ปฎิบัติการรัก จักรกลทะยานฟ้า : ภาค จิตวิญญาณแห่งนกไฟ

9.4

วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 15.46 น.

  6 Chapter
  34 วิจารณ์
  17.27K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 มีนาคม พ.ศ. 2556 19.07 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

3) วันเช้าตรู่กับอดีตของอัคคี

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ


          ...ชีวิตใหม่ของที่นี่ ถึงจะโดนดูถูกในช่วงบ่าย ฉันรับคำท้าของอีกฝ่าย

          ...แต่ต้องเรียนรู้และปรับตัวให้ได้กับสิ่งที่รายล้อมไปด้วยเด็กสาว

          ...และสิ่งที่ฉันกำลังจะตามหาเป็นอย่างต่อไป

          ...กำลังจะใกล้เข้ามาแล้ว

 

 

          เวลาหัวค่ำของสถาบัน IS เงียบสงบเงียบ แสงจันทร์สะท้อนแสงสีเหลืองนวลกลางแม่น้ำ นักเรียนจะพักในที่หอพักกันเสียหมด ซึ่งในหอพักนี้กว้างใหญ่มาก มีชั้นล่างจะเป็นโรงอาหารไว้สำหรับนักเรียนที่กลับจากหอพักต่างหากอีกด้วย และสามารถนำอาหารขึ้นมาทานในห้องได้

 

          "ยินดีต้อนรับสู่ห้องของฉันนะ" ชายหนุ่มผมสีดำในชุดลำลองแขนสั้นกล่าวต้อนรับอีกฝ่ายอย่างดี เปิดประตูเชิญอีกฝ่ายเข้ามา

 

          "นี่น่ะเหรอ ห้องของฉัน อิจิกะ ?" ชายหนุ่มชุดยูนิฟอร์มเดินเข้มาสำรวจกวาดตามองไปรอบๆห้อง

 

          "ก็นะ หวังว่านายคงจะชอบ อัคคี"

 

          "อืม"ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลพยักหน้า แบกสัมภาระเข้ามาในห้อง

 

          

          ในหอพักของนักเรียน IS ภายในที่มีห้องสีนวลสบายตาขนาดพอดีสำหรับอยู่2คนได้สบายๆ เตียงเดียวแยกกันสองเตียงนุ่มๆ และมีสิ่งที่จำเป็นคือ โทรศัทน์และคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะให้ด้วย เทียบกับหอพักทั่วๆไปแล้วดูหรูไปเลย เพราะมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่พร้อม

 

 

          ในห้องพักนี้เป็นห้องที่ อัคคี เพลิงศาสตรา ต้องพักอาศัยอยู่ร่วมกับ โอริมุระ อิจิกะ เพื่อนร่วมชั้นและเพื่อนผู้ชายคนเดียวของสถาบันISแห่งนี้ เพราะทั้งสถาบันมีแต่ผู้หญิงกับผู้ชายแค่สองคนเท่านั้น

 

 

          "มีอะไรที่สงสัยหรือต้องการอะไรบอกฉันได้ตลอดเลยนะ"อิจิกะยิ้มทักทาย

          "ขอบใจ แต่คงไม่ต้องหรอก"อัคคีตอบเสียงเรียบก่อนจัดสัมภาระเข้าที่ของตนก่อนที่จะเตรียมตัวไปอาบน้ำโดยวางสมุดเล่มหนึ่งไว้บนโต๊ะ

 

 

          อิจิกะมองอัคคีที่เข้าห้องน้ำไปอาบน้ำเงียบๆ เสียงสายน้ำของฝักบัวก็ดังขึ้นในไม่ช้าในห้องน้ำ อิจิกะก็มองสมุดของอัคคีเขา เป็นสมุดจดบันทึกที่มีผ้าผูกผมเนื้อบางสีม่วงอ่อนเหน็บไว้ขั้นกลางของสมุดเหลื่อมออกมา จึงเกิดความสนใจขึ้นแล้วเข้าไปเปิดมันขึ้นมาดู

 

 

          "สมุดบันทึกไดอารี่เหรอ?"อิจิกะลองเปิดดู ข้างในมีข้อความเขียนที่เป็นภาษาไทยซึ่งอิจิกะอ่านไม่ออก แต่ที่รู้ว่ามันเป็นไดอารี่เเพราะข้างในหน้าปกเขียนคำว่า Diary เอาไว้ เขาลองเปิดดูแค่หน้าสองหน้าพบจดหมายขนาดเล็กกว่าสมุดเล็มนี้นิดหนึ่ง 3ซอง ซึ่งซองถูกปิดผนึกอย่างดีซึ่งมีผ้าผูกผมเนื้อบางสีม่วงอ่อนขั้นไว้อยู่ แต่ก็ไม่ได้สนใจนักเขาก็ปิดมันเพราะคือว่ามันเป็นไดอารี่ของเขา อย่าไปยุ่งเสียดีกว่า แต่เขาเอาผ้าผุกผมวางไว้บนสมุด

 

           อิจิกะได้แต่นั่งเงียบๆสักพัก สังเกตว่ามีขวดยาสระผมวางไว้บนโต๊ะอยู่ คิดว่าอัคคีคงลืมเอาเข้าไปเลยหยิบแล้วเดินไปที่ห้องอาบน้ำ

 

 

           ภายในห้องน้ำเล็กๆเป็นห้องน้ำมีอ่างน้ำ และสิ่งจำเป็นในนั้นอยู่ด้านหน้าของประตู มีผ้ามานบางๆกั้นส่วนข้างในซึ่งเป็นพื้นที่อาบน้ำเล็กๆ เสียงฝักบัวดังตลอดสาย มีกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้ซึ่งอิจิกะไม่คุ้นเคย แต่รู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก ไอน้ำลอยคุ้งไปทั่วห้องเหมือนเป็นหมอกจางๆเพราะอัคคีได้เปิดน้ำอุ่นเอาไว้

 

 

           "อัคคี ฉันเอายาสระผมมาให้" อิจิกะค่อยๆเปิดม่านที่กันห้องออกช้าๆ เพราะคิดว่าเป็นผู้ชายด้วยกันมันคงไม่มีอะไรหรอก

 

           "ไม่ต้องหรอก ขอบใจ ฉันมีของฉันเองอยู่แล้ว" อัคคีรู้ว่าอิจิกะเข้ามาเอายาสระผมมาให้ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก อัคคีนั้นได้เอาของส่วนตัวมาเอง

           

           ตอนที่อิจิกะเปิดม่านออก ไอน้ำจางๆได้ลอยออกมา เรื่อนร่างของชายหุน่มที่เพียวระหงได้เผยออกมา แต่ยังพอมีมัดกล้ามอย่างบุรุพจากด้านหลังที่อิจิกะมองมา มือค่อยๆเสยผมสีน้ำตาลเข้มของเขาลูบผมย้อนลงไปข้างหลังจนเห็นเส้นผมที่เรียบแป้เพราะน้ำ แสงไฟสะท้อนผิวของอัคคีที่ดูขาวราวและนุ่มบนละอองน้ำจากฝักบัวราวคล้ายกับผิวของผู้หญิงเพราะดูแลอย่างดี แต่ทว่ามันไม่เข้ากับรอยแผลเป็นที่คล้ายของมีคมฟาดฟันบนเรือนร่างของเขาตามตัวเต็มไปหมด โดยเฉพาะรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ที่กลางหลังของเขา


           แผลฉกรรจ์ขนาดใหญ่เกิดจากรอยของมีคมฟาดฟันลงไป บนปากแผลนั้นยังเป็นเนื้อแดงสดแต่กลับไม่มีเลือดไหลแถมยังเต้นเบาๆอีก แผลใหญ่นี้บ่งบอกถึงว่าเขาได้ประสบโศกนาฎกรรมในอดีตที่เจ้าของแผลนี้ถูกใครสักคนฝังเอาไว้บนแผ่นหลัง

 

 

           อิจิกะเกือบจะหลงใหลเพราะเรือนร่างอีกฝ่ายแต่สะดุดตรงที่แผลเป็นที่น่าสะอิดสะเอียนขนาดใหญ่บนแผ่นหลัง มันทำให้เขารู้สึกคลื่นไส้นิดๆและรู้สึกไม่ดีไปด้วย ถ้าเป็นไปได้อิจิกะอยากจะถามว่า 'แผลนั้นมาจากไหน' หรือ 'ไม่เจ็บเลยเหรอ' ก็ดูเหมือนจะล่วงเกินมากเกินไปจึงได้เก็บคำพูดไว้ในลำคอ

 

 

           "เห็นแล้วสินะ...บาดแผลของฉัน"อัคคีปิดฝักบัวให้น้ำหยุดไหล เสียงทุกอย่างเงียบงันลงทันทีมีแต่เสียงหยุดน้ำที่ไหลลงมาจนเกิดเสียงหยุดน้ำ อัคคีลูบผมย้อนลงข้างหลังอีกครั้งไล่น้ำบนหัวออก ดวงตาที่เข้มแข็งและแฝงด้วยความอ่อนโยน บัดนี้ แววตากลับมีความเศร้าสร้อยแฝงอยู่

 

           "ขอโทษแล้วกัน ไม่รู้ว่านายจะเอายาสระผมของตัวเองมาด้วย"

 

           "ช่างมันเถอะ..." อัคคีหยิบผ้าขนหนูผืนสั้นมาคาดเอวปกปิดส่วนล่าง ปลายผ้าถึงหัวเข่า หยดน้ำบนตัวอัคคีคล่อยๆเคลื่อนตกลงสู่พื้นตามแรงโน้มถ่วง กลิ่นของดอกไม้อ่อนๆบนตัว เดินเข้ามาหาอิจิกะใกล้ๆด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉยๆ

 

           "แล้วจะทำอะไรน่ะ ? "อิจิกรู้สึกใจคอไม่เดินเลยเดินถอยออกห่างทีละก้าวจนติดผนังห้องน้ำ




           อัคคีเดินเข้าไปใกล้ๆมือดันที่ผนังห้องน้ำ จ้องมองอิจิกะที่หลังติดผนังด้วยสีหน้าเรียบเฉย กลิ่นหอมของดอกไม้บนตัวมันทำให้อิจิกะรู้สึกใจคอไม่ดีเข้าไปใหญ๋อยู่ในสถานะการณ์นี้ ชายหนุ่มผมสีน้ำตาหลับตาลงแล้วพูดเบาๆกับอีกฝ่าย ยืนหน้าเข้าไปใกล้ๆ ร่างกายเริ่มแนบชิดจนได้ยินเสียงลมหายใจเบาๆ

 

           

           "อย่าบอกเรื่องรอยแผลเป็นกับใคร ขอร้องล่ะ" อัคคีค่อยๆลืมตา แววตาของเขาช่างเศร้าหมองราวกับว่ามีอะไรที่ไม่ดี และมีอดีตที่เลวร้ายอยู่ในดวงตาคู่นี้ของเขา

 

           "ไม่บอกหรอก แต่เอาตัวนายออกจากฉันก่อน" อิจิกะใบหน้าเริ่มแดงนิดๆเพราะเจออะไรแบบนี้เข้าไป

 

           "ขอโทษที" อัคคีผละตัวออกมาจากอิจิกะ ยกมือไหว้ขอโทษแสดงให้อีกฝ่ายก่อนที่จะเดินออกจากห้องน้ำ

 

           ขณะที่อยู่ในช่วงที่เงียบงันนั้น ได้มีเสียงเคาะประตูแล้วเสียงของหญิงสาวดังขึ้น

 

           "อิจกะ ! "เสียงของหญิงสาวที่ดูห้าวๆและคุ้นเคยมานานได้ดังขึ้น

           "โฮวกิเหรอ ! จะเปิดให้เดี๋ยวนี้แหละ !"อิจิกะตะโกนบอก           

           อิจิกะถอนหายใจเฮือกใหญ่ และเริ่มคิดว่า อัคคีเริ่มน่ากลัวแปลกๆแต่ก็ได้มองในแง่ดีไว้ว่าคงไม่มีอะไรหรอกแล้วก็กำลังเดินออกจาห้องน้ำตามด้วยความรีบร้อน เท้าลื่นแล้วล้มทับตัวอัคคีจนผ้าขนหนูที่ปกปิดช่วงล่างหลุดออก เสียงครึกโครมดังขึ้น


           โครม !!


           "อูย เจ็บๆ"อิจิกะบ่นอุบขณะคร่อมร่างชายหนุ่มอีกฝ่ายที่มีรอยแผลเป็นตามตัวในสภาพร่างเปลื่อยเปล่า
           
           
           สายตาทั้งสองสอดประสานกันอย่างบังเอิญและรูปร่างที่มีส่วนโค้งเว้าคล้ายผู้หญิง มันทำให้อิจิกะลืมตัวและไม่สนใจรอยแผลเป็นที่อยู่ตามตัวอัคคีเลย ขณะที่อีกฝ่ายที่ถูกคร่อมยังมึนงงกับสถานะการณ์อยู่


           หลังจากเสียงครึกโครมจนดังได้ยินถึงภายนอก หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างนอกตกใจคิดว่าต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ๆ เธอถอยมาสองก้าวแล้วพุ่งใช้ไหล่ชนประตูเข้าไป


           ปั๊ง !! ประตูถูกกระแทกและเปิดออกอย่างง่ายดายเพราะไม่ได้ล๊อค


           "อิจิกะ ! เกิดอะไรขึ้น !"น้ำเสียงที่ตกใจของหญิงสาวในชุดลำลองสีขาวแบบนักรบญี่ปุ่น ชุดยาวปิดถึงแขน และปิดหน้าอกไว้มิดชิด ชายกางเก่งแบบญี่ปุ่นยาวถึงข้อเท้า หน้าอกคัพซีที่เด้งเล็กน้อยตามแรงที่พุ่งเข้ามาแล้วหันมาดูที่ประตูห้องน้ำเปิดแง้มเอาไว้อยู่ เธอรีบเปิดเข้าไปดูด้วยความตกใจและกลัวว่าใครจะเป็นอะไร


           หลังจากเปิดเข้าไปดู เธอเห็นในสภาพที่ผู้หญิงคนหนึ่งที่รับไม่ได้ เห็นอิจิกะกำลังนอนคร่อมอัคคีซึ่งฝ่ายที่ถูกคร่อมอยู่ในสภาพร่างเปลื่อยเปล่า ของกระจัดกระจายเพราะลื่นล้มเมื่อครู่นี้ ทั้งอิจิกะและอัคคีที่เพิ่งได้สติ หันมามองแขกรับเชิญที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องน้ำมาจุดเดียวกัน


           "โฮวกิ !?"อิจิกะเงยหน้ามามองโฮวกิอย่างตกใจ

           "อิจิกะ....นายมีรสนิยมแบบนี้เองสินะ !"สีหน้าของโฮวกิมันมีทั้งตกใจและรู้สึกรังสีอาฆาตที่แผ่บนใบหน้ามารวมกัน

           "ไม่ใช่นะ ! โฮวกิเข้าใจผิดแล้ว !" เหงื่อเริ่มไหลผุดต้นคออิจิกะ และเริ่มได้สติเพราะเหมือนว่าถูกกำลังเข้าใจผิดอยู่

           "อิจิกะ !!!"ใบหน้าของโฮวกิแดงปรี๊ดขึ้นมา เพราะเห็นผู้ชายสองคนสภาพแบบนี้ แล้วภาพในสมองของเธอประมวลผลแบบในสิ่งที่เธอเห็น โดยไม่สนใจอัคคีเลยสักนิด


           ชิโนโนโนะ โฮวกิ เพื่อนสมัยเด็กของอิจิกะรีบปิดตาพร้อมกับลากอิจิกะออกมาจากห้องทันทีพร้อมกับหยิบดาบไม้เคนโดซึ่งเธอเอามาจากไหนไม่รู้ราวกับใช้มายากลเรียกมันมา ฟาดใส่อิจิกะไม่ยั้ง


           "อิจิกะโรคจิต !! เป็นเกย์ !! คนบ้าลามก !!" เธอพูดต่อว่าอิจิกะไม่เป็นศัพท์แล้วฟาดด้วยดาบไม้ไม่ยั้ง

           "เดี๋ยวสิโฮวกิ ! แค่ลื่นล้มในห้องน้ำเองนะ !" ชายหนุ่มหลบดาบตามสัญชาตญาณพยายามเอาตัวเองให้รอดก่อนที่จะเจ็บตัว

           "แล้วทำไมอยู่กันสองคนในห้องน้ำ ห๊า !!" เธอไล่อิจิกะไปมุมห้องแล้วยกดาบไม้เคนโดฟ้าเข้าหัวอิจิกะอย่างจัง


           เพี๊ยะ !! เสียงไม้เคนโดดังกระทบหัวอิจิกะเต็มๆ


           "โอ๊ย !! "อิจิกะขาทรุดลงไปนั่งกุมหัวตัวเองอย่างเจ็บปวด

           "ฉันอุตสาห์เข้ามาดูด้วยความเป็นห่วงแท้ๆ แต่นายกำลัง......นายมันวิตถาร ไม่เลือกผู้ชายผู้หญิงเลย !!" เธออยากจะต่อว่า แต่บางคำมันก็พูดไม่ออกแล้วกลืนคำพูดลงไปในลำคอพร้อมกับเสียงสั่นๆของเธอ

           "ฉันเอายาสระผมให้อัคคีต่างหาก แล้วเผลอลื่นล้ม อูย....." อิจิกะนั่งลูบหัวตัวเองแล้วบอกกับโฮวกิที่ยืนตรงหน้าอย่างใจเย็น

           "มะ...ไม่เชื่อ !"เธอแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อคำพูดอีกฝ่ายเท่าไหรนัก

           "ไม่เชื่อก็เรื่องของเธอสิ อิจิกะลื่มหกล้มใส่ฉันเท่านั้น" อัคคีพูดและเดินออกมาจากห้องน้ำในสภาพกางเกงขาสั้นเหนือเข่าและผ้าขนหนูที่ห่มตัวปกปิดร่างกายท่อนบนเอาไว้อยู่พร้อมกับชูยาสระผมที่อิจิกะเอามาให้ด้วย
           

           โฮวกิได้ยินอีกเสียงที่ยืนยันออกมา ได้ยินแบบนั้นเธอก็รู้สึกโล่งใจขึ้นว่าอิจิกะเพื่อนสนิทของเธอไม่ได้เป็นพวกไม้ป่าเดียวกัน และเหมือนเธอเข้าใจผิดมาตลอด และอายสุดๆจึงหยิบดาบไม้ฟาดใส่หัวอิจิกะอีกครั้งแต่ครั้งนี้เหมือนจะเบาลงมานิดเดียว แล้วไอคำว่านิดเดียวนั้นมือของโฮวกินั้นหนักเอาเรื่องอยู่


http://www.keedkean.com


           เพี๊ยะ !!


           "อีกแล้วเหรอ !!" อิจิกะหลับตาแน่นน้ตาคลอเบ้าด้วยความเจ็บปวด

           "แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่ทีแรก !"เธอพูดกลบเกลื่อนความอายของตัวเอง


           จากนั้นเธอก็หันดาบไม้ไปฟาดหัวอัคคีอีกทีหนึ่งด้วยความอายด้วย


           เพี๊ยะ !!


           "เจ้าพวกบ้า ! ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้ !"โฮวกิจ้องเขม้งใส่อัคคี

           "เป็นนักดาบสินะ ? แต่กลับมีนิสัยใจร้อนคิดเอง เออเองแบบนี้เป็นนักดาบได้อย่างไรกัน ?" อัคคีโดนฟาดหัวเขาแค่ลูบหัวตัวเองเฉยๆพร้อมกับพูดตอบกลับอีกฝ่ายทันทีชนิดออกแนวแทงใจดำไปนิด

           "นะ....นาย !" โฮวกิเริ่มแสดงความไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย กำดาบในมือแน่น

           "ขอโทษอิจิกะซะ"อัคคีพูดเสียงเรียบๆ

           "มะ....ไม่มีทาง ฉันไม่ผิดซักหน่อย !"

           "เป็นนักดาบแท้ๆ ผิดแล้วไม่ยอมรับผิดที่ทำ ก็ตามใจ...แต่อย่ามาเป็นนักดาบเลย ไปเป็นอันธพาลดีกว่า" อัคคีพูดกระทบกระทั้งใส่อีกฝ่าย ก่อนที่เดินเข้ามาหาอิจิกะที่กำลังนั่งมองอยู่

           "นาย !!!"โฮวกิเริ่มฉุนเพราะคำพูด เตรียมยกดาบจะฟาดใส่อีกรอบ


           อัคคีนั้นกลับเดินผ่านตัวโฮวกิไปอย่างไม่สนใจใยดีแล้วเดินเข้ามาหาอิจิกะที่นั่งลูบหัวตัวเองอยู่มุมห้องพร้อมกับยื่นมือเข้ามา


           "ไม่เป็นไรนะ อิจิกะ" อัคคีกล่าว

           "อะ อื้ม !" อิจิกะยื่นมือไปรับ


           อัคคีดึงตัวอิจิกะขึ้นแล้วแล้วหันมามองโฮวกิอีกรอบ พร้อมพูดกับหญิงสาวอีกครั้ง


           "ฉันจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย...ขอโทษอิจิกะซะ"อัคคีพูดด้วยเสียงเรียบเฉย

           "ไม่ต้องก็ได้ ไม่เป็นไรหรอกน่ะอัคคี" อิจิกะยิ้มแห้งๆบอกกับตัวเองว่าไม่เป็นอะไร


           โฮวกิกำดาบแน่น รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองผิดแต่ด้วยความอายของตัวเอง หน้าเลยเป็นสีแดงชมพูแล้วหันหลังหนีให้ทั้งสองก่อนที่จะเริ่มเปล่งเสียงที่สั่นๆของตัวเองออกมา


           "อิจิกะ....ฉะ....ฉันขอโทษ"เธอหลับตาเพื่อปกปิดสายตาที่ละอายต่อความผิดแล้วหันมาทางทั้งสองก่อนที่จะพูดต่อ "แต่ฉันไม่ยกโทษให้นาย ไอคนขี้เก๊ก !" เธอเปลี่ยนประเด็นเพื่อกลบเกลื่อนนิสัยที่ปากไม่ตรงกับใจของเธอแล้วโยนความผิดให้อัคคีเต็มๆ

           "ฉันไม่สนใจ เพราะไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเธอขอโทษอิจิกะไปแล้ว คนที่อยู่เหนือทุกสรรพสิ่งอย่างฉัน ไม่ควรใส่ใจเรื่องบ้าๆบอๆแค่นี้หรอก" อัคคีกล่าวด้วยคำพูดที่ชวนหลงตัวเอง

           "ฉันเกลียดและไม่ชอบขี้หน้าคนแบบนายที่สุด !" โฮวกิฉุน แสดงความไม่พอใจกันจะสะบัดตัวเองเดินออกไปพร้อมกับแบกดาบเคนโด้ไว้บนบ่าก่อนที่จะเดินปิดประตูให้อย่างเสียงดัง


           อิจิกะหัวเราะๆแห้ง หันมาคุยกับอัคคีที่กำลังใส่เสื้อลำลองแขนสั้นอยู่


           "ฉันขอโทษแทนโฮวกิด้วยนะ โฮวกิเป็นคนแบบนี้แหละ โกรธง่ายหายเร็ว" ชายหนุ่มทิ้งตัวเอนลงลงบนเตียงนุ่มๆของตัวเอง

           "นายไม่ควรจะทำแบบนั้น ต้องให้อีกฝ่ายขอโทษด้วยตัวเองและจากใจจะดีที่สุด เพราะว่าคนที่อยู่เหนือทุกสรรพสิ่งอย่างฉัน ให้อภัยทุกคนที่ยอมรับและขอโทษเสมอ แต่จะไม่ให้อภัยที่ไม่ยอมรับผิดแล้วไม่ยอมขอโทษ ซ้ำยังคนอื่นยังมาขอดทษแทนอีก" อัคคีทิ้งก้นนั่งคุยกับอิจิกะที่นอนอยู่อีกเตียงใกล้ๆกัน

           "ช่างเถอะน่า....จริงสิ ฉันอยากคุยกับนายมานานแล้วล่ะว่า ชีวิตของนายก่อนที่จะมาที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง

           "...นายรู้แล้วจะได้อะไร"อัคคีเจอคำถามแบบนั้น ทำให้รู้สึกข้างในใจเกิดความปวดร้าวขึ้นมาแล้วแสดงทางสายตาที่เศร้าหมอง

           "ขอโทษทีแล้วกัน"อิจิกะก็ไม่ใช่คนที่อยากจะรู้หรือก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวใครมากนัก เมื่ออีกฝ่ายลำบากใจเขาจึงแสดงออกด้วยการขอโทษแล้วพยายามจะเปลี่ยนเรื่องอื่น

           "...ฉันเกิดมาไม่เคยเห็นหน้าพ่อแม่ตัวเองครอบครัวฉันมีแค่ปู่กับน้องสาว แต่ว่าปู่ทำงานวิศวกรISอยู่ที่ต่างประเทศก็ได้อาศัยอยู่ในโบสถ์คริสเตียนในเมืองหลวง" อัคคีถอนหายใจก่อนที่จะวางก้นลงเตียงของตัวเองแล้วเริ่มเล่าเรื่องในอดีตให้ฟัง

           "สุดยอดไปเลย ! ปู่ของนายเป็นถึงวิศวกรISด้วย"

           "อืม เพราะว่าสมัยก่อนประเทศไทยไม่มีงบพอที่จะสร้าง IS ปู่ของฉันเลยทำงานให้ต่างประเทศ"อัคคีกล่าว

           "นายก็อยู่กับน้องสาวในโบสถ์สองคน คงคิดถึงปู่แย่....นายไม่รู้เลยเหรอว่าพ่อแม่เป็นใคร"

           "ปู่ไม่เคยพูดว่าแม่ของฉันเป็นใคร แต่บอกเพียงแค่ว่า พ่อของฉันคือตำรวจสากลที่ยอมสละชีวิตในเหตุการณ์ White Gardian เมื่อ 10 ปีก่อน"

           "White Gardian...พี่จิฟุยุเคยเล่าให้ฟังว่าเป็นเหตุการณ์ที่มิสไซต์จากทั่วทุกทิศเข้าโจมตีญี่ปุ่นโดยที่ควบคุมไม่ได้"

           "ใช่ แต่ไม่รู้เพราะอะไร แล้วไม่รู้ว่าพ่อเกี่ยวข้องอะไรด้วย ฉันรู้แค่นี้"อัคคีหยุดพูดแล้วมองอิจิกะด้วยแว่วตาที่มีความเศร้าเต็มไปหมด

           "เป็นแบบนี้นี่เอง เอาเป็นว่าพวกเรานอนพักผ่อนเถอะ ต้องเตรียมร่างกายให้พร้อม ช่วงเช้ามีฝึกภาคปฎิบัตินะ"อิจิกะพูดแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาห่ม

           "...ฉันเกือบลืมไป"อัคคีลุกจากเตียงไปที่โต๊ะซึ่งเขาวางสมุดบันทึกของตัวเองเอาไว้


           ชายหนุ่มหาปากกาใกล้ๆตัวมาด้ามหนึ่งก่อนที่จะเปิดสมุดหน้าว่างล่าสุดแล้วเริ่มเขียนลงไป อิจิกะเห็นอย่างนั้นจึงลุกขึ้นมาด้วยด้วยความสงสัยเพราะภาษาที่อัคคีเขียนนั้นเป็นภาษาที่อิจิกะอ่านไม่ออก โดยมีผ่าผูกผมสีม่วงอ่อนคั่นกลางสมุดเอาไว้


           "นี่สมุดไดอารี่ของนายเหรอ ?"

           "อืม..." อัคคีตอบกลับก่อนที่จะเริ่มเขียนตัวอักษาภาษาของเขาลงในสมุด

           "นายเริ่มเขียนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ?"

           "3ปีก่อน"

           "คงจะเป็นภาษาไทยสินะ ฉันถึงอ่านไม่ออกเลย"

           "..."อัคคีไม่ตอบ นั่งเขียนไดอารี่ของเขาลงสมุดสำหรับเหตุการณ์วันนี้


           อิจิกะรับรู้ถึงได้ว่าอดีตของอัคคีนั้นไม่ค่อยดีนัก แต่ก็รู้ว่าเขานั้นเก็บซ่อนความเข้มแข็งไว้ในดวงตาและประโยคทุกคำพูด ทำให้ดูเหมือนคนที่หลงตัวเองและอวดดีไปสักหน่อย แต่พอเห็นแบบนี้แล้ว มันก็คงไม่ต่างอะไรกับเหตุการณ์ในอดีตของอิจิกะมากนัก เพียงแค่ว่า ... มันคงเจ็บปวดกว่าเยอะสำหรับอัคคี เป็นรอยแผลที่ยังไงก็ลบไม่หาย


           อัคคีปิดสมุดลงช้าๆเพราะเขียนไดอารี่้ของวันนี้เสร็จ ก่อนที่จะล้มตัวลงนอนช้าๆ


           "ราตรีสวัสดิ์"อัคคีพูดเป็นภาษาไทยที่แปลว่าฝันดี ก่อนที่จะข่มตานอน

           "อะ...เอ๋ ?"อิจิกะนั่งงงอยู่พักหนึ่งว่าอัคคีพูดอะไรแต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้สนใจอีกก่อนที่จะทิ้งตัวลงบนเตียงแล้วนอนพร้อมพูดว่า "โอยาสึมิ" แล้วปล่อยให้ตัวเองหลับใหลไปในยามราตรีนี้


                                                  ****************

           หลังจากที่หลับใหลมานาน ร่างกายของคนหนึ่งที่นอนคลุมโปงทั้งตัวในผ้าห่มเริ่มขยับไปมาแล้วค่อยๆลุกขึ้นช้าๆ เส้นผมยุ่งเหยิงไปหมด เปลือกตายังคงปิดอยู่ สติสัมปชาญะค่อยๆเริ่มมาช้าๆ


           "ฉันล่ะ เกลียดเครื่องปรับอากาศหนาวๆที่เปิดไว้ค้างคืนที่สุด"อัคคี บ่นกับตัวเองเบาๆก่อนที่จะลุกขึ้นยืนจากเตียงแล้วจัดที่นอนให้เรียบร้อย


           เขาจัดการธุระส่วนตัวของตัวเองเพื่อทำให้ตัวเองตื่นให้เต็มที่ ก่อนที่กลับมาดูนาฬืกาปลุกแบบดิจิตอล


           ปรากฎว่าตอนนี้เป็นเวลา ตี4ครึ่ง อัคคีมองตัวเลขของนาฬิกาก่อนที่จะละสายตาจากมันออกไป


           เขาเป็นพวกที่คิดตั้งใจจะตื่นตอนไหนก็จะตื่นเองโดยไม่มีใครมาปลุก เพราะในวัยเด็กของเขานั้นต้องตื่นยามเช้าตรู่เพื่อช่วยเหลืองานในโบสถเป็นประจำอยู่แล้ว วันนี้เขาตื่นตี4ครึ่ง กำลังจะคิดฝึกฝนตัวเองสักที่หนึ่งอยู่


           "สนาม2เหรอ"อัคคีมองอิจิกะที่นอนหลับอย่างสบายใจไม่รับรู้ เพราะอิจิกะเข้าสู่ภาวะหลับลึกไปแล้ว


           ชายหนุ่มพลางนึกขึ้นว่าหลังเลิกเรียนของวันนี้เขาต้องประลองISกับเซซิเลีย อัลคอตต์ที่เขาได้รับคำท้าของเธอเอาไว้ เขาเลยคิดว่า ขอไปสำรวจสนามที่กล่าวไว้ยามเช้าซํกหน่อย และถือว่าเป็นการออกกำลังกายไปในตัวด้วย นี่คืออีกเหตุผลหนึ่งที่เขาตื่นเช้าเกือบตลอดเพราะต้องฝึกร่างกายด้วยนั้นเอง


           เขาเดินไปตามเส้นทางจนมาถึงสนามฝึกที่2ซึ่งรายลอยมีลานกว้างดินโดยรอบ ล้อมรอบไปด้วยที่กั้นคนดู ข้างบนมีเครื่องสร้างม่านสนามพลังป้องกัน แต่ตอนนี้มันเปิดโล่งอยู่เพราะไม่มีใครใช้ บรรยากาศที่มืด ช่างวังเวง มีเพียงแสงไฟไม่กี่ดวงที่ส่องจากชั้นบนของที่นั่งคนดูเท่านั้น สถานที่นี่เป็นได้ทั้งสนามฝึกซ้อมและสนามแข่งขันอีกด้วย และซัสดุออกแบบนั้นทนต่อการโจมตีสำหรับ ISสูงมาก ซึ่งเป็นมาตราฐานเดียวกับการป้องกันจรวจพิสัยไกลหรืออาวุธหนักได้ดีเลยทีเดียว ทำให้ไม่ว่าการฝึกซ้อมหรือการแข่งขันมีความปลอดภัยที่สูง


           แต่ทว่าวันนี้ท่ามกลางความมืดที่มีแค่ไฟไม่กี่ดวงในสนาม กลับมีเสียงดังของปืนกลมือเล็กสำหรับหุ่นISที่ไว้ใช้สำหรับการโจมตีระยะกลาง ซึ่งกำลังยิงซ้อมเป้าแบบโพโรแกรม และได้ทำการตั้งระบบให้เป้าเคลื่อนที่ได้ แล้วแต่ละนัดยิงเข้าเป้าอย่างแม่นยำราวกับจับวาง


           เมื่ออัคคีเดินเข้าไปใกล้ๆก็รู้ว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียวในนี้ ยังมีอีกคนที่กำลังฝึกซ้อมก่อนหน้าเราอีก มีคนสวมชุดISสีส้มปรอทอยู่ แม้ท่ามกลางไฟสลัวแต่ก็พอมองเห็นเค้าโครงใบหน้าเจ้าของปืนและชุดISที่สวมใส่อยู่ในขณะนี้


           ผู้สวมISนั้นได้ยินเสียงอัคคีเดินมาก็ได้หยุดซ้อมยิงเป้า ปิดระบบเป้าแบบโพโรแกรมออกไปลดปืนลงแล้ว  หันไปมองทักทายตามเสียง


           "เอ๋ ใครกันครับ ?" น้ำเสียงที่เป็นผู้หญิงดังขึ้นซึ่งขัดแย้งกับหางเสียงที่เรียกตัวเองว่า 'ครับ' ถามหาอีกฝ่ายที่กำลังเดินมา

           "..." อัคคีไม่พูด แต่กลับเดินเข้ามาหาใกล้ๆจนสามารถเห็นรูปลักษณ์อีกฝ่ายได้ชัดเจน


           ผมสีทองที่ยาวถึงกลางหลังได้ถูกมัดรวบไว้อย่างหลวมๆ นัยนตาสีม่วงอ่อน สวมชุดISสีส้มปรอท กำลังยกมือทักทายให้อีกฝ่าย


http://www.keedkean.com


           "ถ้าผมจำไม่ผิด ใช่เด็กใหม่ที่มาเมื่อวานหรือเปล่าครับ" ฝ่ายหญิงเรียกแทนตัวเองว่า 'ผม' ยิ้มบางๆให้อีกฝ่าย ซึ่งเธอจับจ้องผมสีน้ำตาลเข้มและนัยน์ตาที่มีทั้งความเข้มแข็งและอ่อนโยนซ่อนอยู่

           "งั้นเหรอ"อัคคีพูดด้วยเสียงเรียบๆ "ดูนัวส์ สินะ"

           "ฮ่ะๆ เมื่อวานยังไม่ได้ทักทายกันเลย ทั้งที่นั่งใกล้กันแท้ๆ ผม ชาร์ล็อตต์ ดูนัวส์ครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะ"

           "ดูนัวส์จริงๆด้วย"อัคคีรู้สึกสะกิดใจอะไรบางอย่างแต่ไม่ได้พูดอะไร


           อัคคีเริ่มครุ่นคิดในใจเหมือนกับว่าภาพในอดีตจะผุกขึ้นอีกครั้งเมื่อได้กล่าวถึงชื่อนี้ แต่ทว่าภายในจิตใจของอัคคีคิดอะไรอยู่นั้น ไม่มีใครรู้ชัด และก็ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในอดีตสำหรับตัวเขา


           "อัคคีคงมาซ้อมเหมือนกันสินะครับ"เธอพูดกับเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มตามปกติ

           "ใช่ นี่คงมาซ้อมเหมือนกันสินะ" อัคคีจับสร้อยคอรูปเปลวไฟสีดำแล้วสักพักรูปร่างของเขาได้เปลี่ยนไป กลายเป็นการสวมชุดเกราะสีดำเงาโดยพริบตา 


           ชาร์ล็อตต์มองชุดISของอีกฝ่ายอย่างสนใจและฉงนในเวลาเดียวกัน


           "เอ๋? นี่เหรอครับ IS ของออัคคีลายสวยมากเลยล่ะครับ" เธอจ้องอย่างสนใจในชุดเกราะสีดำเงาของเขา

           "นี่คืออัคคามิฬ IS ของฉัน" อัคคีลองขยับตัวไปมาก่อนมองอีกฝ่ายด้วยหางตา

           "ละ...แล้วใช้อาวุธอะไรเหรอครับ" เธอยิ้มแห้งๆเพราะดูท่าทีที่ไม่ค่อยเป็นมิตรนัก

           "อาวุธของฉันคือการสู้ด้วยมือเปล่า" อัคคีกำลังกล่าวว่า อาวุธพรรคนั้นฉันไม่มีหรอก

           "เห๋ ? ไม่มีจริงๆเหรอครับ ? ขนาดISฝึกซ้อมนั้น อย่างน้อยต้องมีอาวุธประจำตัวนะครับ"

           "อัคคามิฬถูกสร้างมาเป็นแค่ต้นแบบเท่านั้น ไม่แปลกที่ไม่มีอาวุธอะไรเลย"

           "น่าจะทำอาวุธให้เสร็จก่อนนะครับ คนสร้างแย่จังเลย ลืมใส่อาวุธให้" ชาร์ล็อตต์หัวเราะแห้งๆ


           คำพูดของเธอมันเหมือนดูไม่มีอะไรก็จริง แต่สำหรับอัคคีไม่ใช่ อารมณ์ที่ร้อนในใจและกำลังจะระเบิดออก



           "มีปัญหาอะไรกับปู่ฉันอย่างนั้นเหรอ ?"อัคคีกำหมัดแน่น

           "อะไรเหรอครับ ผมไม่เข้าใจ?"เธอรู้สึกเหมือนใจคอจะไม่ดีนัก

           "พวกของเธอฆ่าปู่ของฉันยังไม่พอใช่ไหม...."อัคคีหันมาจับจ้องอีกฝ่ายอย่างเลือดเย็น

           "เดี๋ยว อะไรกันครับ" ชาร์ล็อตต์เหมือนรู้สึกว่าไปพูดอะไรกระทบจิตใจเข้า ถึงจะไม่ค่อยรู้ก็ตามแต่

           "ฆ่าปู่กับน้องฉันยังไม่พอ ยังมาดูถูกสิ่งที่ปู่ของฉันสร้างขึ้นมาอีกงั้นเหรอ..." อัคคีย่อตัวลง พุ่งเข้ามาหาด้วยความเร็วสูง

           "เดี๋ยวสิ ! ผมไม่เข้าใจ !" ตอนนี้เธอไม่คิดมากที่จะพูดให้อีกฝ่ายใจเย็นนอกจากสวนกลับเท่านั้น เธอจึงใช้ปืนกลมือที่ถืออยู่ กระหน่ำใส่สิ่งที่พุ่งเข้ามาเพื่อหยุดเป้าหมาย


           อีกฝ่ายโดนยิงกระหน่ำใส่ทันที แม้จะเป็นกระสุนจริง แต่ระบบพื้นฐานของ IS คือ ระบบกระป้องกันเบื้องต้น ซึ่งคล้ายๆกับม่านสนามแม่เหล็กเล็กๆ เพื่อป้องกันการอันตรายในการใช้ IS เมื่อทำการแข่งขัน ประลอง หรือฝึกซ้อม เป็นกฎเดียวกันในการใช้ตามสนธิสัญญาอลาสก้า


           แต่ก็ใช้ว่าจะโดนยิงแล้วไม่เป็นอะไรเพราะพลังงานในตัว ISจะลดลงเร็วขึ้น ถ้าพลังงานหมดก็จะไม่สามารถดึงพลัง ISได้เต็มที่ เหมือนเป็นแค่ชุดเกราะธรรมดาๆที่บินได้เท่านั้น และถ้าฝืนใช้อีก ก็อาจจะเกิดผลกับผู้ใช้ด้วย


           ถึงอัคคีจะโดนยิงกระหน่ำ เขาก็ไม่สนใจระบบแจ้งเตือนที่บอกว่า ค่าพลังงานเกราะลดลงเรื่อยๆ เขาเพียงแค่ยกแขนป้องกันห่าฝนของกระสุนเท่านั้น เมื่อพุ่งถึงระยะอย่างไม่กลัวเจ็บ เขาก้มต่ำลงใต้เข็มขัดแล้วงัดหมดเสยขึ้นจากข้างล่างอย่างรวดเร็ว


           แต่ทว่าอีกฝ่ายไม่ยอมที่จะโดนหมัดเสียของอีกฝ่ายไม่ได้ง่ายๆ อาศัยการตอบสนองที่ไวเบียงตัวหลบแล้วใช้เหล็กแหลมหลังมือพุ่งขึ้นออกมาจากชุดเกราะมือซ้าย คล้ายใบมีด ชกเข้าเกราะสีข้างและม่านป้องกันของอีกฝ่ายจนเกิดประกายไฟขึ้น


           " !!!? " รู้สึกเจ็บที่สีข้าง ตกใจเพราะถูกโจมตีเมื่อครู่ แต่เมื่อเขาอยู่ในระยะประชิด เขามั่นใจว่าย่อมได้เปรียบอยู่ดี จึงตั้งหลักชั่วอึดใจหมุนตัวเตะทันทีด้วยความเร็ว 


           ชาร์ล็อตต์กระโดดถอยหลบรักษาระยะห่าง อัคคีวิ่งเข้าใส่ระยะประชิด ปล่อยลูกหมัดและลูกเตะไปเรื่อยๆ เธอพยายามหลบแล้วอาศัยจังหวะกราดด้วยปืนกลมือของเธอให้อัคคีถอยไป


           เสียงปืนของชาร์ล็อตต์ดังระงมไปทั้งสนาม กระสุนใส่เข้าเป้าหมายในระยะหวังผลจนอัคคีต้องถอยออกไป ค่าพลังงานของเกราะก็ลดลงจนใกล้จะหมด


           "ผมไม่รู้หรอกว่าเป็นอะไร แต่คำพูดเมื่อครู่ผมขอโทษแล้วกันครับ" เธอมองอีกฝ่ายจากระยะที่ห่างพร้อมเล็งปากประบอกปืนไปที่อีกฝ่ายเตรียมพร้อม

           "ตอนแรกฉันจะไม่พูดอะไรแล้วล่ะ แต่ตอนนี้ขอบอกไว้เลยว่าถึงเธอจะไม่รู้ ไม่เกี่ยวข้องอะไร งั้นก็จงรู้ไว้เลย....ฉันไม่มีวันให้อภัยคนของดูนัวส์ที่พลัดพรากชีวิตปู่และน้องของฉัน จนกว่าจะมาขอขมาศพต่อหน้าพวกเขา!" อัคคีจับจ้องสายตาอีกฝ่ายด้วยหัวใจที่มีไฟไฟร้อนรุ่มเผาข้างในอยู่

           
           อัคคีก็รู้ตัวดีว่าตอนนี้อยู่ในอารมณ์โกรธเพราะสิ่งคำพูดมันชวนให้ถึงอดีต จึงได้ถอดชุดISออก ชุดเกราะสำดี กลายเป็นจี้รูปเปลวไฟสีดำเหมือนเดิมก่อนที่จะเดินออกไปโดยไม่หันหลังกลับมา


           "อะไรของเขากันนะ?"ชาร์ล็อตต์เริ่มสงสัยขึ้นมา ทั้งที่เพิ่งรู้จัก กลับมีผู้ที่ไม่เป็นมิตรเข้ามา ทั้งที่ไม่รู้ว่าเธอก็ทำอะไรให้เขามาก่อนเหมือนกัน


           เธอถอดชุดออก ชุดISกลายเป็นจี้สีส้ม มองแผ่นหลังอีกฝ่ายด้วยแววตาแห่งความสงสัยเต็มไปหมด และที่สำคัญ เหมือนเธอจะเคยที่เห็นเขาที่ไหนมาก่อน สักที่...แต่นึกไม่ออกว่าที่ไหน


           ภาพในหัวของอัคคีมันมีแต่ความสิ้นหวัง ไฟที่ลุกโชนรอบตัว และคนที่ตายต่อหน้าต่อตาของเขา...


           แผลฉกรรจ์ที่ถูกฟันกลางหลังมันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน แต่มันคงไม่เจ็บปวดเท่า...


           ปู่และน้องสาว ครอบครัวที่เขารักตายต่อหน้าตาเพราะฝีมือของบริษัทดูนัวส์...


           ถ้าไม่พาพวกเขามากราบขอโทษหลุมศพ จะไม่มีวันให้อภัยคนที่เกี่ยวข้องเด็ดขาด...

           
           ไม่เว้นแม้กระทั้งเธอ ชาร์ล็อตต์... เพราะ ดูนัวส์ทำให้ฉันต้องเป็นแบบนี้...


           
(Te be continued the next chapter)

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา