้าในท้องพระโรงเสร็จสิ้น ฮ่องเต้มีพระราชโองการให้เหวินอ๋องเข้าวังเพื่ออธิบายถึงเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นทันที

 

        ฉู่ยวี้ไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ หลังได้รับพระราชโองการ หลายวันมานี้หูเขาก็ไม่ได้พักเช่นกัน เพียงแต่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ข่าวลือแพร่กระจายออกไปเป็นเวลาหลายวันแล้วแท้ๆ แต่เสด็จพ่อพึ่งจะมีพระราชโองการเรียกเขาเข้าเฝ้าตอนนี้ แสดงว่ายังไว้หน้าอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย จึงไม่แสดงความกรุ่นโกรธใดๆ ออกมา

 

        อาการบาดเจ็บของฉู่ยวี้ดีขึ้นนานแล้ว เขาแค่ต้องการยืดเวลาออกไปเพียงเพราะไม่อยากเข้าร่วมประชุมในท้องพระโรง แต่ในเมื่อมีพระราชโองการให้เข้าวังเช่นนี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องแสร้งป่วยอีกต่อไป หลังเปลี่ยนไปสวมชุดราชสำนักเสร็จเรียบร้อยได้ขี่ม้าเข้าวังอย่างเอ้อระเหย

 

        มุมปากฉู่ยวี้ยกยิ้มเย็นเมื่อนึกภาพเสด็จพ่อที่อยู่ในความทรงจำ ประกายแสงวูบผ่านนัยน์ตาดำขลับที่ฉายแววเกลียดชัง เขาไม่มีทางที่จะไม่รู้สึกเกลียด ถึงอย่างไรเขาก็เป็นบุตรชายเช่นกัน ตั้งแต่เล็กจนโตในสายพระเนตรของเสด็จพ่อมีเพียงองค์รัชทายาท ไม่ว่าเขาจะพยายามทำดี หรือโดดเด่นมากเพียงใด เสด็จพ่อไม่เคยจะสนใจสักนิด และท้ายที่สุด เขาคาดไม่ถึงสักนิดว่าเสด็จพ่อจะมีพระราชโองการให้เขาปลิดชีพตน เพราะเกรงว่าผู้ควบคุมกำลังทหารอย่างเขาจะชิงตำแหน่งฮ่องเต้ขององค์รัชทายาทในภายหน้า

 

        ฮ่องเต้ต้องการให้ขุนนางตาย หากขุนนางไม่ตาย เท่ากับว่าไม่ซื่อสัตย์

 

        บิดาต้องการให้บุตรตาย บุตรไม่ตาย เท่ากับว่าอกตัญญู

 

        หากกล่าวถึงฐานะขุนนาง ฉู่ยวี้พลีชีพนำทัพออกรบคว้าชัยสู่รัฐจาว

 

        หากกล่าวถึงฐานะบุตรชาย เขาเคารพนอบน้อมต่อเสด็จพ่อมาโดยตลอด ไม่เคยมีสักครั้งจะคิดกำแหง

 

        แล้วเหตุใดจึงไว้ชีวิตเขาไม่ได้!

 

        ฉู่ยวี้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เขาในตอนนี้ไม่มีทางเหมือนกับฉู่ยวี้ในชาติก่อนที่จงรักภักดีอย่างโง่เขลา ต่อให้ตอนนี้เขาต้องฆ่าพ่อปลงพระชนม์ฮ่องเต้ หรือนำกำลังทหารเข้าล้อมวังหลวงก็จะไม่รู้สึกเสียใจแม้แต่นิด เดิมทีเขาไม่ได้หวังครอบครองบัลลังก์ แต่เขาจำเป็นต้องครอบครองใต้หล้านี้ เพื่อตนเอง และเพื่อกู้โยวหนิง

 

        ฉู่ยวี้หลับตาลงและโค้งคำนับไปทางเต๋อเซิ่งฮ่องเต้ หลังจากการก้มหัวครั้งนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างบิดาและบุตรของเขากับเต๋อเซิ่งฮ่องเต้ ถือว่าสิ้นสุดลง ณ บัดนี้

 

        ฮ่องเต้ทอดพระเนตรฉู่ยวี้เพียงครู่ ไม่รับสั่งให้เขาเงยหน้าขึ้น และตรัสตำหนิฉู่ยวี้ที่ไม่ยอมสงบเสงี่ยม  ทำให้เหล่าเชื้อพระวงศ์ต้องเสื่อมเสียเกียรติทันที

 

        สีหน้าฉู่ยวี้เรียบนิ่งเย็นชา รอให้ฮ่องเต้ตรัสตำหนิเสร็จจึงเอ่ยว่า “*เอ๋อร์เฉินรู้สึกละอาย ทว่าเรื่องนี้เอ๋อร์เฉินมีเหตุผล ขอเสด็จพ่อโปรดอภัย”

 

        ฮ่องเต้พิโรธจนถึงกับแย้มพระสรวลออกมา เรื่องราวทั้งหมดมีเหตุผล? จะยังมีเหตุผลอื่นใดได้ นอกเสียจากความโหดเหี้ยมของเขา ต้องเป็นเพราะไม่พอใจในการอภิเษกพระชายาบุรุษ จึงคิดจะไปข่มเหงว่าที่พระชายา ไปก่อเรื่องถึงจวนอัครเสนาบดีแล้วแท้ๆ ยังกล้าพูดว่ามีเหตุมีผลอีกหรือ!

 

        “หึ! ช่างเถิด ในเมื่อเจ้าพูดว่าเจ้ามีเหตุผล ถ้าเช่นนั้น**เจิ้นก็จะยอมฟังว่าเหตุผลเจ้าคืออะไร เหตุใดจึงไม่รักษาขนบธรรมเนียม ลอบออกไปพบหน้ากับพระชายาที่ยังไม่ผ่านพิธีอภิเษก?”

 

        ฉู่ยวี้เม้มริมฝีปาก จากนั้นกล่าว “เสด็จพ่อทรงทราบว่าเอ๋อร์เฉินโปรดสตรี ไม่พอใจในการอภิเษกพระชายาบุรุษ เพราะเอ๋อร์เฉินมีเพียงสิ่งเดียวที่ปรารถนามาโดยตลอด เอ๋อร์เฉินหวังเพียงว่าพระชายาจะเป็นผู้ที่เอ๋อร์เฉินรู้สึกรักที่สุดในชีวิต ทั้งยังเคยจินตนาการว่าพระชายาของเอ๋อร์เฉินจะมีหน้าตาเป็นเช่นไร ทันทีที่ทราบว่าจะต้องอภิเษกพระชายาบุรุษ เอ๋อร์เฉินจึงไม่อาจยอมรับได้ แต่เมื่อได้ยินคำร่ำลือว่าบุตรอนุภรรยาของอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายนามกู้โยวหนิง รูปงามจนหาได้มีผู้ใดในฉางอันเปรียบได้ เอ๋อร์เฉินใคร่รู้ว่าว่าที่พระชายาของตนแท้จริงแล้วหน้าตาเป็นเช่นไร จึงอดไม่ได้ที่จะออกไปพบว่าที่พระชายาพ่ะย่ะค่ะ เอ๋อร์เฉินรู้สึกละอายยิ่งนัก ขอเสด็จพ่อโปรดอภัยให้เอ๋อร์เฉินด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

 

        “เช่นนั้นหรือ?” ฮ่องเต้พระพักตร์ไร้ซึ่งอารมณ์ใด “ถ้าเช่นนั้นแล้วเจ้าได้เห็นอะไรบ้าง?”

 

        เมื่อกล่าวถึงกู้โยวหนิง รอยยิ้มแสดงความพึงพอใจจึงปรากฏอยู่บนใบหน้าฉู่ยวี้ในทันที “กราบทูลเสด็จพ่อ แม้กู้โยวหนิงจะเป็นบุรุษ แต่สามารถกล่าวได้ว่างดงามยิ่งนัก เพียงแรกพบสบตา เอ๋อร์เฉินก็พร้อมจะมอบความรักทั้งหมดให้กับคนผู้นี้”

 

        แม้เต๋อเซิ่งฮ่องเต้จะทรงไม่เชื่อในคำพูดของฉู่ยวี้มากนัก ทว่าพระพักตร์ที่กำลังพิโรธในคราแรก กลับค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย เพราะรอยยิ้มพึงพอใจเมื่อครู่ของฉู่ยวี้ไม่คล้ายกับเสแสร้ง อีกทั้งเขาไม่ปรารถนาที่จะอภิเษกกับพระชายาบุรุษตั้งแต่ต้น จึงไร้ความจำเป็นที่ต้องแสร้งรู้สึกสำนึกบุญคุณ ท่าทางเช่นนี้แสดงให้เห็นแล้วว่าบุตรชายผู้นี้ที่เชี่ยวชาญแต่เรื่องการรบ และไม่เคยเข้าใจเรื่องรักใคร่ คงจะถูกใจว่าที่พระชายาเข้าเสียแล้ว

 

        เต๋อเซิ่งฮ่องเต้ค่อยๆ วางพระทัย เขารู้สึกพอใจยิ่งนักเมื่อเป็นเช่นนี้ แม้เขาจะบังคับให้ฉู่ยวี้อภิเษกพระชายาบุรุษ เพื่อเป็นการเตือนบุตรชายและป่าวประกาศต่อผู้คนทั้งฉางอันว่า ยามนี้บุตรชายผู้นี้ไร้ซึ่งคุณสมบัติในการสืบทอดบัลลังก์ แต่จะมีสิ่งใดดีไปกว่าการที่ฉู่ยวี้สามารถรักพระชายาจากใจจริง ขึ้นชื่อว่าบิดาแล้วล้วนแต่ไม่ต้องการให้บุตรเกลียดตน แม้แต่ฮ่องเต้เองก็ไม่เว้น

 

        หลังตรัสตักเตือนอีกไม่กี่คำ จึงมีรับสั่งให้ฉู่ยวี้กลับจวน ก่อนกลับทรงกำชับให้เขารักษาตัวอยู่ภายในจวนให้ดี ทั้งยังมีพระราชานุญาตให้เขาพักผ่อนต่ออีกสักระยะหนึ่ง

 

        สีหน้าฉู่ยวี้ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาหลังก้าวพ้นประตูวัง เขารู้ว่ารับสั่งเช่นนี้หมายถึงการกักบริเวณตนไม่ผิดแน่นอน แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือท่าทีของเขาที่แสดงออกต่อพระพักตร์ฮ่องเต้เมื่อครู่ คาดว่าในไม่ช้านี้คงจะเป็นที่กล่าวขานกันโดยทั่วราชสำนัก เพราะเขาต้องการป่าวประกาศต่อผู้คนทั่วหล้าว่าเหวินอ๋องรักใคร่ว่าที่พระชายายิ่งนัก เขาจะไม่ยอมให้ผู้ใดดูหมิ่นดูแคลนกู้โยวหนิงอีกแม้แต่นิด

         

         

         

*เอ๋อร์เฉินคือคำใช้แทนตัวขององค์ชายต่อหน้าฮ่องเต้

**เจิ้นเป็นคำแทนตัวของฮ่องเต้

 

 

______________________________________________

 

หากชอบนิยายเรื่อง "ย้อนลิขิตเขียนรัก พระชายาอ๋อง" ละก็เพื่อน ๆ สามารถตามเข้าไปอ่านได้ที่ลิงค์ด้านล่างเลยน้า

https://www.kawebook.com/story/3088

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

แก้ไขครั้งที่ 1 โดย Kawebook เมื่อ8 มิถุนายน พ.ศ. 2563 15.05 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
11 เมื่อ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 19.26 น.

เล่มที่1 บทที่11 ไม่สนจริงเท็จ

 

        ทั้งเมืองฉางอันต่างเต็มไปด้วยข่าวลือของกู้โยวหนิงกับเหวินอ๋อง ข่าวลือพวกนั้นสามารถไปถึงหูของคนในราชสำนักได้ แล้วมีหรือที่คนในจวนอัครเสนาบดีจะไม่รับรู้อะไรมาบ้าง อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายแม้จะรู้สึกอับอายถึงเพียงใด แต่ก็ไม่กล้าบันดาลโทสะกับกู้โยวหนิง นอกจากนั้นสายตาของคนในจวนที่มีต่อกู้โยวหนิงล้วนแล้วแต่เปลี่ยนไป เดิมทีพวกเขาคิดว่าต่อให้กู้โยวหนิงแต่งเข้าจวนอ๋องไป ก็คงเป็นเพียงพระชายาผู้ไม่ได้รับการโปรดปรานใดๆ ทว่าผู้ใดจะรู้ว่าท่านอ๋องผู้ไร้หัวใจกลับให้ความสำคัญกับเขาถึงเพียงนี้ ท่านอ๋องไม่เพียงแต่ไม่ได้รับโทษจากการไม่รักษาขนบธรรมเนียม ยังคงกราบบังคมทูลกับฮ่องเต้อย่างเปิดเผยว่าพึงพอใจในตัวกู้โยวหนิง ต่อให้คำเล่าลือต่างๆ ในฉางอันจะฟังดูไม่ดีเพียงใด แต่ใครเล่าจะกล้าลองดีกับเหวินอ๋อง ในยามนี้จึงเห็นได้ชัดเจนแล้วว่าเหวินอ๋องกำลังประกาศต่อหน้าผู้คนว่าเขานั้นไร้ซึ่งคุณสมบัติในการสืบทอดบัลลังก์เสียแล้ว แต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร

 

        หากเป็นครอบครัวอื่น เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้คงต่างพากันดีใจจนแทบเสียสติ ทว่ายามนี้บรรยากาศในจวนอัครเสนาบดีกลับเต็มไปด้วยความอึมครึม พวกเขาต่างหวังกันลึกๆ ว่า หลังจากที่กู้โยวหนิงแต่งเข้าจวนอ๋องไปแล้วจงอย่าได้เป็นที่โปรดปรานของท่านอ๋อง ส่วนกู้ถิงได้เอาแต่ถอนหายใจติดต่อกันมาเป็นเวลาสองวัน เหล่าพี่น้องชายหญิงที่คอยจะรังแกกู้โยวหนิงมาโดยตลอดต่างพากันกินไม่ได้นอนไม่หลับ และผู้ที่ดูจะเจ็บแค้นกู้โยวหนิงมากที่สุดคงหนีไม่พ้นฮูหยินของจวน

 

        นางรู้สึกโมโหจนถึงกับหลับไม่ลง เมื่อนึกย้อนไปถึงยามที่กู้โยวหนิงถูกนางเหยียบย่ำไว้ใต้เท้า แค่คิดว่าหากมีวันใดกู้โยวหนิงได้กลายเป็นที่โปรดปรานแล้วกลับมาเหยียบย่ำตนคืน ก็พายให้นางโมโหจนข่มตาหลับไม่ได้ กู้โยวหนิงเป็นเพียงบุรุษ ถึงจะเป็นที่โปรดปรานก็อาจจะเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ไม่มีทางที่ท่านอ๋องจะโปรดปรานเขาได้ตลอดชีวิต ภายหน้าวันเวลาผ่านไปคนย่อมต้องแก่ตัวลง และคงหนีไม่พ้นถูกทิ้งขว้างไม่ไยดี ภายหน้าเกิดว่าท่านอ๋องหันไปโปรดปรานอนุจนถึงกับกำจัดพระชายา นางก็คงจะมีเรื่องขบขันให้ได้สำราญใจเสียแล้ว

 

        ดวงตาฮูหยินสกุลหลี่ฉายแววความร้ายกาจ สุนัขจิ้งจอกอย่างไรเสียก็ยังคงเป็นสุนัขจิ้งจอกอยู่วันยังค่ำ เป็นบุรุษกลับกล้าใช้มารยายั่วยวนเหวินอ๋อง ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก!

 

        กู้โยวหนิงที่นั่งอยู่ภายในห้องของตัวเอง หลังจากได้ยินเสียงจอกน้ำชาแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ของ และเสียงกรนด่าตนว่าไร้ยางอายออกมาจากภายในห้องฮูหยิน ทำให้เขาถึงกับยกยิ้มทันที “ฮึๆ จะมียางอายไปทำไมกัน กินได้หรือขายได้ที่ไหน ตอนนี้นางกำลังกลัวจนควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้แล้ว”

 

        “จะไม่เป็นเช่นนั้นได้อย่างไรขอรับ นางจะไม่เกรงกลัวได้อย่างไรกัน ตอนนี้ทั่วทั้งฉางอันมีผู้ใดไม่รู้กันบ้างว่า คุณชายห้ายังไม่ทันได้เข้าพิธีอภิเษกก็กลายเป็นผู้ที่ท่านอ๋องให้ความสำคัญเสียแล้ว” เจียนยวี่ยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่ข้างกายกู้โยวหนิง เมื่อก่อนเขากลัวว่ากู้โยวหนิงแต่งเข้าจวนอ๋องไปแล้วต้องตกระกำลำบาก แต่ในตอนนี้ไม่เพียงแต่ไม่ได้รับความลำบากใดๆ แล้ว แม้แต่ท่านอ๋องยังให้ความสำคัญเสียด้วยซ้ำ

 

        แต่เรื่องนี้มีแค่กู้โยวหนิงคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าท่านอ๋องใช้เขาเป็นข้ออ้างในการกู้หน้าเท่านั้น ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ถึงรีบร้อนมาหาอย่างนั้น แต่ก็ส่งผลดีกับเขาอยู่ไม่น้อย เพราะงั้นแล้วข่าวลือต่างๆ นานา อะไรนั่นเขาไม่ได้สนใจเลยสักนิด เมื่อผู้คนต่างพากันเข้ามาแสดงความยินดีและคอยเอาอกเอาใจ เขาก็ได้ทำการน้อมรับไว้ด้วยความไม่กระดากอายอะไรทั้งนั้น ไม่หนำซ้ำยังวางท่าทีหยิ่งผยอง จนอีกนิดคนทั้งจวนเสนาบดีแทบจะพยุงเดินอยู่รอมร่อ ถึงจะใช้ชีวิตอยู่ในยุคนี้มานานกว่าสิบปี แต่ช่วงเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ถือเป็นวันที่เขารู้สึกมีความสุขที่สุดในชีวิตแล้ว

 

        และในช่วงนี้กู้โยวหนิงติดนิสัยอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือการที่เขาชอบกลั่นแกล้งผู้คนในจวนอัครเสนาบดี โดยเฉพาะพวกคนรับใช้ทั้งหลายที่ปกติมักข่มเหงรังแกเขาเป็นประจำ ในตอนนี้กลับพากันกลัวจนหัวหด กู้โยวหนิงไม่ด่าว่าหรือลงมือทำร้ายทุบตีพวกเขา และเพราะการกระทำเช่นนี้ กลับยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกอกสั่นขวัญแขวนแทบตลอดเวลา เขารู้สึกพอใจมากกับพฤติกรรมที่คล้ายกับเป็นโรคจิตของตัวเอง

 

        ที่จริงแล้วการพึ่งบารมีของเหวินอ๋องมันดีอย่างนี้นี่เอง คิดได้เช่นนั้นกู้โยวหนิงก็พลันหัวเราะด้วยความพอใจ เมื่อทุกคนเห็นเขาจู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมาเช่นนั้นต่างพากันขนลุกชูชัน ไม่กล้าที่จะปฏิบัติละเลยต่อว่าที่พระชายาเหวินอ๋องผู้นี้เลยแม้แต่วินาทีเดียว

 

        กู้โยวหนิงหลังจากทารุณเด็กรับใช้ในจวนอัครเสนาบดีจนเป็นที่พอใจแล้ว จึงเดินไปกอดคอเจียนยวี่เอาไว้ “ไปกันเถอะ วันนี้ข้าอารมณ์ดี พวกเราออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกกันดีกว่า”

 

        เจียนยวี่ที่ถูกเขากอดคอกึ่งบังคับนั้นเดินอย่างทุลักทุเลและได้แต่กรอกสายตา

 

        ----

 

        ตำหนักปี้สุ่ยคือห้องหนังสือของเหวินอ๋อง อักษรด้านบนตำหนักสลักไว้ว่า ความซื่อสัตย์ ความชอบธรรม ยากจะคงไว้คู่กัน

 

        ฉู่ยวี้นั่งอยู่หน้าโต๊ะอ่านตำราพลางจดจ้องไปยังพระราชโองการพระราชทานพิธีอภิเษกจากฮ่องเต้ วันที่ 18 เดือนสองหมั้นหมาย วันที่ 25 เดือนสามส่งเกี้ยวรับตัวเจ้าสาว อีกไม่ถึงครึ่งเดือนเท่านั้น กู้โยวหนิงจะได้แต่งเข้ามาอยู่ในจวนอ๋องแห่งนี้แล้ว หลังจากวันนั้นเขาไม่ได้กับพบกู้โยวหนิงอีก วันนั้นเขาพึ่งจะตื่นจากความโง่เขลาในชาติที่แล้ว จึงได้หุนหันพลันแล่นออกไปพบกู้โยวหนิงโดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสม แม้ข่าวลือและเสด็จพ่อจะถูกเขาควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แล้ว แต่หากยังไม่คำนึงถึงความเหมาะสมต่างๆ ลอบออกไปพบคนผู้นั้นอีกหน ก็เกรงว่าจะเป็นผลเสียกับชื่อเสียงของกู้โยวหนิงเอาได้

 

        ในขณะที่ท่านอ๋องกำลังป่วยไข้ใจอยู่นั้น องครักษ์ที่เขาสั่งให้คอยแอบติดตามกู้โยวหนิงได้วิ่งเข้ามาด้านในอย่างรีบร้อน ยังไม่ทันได้คำนับท่านอ๋องก็โพล่งออกมาทันทีว่า “ท่านอ๋อง เกิดเรื่องไม่ดีแล้วขอรับ คุณชายกู้เขา... เขา...”

 

        ฉู่ยวี้พลันลุกขึ้นแล้วร้องถามด้วยความตกใจ “เกิดอะไรขึ้น?”

 

        องครักษ์ผู้นั้นเกิดหวาดเกรงเพราะน้ำเสียงของฉู่ยวี้ จึงค่อยๆ กลืนน้ำลายอย่างยากลำบากแล้วตอบกลับว่า “วันนี้คุณชายกู้ไปที่หอชุนเฟิง จนถึงตอนนี้ยังอยู่ในห้องของแม่นางเชียนเซวี่ยไม่ออกมาขอรับ”

 

        กู้โยวหนิงคาดไม่ถึงว่าการที่เขามาดื่มเหล้าสักจอก จะกลายเป็นลากเหวินอ๋องให้ตามมาที่นี่ด้วย

 

        “ไม่มีเรื่องร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น เจ้าจะมารายงานข้าทำไม!”

 

        กู้โยวหนิงในยามนี้สวมเพียงชุดตัวในสุด ขณะที่กำลังหยิบชุดนอกสวมทับอย่างฉุกละหุก และนิ้วมือเรียวงามกำลังจะผูกผ้าคาดเอวอย่างรีบร้อนอยู่นั้น ได้มีมือของสตรีนางหนึ่งเอื้อมเข้ามาช่วยผูกให้ ทั้งยังช่วยจัดชุดของเขาให้เรียบร้อย ทันใดนั้นนางได้เอ่ยด้วยเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อย “คุณชาย...เหวินอ๋องจะไม่...”

 

        ใบหน้าของกู้โยวหนิงที่เดิมทีแลดูอ่อนหวานได้แปรเปลี่ยนเป็นดุดันในทันที ผินหน้าไปทางเชียนเซวี่ยที่ต้องการจะช่วยเขาหวีผมแล้วเอ่ย “เรื่องในวันหากแพร่งพรายออกไปแล้ว เจ้ากับข้าจะไม่มีที่ให้ดินกลับหน้าด้วยกันทั้งคู่”

 

        เชียนเซวี่ยได้ยินเช่นนั้นจึงตกใจกลัวจนตัวสั่น และเกือบจะทำปิ่นปักผมร่วงลงบนพื้น กู้โยวหนิงขมวดคิ้วแล้วแย่งเอาปิ่นปักผมนั้นมาไว้ “ไม่ต้องปักของพวกนี้แล้ว”

 

        พูดเสร็จก็หยิบเอาผ้าผูกผมสีขาวขึ้นมามัดเส้นผมสีดำสนิทของตัวเองไว้ จากนั้นหันไปหาเจียนยวี่ “ใครถามเจ้าก็บอกว่าข้ามาเยี่ยมเยียนพูดคุยกับแม่นางเชียนเซวี่ยเท่านั้น ได้ยินไหม?”

 

        “ขอรับๆ ข้าได้ยินแล้ว!”

 

        เจียนยวี่ต้อนรับอย่างรวดเร็ว แต่บนหน้านั้นได้ซีดเซียวไร้สีไปนานแล้ว ถึงแม้กู้โยวหนิงจะมักใช้เวลาคลุกคลีอยู่กับเหล่าหญิงงาม หอนางโลมทั่วทั้งฉางอันไม่มีที่ไหนที่เขาไม่เคยไปมาก่อน แต่ก็เพียงแค่ดื่มสุราหรือชมดนตรีเท่านั้น ไม่เคยทำสิ่งใดเกินเลยไปกว่านั้นเลยสักนิด ในครั้งนี้ตนคิดว่ากู้โยวหนิงเพียงแค่จะมาดื่มสุราพูดคุยกับคุณชายท่านอื่นๆ หรือหาหญิงงามนั่งเล่นเป็นเพื่อนเช่นเคย ดังนั้นหลังจากได้ยินว่าเหวินอ๋องจะมาที่นี่จึงไม่ได้คิดอะไรมากความแล้วรีบวิ่งเข้ามารายงานคุณชายทันที แต่พอเข้ามาถึงในห้องกลับพบว่าคนทั้งสองกำลังถอดอาภรณ์จนเหลือเพียงชุดตัวในสุดเท่านั้น

 

        หลังจากเห็นเช่นนั้น สติของเจียนยวี่ก็ได้ล่องลอยไปเสียแล้ว

 

        กู้โยวหนิงเมื่อสวมชุดเรียบร้อยจึงค่อยๆ แอบย่องออกมาจากในห้อง ครั้นเงยหน้าขึ้นกลับพบกับเหวินอ๋องที่กำลังโมโหจนใบหน้าทมึงถึงอยู่ เขาจึงค่อยๆ กระแอมออกมาด้วยความรู้สึกเขินอาย เอ่ยด้วยเสียงแห้งผากออกไปว่า “คำนับท่านอ๋องขอรับ!”

 

        ท่านอ๋องยื่นมือมาฉุดเขาให้ไปอยู่ข้างกายโดยไม่รอให้โค้งคำนับใดๆทั้งนั้น เอ่ยพลาขมวดคิ้วเป็นปมว่า “เจ้าเพิ่งจะอายุเท่าไหร่กันถึงกล้ามายังที่เช่นนี้?”

 

        กู้โยวหนิงถูกใบหน้าทมึงถึงของท่านอ๋องกดดันจนเกิดเป็นความกลัว พยายามใจกล้าตอบกลับอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “ท่านอ๋อง กระหม่อมอายุ 16 แล้วขอรับ”

 

        เขาไม่เพียงแค่อายุ 16 ปี ก่อนที่จะข้ามเวลามาที่นี่เขามีชีวิตอยู่มาตั้ง 20 ปี ถ้าเอามารวมกันแล้วเขาอายุสามสิบกว่าแล้วด้วยซ้ำ เมื่อก่อนเขาไม่คิดจะทำเรื่องพวกนี้ เพราะร่างกายหน้าตาที่สวยหวานซะขนาดนี้จะให้ไปทำอะไรพี่สาวเหล่านั้นได้ แต่ตอนนี้เขาอายุ 16 ปีแล้ว ในครั้งนี้พอมีความคิดอยากจะเปิดหูเปิดตาก่อนต้องออกเรือนไปสักหน่อย กลับต้องมาถูกท่านอ๋องจับได้ซะก่อน เขาล่ะรู้สึกทุกข์ใจจริงๆ

 

        ฉู่ยวี้เมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่ของกู้โยวหนิงถึงกับเบิกตาโพล่ง พลอยทำให้กู้โยวหนิงตกใจจนถึงกับหัวหด ฉู่ยวี้พูดอะไรไม่ออก เมื่อตอนที่อายุ 16 เขามีอนุชายาถึงสองคนแล้วด้วยซ้ำ แต่ว่าคนผู้นี้คือพระชายาของเขา พระชายาของเขาจะมาทำเรื่องเช่นนี้กับผู้อื่นได้อย่างไร...

 

        ไม่นานก็ต้องเข้าพิธีอภิเษกแล้วแท้ๆ ยังกล้ามาหอนางโลมเช่นนี้อีก

 

        ทันใดนั้นฉู่ยวี้นึกได้ว่าในชาติก่อนกู้โยวหนิงคุกเข่าต่อหน้าตน พลางบอกว่าเคยมีความสัมพันธ์กับแม่นางเหลียน แม่นางเหลียนผู้นี้ต้องเป็นแม่นางหลินเหลียน บุตรสาวของผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าเขาอย่างแน่นอน หลังจากพิธีอภิเษกได้ครึ่งปี นางถูกเขารับเข้ามาเป็นชายารองอีกคน เป็นถึงพระชายากลับกล้าลักลอบมั่วโลกีย์กับชายารองของเขา เพราะฉะนั้นแล้วจะนับประสาอะไรกับการมาหอนางโลมก่อนเข้าพิธีอภิเษกกันเล่า

 

        ดวงตาของฉู่ยวี้ฉายแววหม่นหมองขึ้นพักหนึ่ง แล้วค่อยๆบอกกับตัวเองว่าเรื่องทุกอย่างยังสามารถแก้ไขได้ วันนี้หลังจากกลับจวนอ๋องไป เขาจะส่งหลินเหลียนให้กลับไปอยู่กับพี่ชายของนางเสีย

 

        “ภายหน้าข้าไม่อนุญาตให้เจ้ามาในที่แบบนี้อีก เจ้ากับข้าจะเข้าพิธีอภิเษกกันในเร็ววันนี้แล้ว ในยามนี้ทั่วทั้งฉางอันยังมีข่าวลือและคำครหาอีกมากมาย เจ้าทำเช่นนี้ไม่เกรงว่าจะถูกผู้มีใจคิดร้ายนำไปใช้ประโยชน์หรืออย่างไร”

 

        “แต่การอภิเษกของเราไม่เป็นความจริงนี่ขอรับ!” กู้โยวหนิงกระทืบเท้า รีบร้อนอธิบาย

 

        “สิ่งใดไม่เป็นความจริง จะมีการอภิเษกใดไม่เป็นความจริงกัน?” ฉู่ยวี้ถามกลับด้วยใบหน้าเขร่งขรึม

 

        “ตะ ... แต่ว่า...” กู้โยวหนิงเริ่มรู้สึกขัดเขินอีกครั้ง แต่ก็ยังพยายามที่จะเอ่ยมันออกมาเพืื่อเตือนสติท่านอ๋อง “แต่ว่าท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้ตกลงกันแล้วหรือขอรับ ถ้าหากการใหญ่เสร็จสิ้นเมื่อใด ท่านอ๋องจะคืนอิสรภาพให้โยวหนิง ท่านอ๋องไม่ได้จะกลับคำใช่หรือไม่ขอรับ!”

 

        ฉู่ยวี้ถึงกับชะงักงันเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขานึกไม่ถึงว่าเจ้าเด็กคนนี้จะจดจำประโยคพวกนี้ไว้จนขึ้นใจ ความรู้สึกไม่พอใจได้อัดแน่นอยู่ภายในทว่าเขาไม่รู้ว่าควรจะระบายมันออกมาได้อย่างไร แต่ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลใด เขาไม่ต้องการเห็นกู้โยวหนิงคลุกคลีอยู่กับสตรีเหล่านั้น

 

        ท่านอ๋องผู้เด็ดเดี่ยวและเฉียบขาดมาโดยตลอด ท้ายที่สุดในเวลานี้ก็ยังคงตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาดเช่นเดิม นั่นก็คือรวบคนผู้นี้แล้วอุ้มพาดบ่าออกมา

 

        กู้โยวหนิงเอาแต่ร้องโหวกเหวกโวยวายออกมา จนฉู่ยวี้ต้องเอ่ยวาจาข่มขู่ในทันที “เจ้าร้องอีกสิ หากเจ้าร้องขึ้นมาอีกสักทีผู้คนทั่วทั้งฉางอันจะได้รู้กันให้ทั่วว่า ว่าที่พระชายาก่อนเข้าพิธีอภิเษกกลับมายังหอนางโลมเช่นนี้”

 

        กู้โยวหนิงหุบปากฉับพลัน ยอมโดนอุ้มพาดบ่าไปอย่างไม่ต่อต้านใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าถูกเจอว่ามาที่หอนางโลมอย่างนี้ นั่นก็หมายความว่าเขาได้ทำให้ราชวงศ์ต้องอับอายอย่างถึงที่สุด ต้องถูกลอบฆ่าแน่นอนไม่ต้องห่วง เขายังไม่ทันได้สมหวังกับความฝันที่จะมีหญิงงามรายล้อม เพราะงั้นจะมาตายอย่างนี้ไม่ได้เด็ดขาด กู้โยวหนิงได้แต่มองไปยังแผ่นหลังกว้างของฉู่ยวี้ และบอกกับตนเองว่า เพื่อชีวิตที่สวยงามในวันข้างหน้า เขาจำเป็นต้องอดทนสักหน่อยก็แล้วกัน

 

 

______________________________________________

 

หากชอบนิยายเรื่อง "ย้อนลิขิตเขียนรัก พระชายาอ๋อง" ละก็เพื่อน ๆ สามารถตามเข้าไปอ่านได้ที่ลิงค์ด้านล่างเลยน้า

https://www.kawebook.com/story/3088

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

แก้ไขครั้งที่ 1 โดย Kawebook เมื่อ8 มิถุนายน พ.ศ. 2563 15.06 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
12 เมื่อ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 20.13 น.

เล่มที่1 บทที่12 ซีฉู่ป้าอ๋อง

 

        กู้โยวหนิงที่กำลังมึนงงถูกฉู่ยวี้จับยัดเข้าไปในรถม้าอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว หลังจากจับกู้โยวหนิงยัดเข้าไปแล้วจึงแทรกตัวเข้าไปตาม กู้โยวหนิงรู้สึกเวียนหัวเป็นทุนเดิม เพราะเมื่อครู่ถูกท่านอ๋องจับอุ้มพาดบ่าออกมา ในตอนนี้ต้องมาเริ่มเวียนหัวอีกครั้งเพราะการเขย่าของรถม้า

 

        เขาเกลียดการเดินทางในยุคโบราณมาก ขี่ม้า! จะไม่ให้บ่นได้ยังไง ดูก็รู้ว่าไม่ปลอดภัยสักกะนิด ถ้าวันหนึ่งม้าตัวนั้นอารมณ์ไม่ดีละเกิดพยศขึ้นมา แล้วถ้าไม่โดนม้ากระทืบจนพิการก็คงต้องตายกันไปข้างหนึ่ง เพราะเหตุนี้กู้โยวหนิงผู้รักและทะนุถนอมชีวิตยิ่งนักจำต้องขอออกห่างให้ไกลจากม้า ส่วนรถม้ามองดูอาจจะรู้สึกว่าปลอดภัย อันที่จริงก็ดูปลอดภัยอยู่บ้าง แต่ว่าฝีมือและเทคนิคในยุคโบราณมีขีดจำกัด ถนนก็ไม่ได้ราบเรียบขนาดนั้น เพราะงั้นรถม้าถึงได้เขย่าแรงมากอย่างตอนนี้ นอกจากจะทำให้เวียนหัว ถ้าต้องเดินทางระยะไกลก็ทำให้ปวดก้นมากๆ ได้เหมือนกัน

 

        ดังนั้นกู้โยวหนิงพยายามอย่างหนักในการใช้มือเกาะบริเวณด้านข้างของรถม้า เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องถูกเขย่ามากนัก แต่ผลสุดท้ายเขาก็ยังคงถูกเขย่าจนต้องโยกไปโยกมาอยู่ดี

 

        เวียนหัวมาก จะอ้วกออกมาแล้วเนี่ย แต่นี่รถม้าของเหวินอ๋อง ถ้าอ้วกใส่รถม้าคนอื่นมันคงจะดูไม่ค่อยมีมารยาทเท่าไหร่มั้ง

 

        รถม้าออกตัวได้ไม่ถึงห้านาที กู้โยวหนิงรู้สึกราวกับว่าสติของตัวเองกำลังเลือนราง อาจเป็นเพราะถนนไม่ราบเรียบ ทำให้จู่ๆ รถม้าเพิ่มแรงเขย่าขึ้นอย่างแรง ผู้ที่นั่งไม่ค่อยจะมั่นคงแต่แรกอย่างกู้โยวหนิงถึงกับเซถลาไปด้านหน้าตามแรงเหวี่ยงทันที ทว่าความเจ็บปวดที่คาดว่าจะได้รับจากการถูกเหวี่ยงกลับไม่เกิดขึ้นแม้แต่นิด

 

        วงแขนใหญ่ทั้งสองข้างของฉู่ยวี้โอบรอบเอวกู้โยวหนิง จัดแจงให้เขานั่งลงบนตักตนพร้อมทั้งกอดไว้

 

        กู้โยวหนิงเลิกสนใจเรื่องเวียนหัว เกิดเป็นความตกใจจนมือเท้าเริ่มออกแรงขัดขืนในทันที รีบเอ่ยขออภัยด้วยน้ำเสียงสั่นเท่า “ทะ...ทะ..ท่านอ๋อง กระหม่อมไม่กล้า!”

 

        “อย่าขยับ!”

 

        ฉู่ยวี้เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ ก้มหน้ามองผู้ที่อยู่ในอ้อมกอด ยามนี้ดวงหน้าเรียวเล็กกำลังแต่งแต้มด้วยสีแดงระเรื่อ เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องราวในชาติก่อน คนผู้นี้เคยนอนกระอักเลือดภายใต้อ้อมกอดตนเช่นเดียวกับยามนี้ ในวันนั้นแม้ร่างจะมีความอบอุ่นอุ่นหลงเหลืออยู่ แต่ท้ายที่สุดกลับทิ้งไว้แค่ความเย็นเฉียบ ในวันนี้คนผู้นี้กลับมาอยู่ภายใต้อ้อมกอดของเขาอีกครา กลิ่นหอมอ่อนผสมกลิ่นความเยาว์วัยของหนุ่มน้อยผู้นี้ ทำให้ฉู่ยวี้ค่อยๆ กระชับอ้อมกอดให้แนบแน่นยิ่งขึ้น

 

        กู้โยวหนิงตื่นตระหนกจนไม่กล้าขยับเขยื้อน เมื่อเงยหน้าขึ้นมองอย่างกล้าๆ กลัวๆ กลับพบว่าฉู่ยวี้ก้มหน้ามองตนอยู่ก่อนแล้ว แววตาจากดวงตาคู่นั้นแสดงออกถึงความรัก ความผูกพันมากล้นจนบุรุษผู้หนึ่งไม่อาจจะเก็บซ่อนเอาไว้ได้

 

        กู้โยวหนิงผินหน้าหนีไปอีกทางทันที หัวใจดวงน้อยๆ พลันสั่นระรัวกว่ายามปกติอย่างบ้าคลั่ง

 

        เขาพยายามบอกกับตัวเองว่าความรู้สึกเมื่อครู่ที่ได้รับเป็นการเข้าใจผิดไปเอง เพราะคนที่กำลังกอดเขาอยู่ในตอนนี้เป็นถึงท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์ของยุคนี้ ยังสามารถมีอนุชายาได้อีกมากมาย ไม่ว่ายังไงในยุคนี้ยังมีผู้หญิงดีๆ และหน้าตางดงามให้เขาเลือกอีกมากมาย เขาเป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่ง ถึงวันข้างหน้าจะต้องกลายเป็นพระชายาของท่านอ๋อง แต่ก็เพราะฮ่องเต้บีบบังคับให้ท่านอ๋องอภิเษกเท่านั้น

 

        เพราะงั้นนะกู้โยวหนิง จงดูไว้ว่าทั้งหมดนี้เป็นแค่เรื่องโกหก หญิงงามเหล่านั้นต่างหากที่เป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิต เขาต้องหาผู้หญิงที่ทั้งดีทั้งสวยเหมือนในหนังย้อนยุค ต้องทำดีกับพวกนาง ทำให้พวกนางคอยรายล้อมอยู่รอบข้าง ไม่ใช่ไปอยู่กับผู้หญิงพวกนั้นแล้วคอยรายล้อมรอบตัวผู้ชายคนเดียวแบบนี้

 

        แต่ว่า... อ้อมกอดนี้อบอุ่นคล้ายกับอ้อมกอดของพี่จริงๆ แน่นอนว่าเขาไม่ได้หมายถึงคนในจวนอัครเสนาบดี แต่หมายถึงพี่ชายในยุคปัจจุบัน ตั้งแต่เล็กจนโตเขามักจะถูกพี่ชายกอดไว้แบบนี้ อ้อมกอดของท่านอ๋องเหมือนกับของพี่ไม่มีผิด สามารถทำให้จิตใจสงบ ไม่รู้ว่าป่านนี้พี่เขาจะเป็นยังไงบ้าง หลังจากเขาตาย พี่ก็คงจะสบายกว่าเดิมไม่น้อย

 

        ฉู่ยวี้จ้องมองผู้ที่อยู่ในอ้อมกอดตนอยู่ตลอด คราแรกไม่ยอมอยู่นิ่ง ตอนนี้กลับดูเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัด ฉู่ยวี้ขมวดคิ้วและรู้สึกหดหู่ เขาไม่รู้ว่าความโศกเศร้าของคนในอ้อมกอดเกิดจากอะไร แต่ต้องไม่ใช่เพราะตนอย่างแน่นอน เพราะในสายตาคนผู้นี้เขาเป็นเพียงท่านอ๋องผู้เหี้ยมโหดที่ไม่รู้ว่าจะสังหารเขายามใด และภายหน้ายังกลายเป็นสามีที่ตัวตายเหลือทิ้งไว้เเค่เพียงชื่อ

 

        กู้โยวหนิงรู้สึกว่าบรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างน่าอาย จึงเอ่ยอย่างประหม่าว่า “ท่านอ๋อง... เราจะไปไหนกันหรือขอรับ”

 

        “ส่งเจ้ากลับจวน”

 

        “อ่อ” กู้โยวหนิงพยักหน้าช้าๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงรู้สึกแปลกๆ อยู่ดี

 

        “ต่อไปนี้เจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่าท่านอ๋อง แลดูห่างเหินกันเกินไป” ฉู่ยวี้กระชับอ้อมกอดเพื่อให้กู้โยวหนิงแนบชิดเข้ามาอีก และเพื่อให้เขานั่งในท่าที่สบายขึ้น ทว่าการกระทำนี้กลับใบหน้าที่เพิ่งจะกลับเป็นปกติเริ่มแดงระเรื่ออีกครั้ง

 

        กู้โยวหนิงตกตะลึงอีกครั้ง หลังใช้ความพยายามอย่างหนักในการปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เงยหน้าเอ่ยถามด้วยท่าทีงงงวย “ถ้าเช่นนั้นจะต้องเรียกว่าอย่างไรขอรับ?”

 

        “ข้าเป็นโอรสลำดับที่หก เช่นนั้นแล้วเจ้าจงเรียกข้าว่าพี่หกแล้วกัน”

 

        “ไม่ได้นะขอรับ กระหม่อมไม่บังอาจ!”

 

        “ถือว่าข้ากับเจ้าตกลงกันเช่นนี้ และต่อแต่นี้ไปห้ามเจ้าแทนตัวว่ากระหม่อมอีกเด็ดขาด”

 

        “แต่ว่า...” กู้โยวหนิงค่อยๆ นั่งลงหลังจากขัดขืนในคราแรก “แต่ว่าขัดต่อธรรมเนียมนะขอรับ”

 

        กู้โยวหนิงใช้ชีวิตในยุคนี้มาสิบปี เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่ายุคสมัยนี้ยึดถือและปฏิบัติตามธรรมเนียมอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะผู้ที่เกิดมาในชนชั้นสูงยิ่งต้องเคร่งธรรมเนียมปฏิบัติมากกว่าผู้อื่น เช่นเดียวกับ*หลินไต้ยวี้ที่ไม่กล้าก้าวพลาดหรือพูดผิดแม้แต่นิดเดียว เพราะเกรงว่าจะกลายเป็นที่หัวเราะเยาะของผู้อื่น

 

        “เจ้าอย่าได้กังวลไป ผู้ใดกล้าเอ่ยเรื่องงธรรมเนียมปฏิบัติกับข้าเท่ากับรนหาที่ตาย” ฉู่ยวี้ยกยิ้มมุมปาก เพราะเขาเคร่งครัดธรรมเนียมเหล่านั้นมากจนเกินไป ชาติที่แล้วถึงได้มีจุดจบแสนอนาถเช่นนั้น การได้รับบทเรียนนี้แค่ครั้งเดียวก็ถือว่าเพียงพอแล้ว นับแต่วันนี้ไป เขาจะเป็นผู้กำหนดธรรมเนียมเหล่านั้นเอง

 

        กู้โยวหนิงลอบมองท่าทีหยิ่งทรนงของฉู่ยวี้ แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงรู้สึกว่าเหวินอ๋องมีเรื่องราวมากมายอัดอั้นอยู่ในใจ ทั้งยังดูไม่มีความสุขตลอดเวลา

 

        แต่ก็น่าแปลก ฮ่องเต้มีพระราชโองการให้เขาอภิเษกพระชายาบุรุษ เพราะเกรงว่าเขามีคุณงามความดีมากมายจนอาจสั่นคลอนถึงตำแหน่งขององค์รัชทายาท ยามนี้เหล่าโอรสของฮ่องเต้มีมากมาย แต่มีเหวินอ๋องเพียงผู้เดียวที่ต้องอภิเษกพระชายาบุรุษ เกิดเป็นบุตรย่อมไม่มีผู้ใดอยากจะถูกบิดาทอดทิ้ง ตัวเป็นขุนนางย่อมไม่มีผู้ใดอยากถูกฮ่องเต้ไม่ไว้พระทัย

 

        “ท่านอ๋อง...” กู้โยวหนิงเอ่ยเสียงเบา “ท่านอ๋องทราบหรือไม่ เพราะเหตุใดฝ่าบาทถึงมีพระราชโองการให้ท่านอภิเษกพระชายาบุรุษ?”

 

        “เพราะเกรงว่าหากข้าปีกกล้าขาแข็งในภายหน้า จะมาแย่งชิงบัลลังก์กับองค์รัชทายาท”

 

        “ถ้าเช่นนั้นแล้วท่านอ๋องยังทราบอีกหรือไม่ เหตุใดฝ่าบาททรงเกรงว่าท่านจะชิงบัลลังก์จากองค์รัชทายาท?”

 

        “นั่นเพราะว่าข้ามีอำนาจสั่งการกองทัพของต้าจาว” ฉู่ยวี้ตอบ

 

        “ผิดแล้วขอรับ!” กู้โยวหนิงเอ่ยขัดทันที เผยรอยยิ้มมีเลศนัยแล้วตอบว่า “เพราะท่านอ๋องคือวีรบุรุษ จึงไม่เหมาะเป็นองค์รัชทายาทขอรับ!”

 

        ฉู่ยวี้มองท่าทางคล้ายแมวพึ่งแอบขโมยปลาได้สำเร็จของกู้โยวหนิง หลุดยิ้มและเอ่ย “เพราะเหตุใด เจ้าบอกว่าข้าคือวีรบุรุษ แล้วเหตุใดข้าถึงไม่เหมาะเป็นองค์รัชทายาท?”

 

        กู้โยวหนิงยิ้มตาหยี ตอบกลับเสียงเบา “เรื่องที่กระหม่อมจะพูดต่อไปนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นกบฏ หากกระหม่อมบอกท่านอ๋องไปแล้ว ท่านอ๋องอย่าได้แพร่งพรายออกไปแม้แต่นิดเดียวนะขอรับ!”

 

        “แน่นอน”

 

        “เหตุเพราะแต่ไหนแต่ไรมา ผู้ที่ได้ครอบครองใต้หล้าล้วนแต่เป็นผู้ที่มีจิตใจต่ำทรามขอรับ!” กู้โยวหนิงตอบอย่างไม่ลังเล

 

        ทว่าฉู่ยวี้ไม่เข้าใจ วีรบุรุษไม่สามารถเป็นองค์รัชทายาท ทั้งยังกล่าวอีกว่าแต่ไหนแต่ไรมา ผู้ที่ได้ครอบครองบัลลังก์กลับเป็นผู้ที่มีจิตใจต่ำทราม นี่เป็นคำกล่าวของกบฏไม่ผิด แต่เขารู้สึกว่าคำกล่าวเหล่านี้ช่างน่าสนใจ จึงเอ่ยถามต่อว่า “เพราะเหตุใดผู้ที่ครอบครองใต้หล้าล้วนเป็นคนต่ำทราม?”

 

        “ท่านอ๋องต้องไม่เคยได้ยินเรื่องราวของฉู่ป้าอ๋องมาก่อนอย่างแน่นอน”

 

        “ฉู่ป้าอ๋อง?”

 

        “ใช่แล้วขอรับ” กู้โยวหนิงพยักหน้า “ฉู่ป้าอ๋องผู้นี้มีอีกนามว่าเซี่ยงอวี่ กล่าวขานกันว่ามีเขาพละกำลังมหาศาล ถือว่าเป็นผู้ที่เปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของวีรบุรุษโดยแท้จริง รบชนะนับครั้งไม่ถ้วน แต่วีรบุรุษเช่นนี้กลับพ่ายแพ้ให้ผู้มีนามว่าหลิวปัง ท่านอ๋องทราบหรือไม่ว่าเพราะเหตุใด”

 

        “...เพราะหลิวปังคือผู้ที่มีจิตใจต่ำทราม?”

 

        “ถูกต้องแล้วขอรับ หลิวปังถนัดใช้แผนการร้ายมากกว่าเซี่ยงยวี่ ทั้งยังรู้จักการพูดจาและเลือกใช้ผู้คน ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ชนะผู้อื่น ส่วนเซี่ยงยวี่เป็นคนไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ไม่ว่าจะทำสิ่งใดล้วนเปิดเผยตรงไปตรงมา แม้จะมีครั้งหนึ่งจัดงานเลี้ยงหงเหมินเพื่อลอบสังหารหลิวปัง แต่เมื่อถึงเวลาจะลงมือจริงกลับทำไม่ลง ด้วยเหตุนี้เขาสู้หลิวปังไม่ได้ จำต้องปลิดชีพตนที่แม่น้ำอูเจียง แต่ก่อนที่เขามาถึงแม่น้ำอูเจียงมีทหารโน้มน้าวให้เขาข้ามฝั่งไปตั้งหลัก เพื่อวันข้างหน้าจะได้มีโอกาสกลับมาแก้แค้นอีกครั้ง ทว่าเขากลับบอกว่าเขาพาเหล่าพลทหาร8000นายจากเจียงตงมาตายที่สนามรบ ไม่มีหน้ากลับไปพบผู้อาวุโสของทหารเหล่านั้น ท้ายที่สุดถึงได้ตัดสินใจปลิดชีพตนที่แม่น้ำอูเจียงขอรับ”

 

        กู้โยวหนิงหยุดชะงักครู่หนึ่ง ดวงตาคู่งามเปล่งประกายพร่างพราวอยู่ในอ้อมกอดของฉู่ยวี้ “แต่ยังมีเรื่องราวความรักที่แสนโศกเศร้ารวมอยู่ด้วยนะขอรับ มีชื่อเรียกว่าป้าอ๋องอำลาหญิงงาม เซี่ยงยวี่ผู้นี้มีหญิงงามอันเป็นที่รักนามว่ายวี่จี วันหนึ่งกองทัพของเซี่ยงยวี่พ่ายแพ้จนต้องถอยกลับไปยังที่ตั้ง เขาได้ยินเสียงขับร้องเพลงของศัตรูดังมาจากทั่วทั้งสี่ทิศ คิดว่ากองทัพของหลิวปังล้อมรอบไว้ตนหมดแล้ว เขารู้ดีว่าใกล้จะถึงวาระสุดท้ายของชีวิต แต่ยังคงเป็นห่วงหญิงอันเป็นที่รัก แม่นางยวี่จีบอกกับเซี่ยงยวี่ว่า‘ในเมื่อชีวิตของท่านอ๋องผู้ยิ่งใหญ่กำลังจะสูญสิ้น แล้วตัวข้าจะยังอยู่ไปเพื่อสิ่งใด’ กล่าวจบแม่นางยวี่จีจึงนำดาบของเซี่ยงยวี่ปลิดชีพตนทันที เป็นความรักที่ซึ้งกินใจใช่หรือไม่ขอรับ ด้วยเหตุนี้ หากคำนึงจากที่ท่านอ๋องออกรบจนได้ดินแดนซีเซี่ยกลับมา ท่านชนะฉู่ป้าอ๋องถึงหนึ่งร้อยเท่า หากคำนึงจากชื่อเสียงที่ร่ำลือทั่วทั้งฉางอัน และจิตใจที่ละเอียดอ่อนของท่านอ๋องแล้ว ท่านอยู่เหนือกว่าหลิวปังเสียอีก ดังนั้นท่านอ๋องอย่าได้หมดกำลังใจไปนะขอรับ”

 

        “พวกเราต้องสู้เพื่ออุดมการณ์ของพวกเรานะขอรับ!”

 

        กู้โยวหนิงกล่าวอย่างอึกเหิม แรกเริ่มเดิมทีต้องการให้กำลังใจ และเตือนให้เหวินอ๋องระวังตัวจากศัตรู ถึงได้หยิบยกวรรณกรรมเรื่องนี้ขึ้นมา แต่หลังจากได้ฟังกลับทำให้ฉู่ยวี้หวนนึกไปถึงชาติก่อนที่เป็นดั่งฝันร้าย

 

        “ในเมื่อชีวิตของท่านอ๋องผู้ยิ่งใหญ่กำลังจะสูญสิ้น แล้วตัวข้าจะยังอยู่ไปเพื่อสิ่งใด—”

 

        “กระหม่อมทราบ ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ท่านอ๋องยังไงเสียก็หาได้มีหนทางรอดไม่ กระหม่อมไม่อาจจะเอาตัวรอดแต่เพียงผู้เดียว—”

 

        ท้ายที่สุดกระบี่ที่ใช้เข่นฆ่าศัตรูของเซี่ยงยวี่กลับปาดลงบนคอของหญิงผู้เป็นที่รัก

 

        ท้ายที่สุดแล้วกู้โยวหนิงกลับต้องมากระอักเลือดเพราะยาพิษและสิ้นใจในอ้อมกอดเขา

 

        วีรบุรุษอะไรกัน! จะถือว่าเป็นวีรบุรุษได้อย่างไรกัน! แม้แต่คนรักยังไม่อาจปกป้องไว้ได้ เขาสู้อะไรเซี่ยงยวี่ไม่ได้เสียด้วยซ้ำ เมื่อชาติที่แล้วเขาข่มเหงรังแกกู้โยวหนิง ไม่เคยทำดีกับคนผู้นี้เลยสักนิด แต่สุดท้ายผู้ที่ยินยอมอยู่เคียงข้างเขา มีเพียงพระชายาบุรุษที่เขาปฏิบัติอย่างเย็นชามาโดยตลอดผู้นี้ผู้เดียวเท่านั้น

 

        ดังนั้นชั่วชีวิตนี้ต่อให้ต้องสละสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างก็จะต้องทำดีกับกู้โยวหนิง เพียงกู้โยวหนิงผู้เดียวเท่านั้น จะไม่ยอมให้ผู้ใดมาดูถูกดูแคลน และไม่ยอมให้กู้โยวหนิงต้องทนรู้สึกหดหู่จากการไร้ผู้ใดเคียงข้างอีก

 

        กู้โยวหนิงไม่ได้รับรู้เรื่องภายในใจของฉู่ยวี้แม้แต่นิด ยังคงเล่าเรื่องราวต่างๆ นานา มากมายอย่างเจื้อยแจ้ว ผ่านไปไม่นานนัก รถม้าก็ได้เคลื่อนตัวมาถึงหน้าจวนอัครเสนาบดี กู้โยวหนิงถูกเจียนยวี่ประคองลงจากรถม้า จากนั้นหันกลับไปโบกมือให้ฉู่ยวี้ “ท่านอ๋อง แล้วพบกันใหม่ขอรับ”

 

        ฉู่ยวี้ส่งยิ้มตอบกลับ เอ่ยขึ้นว่า “ลืมที่ข้าเพิ่งจะบอกเจ้าเมื่อครู่แล้วหรือไร ต่อจากนี้ห้ามเจ้าเรียกข้าว่าท่านอ๋อง”

 

 

 

*หลินไต้ยวี้คือนางเอกในวรรณกรรมเรื่องความฝันในหอแดง

 

______________________________________________

 

หากชอบนิยายเรื่อง "ย้อนลิขิตเขียนรัก พระชายาอ๋อง" ละก็เพื่อน ๆ สามารถตามเข้าไปอ่านได้ที่ลิงค์ด้านล่างเลยน้า

https://www.kawebook.com/story/3088

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

แก้ไขครั้งที่ 1 โดย Kawebook เมื่อ8 มิถุนายน พ.ศ. 2563 15.06 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
13 เมื่อ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2563 19.34 น.

เล่มที่1 บทที่13 เดือนสามต้นฤดูใบไม้ผลิ

 

        ฉู่ยวี้ส่งยิ้มให้กับกู้โยวหนิงพร้อมทั้งเอ่ย “ลืมที่ข้าพึ่งจะบอกเจ้าเมื่อครู่แล้วหรือไร ต่อจากนี้ห้ามเจ้าเรียกข้าว่าท่านอ๋อง”

 

        กู้โยวหนิงใบหน้าแดงก่ำเมื่อเห็นรอยยิ้มเช่นนั้นของท่านอ๋อง เอาแต่ส่ายหน้าไปมาด้วยความกังวล จากนั้นกระแอมออกมา “เกรงว่าจะไม่ดีนะขอรับ”

 

        “จะไม่ดีได้อย่างไร ไหนเจ้าลองเรียกดูสักครั้ง” ฉู่ยวี้กอดอกพิงรถม้าใบหน้าเปื้อนยิ้ม สายตาจับจ้องไปยังกู้โยวหนิงที่กำลังตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก

 

        กู้โยวหนิงทบทวนเรื่องทุกอย่างอย่างรวดเร็ว ท่านอ๋องพูดถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าเขายังไม่ยอมเปลี่ยนสรรพนามตามที่ท่านอ๋องบอก คงจะดูเป็นคนที่ไม่รู้จักหาวิธีเอาตัวรอดให้ตัวเองเท่าไหร่ แต่ถึงยังไงเขายังก็รู้ดีว่าการแบ่งชนชั้นในยุคนี้เคร่งครัดมากขนาดไหน... แต่เมื่อเขามองฉู่ยวี้ที่กำลังส่งยิ้มหวานมาให้ก็ได้แต่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เอาวะ ในเมื่อเป็นพันธมิตรกันแล้ว ยังไงในวันข้างหน้าก็ยังต้องพึ่งท่านอ๋องอยู่ดี จะให้เรียกอะไรก็เรียกๆ ไปเถอะ

 

        กู้โยวหนิงกระแอมไอกลบเกลื่อนอีกครั้ง เงยหน้ามองฉู่ยวี้แล้วเอ่ยอย่างกระอึกกระอัก “พะๆๆ...พะๆๆ...”

 

        ฉู่ยวี้ผู้เก็บซ่อนความคิดชั่วร้ายเดินเข้าไปประชิดกู้โยวหนิง จากนั้นก้มลงกระซิบข้างใบหูเล็ก “พี่อะไร เจ้ารีบเอ่ยออกมาสิ”

 

        ทันทีที่ลมหายใจร้อนของฉู่ยวี้กระทบลงบนใบหู ความรู้สึกจั๊กจี้ทำให้ต้องเบี่ยงตัวหลบอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อหันหน้ากลับไปพลันพบว่าใบหน้าอันหล่อเหลาของฉู่ยวี้อยู่ไม่ไกลจากตนสักนิด ชั่วพริบตาเดียวใบหน้าหวานแดงก่ำเสียยิ่งกว่าเดิม เปล่งเสียงเรียกพี่หกอย่างแผ่วเบาแล้วหันหลังวิ่งเข้าจวนไปอย่างรวดเร็ว

 

        ฉู่ยวี้หัวเราะออกมาเสียงดังอย่างอดไม่ได้ ความงามของมวลดอกไม้ในเดือนสามเหล่านี้ ช่างเทียบไม่ติดแม้แต่เศษเสี้ยวความงามของดวงตากู้โยวหนิง

 

        เจียนยวี่ยืนนิ่ง ตกตะลึงจนถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อได้สติกลับมาถึงได้รีบวิ่งตามหลังกู้โยวหนิงไป

 

        เหลือไว้เพียงเหวินอ๋องที่ยังยืนอยู่ที่เดิม แววตาแสดงออกถึงความหลงใหล จับจ้องไปยังเบื้องหลังของหนุ่มน้อยผู้สวมอาภรณ์สีขาวที่กำลังพลิ้วไหวตามแรงลมตรงหน้า

 

        กู้โยวหนิงทั้งวิ่งทั้งเอามือกุมใบหน้าเห่อร้อนของตน ภายในใจหวนนึกถึงแต่สัมผัสจากลมหายใจร้อนของท่านอ๋องเมื่อครู่ คนคนนี้นี่มัน...

 

        กู้โยวหนิงก้มหน้าก้มตาวิ่งลูกเดียว เมื่อฮูหยินแซ่หลี่ได้ยินว่ากู้โยวหนิงออกไปเที่ยวเล่นมาทั้งวัน แต่เมื่อครู่กลับมีรถม้าของเชื้อพระวงศ์มาส่งถึงหน้าจวน ด้วยความเร่งรีบออกมาเพราะอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำให้คนทั้งสองที่ต่างไม่ทันระวังชนกันเข้าพอดี

 

        เด็กรับใช้ข้างกายฮูหยินสกุลหลี่ร้องตะโกนเสียงดังทันใด ประเดี๋ยวตะโกนเรียกฮูหยิน ประเดี๋ยวตะโกนเรียกท่านหมอจนเกิดเป็นความวุ่นวาย

 

        มีเพียงเจียนยวี่ที่รีบร้อนเข้ามาประคองกู้โยวหนิงลุกขึ้น กู้โยวหนิงโดนชนจนถึงกับมึนหัว พอตั้งสติได้ถึงรู้ว่าวิ่งชนฮูหยินของจวนเข้าอย่างจังเสียแล้ว หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะรีบคุกเข่ารับผิดในทันที และไม่มีทางได้รับการให้อภัยอย่างมีเมตตาแน่นอน มิหนำซ้ำยังจะถูกทำโทษเสียด้วยซ้ำ ทว่าในวันนี้กู้โยวหนิงคือว่าที่พระชายา ทั้งยังเป็นที่พอใจของเหวินอ๋อง ดังนั้นคนทั้งจวนจึงไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับสถานการณ์ในยามนี้ดี

 

        กู้โยวหนิงปัดฝุ่นออกจากอาภรณ์ เงยหน้ามองฮูหยินแซ่หลี่ที่กำลังถูกประคองลุกขึ้น ใบหน้ากู้โยวหนิงแสดงออกถึงความรังเกียจอย่างชัดเจน เขาไม่เคยมีความทรงจำอันดีกับฮูหยินแซ่หลี่เเม้เต่นิด อย่างแรกนางไม่ใช่มารดาแท้ๆ ของเขา อย่างที่สองนางเป็นสตรีที่น่ารังเกียจยิ่งนัก คอยแต่จะหาเรื่องเขาไม่เว้นวัน เพราะเหตุนี้เขาถึงเกลียดนางมาแต่ไหนแต่ไร ทว่าบริเวณนี้มีผู้คนอยู่ไม่น้อย อย่างไรก็ตาม เขายังจำเป็นรักษาหน้านางเอาไว้ หากเกิดมีเรื่องที่เขาไม่เคารพฮูหยินแพร่งพรายออกไป จะถูกที่ครหาของผู้คนได้ในภายหลัง

 

        กู้โยวหนิงเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้านาง จากนั้นโค้งกายคำนับ “ท่านแม่ไม่เป็นอะไรใช่ไหมขอรับ เป็นโยวหนิงที่ไม่ทันระวังเอง”

 

        “เหอะ!” ฮูหยินแซ่หลี่กำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น นางได้แต่ขมวดคิ้วและขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน หากเป็นแต่ก่อน นางจะลงโทษกู้โยวหนิงอย่างสาสมแน่นอน แต่ในยามนี้ต่างออกไป ฮูหยินผู้นี้ที่ถือดีว่าตนเกิดมาดีเลิศกว่าผู้อื่นนัก ต่อให้ไม่สามารถใช้กฎบ้านลงโทษกู้โยวหนิง นางก็ยังใช้คำพูดถากถางกู้โยวหนิงได้อยู่ดี “การคำนับนี้ของเจ้าข้าคงจะรับไว้ไม่ได้ ยามนี้ทั้งฉางอันต่างรู้กันให้ทั่วว่าตระกูลกู้ของเรามีผู้มีความสามารถถือกำเนิดขึ้น คุณชายห้าเป็นถึงพระชายาที่เหวินอ๋องโปรดปรานอันดับหนึ่ง แต่อย่างไรก็เถอะ หากเปลี่ยนจากตระกูลกู้แสนสูงส่งของเราเป็นตระกูลทั่วไป ไม่แน่ว่าหลังจากแต่งเข้าจวนไป คงจะเป็นได้เพียงบุรุษที่ไม่มีค่าพอจะได้รับการโปรดปรานเท่านั้น!”

 

        คำพูดเหล่านี้ของฮูหยินหลี่แท้จริงแล้วต้องการเย้ยหยันเขา เป็นถึงบุรุษกลับต้องแต่งไปเป็นภรรยาของบุรุษอีกผู้หนึ่ง ช่างเป็นเรื่องเสื่อมเสียเกียรติยศ แม้ขนบธรรมเนียมประเพณีของรัฐจาวจะเป็นเช่นนี้ แต่ก็ยังทำให้เขารู้สึกอดสูจนถึงกับพูดไม่ออกอยู่ดี

 

        กู้โยวหนิงแค่นหัวเราะเสียงเย็นครู่หนึ่ง ค่อยๆ ก้าวเข้าไปใกล้ฮูหยินแซ่หลี่ ทั้งร่างเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของความดุดันแต่ยังคงความสง่างาม กู้โยวหนิงในยามนี้เปรียบได้กับกระบี่เล่มงามล้ำค่าที่เย็นยะเยือกใต้แสงจันทร์ ช่างงดงามและดุดันจนไม่มีผู้ใดกล้าสบสายตา

 

        “ในเมื่อท่านแม่ทราบดีว่าข้าคือพระชายาที่เหวินอ๋องโปรดปรานเป็นอย่างมาก ไยท่านถึงยังเดินไม่ระวัง ท่านชนข้าเช่นนี้ก็เท่ากับชนเหวินอ๋อง เช่นนี้แล้วจะเป็นท่านแม่ หรือว่าอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายที่จะรับผิดชอบโทษทัณฑ์นี้ขอรับ?”

 

        ฮูหยินแซ่หลี่ตกตะลึง นางไม่เคยคิดมาก่อนว่ากู้โยวหนิงที่เดิมทีไม่มีปากเสียง ยามนี้จะกล้าหยิบยกอำนาจของเหวินอ๋องข่มขู่ตน นางคือฮูหยินของอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย เคยแต่กดขี่ผู้อื่น ครั้นได้ฟังกู้โยวหนิงเอ่ยเช่นนั้นพลันเกิดโทสะจนสั่นไปทั้งร่าง ชี้นิ้วไปทางกู้โยวหนิงแล้วร้องโวยวายเสียงดัง “ช่างบังอาจนัก ยังไม่ทันได้เข้าพิธีอภิเษกเจ้าก็กล้าวางอำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง หากแต่งเข้าจวนอ๋องไปแล้วคงยากที่จะจัดการได้ พวกเจ้ามาจับเจ้าคนอกตัญญูนี้ไว้ให้ข้าเดี๋ยวนี้ หากไม่สั่งสอนให้หลาบจำเสียแล้ว เกรงว่าวันข้างหน้าหลังเจ้าแต่งเข้าจวนอ๋องไป คงต้องทำให้ตระกูลกู้ของพวกเราอับอายอย่างแน่นอน”

 

         

 

        ----

 

        กู้ถิงพึ่งจะลงจากเกี้ยวตรงหน้าจวน ครั้นเดินมาถึงประตูจวนก็พบกับผู้ดูแลจวนที่รีบร้อนเข้ามารายงาน

 

        “นายท่านขอรับ เกิดเรื่องขึ้นแล้วขอรับ คุณชายห้าชนฮูหยินเพราะไม่ทันระวัง ยามนี้ฮูหยินกำลังจะจับคุณชายไปขังไว้ในห้องเก็บฟืน แต่คุณชายห้าไม่ยอมจนวิวาทกันแล้วขอรับ”

 

        พ่อบ้านทั้งพูดทั้งเดินอย่างรีบร้อนอยู่ข้างกายกู้ถิง กู้ถิงเมื่อได้ยินดังนั้นจึงเร่งฝีเท้าทันที หลายวันมานี้เขารู้สึกเหนื่อยใจกับข่าวลือไม่น้อย ในท้องพระโรงยังมีอัครเสนาบดีฝ่ายขวาคอยแสดงสีหน้าเยาะเย้ยใส่ตลอดเวลา เดิมที่ไม่สบายใจอยู่แล้ว เมื่อมาได้ยินว่าในจวนเกิดเรื่องเช่นนี้อีก เขารู้สึกราวกับว่าตัวเองแก่ชรากว่าเดิมอยู่หลายเท่าตัว

 

        ครั้นเข้ามาถึงภายในจวน หลังจากได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นยิ่งทำให้เขาเหลืออด เด็กรับใช้เกือบ 10 คนพยายามล้อมรอบกู้โยวหนิงและพยายามจะจับตัวเอาไว้ แต่กู้โยวหนิงไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ราวกับคนเสียสติ ฮูหยินสกุลหลี่เมื่อเห็นกู้ถิงกลับมาจึงล้มลงนั่งร้องห่มร้องไห้อยู่บนพื้น

 

        “หยุดเดี๋ยวนี้ สร้างเรื่องวุ่นวายอะไรกัน ยามนี้ยังอับอายไม่พอหรืออย่างไร!”

 

        กู้ถิงมีตำแหน่งเป็นอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายและเป็นขุนนางคนสนิทของฮ่องเต้ ย่อมต้องมีอำนาจและความน่าเกรงขามไม่น้อย เมื่อตะโกนออกไปเช่นนั้น ผู้คนในจวนต่างพากันหยุดชะงักทันที กู้โยวหนิงผลักผู้คนเหล่านั้นออกห่างตน แววตาเต็มเปี่ยมด้วยความรังเกียจและเหยียดหยาม จดจ้องไปยังฮูหยินแซ่หลี่ที่นั่งอยู่บนพื้นด้วยความโกรธเคือง

 

        กู้ถิงรับรู้ถึงสิ่งที่สื่อออกทางสายตาของกู้โยวหนิงอย่างชัดเจน และแน่นอนว่ากู้โยวหนิงเองก็ไม่ได้คิดจะปกปิดมันเอาไว้แต่ต้น นับตั้งแต่ตอนที่กู้ถิงตัดสินใจทอดทิ้งและผลักเขาลงขุมนรก ความรู้สึกที่มีต่อบิดาผู้นี้จึงไม่เหลือชิ้นดีอีกต่อไป ในยามนี้ขุมนรกแปรเปลี่ยนเป็นสรวงสวรรค์ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลาไม่กี่วันมานี้ไม่ว่าจะเป็นการกระทำ หรือแม้แต่ความรู้สึกนึกคิดภายในใจของกู้ถิงและคนในจวน กู้โยวหนิงต่างรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเป็นเช่นไร จากที่ไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอยู่เเล้ว เพราะอย่างนั้นตอนนี้เขาก็ไม่จำเป็นต้องรักษาหน้าใครอีกต่อไป

 

        “ท่านพี่ ท่านพี่ต้องให้ความเป็นธรรมน้องนะเจ้าคะ กู้โยวหนิงไม่ทันระวังถึงวิ่งชนน้อง น้องกล่าวตักเตือนไปไม่กี่คำ เพราะเกรงว่าหลังอภิเษกเข้าจวนอ๋องไปแล้วจะยังทำตัวสะเพร่าอีก แต่ว่าเด็กคนนี้กลับกล้าต่อว่าน้อง ไม่เห็นน้องอยู่ในสายตาแม้แต่นิดเดียว ทั้งยังกล่าวอีกว่าหลังอภิเษกเป็นพระชายาเหวินอ๋อง ไม่ว่าผู้ใดในจวนแห่งนี้ก็ทำอะไรเขาไม่ได้” ฮูหยินแซ่หลี่นั่งคุกเข่าร้องไห้ต่อหน้ากู้ถิง

 

        กู้โยวหนิงถ่มน้ำลายอยู่ภายในใจ ผู้หญิงคนนี้ร้ายกายมาก คนอื่นถ้าจะฟ้องก็ใส่สีตีไข่แค่ไม่กี่ประโยค แต่นี่นางกลับพูดจาโกหกออกมาหน้าตาเฉย มารดานางเถอะ ตั้งแต่เขาเข้าประตูจวนมาจนถึงตอนนี้พึ่งจะได้พูดแค่สองประโยค!

 

        กู้ถิงจดจ้องไปทางกู้โยวหนิง “เจ้ายังไม่รีบคุกเข่าลงอีก!”

 

        กู้โยวหนิงแค่นหัวเราะเสียงเย็น เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก “ลูกไม่มีความผิด เหตุใดลูกจึงต้องคุกเข่า?”

 

        “เจ้า...” กู้ถิงโมโหอยู่ไม่น้อย “ยามนี้เจ้ายังไม่ใช่พระชายาของเหวินอ๋อง ถึงแม้ภายหน้าเจ้าจะได้เป็นพระชายาเหวินอ๋อง แต่ข้าก็ยังเป็นบิดาของเจ้า พวกเจ้าจับเจ้าคนอกตัญญูนี่ไปขังไว้ในห้องเก็บฟืนให้ข้าเดี๋ยวนี้ หากไม่ยอมรับผิด ก็ให้ขังไว้ในนั้นจนกว่าจะถึงวันอภิเษก!”

 

        ไม่มีหนทางอื่น แม้กู้ถิงจะกรุ่นโกรธเพียงใดก็ไม่อาจใช้กฎบ้านลงโทษกู้โยวหนิงได้ หากทุบตีจนมีส่วนไหนบาดเจ็บหรือทิ้งร่องรอยเอาไว้ วันหน้าถูกท่านอ๋องพบเข้าย่อมไม่ใช่เรื่องเล็ก และตอนนี้ผู้คนเริ่มพากันกล่าวลับหลังว่าจวนอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายรังแกบุตรชายที่เกิดจากอนุภรรยา

 

        ทันทีที่อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าวจบ เด็กรับใช้จำนวนหนึ่งรีบกรูเข้าไปจับกุมกู้โยวหนิงทันที อาจจะเพราะเมื่อครู่ก่อนกู้ถิงจะกลับมา กู้โยวหนิงใช้กำลังขัดขืนอย่างรุนแรงระดับหนึ่ง ทำให้รอบนี้เด็กรับใช้หนักมืออยู่พอสมควร ผลคือกู้โยวหนิงยังไม่ทันขยับก็ถูกคนเหล่านั้นฉุดกระชากลากถูออกไป ขณะถูกลากผ่านหน้าฮูหยินแซ่หลี่ กู้โยวหนิงก็ได้พบกับใบหน้าที่กำลังยกยิ้มพออกพอใจ

 

        กู้โยวหนิงถูกโยนเข้าไปในห้องเก็บฟืน อย่าว่าแต่ที่นอนหรือผ้าห่มสักผืน แม้แต่เสื้อผ้าหนาๆสักตัวก็ไม่มีให้เขา ในยามนี้คือเดือนสามช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ กลางดึกอากาศหนาวอยู่บ้าง เจียนยวี่นั่งร้องไห้คร่ำครวญอยู่นอกประตู โน้มน้าวให้กู้โยวหนิงไปยอมรับผิดกับกู้ถิง แต่ไม่ว่าจะโน้มน้าวอย่างไรกลับไร้ซึ่งเสียงตอบรับจากภายในห้องเก็บฟืน ตลอดทั้งคืนนั้นกู้โยวหนิงไม่ยอมปริปากเอ่ยแม้คำเดียว

 

        กู้โยวหนิงยังคิดไม่ตกว่าทำไมเขาต้องย้อนมาในยุคสมัยที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน หรือเป็นเพราะว่าเขาเคยมีชีวิตอยู่ในสมัยนี้มาก่อน มันเหมือนกับความฝันที่แปลกประหลาด เขาแทบจะลืมไปแล้วว่าตัวเองเป็นใคร ที่จริงแล้วเขาคือกู้โยวหนิง เด็กมหาลัยที่ดวงซวยเจอแต่เรื่องโชคร้ายตลอด หรือกู้โยวหนิงที่เป็นบุตรที่เกิดจากอนุภรรยาของอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายแห่งรัฐจาวกันแน่

 

        แต่ไม่ว่าจะอยู่สมัยไหนหรือช่องว่างระหว่างเวลาใด ท้องฟ้าก็ยังคงเหมือนเดิม กู้โยวหนิงยืนอยู่หน้าหน้าต่างห้องเก็บฟืน ใบหน้าแหงนเงยขึ้นมองไปยังช่องหน้าต่างคับแคบที่มีแสงสว่างของดวงดาวเล็ดลอดเข้ามา

 

        เสียงร้องไห้ของเจียนยวี่ค่อยๆ เงียบลง อาจเพราะเผลอหลับอยู่ด้านนอกประตูนั่นไปแล้ว เด็กคนนี้ติดตามอยู่ข้างกายเขามานานหลายปี ไม่รู้ว่าเคยถูกคนอื่นรังแกมามากขนาดไหน แต่เด็กคนนี้ก็ไม่เคยตัดพ้อออกมาสักครั้ง คอยอยู่ข้างเขาด้วยความจริงใจ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาคนที่เขาสามารถเชื่อใจและพึ่งพาได้ มีแค่เด็กคนนี้เท่านั้น

 

        ยังมี...เหวินอ๋อง... อ้อมกอดอบอุ่นของท่านอ๋องคนนั้น ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกว่าเขาไม่เหมือนคนอื่นๆ ตอนนี้เขา...จะกำลังทำอะไรอยู่นะ...

 

        กู้โยวหนิงหัวเราะเยาะตัวเอง ไม่ว่าท่านอ๋องจะทำอะไรอยู่มันก็ไม่เกี่ยวกับเขาสักนิด เวลาอย่างนี้จะทำอะไรได้นอกจากกำลังนอนหลับอยู่ในจวนอ๋องที่สุขสบายนั่น

 

        ในเวลาเดียวกันกู้ถิงและฮูหยินแซ่หลี่เตรียมจะเข้านอน ฮูหยินแซ่หลี่นิ่งเงียบคล้ายกับกำลังคิดบางสิ่งขณะช่วยเปลี่ยนชุดให้สามี ทันใดนั้นเอ่ยขึ้นว่า “ท่านพี่ ขังกู้โยวหนิงไว้เช่นนี้ หากวันหน้าเหวินอ๋องรู้เข้าจะไม่ขุ่นเคืองใจหรือเจ้าคะ”

 

        “ไม่เป็นไร ขังไว้เพียงไม่กี่วัน สั่งสอนเสียบ้าง จะได้รู้จักเคารพบิดามารดา”

 

        “แต่ว่า...” ฮูหยินแซ่หลี่วางชุดของกู้ถิงลง กล่าวต่อ “แต่ว่ากู้โยวหนิงนิสัยดื้อรั้น จะรับรู้ถึงความทุกข์ใจของท่านพี่ไหมเจ้าคะ ถึงเวลานั้นเกิดไปฟ้องเหวินอ๋องเข้าจะทำเช่นไรกันดีเจ้าคะ?”

 

        “ในยามนี้องค์รัชทายาทเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว โอรสพระองค์อื่นไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว ผู้ไม่เป็นที่โปรดปรานเช่นเหวินอ๋องยิ่งแล้วใหญ่ ขอเพียงแค่อย่าทำให้องค์รัชทายาทไม่พอพระทัยก็พอ และข้าสั่งสอนบุตรตนเอง เหวินอ๋องเอาผิดอะไรกับข้าได้!”

 

        นางเป็นสตรีย่อมไม่เข้าใจเรื่องในราชสำนัก แต่เมื่อฟังกู้ถิงกล่าวนี้ก็รู้สึกวางใจอยู่ไม่น้อย

 

______________________________________________

 

หากชอบนิยายเรื่อง "ย้อนลิขิตเขียนรัก พระชายาอ๋อง" ละก็เพื่อน ๆ สามารถตามเข้าไปอ่านได้ที่ลิงค์ด้านล่างเลยน้า

https://www.kawebook.com/story/3088

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

แก้ไขครั้งที่ 1 โดย Kawebook เมื่อ8 มิถุนายน พ.ศ. 2563 15.08 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
14 เมื่อ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2563 21.37 น.

เล่มที่1 บทที่14 สมบัติล้ำค่า

 

        นับตั้งแต่วันที่ฉู่ยวี้ลืมตาฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง เขาหยิบยกอาการบาดเจ็บมาอ้างเพื่อหลีกเลี่ยงการพบปะผู้คน ทว่าผู้คนที่มาถึงหน้าจวนเพื่อพบเขากลับมีจำนวนไม่น้อย เหวินอ๋องผู้มีคุณงามความดีมากมาย ทุ่มเทเพื่อบ้านเมืองมาโดยตลอด ทว่าในยามนี้กลับไร้ซึ่งคุณสมบัติในการสืบทอดบัลลังก์มังกร มีผู้คนบางส่วนยังยึดมั่นว่าถึงอย่างไรเหวินอ๋องคงไม่มีทางวางมืออย่างง่ายดาย และด้วยเหตุนี้จึงพากันเริ่มแบ่งฝักแบ่งฝ่าย

         

        ชาติก่อนเขาปฏิเสธการพบปะผู้คนเพราะไม่พอใจการอภิเษกพระชายาบุรุษ หรืออีกนัยหนึ่งคือเขาไม่พอใจที่เสด็จพ่อไม่ไว้พระทัยตนเอง ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยคิดอยากได้ตำแหน่งฮ่องเต้เลยสักครั้งแท้ๆ เมื่อเผชิญหน้ากับผู้คนที่ต่างเข้ามาประจบเพื่อผลประโยชน์ ก็มักจะปฏิเสธไปเสียทุกที แต่ตอนนี้เขายังปิดประตูจวนไม่พบผู้คนเช่นเดิม เพราะเขาลองคิดดูแล้วว่า พิธีอภิเษกของเขาพึ่งจะประกาศออกไปไม่นาน กลับก่อให้เกิดความวุ่นวายมากมายถึงเพียงนี้ หากในยังเปิดประตูจวนต้อนรับผู้คน คงจะยิ่งทำให้เสด็จพ่อไม่วางพระทัยเขามากกว่าเดิม หากเป็นเช่นนั้น ชีวิตในวันหน้าคงต้องลำบากยิ่งขึ้นแน่นอน สู้ปิดประตูจวนไม่ต้องพบปะผู้ใดเสียยังดีกว่า แต่ว่า.. ฉู่ยวี้ขมวดคิ้วเมื่อคำนึงมาถึงจุดนี้ จะไม่พบผู้อื่นย่อมได้ ทว่ายังมีคนผู้หนึ่งที่เขาจำเป็นต้องพบอยู่

         

        ฉู่เหิงเป็นมีศักดิ์เป็นพระภาติยะของฉู่ยวี้ ฉู่เหิงคือพระโอรสของฉู่ไท้ ผู้เป็นพระราชโอรสลำดับที่หนึ่งของเต๋อเซิ่งฮ่องเต้ แต่ฉู่เหิงกลับต้องกำพร้าบิดาเพราะฉู่ไท้ผู้นี้ชะตาสั้นนัก จากโลกนี้ไปโดยทิ้งไว้เพียงพระชายาและพระโอรสอายุยังไม่ครบสิบขวบ ด้วยเหตุนี้ตำแหน่งของฉู่เหิงในราชสำนักจึงเป็นสิ่งซับซ้อนและละเอียดอ่อน เพราะบิดาของเขาคือพี่ใหญ่ขององค์ชายทั้งหมด กล่าวถึงฐานันดรศักดิ์ ฉู่ไท้และองค์รัชทายาทล้วนเป็นพระราชบุตรที่เกิดจากฮองเฮา หากฉู่ไท้ยังมีชีวิตอยู่ แน่นอนว่าต้องได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นองค์รัชทายาทอย่างแน่นอน เต๋อเซิ้งฮ่องเต้ทรงมีพระเมตตาต่ออ๋องน้อยผู้ที่ต้องเสียบิดาตั้งแต่ยังเยาว์ จึงแต่งตั้งให้พระราชบุตรฉู่ไท้มีบรรดาศักดิ์เป็นยวิ๋นชินอ๋อง ครั้นฉู่เหิงเติบใหญ่ขึ้นจะสามารถสืบต่อบรรดาศักดิ์ชินอ๋องจากบิดา ด้วยเหตุนี้ แม้องค์รัชทายาทจะมีศักดิ์เป็นถึงพระมาตุลาของฉู่เหิง แต่กลับเอาแต่คอยขัดขวางเขาอยู่ตลอด

         

        ชาติที่แล้วก่อนที่เสด็จพ่อจะมีรับสั่งให้ยึดอำนาจทางการทหารและกักบริเวณเขา ฉู่เหิงคือผู้ที่ฝ่าอันตรายเพื่อมาเตือนเขาให้เตรียมหาหนทางรับมือล่วงหน้า ทว่าเขากลับถือดีจนเกินไป หรืออีกใจหนึ่งคือเขาไม่เชื่อว่าเสด็จพ่อจะทำเช่นนี้กับตน เป็นเหตุให้ท้ายที่สุดต้องพบจุดจบที่น่าเวทนาเช่นนั้น

         

        ดังนั้นแล้วเขาจึงปฏิเสธการขอเข้าพบของผู้อื่นทั้งหมด ยกเว้นเสียแต่หลานชายผู้นี้ผู้เดียว

         

        ฉู่เหิงปีนี้อายุได้ 15 ปี ร่างกายสูงใหญ่กำยำ หน้าตาหล่อเหลาตั้งแต่อายุยังน้อย เป็นองค์ชายที่ยังไม่ถึงวัยเติบใหญ่ ผู้คนต่างเรียกขานเขาว่าท่านอ๋องน้อย อ๋องน้อยผู้นี้วันๆ นอกจากไม่สนใจร่ำเรียนวิชาใดๆ ยังชอบทำตัวเป็นอันธพาลรังแกชาวบ้านและพ่อค้าแม่ขายตาดำๆ อีกนิดแทบจะฉุดหญิงชาวบ้าน ทว่าสิ่งเหล่านี้กลับดูเป็นที่พอพระทัยขององค์รัชทายาทผู้มีศักดิ์เป็นอาของเขา นอกจากจะไม่เคยไม่ถือสาหาความใดๆ ยังคอยเก็บกวาดเรื่องเหล่านี้ให้ฉู่เหิงเสียด้วยซ้ำ

         

        ฉู่เหิงสวมชุดราชสำนักสีน้ำเงิน ลักษณะท่าทางไม่ต่างกับกับองค์ชายเจ้าสำราญ พอก้าวผ่านประตูจวนเข้ามาได้ส่งเสียงดังเอะอะโวยวายขึ้นทันที “เสด็จอาๆ หลานมาเยี่ยมท่านแล้ว ทั้งยังเอาสมบัติล้ำค่ามาให้ท่านด้วย!”

         

        ฉู่ยวี้อดยกยิ้มไม่ได้เมื่อได้ยินเสียงหลานชายจอมโวยวายเรียกตนเช่นนั้น เขาวางพู่กันลงแล้วเดินออกไปด้านนอก เห็นเป็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าประตู พานให้เขาหวนนึกถึงความสง่างามของเด็กผู้นี้ในภายภาคหน้า จนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจให้กับความไม่แน่นอนของโลกใบนี้

         

        ฉู่เหิงคิดว่าการมาครั้งนี้ของเขาคงหนีไม่พ้นต้องผิดหวังอย่างแน่นอน ทว่าผู้ใดจะรู้ว่าเสด็จอากลับยอมให้เขาเข้าพบเสียอย่างนั้น เหล่าเสด็จอาคนอื่นๆ ของเขาต่างพากันพูดเยาะเย้ยลับหลังว่า เหวินอ๋องพลัดตกจากหลังม้าจนถึงกับเสียสติไปแล้ว เขารู้สึกถึงความแตกต่างไปจากเมื่อก่อนไม่น้อย เมื่อมองไปยังเสด็จอาที่ยืนส่งยิ้มให้เขาอยู่เบื้องหน้า ฉู่เหิงกระพริบตาปริบๆ อยู่หลายครั้ง จากนั้นส่งยิ้มตอบและเอ่ยว่า “หลานเกรงว่าอาการบาดเจ็บของเสด็จอาจะยังไม่หายดี จึงไม่กล้ามารบกวน ครั้นได้เห็นเสด็จอาคล้ายกำลังประสบเรื่องน่ายินดีเช่นนี้ เห็นทีคงเป็นหลานที่กังวลมากเกินไป หากหลานรู้เร็วกว่านี้ หลานคงจะมาเยี่ยมท่านนานแล้วขอรับ!”

         

        ฉู่ยวี้ส่งเสียงหัวเราะออกมา “ข้าจะมีเรื่องน่ายินดีอะไรกัน เจ้ากลับรู้จักหาของล้ำค่ามาให้ข้า เห็นได้ว่าใส่ใจข้ายิ่งนัก”

         

        “แต่ช้าก่อนเสด็จอา เมื่อได้เห็นท่าทีเช่นนี้ของท่าน เกรงว่าสมบัติล้ำค่าพวกนี้คงจะไร้ประโยชน์เสียแล้ว”

         

        “หมายความว่าอย่างไรกัน สมบัติล้ำค่าของเจ้าสร้างความพิศวงให้ผู้คนไม่ได้หรืออย่างไรกัน”

         

        “ไม่ใช่เช่นนั้นเสียหน่อยขอรับ ก่อนที่จะมาหาท่านอา ได้ยินผู้คนทั้งฉางอันเล่าลือกันว่า เหวินอ๋องเกิดหลงเสน่ห์ว่าที่พระชายา แต่มีหรือที่ข้าจะเชื่อ เสด็จอาของข้าเป็นถึงแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่แห่งรัฐจาว จะมาชอบพอบุรุษได้อย่างไรกัน ข่าวลือพวกนั้นต้องมีอะไรเข้าใจผิดอย่างแน่นอน เช่นนั้นแล้วข้าจึงตั้งใจคัดเลือกหญิงงามมามอบให้เสด็จอาสองนาง ต่อให้บุรุษจะงดงามสักเท่าใด แต่มีหรือจะงามล้ำไปกว่าสมบัติล้ำค่าของข้า?”

         

        พูดจบพยักพเยิดหน้าบอกใบ้ให้ฉู่ยวี้มองไปยังภายนอกหน้าต่าง เมื่อมองตามสายตาของเขาไป พลันพบเข้ากับสตรีสองนางกำลังยืนอ้อยอิ่งอยู่ในลานภายนอก ชุดกระโปรงสีชมพูส่องสะท้อนไปยังเหล่าดอกไม้ที่กำลังบานสะพรั่ง ทำให้มวลดอกไม้เหล่านั้นแลดูมีสีสันไม่น้อย

         

        ทว่าทั้งหัวใจของฉู่ยวี้มีเพียงกู้โยวหนิง กู้โยวหนิงคือสมบัติล้ำค่าของเขา สมบัติล้ำค่าที่หายากและมีค่ามากที่สุด ในใจของเขาไม่สามารถมีผู้อื่นได้อีก ได้ฝืนยิ้มให้กับฉู่เหิงที่กำลังทำตัวเหลวไหล “คงจะใช้การไม่ได้เสียแล้ว เจ้านำกลับไปเสียเถอะ”

         

        กล่าวจบก็หันหลังเดินกลับเข้าไปในตำหนักเช่นเดิม ฉู่เหิงตกตะลึงอยู่กับที่ รู้สึกตัวอีกทีหลังผ่านไปครู่ใหญ่

         

        “ต้องไม่เป็นเช่นนี้ เสด็จอา...” เขารีบร้อนวิ่งตามเข้าไปแล้วเอ่ยอย่างคาดไม่ถึง “เสด็จอาเกิดหลงเสน่ห์กู้โยวหนิงผู้นั้นจริงหรือขอรับ กู้โยวหนิงผู้นี้แท้จริงแล้วเป็นคนเช่นไรกัน เหตุใดผู้ที่พบเห็นเขาต่างพากันหลงใหลเช่นนี้!”

         

        ฉู่ยวี่ชะงักฝีเท้า หันหลังกลับมามองเขาแล้วเอ่ยถาม “ยังมีผู้อื่นที่หลงใหลเขาอีกหรือ?”

         

        “จะยังมีผู้ใดอีก นอกจากป๋ายจิ้งจือ”

         

        “ยูนนานอ๋อง...” ฉู่ยวี้ขมวดคิ้ว “เขารู้จักกับโยวหนิง?”

         

        “ขอรับ เมื่อ 2 ปีก่อนเขาเคยพำนักที่ฉางอันระยะหนึ่งไม่ใช่หรือขอรับ ดูเหมือนจะเริ่มรู้จักกันตั้งแต่ตอนนั้น เขาต้องการอภิเษกกู้โยวหนิงไปเป็นอนุชายามาโดยตลอด แต่ผู้ใดจะรู้ว่าถูกเสด็จอาแย่งไปก่อนเสียอย่างนั้น ทั้งหลานได้ยินมาว่าเมื่อ 2 วันก่อนยังส่งคนมาไถ่ถามเรื่องการอภิเษกของพวกท่านด้วยขอรับ”

         

        ฉู่ยวี้ขมวดคิ้วเป็นปมเสียยิ่งกว่าเดิม ในยามนี้ป๋ายจิ้งจือยังเป็นเพียงรัฐทายาทยูนนานอ๋อง ทว่าอีก 4 ปีให้หลังยูนนานอ๋องคนก่อนก็สิ้นพระชนม์ ชาติที่แล้วป๋ายจิ้งจือคอยไปมาหาสู่กับตนอยู่ตลอด มักจะมาเยี่ยมเยือนที่จวนอยู่บ่อยครั้ง ในคราแรกเขานึกว่าคนผู้นี้ต้องการดึงตนให้เข้าฝ่าย แต่เมื่อหวนนึกถึงท่าทีของป๋ายจิ้งจือในชาติก่อนแล้ว เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่าจงใจเข้าหากู้โยวหนิงเสียมากกว่า

         

        ป๋ายจิ้งจือ เจ้าสมควรตาย! แม้แต่คนของเขาก็ยังกล้ามาข้องแวะ เขาจะจดจำไว้! ใบหน้าของฉู่ยวี้เริ่มบิดเบี้ยวจนไม่น่าดู

         

        ฉู่เหิงที่อยู่ข้างกายและมองดูท่าทีของฉู่ยวี้อยู่ตลอดถึงกับตกตะลึง กู้โยวหนิงผู้นี้ต้องงดงามราวกับเทพเซียนถึงเพียงใดกัน

         

        จู่ๆ มีองครักษ์ผู้หนึ่งเข้ามาในตำหนัก เมื่อเห็นว่ายังมีฉู่เหิงอยู่ด้วย จึงเดินเข้าไปกระซิบฉู่ยวี้เสียงเบา ฉู่ยวี้ถึงกับหน้าเปลี่ยนสีทันที “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?”

         

        องครักษ์ค่อยๆพยักหน้า “องครักษ์ที่ได้รับคำสั่งให้คอยดูแลคุณชายกู้ไม่อาจเข้าไปภายในจวนอัครเสนาบดีขอรับ ทำให้พึ่งจะทราบเรื่องเมื่อรุ่งเช้า คาดว่าถูกขังเป็นเวลาหนึ่งคืนแล้วขอรับ”

         

        องครักษ์ผู้นี้รู้ดี เหวินอ๋องนอกจากจะไม่ข่มเหงว่าที่พระชายา ยังแสดงออกว่าชอบพอว่าที่พระชายายิ่งนัก พวกเขาไม่กล้าที่จะชักช้าแม้แต่วินาทีเดียว หลังจากที่ทราบข่าวจึงรีบกลับมารายงานทันที

         

        ฉู่เหิงมองตามฉู่ยวี้วิ่งพรวดพราดออกไปราวกับสายลม สีหน้าที่แสดงออกถึงความเจ็บปวดหัวใจเช่นนั้นไม่ใช่การแสร้งทำแน่นอน จากนั้นหันไปมองสตรีงามสองนางที่ตนตั้งอกตั้งใจคัดหามา แม้จะไม่ได้งามล้นจนล่มบ้านล่มเมือง แต่ก็ถือได้ว่างามกว่าสตรีเป็นหมื่นๆ นาง ทว่าตอนที่เหวินอ๋องวิ่งออกไปอย่างรีบร้อน กลับไม่แม้แต่จะชายตาแลหญิงงามสองนางนั้นสักนิด

         

        ท่านอ๋องน้อยได้แต่แปลกใจ กู้โยวหนิงผู้นี้ช่างยอดเยี่ยมนัก วันหน้าเขาต้องหาโอกาสพบหน้าให้ได้เสียแล้ว

 

______________________________________________

 

หากชอบนิยายเรื่อง "ย้อนลิขิตเขียนรัก พระชายาอ๋อง" ละก็เพื่อน ๆ สามารถตามเข้าไปอ่านได้ที่ลิงค์ด้านล่างเลยน้า

https://www.kawebook.com/story/3088

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

แก้ไขครั้งที่ 1 โดย Kawebook เมื่อ8 มิถุนายน พ.ศ. 2563 15.09 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
15 เมื่อ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 21.16 น.

เล่มที่1 บทที่15 วิญญาณหวนคืนภพเดิม

 

 

        กู้โยวหนิงรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่ในฝันแสนยาวนาน ภายใต้ความเลือนราง สักพักเขาเหมือนได้กลับไปใช้ชีวิตอยู่ในยุคที่การจราจรติดขัด ยังเป็นแค่นักศึกษามหาวิทยาลัยที่มักโชคร้ายอยู่ตลอด แต่อีกสักพักเขากลับรู้สึกเหมือนตัวเองได้ย้อนเวลามาในยุคโบราณ กลายเป็นลูกอนุภรรยาที่ไม่เคยได้รับความรักจากคนเป็นพ่อ

         

        เขาฝันถึงยุคปัจจุบัน พี่ชายของเขาฟุบหมอบอยู่ข้างเตียงโดยที่มือกำลังกุมมือขาวซีดเซียวข้างหนึ่งไว้แน่น พี่ใช้ความพยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อกลั้นเสียงสะอื้นของตัวเอง กู้โยวหนิงได้แต่ยืนอยู่ด้านข้าง คอยฟังเสียงร้องไห้ของพี่ชายที่ปกติมักจะเข้มแข็งและอดทนเสมอ แต่ตอนนี้พี่กลับร้องไห้ปานจะขาดใจจนเขายังเผลอร้องไห้ตามโดยไม่รู้ตัว กู้โยวหนิงคอยพูดปลอบใจพี่ชายตน แต่เหมือนจะไม่มีใครได้ยินเสียงเขา เมื่อยื่นมือออกไปหวังจะประคองพี่ให้ลุกขึ้น พลันพบว่ามือของตนกลับทะลุผ่านร่างของพี่ชาย กู้โยวหนิงตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาหันไปมองคนที่นอนอยู่บนเตียงทันที ร่างที่กำลังนอนไร้ลมหายใจอยู่บนเตียง ใบหน้าเกลี้ยงเกลาแต่ไร้สีสันเช่นคนยังมีชีวิต นั่นมันไม่ใช่ร่างของเขาเองหรือไง?

         

        เขาตายแล้ว...

         

        ความรู้สึกสิ้นหวังในส่วนลึกของหัวใจ ทำให้เขารู้สึกคล้ายกำลังจะแตกสลาย ทันใดนั้นมีเสียงของคนคนหนึ่งกำลังพร่ำเรียกชื่อเขา

         

        “โยวหนิง... โยวหนิง...โยวหนิง...”

         

        ใครกำลังเรียกชื่อเขา ราวกับมีมือข้างหนึ่งกำลังกอบกุมมือเขาภายใต้ความเลือนรางนี้ ความอบอุ่นและความหยาบจากฝ่ามือทำให้จิตใจสงบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่จู่ๆ รอบกายกลับแปรเปลี่ยนเวียนวน คล้ายกับเขากลับมาในยุคโบราณอีกครั้ง กลับมาเป็นบุตรอนุภรรยาผู้ไม่ได้รับความรักจากบิดาอีกครั้ง

         

        ทำไม... ทำไมกัน... เขาไม่ได้อยากอยู่ที่นี่ เขาตายแล้ว พี่เสียน้ำตามากมายเพราะการตายของเขาขนาดนั้น แล้วทำไมถึงไม่ให้เขากลับไปอยู่ในยุคปัจจุบัน ต่อให้เขาเป็นแค่ดวงวิญญาณเล็กๆ ก็ยังดี

         

        “โยวหนิง... โยวหนิง... เจ้าฟื้นได้แล้ว อย่าร้องไห้ หมอหลวง... หมอหลวง...”

         

        ใครเรียกเขาอีกแล้ว แต่เสียงเรียกครั้งนี้ฟังดูร้อนรน ไม่สุขุมนุ่มนวลเหมือนเมื่อกี้สักนิด

         

        “โยวหนิง เจ้าอย่าทำให้ข้าตกใจเช่นนี้ เจ้าฟื้นขึ้นมาได้แล้ว!”

         

        ทันใดนั้นได้ยินเสียงร้องไห้ของผู้หญิงแทรกเข้ามา

         

        “ไยอาสะใภ้กับท่านลุงจึงทำเช่นนี้ แม้โยวหนิงจะลบหลู่พวกท่าน แต่พวกท่านควรคำนึงถึงเหวินอ๋องและให้อภัยเขาสักนิด ทั้งอากาศเช่นนี้ เหตุใดจึงขังเขาไว้ในห้องเก็บฟืนไม่ถามไถ่สักคำ”

         

        กู้โยวหนิงนอนหลับใหลสติเลือนรางอยู่ในห้องเก็บฟืนเป็นเวลาหนึ่งคืน เจียนยวี่ร้อนใจจนอยู่ไม่สุข กำลังจะตัดสินใจพังประตูเข้าไป กลับพบกับฉู่ยวี้ที่ขี่ม้าบุกเข้ามาภายในจวนเสียก่อน ฉู่ยวี้จัดการถีบประตูห้องเก็บฟื้นจนพังพินาศ จากนั้นเข้าไปอุ้มกู้โยวหนิงที่กำลังสลบไสลไร้สติออกมาจากข้างใน

         

        ทั้งจวนอัครเสนาบดีโกลาหลขึ้นมาทันใด ฮูหยินแซ่หลี่กับกู้ถิงมีสีหน้าเคร่งเครียด กู้ชิงซวงรีบตามมาเช่นกัน นางกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เมื่อกู้โยวหนิงนอนใบหน้าซีดเซียวอยู่บนเตียง

         

        เดิมทีเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร บิดาลงโทษเป็นการสั่งสอนบุตรถือเป็นเรื่องปกติทั่วไปมาแต่โบราณ ทว่าการลงโทษจนถึงกับป่วยหนัก ทั้งยังถูกเหวินอ๋องพบเข้าเช่นนี้ คาดว่าคงจะไม่สามารถเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยได้เสียแล้ว เมื่อฮูหยินแซ่หลี่เห็นสีหน้าและแววตาแห่งความปวดใจของเหวินอ๋อง นางถึงกับโมโหจนถึงกับดึงทึ้งผ้าเช็ดหน้าในมือตนอย่างแรง ทั้งยังลอบบริภาษกู้โยวหนิงในใจว่า เจ้าลูกสุนัขจิ้งจอก!

         

        ฉู่ยวี้นั่งอยู่ข้างเตียง ทั้งปลอบกู้โยวหนิงที่ร้องไห้เพราะอาจฝันร้าย และคอยเช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน เขารู้มาตั้งชาติก่อนว่าจวนอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายหมางเมินต่อบุตรอนุ แม้เขาจะเกิดเป็นพระโอรสของฮ่องเต้ แต่ก็เป็นบุตรอนุเช่นกัน ย่อมต้องเข้าใจถึงความยากลำบากที่บุตรของอนุต้องพานพบ ทว่าเขาคาดไม่ถึงแม้แต่นิดว่าฐานะของกู้โยวหนิงจะต่ำต้อยกว่าเด็กรับใช้ในจวนเสียด้วยซ้ำ อย่างไรเสียก็เป็นถึงคุณชายผู้หนึ่ง จะมาขังไว้ในห้องเก็บฟืนเช่นนี้ได้อย่างไร?

         

        ขณะเขากำลังกรุ่นโกรธยิ่งนัก กู้โยวหนิงที่นอนอยู่บนเตียงพลันฉวยเอามือข้างหนึ่งของเขาไปจับไว้ กู้โยวหนิงจับมือเขาไว้ไม่ต่างจากคนจมน้ำพยายามไขว่คว้าหาสิ่งยึดเหนี่ยว นอกจากจะจับมือของเขาแน่นไม่ยอมปล่อย ปากยังพร่ำเอ่ยบางอย่างไม่หยุด

         

        หลังฉู่ยวี้โน้มตัวเข้าใกล้เพื่อฟังสิ่งที่กู้โยวหนิงกำลังพร่ำเพ้อถึง เขากลับได้ยินคำว่า พี่ชาย เพียงสองคำ

         

        ฉู่ยวี้เงยหน้าขึ้นด้วยความสงสัย กู้ถิงมีบุตรชายทั้งหมด 3 คน บุตรสาวทั้งหมด 2 คน นอกจากกู้โยวหนิง พี่ชายที่เหลือทั้งสองคนล้วนเป็นบุตรที่เกิดจากฮูหยินเอก บุตรชายคนโตนามกู้จวิ้นเซวียนเข้ารับราชการทหาร อาศัยอยู่แถบทะเลทรายเป็นเวลาหลายปี ในจวนอัครเสนาบดีเหลือเพียงบุตรชายคนที่สองนามกู้เหรินอัน ฉู่ยวี้เองได้ยินคำเล่าลือมาบ้าง เดิมราชสำนักเลือกกู้เหรินอันผู้เป็นบุตรฮูหยินเอกของกู้ถิงให้อภิเษกเป็นพระชายาของตน แต่เพราะกู้ถิงอาลัยอาวรณ์ ไม่อาจยอมสละบุตรชายผู้นี้ได้ ภายหลังจึงขอเปลี่ยนเป็นกู้โยวหนิงแทน

         

        ฉู่ยวี้ขมวดคิ้วพลางกวาดสายตามองไปยังโดยรอบ ยามสายตาดุดันเคลื่อนผ่านผู้ใด คนผู้นั้นเป็นอันต้องรู้สึกกระอักกระอ่วน ท้ายที่สุดหยุดสายตาที่เด็กหนุ่มอายุมากกว่ากู้โยวหนิงเล็กน้อย เด็กหนุ่มผู้นี้สวมอาภรณ์หรูหรา เมื่อครู่มีคนเรียกเขาว่าคุณชายรอง เพราะเช่นนั้นคนผู้นี้คือกู้เหรินอันแน่นอน สายตาที่คนผู้นี้ใช้มองมากลับไม่ได้แลดูสนใจอาการป่วยกู้โยวหนิงสักนิด คล้ายกำลังจดจ้องมายังตนเสียมากกว่า ความโลภและกระหายอำนาจสื่อออกทางสายตาอย่างปิดไม่มิด พี่ชายที่โยวหนิงพร่ำเรียกหาในยามป่วยเช่นนี้ ต้องไม่ใช่คนผู้นี้อย่างแน่นอน ถ้าเช่นนั้นแล้วคือพี่ชายคนโตที่ไม่ได้อยู่ในจวนแห่งนี้หรอกหรือ?

         

        กู้เหรินอันรูปร่างผอมบาง ผิวพรรณเนียนละเอียด ใบหน้าคล้ายคลึงฮูหยินแซ่หลี่ เขารู้สึกโมโหเมื่อเห็นเหวินอ๋องปฏิบัติต่อกู้โยวหนิงเช่นนี้ ไม่อาจยอมรับว่าเหวินอ๋องโปรดปรานกู้โยวหนิง และคิดว่าผู้ที่ควรได้รับการโปรดปรานควรเป็นตนเสียมากกว่า แม้ไม่อยากถูกจองจำอยู่ในตำหนักใหญ่ แต่ด้วยท่าทีเช่นนี้ของเหวินอ๋อง หลังเข้าไปอยู่ในตำหนักใหญ่เช่นนั้น จะยังมีอะไรที่ตนอยากได้แล้วไม่ได้อีกเล่า

         

        พี่ชายคนโตของเขานามกู้จวิ้นเซวียนมีตำแหน่งเป็นนายพลทหาร ภายหน้าหลังกู้ถิงเกษียณราชการ ฝ่าบาทย่อมต้องพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้อย่างแน่นอน แต่มีเพียงบุตรชายคนโตที่เกิดจากฮูหยินเอกเท่านั้นที่สามารถสืบทอดตำแหน่งจากบิดา บุตรชายคนรองเช่นเขาย่อมต้องตกต่ำกว่าพี่ชายอยู่ดี เมื่อก่อนได้ว่าเหวินอ๋องเป็นผู้มีจิตใจอำมหิต หากอภิเษกเข้าไปต้องไม่มีวันได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเป็นแน่ แต่เมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ คาดว่าคำเล่าลือคงจะไม่จริงสักนิด และเขาไม่อาจยอมยกสิ่งเหล่านั้นให้กู้โยวหนิงโดยไม่ได้อะไรเช่นนี้

         

        เขาคิดว่าตนไม่ได้ด้อยไปกว่ากู้โยวหนิง จึงก้าวเข้าไปพลางส่งยิ้มให้ฉู่ยวี้ “ท่านอ๋อง ท่านอ๋องเฝ้ามานานเช่นนี้อาจจะเมื่อยล้า เหตุใดจึงไม่ให้ท่านแม่กับน้องชิงซวงเฝ้าแทนขอรับ ท่านอ๋องจะได้ไปดื่มน้ำชากับท่านพ่อของกระหม่อมในห้องโถง”

         

        ฉู่ยวี้กรุ่นโกรธไม่น้อย กู้โยวหนิงถูกจับขังในห้องเก็บฟืนเพราะดูหมิ่นฮูหยินแซ่หลี่ เป็นเหตุให้ยามนี้จับไข้จนยังไม่ฟื้น ยังกล้าพูดว่าจะให้ฮูหยินแซ่หลี่เข้าใกล้กู้โยวหนิงอีกหรือ เขาเงยหน้ามองกู้เหรินอันด้วยความรำคาญครู่หนึ่ง ตามด้วยผู้ที่กำลังประหวั่นพรั่นพรึงอย่างกู้ถิง “ไม่จำเป็น เปิ่นหวางจะเฝ้าอยู่ที่นี่!”

 

______________________________________________

 

หากชอบนิยายเรื่อง "ย้อนลิขิตเขียนรัก พระชายาอ๋อง" ละก็เพื่อน ๆ สามารถตามเข้าไปอ่านได้ที่ลิงค์ด้านล่างเลยน้า

https://www.kawebook.com/story/3088

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

แก้ไขครั้งที่ 1 โดย Kawebook เมื่อ8 มิถุนายน พ.ศ. 2563 15.08 น.

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
16 เมื่อ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2563 22.19 น.

เล่มที่1 บทที่16 ยาวนานสิบปี

 

        เมื่อถูกฉู่ยวี้จ้องเช่นนั้น กู้เหรินอันถึงรู้ว่าตนหาเรื่องใส่ตัวเสียแล้ว เขามองทางบิดาทันที สีหน้าของกู้ถิงไม่ได้ดีไปกว่ากู้เหรินอันสักนิด แม้เมื่อหลายวันก่อนตนจะรู้ว่าฉู่ยวี้พึงพอใจในตัวกู้โยวหนิง แต่นึกไม่ถึงว่าจะมากถึงเพียงนี้ ยังไม่ทันเข้าพิธีอภิเษกยังทำเช่นนี้ หลังอภิเษกเข้าไปอยู่ในจวนอ๋อง ความสัมพันธ์สัมพันธ์คงจะยิ่งดีขึ้นแน่นอน

         

        การที่กู้โยวหนิงได้รับความโปรดปรานจากเหวินอ๋อง ถือเป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของกู้ถิงอย่างมาก เพราะหากเหวินอ๋องข่มเหงกู้โยวหนิง ย่อมไม่อยากผูกมิตรกับคนในจวนอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย ถึงยามนั้นอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายและเหวินอ๋องก็จะถือว่ายืนอยู่คนละฝ่าย แต่ถ้าเหวินอ๋องโปรดปรานกู้โยวหนิงเช่นนี้ ทุกอย่างคงต้องกลายเป็นเรื่องยากทันที เป็นเรื่องที่หาทางแก้ไขได้ยากยิ่งกว่าเรื่องที่กู้โยวหนิงคิดใช้อำนาจของเหวินอ๋องกดขี่พวกเขาในภายหน้าเสียอีก กู้ถิงรู้สึกมืดแปดด้านขึ้นมาทันใด ตอนนี้ยังมีการกักขังกู้โยวหนิงที่ดูจะเป็นเรื่องยากอีกเรื่องหนึ่ง จากท่าทีของเหวินอ๋องในยามนี้ เกรงว่าจะไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ อย่างแน่นอน

         

        ในยามปกติไม่ว่ากู้โยวหนิงจะปวดหัวหรือตัวร้อนอย่างไร กู้ถิงไม่เคยคิดจะถามไถ่สักคำ ไหนจะฮูหยินแซ่หลี่ที่อยากให้กู้โยวหนิงตายไปเสียได้ยิ่งดี แต่วันนี้เวลานี้กู้โยวหนิงกำลังหลับไม่ได้สติอยู่บนเตียง กู้ถิงกับฮูหยินกลับพากันร้อนใจยิ่งกว่าอะไร แม้แต่จะสูดหายใจเฮือกใหญ่ก็ยังมิกล้า ต่างรอคอยให้กู้โยวหนิงฟื้นขึ้นมาให้เร็วที่สุด เพราะไม่เช่นนั้นเหวินอ๋องอาจจะรื้อจวนพวกเขาอย่างแน่นอน

         

        หมอหลวงผลัดเปลี่ยนกันเข้าไปด้านใน ไม่ว่าจะป้อนยาดีเลิศไปมากเพียงใด กู้โยวหนิงก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมา จนกระทั่งล่วงเลยถึงเวลาพลบค่ำ จวนอ๋องส่งคนมาเชิญเหวินอ๋องให้เดินทางกลับ กระทั่งผู้คนในจวนอัครเสนาบดีก็ได้โน้มน้าวให้เหวินอ๋องกลับไปพักผ่อนเช่นกัน ทว่าฉู่ยวี้เอาแต่นั่งอยู่ข้างเตียงไม่ยอมขยับไปไหน มือที่คอยป้อนยาและซับเหงื่อให้กู้โยวหนิงล้วนเป็นมือของเขา ฉู่ยวี้เป็นถึงชินอ๋องย่อมไม่เคยปรนนิบัติผู้อื่น แต่สิ่งที่เขาปฏิบัติต่อกู้โยวหนิงล้วนเต็มไปด้วยความอดทน บางครากู้โยวหนิงร้องไห้และคว้ามือเขาไว้ ก็มีเขาคอยปลอบจนค่อยๆ เงียบลง

         

        กู้โยวหนิงต้องอากาศหนาวภายในห้องเก็บฟืนเมื่อคืน ทำให้เป็นไข้ตัวร้อนขึ้นกลางดึก แต่จะทำอย่างไรได้เพราะรอบกายไร้ผู้คน ทั้งยังเป็นห้องเก็บฟืนที่หนาวเหน็บขนาดนั้น เดิมแค่ดื่มยาเข้าไป ปล่อยให้เหงื่อไหลสักหน่อยก็ดีขึ้นแล้ว แต่เขาถูกครอบงำโดยฝันร้าย และความกลัดกลุ้มใจที่ไม่อาจสลายไปง่ายๆ ตลอด 10 ปี เขากำลังต่อสู้กับตัวเองภายในความฝันแสนยาวนาน

         

        เขาแค่ไม่เข้าใจ ทำไมเขาต้องกลับมาที่นี่ ทำไมเขาต้องจากพี่ชายมายังที่นี่

         

        เขาไม่รู้จักคนที่อยู่ที่นี่แม้แต่คนเดียว ไม่ว่าใครก็เอาแต่รังแกเขา ไม่มีใครรักเขาเลยสักคน!

         

        แล้วทำไมเขายังต้องมาที่นี่ ทำไมต้องให้เขาพลัดพรากกับพี่ชาย!

         

        10 ปีแล้ว เป็นเวลาตั้ง 10 ปีแล้ว

         

        แท้จริงแล้วมันเป็นเพราะอะไรกัน?

         

        ทั้งจวนอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายส่องสว่างไปด้วยแสงไฟ ฉู่ยวี้ดึงดันที่จะอยู่ที่นี่เพื่อรอให้กู้โยวหนิงฟื้นขึ้นมา เมื่อท่านอ๋องไม่ยอมนอน แล้วใครจะกล้านอนกันเล่า พวกเขาต่างพากันรอให้กู้โยวหนิงฟื้นขึ้นมา

         

        ผู้ที่ถังซู่ยหวินสั่งให้มาเชิญท่านอ๋องกลับถูกตำหนิและไล่ให้กลับไป มิหนำซ้ำยังสั่งอีกว่าห้ามไม่ให้ใครมาตามตนกลับอีกเป็นอันขาด

         

        คนผู้นั้นนำสถานการณ์ในจวนอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายมาเล่าให้ถังซู่ยหวินฟังอย่างละเอียด หลังจากที่ได้ฟังถังซู่ยหวินถึงกับอดกลั้นอารมณ์โกรธเอาไว้ไม่ได้ ยังไม่ทันได้อภิเษกเข้าจวนอ๋อง ยังกล้ายั่วยวนท่านอ๋องจนมืดค่ำไม่ยอมกลับจวนเช่นนี้ หากอภิเษกเข้ามาจะยังมีที่ว่างให้ชายารองอย่างนางยืนหรือ

         

        “เป็นเพียงบุรุษมารยาสุนัขจิ้งจอกแท้ๆ กู้ถิงนั่นก็ไม่จะกลัวอับอายขายหน้าหรือปะไร ถึงปล่อยให้บุตรชายยั่วยุท่านอ๋องอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้!”

         

        ถังซู่ยหวินวางจอกน้ำชาลงบนโต๊ะอย่างแรง ในห้องยังมีสตรีอยู่อีกสามนาง พวกนางล้วนแต่เป็นอนุชายาของฉู่ยวี้ มีหนึ่งนางเคยเป็นเด็กรับใช้ของถังซู่ยหวิน แต่ถูกถังซู่ยหวินเสนอให้เหวินอ๋องรับนางเป็นอนุชายาเมื่อปีก่อน นางมีนามว่าหลานเซียง นางรีบร้อนนำผ้าเช็ดหน้าของตนออกมาเช็ดมือให้ถังซู่ยหวินพลางเอ่ย “ฮูหยินโปรดอย่าขุ่นเคืองไป จะทำร้ายสุขภาพได้นะเจ้าคะ ท่านเองก็เคยกล่าวไว้ นั่นก็เป็นแค่บุรุษ ท่านอ๋องเพียงแค่สนใจสิ่งใหม่เท่านั้น ครั้นเวลาผ่านไปก็จะดีขึ้นเองนะเจ้าคะ”

         

        “เหอะๆๆ~”

         

        สิ้นคำกล่าวของหลานเซียง พลันมีเสียงหัวเราะเย้ยหยันดังขึ้น อนุชายารูปร่างอรชรสวมชุดกระโปรงสีเหลืองนำผ้าเช็ดหน้าในมือขึ้นมาป้องปาก พลางกะพริบตาปริบๆ แลดูใสซื่อ นางเอ่ยขึ้นว่า “คำกล่าวเช่นนี้ของน้องคงจะผิดเสียแล้ว บุรุษมีตั้งมากมาย แต่กลับไม่เคยเห็นท่านอ๋องจะเป็นเช่นนี้ และจากที่ดูแล้ว ท่านอ๋องไม่ใช่แค่สนใจสิ่งใหม่ชั่วคราวอย่างแน่นอน!”

         

        นางคือนางระบำที่ต่างเมืองส่งมาเป็นเครื่องบรรณาการ นามว่าป๋ายเยี่ยน นางกับถังซู่ยหวินผู้เป็นชายารองถือว่าเป็นดั่งน้ำกับไฟ นางเป็นเพียงนางระบำ อย่างมากสุดหวังเพียงภายหน้ามีบุตรชายหรือบุตรสาวสักคน จากนั้นถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นชายารอง ชั่วชีวิตนี้ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว ทว่าแตกต่างจากถังซู่ยหวิน เพราะสิ่งที่นางต้องการไม่ได้มีเพียงแค่นั้น

         

        “จะไม่เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ที่จริงแล้วว่าที่พระชายาของพวกเรา ข้าเคยได้พบมาก่อนเมื่อครั้งยังอยู่ในโรงละคร”

         

        สตรีที่กล่าวเมื่อครู่มีนามว่าลั่วสยา เดิมทีนางเคยเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงของโรงละครมาก่อน ในยามนั้นนางคือสตรีงามที่ทำให้เหล่าคุณชายต่างพากันยินยอมโปรยเงินทองราวกับโปรยเศษดิน เมื่อเหวินอ๋องชมนางแสดงเพียงครั้ง 2 ครั้ง นางก็ถูกซื้อตัวและส่งเข้ามาอยู่ในจวนแห่งนี้ นางและป๋ายเยี่ยนต่างไม่ถูกชะตากับถังซู่ยหวิน เพียงเพราะว่าพวกนางเข้าจวนมาก่อนถังซู่ยหวิน ทว่ายามนี้ถังซู่ยหวินเป็นผู้ดูแลเรื่องความเรียบร้อยภายในจวน มิหนำซ้ำยังใช้ตำแหน่งชายารองอวดตนว่าสูงส่งกว่าพวกนาง แสดงความหยิ่งผยองใส่พวกนางอยู่ไม่น้อย

         

        ลั่วสยาและป๋ายเยี่ยนสบตากันครู่หนึ่ง จากนั้นมองไปยังถังซู่ยหวินที่มีท่าทีโมโหอยู่ไม่น้อย อดไม่ได้ที่จะลอบยิ้มออกมาแล้วพากันกล่าวต่อ “ในยามนั้น ผู้คนต่างเรียกเขาว่าคุณชายห้าแห่งตระกูลกู้ เพียงแค่เขาย่างเท้าเข้ามาในโรงละคร ผู้คนหาได้สนใจดูละครไม่ ไม่ว่าเจ้าจะคือหญิงงามอันดับหนึ่ง หรือแม้แต่นักแสดงที่มีชื่อเสียงเช่นไร คุณชายเหล่านั้นก็ยังจับจ้องไปที่เขาจนหมดทุกคนอยู่ดี ฉะนั้นข้าจึงได้แต่แปลกใจ เป็นเพียงบุรุษจะน่าชมยิ่งกว่าเหล่าหญิงงามร่างอรชรได้อย่างไร แต่แล้ววันหนึ่ง เขาได้เลือกชมการแสดงของข้าเข้าพอดี เช่นนั้นแล้วข้าตั้งใจมองเขาครู่หนึ่ง เจ้าทายสิว่าเกิดอะไรขึ้น?”

         

        ป๋ายเยี่ยนลอบยิ้มในใจเมื่อเห็นถังซู่ยหวินโกรธเคืองถึงเพียงนั้น ร่วมเอ่ยผสมโรงกับลั่วสยา “หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น?”

         

        “หึๆๆ~” ลั่วสยาตั้งใจเปล่งเสียงหัวเราะออกมา “ผู้ใดจะรู้ หลังจากข้ามองเขาเพียงครู่ พลันตกตะลึงจนถึงกับเหม่อลอยเลยทีเดียว ทั่วหล้านี้จะมีผู้ใดที่งดงามได้เช่นนี้อีก งดงามจนถึงขั้นทำให้ข้าลืมบทละครที่กำลังแสดงกันเลยทีเดียว”

         

        ถังซู่ยหวินรู้สึกว่าอนุชายาสองนางนี้ขวางหูขวางตาตนอยู่แล้ว เวลานี้กลับยิ่งเป็นดั่งเม็ดกรวดเม็ดทรายในตาของนาง ยามนี้นางไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป นับตั้งแต่เหวินอ๋องฟื้นขึ้นมาก็ไม่เคยเรียกให้ผู้ใดไปปรนนิบัติเลยแม้แต่ครั้งเดียว มิหนำซ้ำทุกครั้งที่นางต้องการขอพบท่านอ๋องหรือส่งของว่างใดๆ ไป แต่ก็ถูกปฏิเสธกลับมาทุกครา ส่วนลึกในใจนางกู่ก้องว่าว่าที่พระชายาที่นางไม่คิดจะใส่ใจหาความอะไรผู้นี้ เห็นที่ว่าภายหน้าคงต้องเป็นศัตรูตัวฉกาจของนางเสียแล้ว เพราะอย่างนั้นนางต้องรีบคิดหาทางรับมือในเร็ววัน

         

        ฉู่ยวี้ไม่รับรู้ถึงความคิดของเหล่าอนุชายาในจวนสักนิด เขาเอาแต่ตั้งใจดูแลกู้โยวหนิง ทั้งยังอดหลับอดนอนเพื่อคอยเฝ้าอยู่ข้างเตียงทั้งคืน กระทั่งเริ่มมีแสงของวันใหม่สาดส่องเข้ามา กู้โยวหนิงถึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น

         

        ผู้คนที่อยู่ในห้องต่างพากันขยับเข้าไปใกล้ ฉู่ยวี้มองกู้โยวหนิงด้วยความดีใจยิ่งกว่าผู้อื่น “โยวหนิง... รู้สึกดีขึ้นสักนิดหรือไม่? เจ้ามีส่วนใดที่ยังรู้สึกไม่ดีอยู่หรือไม่?”

         

        สายตาของกู้โยวหนิงมองตรงไปด้านหน้าอย่างเลื่อนลอย ฉู่ยวี้กลัวว่าเขานอนอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานานจะรู้สึกไม่สบาย จึงประคองให้ลุกขึ้นนั่งพิงกับหมอน ผู้ใดจะรู้ว่าหลังกู้โยวหนิงมองเขาเพียงครู่ ราวกับเพิ่งได้สติคืนมา จากนั้นเริ่มส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญโดยพลัน

         

        ฉู่ยวี้ตกตะลึงครู่หนึ่ง คิดว่ากู้โยวหนิงน้อยใจเพราะถูกผู้อื่นรังแก เขายิ้มและกอดกู้โยวหนิงไว้แนบอก มือใหญ่คอยลูบผมของเขาอย่างอ่อนโยน เอ่ยปลอบว่า “ไม่ต้องร้องแล้ว โตถึงเพียงนี้แล้วยังร้องไห้ เดี๋ยวจะถูกเด็กเล็กๆ หัวเราะเยาะเอาได้ จงบอกข้าว่าเจ้าถูกผู้ใดรังแกมา ข้าจะจัดการให้เจ้าเอง!”

         

        กู้โยวหนิงร้องไห้อย่างน่าสงสารจับใจอยู่ภายในอ้อมกอดฉู่ยวี้ เอ่ยอย่างละล่ำละลักออกมาว่า “ตายแล้ว ข้าตายแล้ว...”

 

______________________________________________

 

หากชอบนิยายเรื่อง "ย้อนลิขิตเขียนรัก พระชายาอ๋อง" ละก็เพื่อน ๆ สามารถตามเข้าไปอ่านได้ที่ลิงค์ด้านล่างเลยน้า

https://www.kawebook.com/story/3088

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

 

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
17 เมื่อ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2563 21.28 น.

เล่มที่1 บทที่17 หลังตื่นจากฝัน

 

        กู้โยวหนิงร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของฉู่ยวี้ ปากก็เอาแต่ส่งเสียงตะโกนลั่นว่าตัวเองตายแล้ว

         

        ใช่แล้ว ความฝันของกู้โยวหนิงดูเหมือนจริงมาก มากจนเขาไม่สามารถกลับเข้าสู่ปัจจุบันได้ในระยะเวลาสั้นๆ หลังจากร้องไห้อยู่พักหนึ่งถึงเริ่มได้สติกลับมา เขาเหม่อมองไปยังผู้คนทั้งห้อง จากนั้นย้อนกลับมาดูตำแหน่งที่ตนกำลังอยู่ กู้โยวหนิงถึงกับขนลุกขนพอง คลานหนีออกจากอ้อมกอดของฉู่ยวี้ แล้วกลิ้งไปอยู่ขอบเตียงทันที เอ่ยอ้ำอึ้งอย่างหวาดระแวงว่า “ทะ... ทะ... ท่านอ๋อง”

         

        ฉู่ยวี้อดขำไม่ได้เมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นของกู้โยวหนิง แต่เมื่อได้ยินกู้โยวหนิงเรียกตนว่าท่านอ๋อง จึงแสร้งเอ่ยถามพร้อมทั้งตีหน้าขรึมคล้ายกำลังกรุ่นโกรธ “อืม~ เจ้าลืมที่ข้าเคยบอกแล้วหรือ ต้องเรียกข้าว่าอย่างไร?”

         

        “ไม่ใช่! ไม่ใช่เช่นนั้นขอรับ! ไม่ลืมขอรับ... ไม่ได้ลืมสักนิดขอรับ!” กู้โยวหนิงรีบอธิบายพลางบีบมือตัวเอง หลังจากนั้นมองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย “แต่ว่า... ท่านมาอยู่นี่ได้อย่างไรขอรับ ข้า...”

         

        ฉู่ยวี้กระตุกยิ้มมุมปาก ยื่นมือไปหยิบผ้าห่มขึ้นมาห่มให้กู้โยวหนิง “ข้าได้ยินว่าเจ้าป่วย จึงมาดูเสียหน่อย”

         

        กล่าวจบ ฉู่ยวี้หรี่ดวงตามองไปทางกู้ถิงและฮูหยินแซ่หลี่ครู่หนึ่ง พลันทำให้คนทั้งสองหวาดกลัวจนไม่กล้าเอื้อนเอ่ยคำใดออกมา ได้ยินว่าป่วยอะไรกัน เป็นฉู่ยวี้เองไม่ใช่หรือที่เป็นผู้บุกเข้าไปอุ้มกู้โยวหนิงออกมาจากห้องเก็บฟืนนั้น

         

        ฮูหยินแซ่หลี่หวาดกลัวจนตัวสั่นเพราะได้ยินมาว่าเหวินอ๋องโหดเหี้ยมยิ่งนัก คนผู้นี้เข่นฆ่าศัตรู จนเปื้อนเลือดตั้งไม่รู้เท่าใด ทั้งร่างเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของความดุดัน นางกระทุ้งกู้เหรินอันอยู่ 2-3 ที ยามนี้นางและกู้ถิงไม่อาจออกหน้ากล่าวอะไรได้มาก เพราะเรื่องทั้งหมดล้วนเกิดจากพวกตนทั้งนั้น ดังนั้นนางจึงรีบส่งสัญญาณบอกให้กู้เหรินอันรีบแสดงความห่วงใยต่อกู้โยวหนิง มิเช่นนั้นแล้วเหวินอ๋องอาจจะคิดไปว่าจวนอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายละเลยกู้โยวหนิง

         

        กู้เหรินอันลอบพยักหน้าให้ท่านพ่อและท่านแม่ ก้าวออกมาพลางส่งยิ้มให้กู้โยวหนิง “ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นแล้ว ท่านอ๋องอยู่ที่นี่เพื่อเฝ้าเจ้าตลอดทั้งคืน ท่านพ่อและท่านแม่ก็เป็นห่วงจนข่มตาหลับไม่ได้ เจ้าฟื้นขึ้นมาก็ดีแล้ว ภายหน้าจงอย่าได้หัวแข็งเช่นนี้อีกเลย ยอมแพ้ให้ท่านพ่อกับท่านแม่ตนบ้างจะเป็นอะไรไป ครั้งนี้เจ้าเพียงแค่ถูกขังไว้ในห้องเก็บฟืน หากเป็นพวกเราคงจะถูกเฆี่ยนตายเสียแล้ว”

         

        กู้โยวหนิงฟังจบถึงกับต้องกรอกสายตา กู้เหรินอันคนนี้เหมือนแม่ไม่มีผิด คำพูดอาจจะดูน่าฟัง แต่ฟังจากที่พูดแล้วไม่ต่างกับเขาเอาแต่ใจไม่ฟังใครอย่างไรอย่างนั้น

         

        ครั้นฉู่ยวี้สังเกตเห็นท่าทีของกู้โยวหนิง พลันรู้ว่าคำกล่าวของกู้เหรินอันไม่อาจเชื่อถือ ในขณะเดียวกัน กู้ชิงซวงรีบร้อนเข้ามาข้างในหลังรู้ว่ากู้โยวหนิงฟืนแล้ว นางลืมกระทั่งคำนับฉู่ยวี้และกู้ถิง รีบตรงไปยังเตียง จากนั้นร้องไห้ออกมาเมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวของกู้โยวหนิง

         

        “โยวหนิงต้องลำบากเสียแล้ว มีตรงไหนที่ยังเจ็บปวดอยู่หรือไม่ เจ้าอยากกินอะไรจงบอกพี่”

         

        กู้โยวหนิงเม้มริมฝีปากพลางมองไปยังใบหน้าดั่งดอกสาลี่ต้องหยาดฝนของกู้ชิงซวง ในตอนนี้ราวกับจิตวิญญาณของเจี๋ยป่าวยวี้เข้าสิงเขาอีกหน เขาเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาบนดวงหน้ากู้ชิงซวง เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านพี่ไม่ต้องร้องไห้แล้ว โยวหนิงไม่เป็นอะไร ไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ ขอรับ ท่านดูสิ ตอนนี้ข้าก็ยังดีอยู่ไม่ใช่หรือ ไม่ต้องร้องแล้ว หยุดร้องไห้ได้แล้ว”

         

        กู้ชิงซวงเงยหน้าขึ้นมองเขา พยักหน้าทั้งน้ำตา “ถ้าเช่นนั้นก็ดีแล้ว”

         

        ฉู่ยวี้ที่นั่งอยู่ด้านข้างถึงกับมึนงง ทันใดนั้นขมวดคิ้วเป็นปม เดินเข้าไปปัดมือที่กำลังจับกันอยู่ของคนทั้งสองออก กู้ชิงซวงสะดุ้งตกใจ นางรู้ตั้งแต่เมื่อคืนวานว่าคนผู้นี้คือเหวินอ๋อง หรือผู้ที่กู้โยวหนิงกำลังจะเข้าพิธีอภิเษกด้วย จึงรีบลุกขึ้นทำความเคารพเขาทันที

         

        “คำนับเหวินอ๋องเจ้าค่ะ”

         

        ฉู่ยวี้ยังมีแสดงสีหน้าไม่น่าดูนักเช่นเดิม มองพิจารณานางอยู่ครู่ใหญ่ ถึงยอมบอกให้นางลุกขึ้น เขาไม่มีความทรงจำใดเกี่ยวกับแม่นางชิงซวงผู้นี้สักนิด ชาติที่แล้วเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่ากู้โยวหนิงกับลูกพี่ลูกน้องจะมีไมตรีต่อกัน แต่ชาติที่แล้วเขาไม่สนใจไยดีกู้โยวหนิง เพราะเช่นนั้นเรื่องที่เขารับรู้เกี่ยวกับกู้โยวหนิงย่อมต้องน้อยนิด ครั้นนึกได้ดังนั้น ฉู่ยวี้อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าอ่อนโยนแล้วหันไปหากู้โยวหนิง “เจ้าพักผ่อนและรักษาตัวให้ดี วันพรุ่งนี้ข้าจะมาหาเจ้าอีกครั้ง”

         

        กู้โยวหนิงพยักหน้าตอบ เมื่อเห็นจากสีหน้าผู้คนในห้องก็รู้แล้วว่าพากันกลัวเหวินอ๋องหัวหด อดไม่ได้ที่จะแอบดีใจ เหวินอ๋องนี่เจ๋งจริงๆ!

         

        ฉู่ยวี้มองกู้โยวหนิงครู่หนึ่ง แล้วส่งยิ้มให้เขา หลังหันหลังไปพลันเปลี่ยนสีหน้าเป็นเหวินอ๋องผู้ดุดันดังเดิม เอ่ยออกคำสั่งว่า “หมอหลวงลู่ เจ้าจงอยู่ที่นี่เพื่อดูแลคุณชายห้าตระกูลกู้”

         

        หมอหลวงอายุน้อยในชุดราชสำนักที่ยืนอยู่ด้านข้างโค้งคำนับทันที “ขอรับ”

         

        ฉู่ยวี้หันไปทางองครักษ์ข้างกายที่ติดตามตนมาด้วย “พวกเจ้าอยู่ที่นี่ คอยดูแลคุณชายห้าตระกูลกู้”

         

        “ขอรับ”

         

        องครักษ์จำนวนหนึ่งตอบรับด้วยน้ำเสียงแข็งขัน ทำให้กู้ถิงและฮูหยินแซ่หลี่ถึงกับเหงื่อตก สั่งให้องครักษ์มาอยู่ในจวนเช่นนี้ คงกลัวว่ากู้โยวหนิงจะถูกรังแกอีกเป็นแน่ แต่ถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ผู้คนในจวนอัครเสนาบดีจะเอาหน้าที่ไหนไปพบผู้คน

         

        ฮูหยินแซ่หลี่มองไปยังสามีตนครู่หนึ่ง ส่งสายตาให้เขารีบออกหน้าโดยเร็ว

         

        กู้ถิงเป็นถึงขุนนางใหญ่ของราชสำนัก แม้ว่าเรื่องในจวนจะจัดการได้ไม่ดีอย่างไร แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นเพียงหญ้าอ่อน ไม่เช่นนั้นแล้วคงไม่สามารถต่อกรกับอัครเสนาบดีฝ่ายขวาเป็นเวลาหลายปีเช่นนี้

         

        กู้ถิงเดินออกมาแล้วโค้งคำนับ “ท่านอ๋อง หากทำเช่นนี้แลดูจะไม่เหมาะสมเท่าใดขอรับ!”

         

        ฉู่ยวี้มองกู้ถิงเพียงครู่ มุมปากกระตุกยิ้มเย็น “สั่งให้คนของจวนอ๋องมาอยู่ในจวนอัครเสนาบดีเช่นนี้ แน่นอนว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสม ทว่าเปิ่นหวางไม่วางใจอย่างยิ่งที่จะให้ว่าที่พระชายาอยู่ที่นี่เพียงลำพัง”

         

        อะไรกัน จะยังมีสิ่งใดไม่น่าไว้วางใจอีก มิใช่แค่ขังไว้ในห้องเก็บฟืนเท่านั้นเองหรือ? หากท่านไม่สบายใจนัก เหตุใดจึงไม่พากลับจวนไปเสียก็สิ้นเรื่อง! กู้ถิงขมวดคิ้วพลางลอบบริภาษในใจ ทว่าภายนอกกลับกล่าว “โยวหนิงมิได้เป็นอะไรแล้ว ท่านอ๋องโปรดวางใจได้ขอรับ”

         

        ฉู่ยวี้ลอบยิ้มในใจ กู้ถิงผู้นี้รู้จักใช้*สี่ตำลึงปาดพันชั่งได้ดีทีเดียว เคยได้ยินแต่แม่ใหญ่รังแกบุตรอนุ แต่ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าบิดาแท้ๆ จะรังแกบุตรอนุเช่นกัน

         

        “ได้ยินท่านอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าวเช่นนี้ เปิ่นหวางก็สามารถวางใจได้ชั่วคราว” ฉู่ยวี้หันไปมองกู้โยวหนิงที่กำลังนั่งนิ่งอยู่บนเตียง ส่งยิ้มให้เขาครู่หนึ่ง จากนั้นหันกลับมาหากู้ถิง “ผู้นี้คือว่าที่พระชายาของข้า จะพำนักอยู่ที่จวนแห่งนี้ชั่วคราวเท่านั้น ใต้เท้าจงอย่าให้เขาได้รับความไม่เป็นธรรมใดๆ อีก”

         

        “มิบังอาจ มิบังอาจขอรับ!” กู้ถิงโค้งคำนับลงต่ำกว่าเดิมอีก

         

        ฉู่ยวี้ส่งเสียงหึในลำคอ เขารู้ว่าตนสามารถพากู้โยวหนิงไปอยู่ที่จวน คืนก่อนอภิเษกค่อยส่งตัวกลับมาให้พอเป็นพิธี แต่ที่ทำเช่นนี้เพราะเขาต้องการจะออกหน้าแทนกู้โยวหนิง เป็นการประกาศกับกู้ถิงอย่างเปิดเผยว่า ข้ายังไม่รับเขาไปตอนนี้ และเขาจะอยู่ที่นี่ เจ้าลองแตะต้องเขาแม้แต่นิดดู!

         

         

         

*สี่ตำลึงปาดพันชั่ง เป็นกระบวนท่าของวิชาต่อสู้ เป็นการปัดวิชาต่อสู้ต่างๆของ ฝ่ายตรงข้างให้พ้นไปจากตัวผู้ใช้ หรือรู้จักวิธีหลบหลีก

 

______________________________________________

 

หากชอบนิยายเรื่อง "ย้อนลิขิตเขียนรัก พระชายาอ๋อง" ละก็เพื่อน ๆ สามารถตามเข้าไปอ่านได้ที่ลิงค์ด้านล่างเลยน้า

https://www.kawebook.com/story/3088

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
18 เมื่อ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2563 20.37 น.

เล่มที่1 บทที่18 มีเพียงบนสวรรค์

 

        หลังจากที่เหวินอ๋องกลับไป ฐานะของกู้โยวหนิงในจวนอัครเสนาบดีได้กระโดดขึ้นมาอยู่จุดสูงสุด แม้ว่าหลายวันก่อนหน้าพวกเขาจะทำดีต่อกู้โยวหนิง เด็กรับใช้คอยปรนนิบัติอย่างระมัดระวัง ทว่าสีหน้าคนเหล่านั้นยังหนีไม่พ้นดูถูกเขาอยู่ดี แต่ในวันนี้เวลานี้ ทุกอย่างไม่เป็นเช่นเดิมอีกต่อไป ตอนนี้กู้โยวหนิงคือพระชายาของเหวินอ๋องที่มาพำนักอยู่ในจวนอัครเสนาบดีชั่วคราว ผู้ใดจะกล้าแสดงท่าทีดูแคลน เพียงแค่กู้โยวหนิงคล้ายจะขมวดคิ้วเพียงเล็กน้อย ผู้คนต่างพากันรีบคุกเข่าขอรับโทษ เพราะเกรงว่าจะทำให้เขาไม่พอใจแม้แต่นิดเดียว

         

        เมื่อหลายวันก่อนกู้โยวหนิงรู้ว่าคนในจวนแห่งนี้ดูถูกดูแคลนเขา แต่ก็เกรงกลัวการชอบกลั่นแกล้งผู้คนจนคล้ายโรคจิตของตนเช่นกัน ทำให้วันนี้อาการชอบกลั่นแกล้งผู้คนราวกับโรคจิตของกู้โยวหนิงหนักขึ้นกว่าเดิมเสียอีก เขาอยู่ในยุคนี้มาตั้งสิบปี ถูกคนในจวนอัครเสนาบดีดูถูกมาไม่น้อย หรือจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือนับไม่ถ้วน ในที่สุดตอนนี้เขาก็มีโอกาสได้เอาคืนสักที ความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทุกวันจึงกลายเป็นการรังแกพวกเด็กรับใช้ที่เคยรังแกเขามาก่อน

         

        กู้โยวหนิงไม่ใช่คนดีมีเมตตามาตั้งแต่ไหนแต่ไร ถ้าเขาตกต่ำไร้ความสามารถ ใครจะรังแกยังไงก็รังแกไป แต่อย่าให้มีวันที่เขากลับมาเอาคืนได้ เพราะเขาจะแก้แค้นคืนให้สาสม เขาไม่ได้เหมือนตัวละครในนิยายย้อนยุคพวกนั้น รู้จักอดทนอดกลั้นหรือใจกว้างราวกับแม่พระที่สามารถให้อภัยผู้อื่นได้เสมออะไรนั่น เขาทำไม่เคยได้สักนิด ถ้าใครกล้าทำให้เขาเจ็บ เขาไม่สนทั้งนั้นว่าจะเป็นใคร จงจำไว้ให้ดีว่าอย่าให้เขาได้มีโอกาสแม้แต่นิด เพราะคนพวกนั้นจะต้องตายอย่างไร้ดินกลบหน้าแน่นอน แต่ในทางกลับกัน ถ้าใครทำดีกับเขา เขาจะจดจำไว้ชั่วชีวิต กู้โยวหนิงก็คือคนประเภทนี้

         

        ฉู่ยวีเห็นท่าทางเช่นนั้นของเขา จึงคิดว่าเขาน่าเอ็นดู ถึงแม้แลดูจะใจแคบไปบ้าง แต่มันก็คือการแสดงออกอย่างบริสุทธิ์อีกอย่างหนึ่ง เมื่อถูกผู้อื่นปฏิบัติไม่ดีด้วยแต่ยังไม่คิดผูกใจเจ็บ หากไม่ใช่ว่าใสซื่อจนเกินไปก็คงจะมีจิตใจที่กว้างขวางเหลือเกิน

         

        อาการบาดเจ็บของฉู่ยวีหายดีตั้งแต่ต้น แต่เขายังไม่เข้าราชสำนักสักครั้ง เหตุเพราะเต๋อเซิ่งฮ่องเต้ทรงมีพระราชานุญาตให้เขาพักฟื้นอยู่ในจวนอีกระยะหนึ่ง หลังจากพิธีอภิเษกเสร็จสิ้นค่อยเข้าราชสำนักก็ยังไม่สาย บอกกล่าวกับขุนนางในท้องพระโรงว่าอาการบาดเจ็บของเหวินอ๋องยังไม่หายดี ทำให้เหล่าขุนนางในท้องพระโรงต่างแสยะปากด้วยความไม่พอใจ เหวินอ๋องสามารถอยู่ดูแลว่าที่พระชายาที่ป่วยเพราะต้องอากาศเย็นถึงเพียงนั้น ยังกล้าบอกว่าอากาศบาดเจ็บยังไม่ดีขึ้นอีกหรือ จงไปหลอกผีเสียเถอะ!

         

        แท้จริงแล้วเต๋อเซิ่งฮ่องเต้วางแผนไว้ในพระทัย เรื่องที่เหวินอ๋องไปดูแลกู้โยวหนิงถึงในจวนอัครเสนาบดี เช้าวันถัดมาได้กลายเป็นที่ถกเถียงกันโดยทั่ว หากให้เข้าราชสำนักตอนนี้ เกรงว่าเหล่าขุนนางต้องถกเถียงกันเรื่องนี้อย่างแน่นอน เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่แต่อย่างใด ทว่าฉู่ยวีมีนิสัยมุทะลุบุ่มบ่าม เกรงว่าเขาจะมีเรื่องวิวาทกับเหล่าขุนนางกลางท้องพระโรง รอให้พิธีอภิเษกผ่านพ้นไป จากนั้นค่อยเรียกเขาเข้าราชสำนัก ถึงยามนั้นคงไม่มีผู้ใดกล้าหยิบยกเรื่องนี้มาเป็นหัวข้อถกเถียงอีก

         

        ผลคือเหล่าขุนนางที่อยู่ฝ่ายองค์รัชทายาทต่างพากันอยู่ไม่สุข เรื่องราวไม่เป็นไปตามที่พวกเขาคาดหมาย และดูไม่ออกว่าเหวินอ๋องคิดจะทำอะไร อดไม่ได้ที่จะหวาดหวั่น เพราะไม่อาจคาดเดาสิ่งที่อยู่ภายในใจเหวินอ๋อง

         

        ดังนั้นตำหนักฮุ่ยอันขององค์รัชทายาทจึงแลดูคึกคักไม่น้อย ทว่าองค์รัชทายาทคือผู้รู้จักวางแผนเช่นกัน เขาไม่ตอบรับการขอเข้าพบของเหล่าขุนนางใหญ่สักคน มิว่าจะเป็นองค์รัชทายาทหรือองค์ชาย การคบค้าสมาคมกับเหล่าขุนนางใหญ่ล้วนเป็นเรื่องต้องห้าม ดังนั้นเขาจึงต้อนรับเพียงองค์ชายสามฉู่เฉิงและองค์ชายเจ็ดฉู่เยว่เท่านั้น

         

        ฉู่เยว่มีลักษณะนิสัยเย่อหยิ่ง แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตา ทันทีที่ได้ยินเรื่องนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ “ฉู่ยวีต้องการแสดงละครให้เสด็จพ่อทอดพระเนตร แต่ไม่คิดสักนิดว่าป่านนี้จะยังทันการหรือไม่ และยังไม่คิดสักนิดว่ากู้ถิงจะยอมรับไมตรีของเขาหรือไม่”

         

        “เขาคือพี่ของเจ้า จงอย่าให้ผู้อื่นได้ยินว่าเจ้าเอ่ยเพียงนามของเขาโดยตรง” ฉู่เฉิงมีนิสัยรอบคอบ รู้จักระวังตัว และมากแผนการ เขามองไปยังองค์รัชทายาทที่กำลังหยอกเย้านกน้อย เอ่ยขึ้นว่า “กู้ถิงย่อมไม่มีทางรับไมตรีของเขา ขุนนางแก่เช่นเขารักตัวกลัวตายยิ่งกว่าสิ่งใด ยอมสละได้แม้แต่บุตรชายของตน ทว่าข้าไม่อาจคาดเดาความคิดของเสด็จพ่อ องค์รัชทายาทมีความเห็นเช่นไรพะยะค่ะ”

         

        องค์รัชทายาทฉู่เซียววางสิ่งที่อยู่ในมือ หันไปหาพวกเขาพลางเอ่ยทั้งรอยยิ้มว่า “น้องสาม ทำไมเจ้าถึงเกรงอกเกรงใจข้าอย่างนี้ องค์รัชทายาทอะไรกัน ข้ายังจำได้ว่าเมื่อก่อนพวกเจ้าเรียกข้าว่าพี่สอง พวกเราสามคนสนิทสนมกันมากเพียงใด ตอนนี้เกิดอะไรขึ้น เหตุใดน้องสามถึงเรียกข้าว่าองค์รัชทายาท หากยังเป็นเช่นนี้ เกรงว่าอีกไม่นานน้องเจ็ดคงต้องเลียนแบบเจ้าแน่ๆ”

         

        “ข้านับถือในความน่าเกรงขามขององค์รัชทายาท จึงไม่กล้าเรียกขานตามใจชอบพะยะค่ะ” ฉู่เฉิงกล่าวอย่างนอบน้อม

         

         

        องค์รัชทายาทลงบนบ่าฉู่เฉิงเบาๆ “เจ้าน่ะเคร่งครัดในกฎเกณฑ์มากเกินไป ดูอย่างน้องเจ็ดที่ทำตัวตามสบายเช่นนั้นมิดีกว่าหรือ มีข้าอยู่ เจ้ากลัวอะไรกัน?”

         

        “ใช่แล้ว ท่านพี่สามจะกลัวไปทำไมกัน ขอเพียงแค่พวกเราทั้งสามเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ผู้ใดกล้าตำหนิท่าน ผู้นั้นก็ต้องตาย!” ฉู่เยว่วางจอกน้ำชา เอ่ยต่อ “แต่... ท่านพี่สอง ฉู่ยวีทำเรื่องเช่นนี้ แท้จริงแล้วต้องการสิ่งใดกันแน่?”

         

        องค์รัชทายาทค่อยๆ ยกยิ้มเย็น แววตาฉายแววมืดมิด ค่อยๆ ลูบไล้จอกน้ำชาในมือ เอ่ยขณะครุ่นคิด “เขาทำเช่นนี้เพราะต้องการให้เสด็จพ่อพอพระทัย ทั้งยังลอบชักจูงอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายเข้าเป็นพวก ทว่าอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายกลับหวาดกลัวเขาเสียยิ่งกว่าสิ่งใด ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางเข้าร่วมกับเขาอย่างแน่นอน ข้าล่ะอยากรู้จริงๆ เขาตกหลังม้าเพียงครั้งเดียวก็กลายเป็นคนรู้จักวางแผนการแล้วหรือ”

         

        “อาจมิเป็นเช่นนั้น” ฉู่เฉิงเอ่ยพลางขมวดคิ้ว“ได้ยินว่าบุตรชายลำดับห้าผู้เป็นบุตรอนุภรรยาของกู้ถิงงดงามยิ่งนัก ไม่แน่ว่าเหวินอ๋องอาจรู้สึกชอบพอขึ้นมากะทันหัน”

         

        ทันทีที่กล่าวจบ องค์รัชทายาทและฉู่เยว่หันมองหน้ากันครู่หนึ่ง จากนั้นเปล่งเสียงหัวเราะออกมา

         

        “ให้ข้าพูดเถิดน้องสาม ยากนักที่จะได้ยินเจ้าเอ่ยชมผู้อื่นเช่นนี้!”

         

        “ใช่แล้วๆ หากเป็นผู้ที่งดงามถึงเพียงนั้น วันหน้าหากการใหญ่ของเราสำเร็จ ท่านก็พาพระชายาเหวินอ๋องกลับจวนไปเสียก็สิ้นเรื่อง”

         

        ฉู่เฉิงไม่สนใจพวกเขา องค์รัชทายาทเห็นสีหน้าที่ดูจริงจังของเขา จึงอดเอ่ยถามไม่ได้ “กู้โยวหนิงผู้นี้ เจ้าเคยพบมาก่อน? เป็นดังคำเล่าลือเหล่านั้นจริงหรือ?”

         

        ฉู่เฉิงกระตุกยิ้มมุมปาก “เช่นคนผู้นี้ เดิมควรมีเพียงบนสรวงสวรรค์ บนโลกนั้นหามีไม่จึงจะถูก”

 

______________________________________________

 

หากชอบนิยายเรื่อง "ย้อนลิขิตเขียนรัก พระชายาอ๋อง" ละก็เพื่อน ๆ สามารถตามเข้าไปอ่านได้ที่ลิงค์ด้านล่างเลยน้า

https://www.kawebook.com/story/3088

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
19 เมื่อ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2563 21.16 น.

เล่มที่1 บทที่19 พิธีมงคล (1)

 

        เดือนสามในฤดูใบไม้ผลิที่เหล่าดอกไม้ต่างแข่งกันผลิบาน ทั้งกรมพิธีการ จวนอัครเสนาบดี และจวนอ๋องต่างกำลังจัดเตรียมพิธีอภิเษกที่ใกล้จะมาถึงในเร็ววันนี้ แน่นอนว่าพิธีอภิเษกของท่านอ๋องต้องจัดอย่างยิ่งใหญ่กว่าผู้คนทั่วไป ทั้งยังมีระเบียบกฎเกณฑ์ที่ยุ่งยากและซับซ้อนมากกว่า ถึงรัฐจาวจะสามารถมีภรรยาเป็นบุรุษได้ แต่ในราชวงศ์กลับพึ่งจะมีพิธีอภิเษกพระชายาบุรุษเป็นครั้งแรก เต๋อเซิ่งฮ่องเต้ทรงรับสั่งให้จัดการตามประเพณีเพียงประโยคเดียว แต่ยิ่งทำให้ฝ่ายพิธีการต้องคิดหนักเสียแล้ว เดิมทีพิธีอภิเษกของเหล่าท่านอ๋อง แค่ปฏิบัติตามธรรมเนียมที่บรรพบุรุษกำหนดมาก็ถือเป็นอันเสร็จสิ้น ทว่าในยามนี้พระชายาคือบุรุษ ค่าสินสอดทองหมั้นจะกำหนดเช่นไรก็ดูจะไม่ค่อยถูกต้อง การเลี้ยงบุตรชายไม่เหมือนกับการเลี้ยงบุตรสาวสักนิด แต่เรื่องพวกนี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้นครั้งนี้คือพิธีอภิเษกพระชายาเอกของชินอ๋อง เตรียมพร้อมให้เกินย่อมดีกว่าขาด ไม่อาจปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดได้

         

        ส่วนเรื่องที่ทำให้กรมพิธีการต้องเป็นกังวลมากที่สุดคงหนีไม่พ้นชุดอภิเษกของพระชายา โดยปกติแล้วพระชายาของชินอ๋องถือเป็นขุนนางขั้นหนึ่ง หมายความว่าจะได้รับการบันทึกลงในหนังสือประวัติศาสตร์ของรัฐจาว และต้องมีเครื่องอิสริยยศประจำตำแหน่ง การจัดเตรียมเครื่องประดับและเครื่องแต่งกายในพิธีอภิเษกจะยึดตามลำดับขั้นบรรดาศักดิ์เป็นหลัก ทว่าพระชายาของเหวินอ๋องคือบุรุษ จึงไม่เหมาะนักหากจะสวมกระโปรงและมงกุฎ เป็นเหตุให้เจ้ากรมพิธีการผมร่วงเป็นกอบเป็นกำ หากพวกเขาทำออกมาไม่ดี เหวินอ๋องอาจเข้าใจผิดคิดว่ากรมพิธีการต้องการเยาะเย้ยถากถาง ป่าวประกาศต่อผู้คนทางอ้อมว่าท่านอ๋องอภิเษกพระชายาบุรุษ และไม่เป็นที่รักใคร่โปรดปรานของฝ่าบาทอีกต่อไป กระทั่งพิธีอภิเษกยังไม่วางแผนและจัดเตรียมให้ดี หากมีโทษทัณฑ์เช่นนี้ขึ้นมา ไม่ว่าผู้ใดในกรมพิธีการต่างก็รับผิดชอบความผิดนี้ไม่ได้ทั้งนั้น ในท้ายที่สุดจึงตัดสินใจให้ชุดอภิเษกของพระชายามีลักษณะเช่นเดียวกับชุดของเหวินอ๋อง เว้นเสียแต่ลายมังกรบนอาภรณ์จะต้องเปลี่ยนเป็นลายเมฆหรูหราตระการตาแทน จากนั้นสวมทับด้วยเสื้อคลุมยาวสีแดงที่ชายแขนมีลักษณะกว้าง

         

        ปัญหาของชุดอภิเษกผ่านพ้นไปแล้ว ยังเหลือเครื่องประดับบนศีรษะที่ทำให้ฝ่ายพิธีการต้องชะงักอีกครั้ง พระชายาเหวินอ๋องไม่อาจสวมมงกุฎ ทั้งยังถึงวัยเติบใหญ่ เช่นนั้นแล้วฝ่ายพิธีการจึงทำได้เพียงใช้ผ้าผูกผมที่จัดทำขึ้นด้วยความประณีต

         

        ผ้าผูกผมเส้นนี้คล้ายกับผ้าผูกผมของเด็กหนุ่มทั่วไป เพียงแต่มีสีแดงเช่นเดียวกับชุดอภิเษก ปักลายเมฆด้วยด้ายไหมสีทองจนแลดูสวยงามล้ำค่า

         

        เมื่ออ๋องท่านอื่นจัดพิธีอภิเษก กรมพิธีการยังพอปล่อยปละละเลยได้บ้าง เพราะเป็นเพียงการจัดการตามขั้นตอน ไม่จำเป็นต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจใดๆ มากมายเช่นนี้ แต่ครั้งนี้คือพิธีอภิเษกของเหวินอ๋อง ไม่ว่าจะขั้นตอนใดกระบวนการใดจำต้องจัดทำอย่างพิถีพิถัน เพราะเกรงว่าเหวินอ๋องจะคิดเป็นอื่นไป

         

        เหล่าขุนนางในกรมพิธีการต่างพากันกังวลเรื่องพิธีอภิเษก ทว่าวันเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วนัก ชั่วพริบตาเดียวผันผ่านมาถึงวันที่ยี่สิบห้าเดือนสาม หรือก็คือวันอภิเษกสมรสของเหวินอ๋องนั่นเอง

         

        ในวันนี้ทั้งจวนอัครเสนาบดีและจวนอ๋องต่างครึกครื้นไม่น้อย มีผู้คนเข้ามาอวยพรอย่างไม่ขาดสาย

         

        กู้โยวหนิงนั่งอยู่ภายในห้องของตน โดยมีเจียนยวี่กำลังหวีผมให้ แท้จริงแล้วแค่สยายผมลงครึ่งหนึ่งและมัดรวบไว้ด้วยผ้าผูกผมอีกครึ่งหนึ่ง ตอนนี้เขาเปลี่ยนมาสวมชุดอภิเษกเป็นที่เรียบร้อย ผู้คนต่างกล่าวว่าสีแดงสดแสดงถึงความปีติยินดี แต่เมื่ออยู่บนร่างและดวงหน้าที่งามล้นล่มเมืองของกู้โยวหนิง กลับแสดงให้เห็นถึงความงามแสนยั่วยวนเสียมากกว่า

         

        เมื่อเห็นขบวนเกี้ยวรับเจ้าสาวของเหวินอ๋องมาถึงครึ่งทาง พ่อบ้านจึงเข้ามาเร่งให้กู้โยวหนิงออกไปยังห้องโถงเพื่อคารวะอำลาบิดามารดา และจะมีฮูหยินแซ่หลี่เป็นผู้นำผ้าคลุมศีรษะคลุมให้กู้โยวหนิงด้วยตนเอง แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเมื่อกู้โยวหนิงมาถึงห้องโถง เขามองกู้ถิงและฮูหยินแซ่หลี่พร้อมกับยกยิ้มเย็น นอกจากจะไม่คุกเข่าคารวะเพื่ออำลาบิดามารดา เขายังเอื้อมมือไปฉวยเอาผ้าคลุมศีรษะจากมือของฮูหยินแซ่หลี่ จากนั้นคลุมลงบนศีรษะด้วยตนเอง

         

        ฮูหยินแซ่หลี่ผู้ที่เพิ่งปั้นแต่งรอยยิ้มสำเร็จ พลันชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ ส่วนกู้ถิงโมโหจนหน้าดำหน้าแดง เอ่ยถามพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”

         

        กู้โยวหนิงดึงผ้าคลุมศีรษะออก มองไปยังกู้ถิงด้วยสายตาเย็นชา ทันใดนั้นยกยิ้มอย่างไม่ยี่หระ “ท่านพ่อโปรดอภัย หลายวันก่อนลูกต้องอากาศเย็น ยามนี้ยังรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งตัวทำให้ไม่อาจจะคุกเข่าคาราวะท่านได้”

         

        เมื่อเอ่ยจบจึงครอบผ้าคลุมศีรษะให้ตนใหม่อีกครั้ง

         

        เรื่องราวในหลายวันก่อนทำให้กู้ถิงกรุ่นโกรธจนแทบจะทนไม่ไหว ครั้นจะกำลังระบายโทสะออกไป กลับได้ยินเสียงเครื่องดนตรีดังมาจากด้านนอก ขบวนเกี้ยวรับเจ้าสาวของเหวินอ๋องมาถึงแล้ว ทันทีที่สิ้นเสียงจุดประทัด พลันปรากฏร่างของเหวินอ๋องที่กำลังเดินเข้ามา กู้ถิงจำต้องปล่อยผ่านเหตุการณ์เมื่อครู่ แต่สายตายังคงจดจ้องกู้โยวหนิงด้วยความโกรธแค้น

         

        เนื่องจากเจ้าบ่าวคือท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์ จากเดิมที่ต้องเข้ามากราบไหว้บรรพบุรุษ จึงกลับกลายเป็นพ่อตาต้องพาคนทั้งบ้านออกมาต้อนรับแทน พิธีอภิเษกของราชวงศ์ไม่อาจครื้นเครงมากจนเกินไป มักจัดพิธีการอย่างจริงจังเสียมากกว่า

         

        กู้ถิงกับผู้คนในจวนอัครเสนาบดีที่ยืนอยู่ข้างหลังต่างพากันคำนับเหวินอ๋อง ฉู่ยวียิ้มรับ “พากันลุกขึ้นเถิด วันนี้คือวันมงคล ไม่จำเป็นต้องเคร่งครัดให้มาก”

         

        หลังกู้ถิงฝืนยิ้มและเอ่ยทักทายฉู่ยวีได้ไม่กี่ประโยค ฤกษ์งามได้ใกล้เข้ามาพอดี ฉู่ยวีมองไปยังกู้โยวหนิงที่ถูกกู้เหรินอันประคองออกมา เดิมพี่ชายฝ่ายเจ้าสาวต้องเป็นผู้อุ้มเจ้าสาวออกมา แต่เนื่องจากกู้โยวหนิงคือบุรุษ จึงเปลี่ยนเป็นการประคองแทน

         

        ขณะกู้เหรินอันกำลังประคองกู้โยวหนิง แม้ใบหน้าจะแลดูอ่อนโยนเพียงใด ทว่าปากกลับเอ่ยวาจาเยาะเย้ยถากถาง “เจ้าแต่งเข้าจวนอ๋องเช่นนี้ ข้าไม่น่าปล่อยโอกาสให้เจ้าเลยจริงๆ!”

         

        ใบหน้าที่อยู่ภายในผ้าคลุมศีรษะของกู้โยวหนิงตกตะลึงเพียงครู่ เขาหัวเราะและตอบกลับว่า “หากท่านพี่รองคิดว่าดี วันหน้าข้าจะลองบอกให้ท่านอ๋องแต่งท่านเข้าไปเป็นอนุชายา!”

         

        กู้โยวหนิงรับรู้ได้ว่ามือของกู้เหรินอันถึงกับแข็งทื่อในทันใด เขาจึงก้าวขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวด้วยความพอใจ

         

        ตั้งแต่เกี้ยวเจ้าสาวถูกยกขึ้นจนมาถึงห้องโถงของจวนอ๋อง สองข้างทางล้วนประดับด้วยสีแดงสดแลดูสวยงามอลังการ จนกระทั่งพระอาทิตย์คล้อยต่ำลง ทั่วทั้งจวนอ๋องส่องสว่างด้วยแสงจากเปลวเทียนสีแดง นักบรรเลงดนตรีที่ยืนอยู่หน้าประตูจวนเริ่มบรรเลงดนตรีทันทีที่เห็นผู้มาใหม่

         

        หลังได้ยินเสียงบรรเลงดนตรีใกล้ขึ้น ม่านของเกี้ยวเจ้าสาวพลันถูกเปิดออก กู้โยวหนิงคิดมาตลอดว่าการแต่งงานของเขากับเหวินอ๋องเป็นแค่การแสดงละคร แต่พอถึงเวลาจริงก็ยังอดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ เขาถูกคนประคองลงมาจากเกี้ยว จากนั้นปล่อยเขาให้ยืนเคว้งอยู่ลำพัง เพราะมีผ้าคลุมศีรษะเอาไว้ เขาจึงไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป ทันใดนั้นมีมืออบอุ่นคู่หนึ่งกอบกุมมือของเขาเอาไว้ คล้ายกับรู้ว่าเขากำลังตื่นตระหนก ไม่หนำซ้ำยังแกล้งบีบนิ้วเขาเล่นอีกต่างหาก

         

        กู้โยวหนิงไม่รู้ว่าควรทำอะไรต่อไปสักนิด ได้แต่เดินตามแรงจูงจากมือคู่นั้นที่คอยนำพา เขาเดินไปเรื่อยๆ เดินผ่านเหล่าขุนนางที่มาแสดงความยินดี และเหล่าอนุชายาในจวนอ๋อง จนกระทั่งมาถึงห้องโถง จากนั้นได้ยินเสียงคนผู้หนึ่งกล่าวขึ้นว่า

         

        หนึ่งคำนับฟ้าดิน สองคำนับบรรพบุรุษ สามคำนับคู่สามีภรรยา

         

        ท้ายที่สุดผู้ดำเนินพิธีอภิเษกประกาศด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เสร็จพิธี~”

         

        จากนั้นหันไปทางผู้คนเพื่อรับคำอวยพร

         

        เหล่าทหารใต้บังคับบัญชาของเหวินอ๋อง: “ข้าน้อยแสดงความยินดีกับพิธีมงคลของท่านอ๋อง”

         

        เหล่าขุนนางในราชสำนัก: “กระหม่อมแสดงความยินดีกับพิธีมงคลของท่านอ๋อง”

         

        เหล่าอนุชายาในจวนอ๋อง: “หม่อมฉันขอต้อนรับพระชายาเข้าสู่จวนด้วยความยินดียิ่ง”

         

        …

______________________________________________

 

หากชอบนิยายเรื่อง "ย้อนลิขิตเขียนรัก พระชายาอ๋อง" ละก็เพื่อน ๆ สามารถตามเข้าไปอ่านได้ที่ลิงค์ด้านล่างเลยน้า

https://www.kawebook.com/story/3088

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

Kawebook

ขีดเขียนหน้าใหม่ (38)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST: 93
20 เมื่อ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2563 21.42 น.

เล่มที่1 บทที่20 พิธีมงคล (2)

 

        หลังจากเสร็จพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน ขั้นตอนหลังจากนั้นไม่ได้ต่างจากพิธีสมรสของผู้คนทั่วไป คือการพาเจ้าสาวเข้าไปรอที่ห้องหอ ส่วนทางด้านเจ้าบ่าวต้องคอยพบปะกับผู้คนอยู่ด้านนอก

         

        เจียนยวี่ทำหน้าที่ประคองกู้โยวหนิงโดยมีเฉิงกุ้ยนำทางอยู่ด้านหน้า ด้านหลังยังมีเด็กรับใช้จำนวนหนึ่งเดินตามมา จวนอ๋องมีพื้นที่กว้างขวางกว่าจวนอัครเสนาบดี ใช้เวลาเดินอยู่ครู่หนึ่ง จึงมาถึงตำหนักปี้สุ่ย แทนที่จะเป็นตำหนักชิงซงที่พระชายาควรจะอยู่

         

        เจียนยวี่มองเฉิงกุ้ยด้วยท่าทีสงสัย เฉิงกุ้ยรีบอธิบายพร้อมทั้งรอยยิ้มทันที “เดิมทีพระชายาจะต้องอยู่ในตำหนักชิงซง ทว่าท่านอ๋องกำชับมาว่าให้พระชายาย้ายมาอยู่ที่ตำหนักปี้สุ่ยกับท่านอ๋องขอรับ”

         

        ทันทีที่เจียนยวี่ได้ยินเช่นนั้นพลันปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้า โดยทั่วไปในจวนอ๋องเช่นนี้ ต่อให้เป็นชายาเอกก็ใช่ว่าจะได้อยู่ร่วมห้องกับสามี ทุกคนล้วนแต่มีตำหนักแยกเป็นของตนเอง ทว่าทันทีที่กู้โยวหนิงเข้ามา กลับได้รับการโปรดปรานจนยอมให้อยู่ในตำหนักหลัก แม้แต่เฉิงกุ้ยผู้เป็นขันทีรับใช้ข้างกายฉู่ยวี้ตั้งแต่เยาว์วัยยังอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ จึงต้องคอยปรนนิบัติพระชายาคนใหม่อย่างระมัดระวัง

         

        กู้โยวหนิงดึงผ้าคลุมออกทันทีที่ประตูปิดลง แม้เจียนยวี่จะรีบห้ามอย่างไรก็ยังไม่ทันกาล ได้แต่หยิบผ้าคลุมผืนนั้นกลับมาคลุมบนศีรษะกู้โยวหนิงอีกครั้ง “ต้องรอให้ท่านอ๋องเข้ามาก่อน ท่านถึงจะเอาผ้าคลุมออกได้นะขอรับ”

         

        “ทำไมต้องเรื่องมากขนาดนั้น” กู้โยวหนิงกรอกตา ยังคงไม่ยอมหยุดความคิดที่จะดึงผ้าคลุมบนศีรษะออก เขามองไปรอบกาย ที่นี่คือที่อยู่ของฉู่ยวี้ แน่นอนว่าไม่มีทางด้อยกว่าที่อื่น จากนั้นเอ่ยออกมาอย่างเจื้อยแจ้วว่า “จวนอ๋องนี่ดีกว่าจวนอัครเสนาบดีตั้งเยอะ เมื่อได้มาเห็นที่นี่แล้วกลับไปมองจวนอัครเสนาบดี ข้าบอกได้คำเดียวว่าจวนอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายดูจนมากๆ”

         

        เจียนยวี่หลุดขำทันใด “พระชายาท่านช่างรู้จักเอ่ยหยอกเย้า อย่างไรก็คือจวนอัครเสนาบดี แม้จะสู้ที่นี่ไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าสักเท่าไหร่ ยังมีอีกอย่าง เมื่อครู่พระชายาได้ยินหรือไม่ขอรับ ที่นี่คือตำหนักของท่านอ๋อง ท่านอ๋องให้ท่านเข้ามาอยู่ด้วยเลยนะขอรับ!”

         

        “…” กู้โยวหนิงจ้องเจียนยวี่ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เอ่ยถาม “เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?”

         

        เจียนยวี่เอียงศีรษะ “พระชายาขอรับ เช่นนี้แล้วมิใช่ว่าต้องเรียกพระชายาหรือขอรับ?”

         

        “…” กู้โยวหนิงถึงกับนิ่งเงียบ ครู่หนึ่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยสวนกลับเจียนยวี่ “พระชายาบ้าบออะไรกัน ข้าเป็นบุรุษที่สง่าผ่าเผยเช่นนี้ คิดไม่ถึงต้องมาเป็นพระชายาคนอื่น ข้าไม่สนุกด้วยสักนิดหรอกนะ!”

         

        เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจียนยวี่ถึงกับหุบยิ้มลงทันที พลางมองไปยังกู้โยวหนิงด้วยความสงสาร “คุณชายห้า~ ต่อไปนี้ข้าจะยังเรียกท่านว่าคุณชายห้า ท่านอย่าได้เศร้าใจไปเลยขอรับ!”

         

        กู้โยวหนิงมองเจียนยวี่ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโรยแรง “ช่างเถอะๆ ให้เรียกอะไรก็เรียกไป ยังไงตอนนี้ข้าวดิบแปรเปลี่ยนเป็นข้าวสุก และตำแหน่งพระชายาเหวินอ๋องก็คือบรรดาศักดิ์สูงสุดในชีวิตนี้ข้าแล้ว!”

         

        ความรู้สึกมากมายประเดประดังเข้ามาภายในใจของกู้โยวหนิง เมื่อเห็นเตียงที่เต็มไปด้วยพุทราแดง ถั่วลิสง และลำไย น่าจะมีความหมายว่ารีบให้กำเนิดบุตร เขาแบะปากทันใด คนจัดเตียงนี่ไม่มีตาหรือไง เขากับเหวินอ๋องเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ จะไปมีลูกได้ยังไง เมื่อคิดเช่นนั้นจึงกอบเอาถั่วลิสงจำนวนหนึ่งขึ้นมาแกะกิน

         

        เจียนยวี่รีบห้ามเขาไว้ทันที “คุณชาย กินไม่ได้ขอรับ สิ่งนี้มีความหมายว่ารีบให้กำเนิดบุตร จะกินไม่ได้นะขอรับ!”

         

        กู้โยวหนิงแกะเปลือกถั่วลิสงอีกเม็ดหนึ่ง จากนั้นโยนเข้าปากตัวเอง และยัดใส่ปากเจียนยวี่คนละเม็ด กล่าวราวกับเจ็บปวดหัวใจอย่างสุดซึ้ง “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าเจ้าโง่ แต่เจ้ากลับไม่เคยเชื่อข้าสักที ระดับความฉลาดอย่างเจ้า ถ้าวันหน้าไม่ได้อยู่กับข้าเจ้าจะทำยังไง รีบให้กำเนิดบุตร? จะให้ไปมีกับใครเล่า ข้าสามารถหรือท่านอ๋องสามารถกัน!”

         

        เจียนยวี่กะพริบตาปริบๆ “ถูกของท่าน~ ทั้งคุณชายห้าและท่านอ๋องต่างก็เป็นบุรุษ ย่อมไม่อาจมีบุตรด้วยกัน ผู้ใดกันที่ทำเช่นนี้ จงใจเย้ยหยันใช่หรือไม่?”

         

        กู้โยวหนิวหัวเราะอย่างไม่ถือสาอะไร เอ่ยถามเจียนยวี่ที่กำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟว่า “ข้าได้ยินมาว่าท่านอ๋องมีหนึ่งชายารอง และอีกสามอนุชายา?”

         

        เจียนยวี่พยักหน้า “ใช่แล้วขอรับ ทว่าคุณชายห้าไม่ต้องกังวลไป จากที่ดูแล้วท่านอ๋องโปรดท่านมากที่สุดขอรับ!”

         

        “ฮี่ๆๆๆ~” กู้โยวหนิงถูฝ่ามือตัวเองไปมา จากนั้นเผยรอยยิ้มไม่ต่างกับสุนัขจิ้งจอกน้อย “สามารถเข้ามาอยู่ในจวนอ๋องอย่างนี้ แสดงว่าต้องสวยมากแน่ๆ~”

         

        เจียนยวี่ไร้คำจะเอื้อนเอ่ย กรอกสายตาอย่างเอือมระอา “ต่อให้งามเพียงใดก็ล้วนแต่คืออนุชายาของท่านอ๋อง หรือแม้จะไม่ใช่อนุชายาของท่านอ๋อง คุณชายก็อย่าวาดฝันไปอีกเลย ท่านจงเอาผ้าขึ้นคลุมศีรษะได้แล้ว คาดว่าอีกไม่นานท่านอ๋องคงจะมาแล้วขอรับ”

         

        “เชอะ... ไม่ได้ก็ไม่ได้ จะช้าจะเร็วก็ต้องมีสักวัน...” กู้โยวหนิงเอนตัวลงนอนบนเตียงอย่างเงียบเชียบ จากนั้นนำผ้าคลุมศีรษะคลุมไว้บนหน้าตนเอง

         

        เจียนยวี่อยากจะร้องไห้ออกมา “คุณชายห้า นี่ท่านกำลังจะทำอะไรขอรับ?”

         

        “คลุมหัวก็เพื่อปิดบังใบหน้าไม่ใช่หรือไง แล้วที่ข้าทำตอนนี้มันต่างกันตรงไหน” กู้โยวหนิงเอ่ยอย่างรำคาญ “ข้าง่วงแล้ว นอนก่อนก็แล้วกัน”

         

        เจียนยวี่รีบเอ่ย “ทว่าอีกครู่...”

         

        “เจ้าอย่ามัวพูดไร้สาระ ถ้าขืนยังพูดอีกข้าจะหาผ้าขาวมาคลุมหน้าเจ้าบ้าง” กู้โยวหนิงกล่าวเสียงเย็น

         

        เจียนยวี่เงียบเสียงโดยพลัน ยืนอยู่ด้านข้างอย่างเชื่อฟัง และค่อยๆ ห่มผ้าให้กู้โยวหนิงอย่างระมัดระวัง

         

        กู้โยวหนิงค่อยๆ ลอบยิ้มมุมปากอยู่ใต้ผ้าคลุมหน้า หลับตาลงด้วยความพออกพอใจ เพื่อเตรียมจะงีบสักพักหนึ่ง

         

        ----

         

        ยามนี้ฉู่ยวี้เอาแต่โหยหากู้โยวหนิง หลังจากดื่มอย่างเรื่อยเปื่อยไม่กี่จอก จึงรีบมุ่งหน้าไปยังเรือนหอ ทว่าหลังจากเขาพึ่งจะก้าวเท้าออกจากประตู กลับต้องพบถังซู่ยหวินและอนุชายานามหลานเซียงยืนอยู่ ในมือยังถือกล่องใส่อาหาร

         

        ถังซู่ยหวินสวมชุดกระโปรงสีชมพู มิหนำซ้ำยังตั้งอกตั้งใจแต่งหน้าแต่งตามาอย่างประณีต ครั้นต้องแสงจากโคมไฟสีแดงภายในจวนอ๋องในยามนี้ ทำให้นางแลดูงดงามมากกว่าปกติ เมื่อนางเห็นเหวินอ๋องกำลังเดินออกมา จึงรีบก้าวเข้าไปหาและถอนสายบัวคำนับ “หม่อมฉันเห็นท่านอ๋องดื่มไปมาก จึงตั้งใจทำซุปสร่างเมามาให้ท่าน ท่านอ๋องโปรดดื่มก่อนแล้วค่อยไปนะเพคะ”

         

        ฉู่ยวี้มองนางด้วยสายตาเย็นชา คำกล่าวอ่อนโยนเช่นนี้ไม่ทำให้ฉู่ยวี้ซาบซึ้งใจแม้แต่น้อย เพราะเขาหวนนึกขึ้นได้ว่าเมื่อชาติที่แล้ว ถังซู่ยหวินเคยนำซุปสร่างเมามารอเขาที่นี่เช่นยามนี้ เป็นเพราะเขาไม่พอใจในการอภิเษกพระชายาบุรุษถึงดื่มจนเมามาย ด้วยอารมณ์ชั่ววูบจึงค้างแรมกับถังซู่ยหวินผู้เป็นชายารอง และทิ้งให้กู้โยวหนิงต้องอยู่ในห้องหอแต่เพียงลำพัง

         

        เมื่อชาติที่แล้วเขาดื่มไม่น้อย ทว่าชาตินี้เขามีสติครบถ้วน เขาพบว่าถังซู่ยหวินไม่ได้ตั้งใจเตรียมซุปสร่างเมาด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่มีจุดประสงค์เพื่อให้เขาละเลยพระชายาในคืนอภิเษกนั่นเอง

         

        เมื่อนึกถึงยามที่นางกำหลักฐานแสดงความผิดตน พลางคุกเข่าต่อหน้าองค์รัชทายาท ฉู่ยวี้อดหัวเราะเสียงเย็นไม่ได้ ทว่าเขาพยายามข่มความโกรธของตนเอาไว้ วันนี้คือวันมงคลของเขากับโยวหนิง โยวหนิงกำลังรอเขาอยู่

         

        ฉู่ยวี้เบนสายตาออกจากถังซู่ยหวิน เอ่ยอย่างเย็นชา “ไม่จำเป็น”

         

        กล่าวเสร็จเดินผ่านนางไป ชาติที่แล้วเขาไม่ได้มีความรักใดๆ ต่อนาง เพียงเพราะคิดว่านางฉลาดและอ่อนโยน ทั้งยังรู้จักการวางตัว จึงเหมาะจะให้นางอยู่ข้างกายเขา แต่แล้ววันนี้เขากลับมีเพียงความรังเกียจอย่างถึงที่สุด

         

        ถังซู่ยหวินผู้รนหาเรื่องให้ตนยังยืนอยู่ที่เดิม สายตาจ้องมองไปยังฉู่ยวี้ที่ไม่หลงเหลือความรู้สึกใดให้ตน หลานเซียงทั้งเข้ามาประคองและเอ่ยปลอบโยนว่า “ฮูหยิน ต้องเป็นเพราะท่านอ๋องอารมณ์ไม่ดีจึงมีท่าทางเช่นนี้นะเจ้าคะ”

         

        ถังซู่ยหวินส่ายหน้าพร้อมกับฝืนยิ้มอย่างขมขื่น “ท่านอ๋องจะอารมณ์ไม่ดีได้อย่างไรกัน ยามนี้ทั้งฉางอันต่างรู้ว่าท่านอ๋องโปรดปรานเพียงพระชายา มิหนำซ้ำยังให้อยู่ในตำหนักเดียวกันอีก เกรงว่าภายหน้าคงจะไม่มีที่ให้พวกเรายืนเสียแล้ว”

         

        “ต้องไม่เป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน ต่อให้ท่านอ๋องจะโปรดมากถึงเพียงใด แต่เขา...เขา...เขาก็คือบุรุษ” หลานเซียงพยายามเอ่ยโน้มนาวอย่างระแวดระวัง “อย่างไรท่านอ๋องก็ยังเห็นฮูหยินสำคัญที่สุดนะเจ้าคะ”

         

        “บุรุษแล้วจะอย่างไรเล่า?” ถังซู่ยหวินไม่พอใจ จากนั้นเอื้อมมือไปจับผ้าม่านผืนใหญ่ที่ประดับอยู่บนบานประตู “เจ้าดู สีแดงสดเช่นนี้งามหรือไม่ สีแดงสดเช่นนี้ มีเพียงการอภิเษกพระชายาเอกเท่านั้นจึงจะสามารถใช้ได้”

         

        ถังซู่ยหวินเม้มปาก ในใจเต็มไปด้วยความริษยา เป็นเพียงบุรุษเหตุใดถึงได้เป็นพระชายา แต่นางกลับเป็นได้เพียงแค่ชายารอง นอกจากนั้นยังต้องคำนับและรินน้ำชาให้เขาเพื่อเป็นการต้อนรับ ทั้งต้องคอยนอบน้อมตามธรรมเนียมปฏิบัติ นางยิ่งคิดยิ่งเกลียด ทันใดนั้นมือที่จับอยู่บนผ้าม่านได้เพิ่มแรงดึงมากขึ้น จนกลายเป็นการกระชากจนหลุดลงมา ทำเอาแม่นางหลานเซียงถึงกับสะดุ้งตกใจ นางรีบนำผ้าม่านผืนนั้นกลับไปจัดไว้เช่นเดิม

         

        “ฮูหยิน ท่านทำเช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ ยามนี้ในจวนอ๋องล้วนเต็มไปด้วยผู้คน ท่านจะให้ผู้อื่นคิดว่าท่าน... ท่านริษยาพระชายาไม่ได้นะเจ้าคะ พระชายาสามารถริษยาพวกเรา ทว่าพวกเราไม่สามารถริษยาพระชายานะเจ้าคะ”

         

        ถังซู่ยหวินแค่นหัวเราะเสียงด้วยความไม่พอใจ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะกู้โยวหนิง เพราะเขาคนเดียวทั้งนั้น ไม่เพียงแค่ได้เป็นพระชายา แต่ยังทำให้ท่านอ๋องไม่ดีกับนางเช่นเดิม

         

        นาง! ไม่! พอ! ใจ!

         

        ความโกรธเกลียดของนางกลับไร้ผลใดๆ ต่อฉู่ยวี้ เขาผลักประตูให้เปิดออกด้วยความรีบร้อน และไม่อาจจะรอได้แม้แต่วินาทีเดียว

         

        เจียนยวี่สะดุ้งตกใจ กำลังจะเอื้อมมือไปปลุกกู้โยวหนิง แต่ถูกฉู่ยวี้ปรามไว้เสียก่อน ฉู่ยวี้เปิดผ้าคลุมที่กู้โยวหนิงนำมาปิดหน้าออก

         

        เขาจ้องมองใบหน้าของผู้ที่กำลังหลับพริ้มด้วยความรักทะนุถนอม หันมาทางเจียนยวี่และเอ่ย “เจ้าออกไปก่อน”

         

        “แต่ว่า...” เจียนยวี่มองกู้โยวหนิงที่กำลังหลับอยู่ด้วยท่าทีลำบากใจ “ท่านอ๋อง...ยังไม่ได้ดื่มเหล้าอภิเษกนะขอรับ”

         

        “ไม่เป็นไร เอามาให้ข้า”

         

        เจียนยวี่มองกู้โยวหนิงที่ยังนอนหลับอยู่บนเตียงอย่างกระวนกระวาย ส่งถาดวางสุราให้ฉู่ยวี้ จากนั้นเดินถอยหลังสามก้าว ก่อนจะหันหลังเดินจากไป

         

        หลังจากเจียนยวี่ออกไป ฉู่ยวี้เอาแต่นั่งมองผู้ที่นอนอยู่บนเตียงอย่างเหม่อลอย

         

        แสงเทียนสาดส่องลงบนเรือนร่างคนผู้นี้ ช่างสุกสกาวราวกับแสงจันทร์ในวันเพ็ญ สว่างพร่างพราวราวกับแสงของดวงดารา

         

        มิน่าผู้คนถึงได้กล่าวว่าเจ้างามล้นล่มบ้านล่มเมือง

         

        ฉู่ยวี้นั่งมองกู้โยวหนิงอยู่เช่นนั้น ไล่มองตั้งแต่หน้าผากมายังคิ้ว ดวงตา จมูก ท้ายที่สุดหยุดอยู่บนริมฝีบางสีอ่อน ดวงใจพลันไหวหวั่น ทำให้สายตาของฉู่ยวี้ปรากฏร่องรอยของความปรารถนามากขึ้นเรื่อยๆ

         

        เขายกสุราจอกนั้นขึ้นดื่ม จอกสุราว่างเปล่าถูกโยนทิ้งอย่างไม่ไยดี ฉู่ยวี้เคลื่อนกายเข้าใกล้ผู้ที่ยังหลับใหลไม่รู้สึกตัว โน้มกายลงไปประทับจูบบนริมฝีปากสีอ่อน เขาค่อยๆ ป้อนสุราเข้าสู่โพรงปากกู้โยวหนิง ทว่าเมื่อป้อนเสร็จกลับไม่อาจตัดใจผละออก จึงกระทำการขโมยจูบผู้ที่หลับใหลอยู่หลายต่อหลายคราโดยไม่รู้ตัว

         

        ภายในฝัน กู้โยวหนิงสัมผัสได้ถึงความเย็นครู่หนึ่ง ทันใดนั้นแปรเปลี่ยนเป็นความแสบร้อนของสุราที่ไหลเข้าสู่โพรงปาก เขาขมวดคิ้วพลางกลืนสิ่งที่อยู่ในปากลงไป ครู่หนึ่งค่อยๆ รู้สึกตัวและลืมตาตื่น พลันพบกับใบหน้าหล่อเหลาในระยะจมูกชิดจมูก อีกทั้งยังได้ยินเสียงลมหายใจใกล้ชิดของฉู่ยวี้

         

        กู้โยวหนิงเบิกดวงตาคู่งาม ร้องตะโกนเสียงดังลั่นจนดังไปทั่วทั้งจวนเหวินอ๋อง

         

        “อื้อ~ ไอ้คนอันธพาลจิตวิปลาส”

 

______________________________________________

 

หากชอบนิยายเรื่อง "ย้อนลิขิตเขียนรัก พระชายาอ๋อง" ละก็เพื่อน ๆ สามารถตามเข้าไปอ่านได้ที่ลิงค์ด้านล่างเลยน้า

https://www.kawebook.com/story/3088

สามารถติดตามข่าวสารหรือเข้าไปพูดคุยกับเราได้ที่  https://www.facebook.com/kawebook/

หากชอบอย่าลืมติดตามผลงานของพวกเรา "kawebook" ด้วยนะ

หน้า จาก 2 ( 30 ข้อมูล )
แสดงจำนวน ข้อมูลต่อแถว

โพสตอบ

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา