Chabulanta ตำนานรักเทพมังกร

6.6

เขียนโดย Xian_xi

วันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 15.34 น.

  13 ตอน
  20 วิจารณ์
  17.01K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 13.18 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

11) ล้างขุนนางทุจริต

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

            หลังราชาซู่ซินพระองค์ก่อนประชวรจนสิ้นพระชนม์ไป   รัชทายาทออนเซ็งได้ขึ้น

 

สืบบัลลังก์ต่อ   ได้รับสถาปนาพระนามว่า ' จวงหยู ' ทรงบริหารราชกิจอย่างแข็งขัน  โดยมี

 

เฉิงซู่  อัครเสนาบดีคู่บัลลังก์คอยถวายคำแนะนำ   เฉิงซู่อายุราวสี่สิบกว่า  ดวงตาเรียวเล็ก 

 

ไว้หนวดเครา  ท่าทางสุขุมรอบคอบ   เคยถวายงานรับใช้ราชาซู่ซินพระองค์ก่อน

 

ด้วยความซื่อสัตย์   ราชาจวงหยูทรงรู้จักเขาดี   เมื่อพระองค์ทรงได้ครองราชย์

 

เป็นราชาซู่ซิน  จึงทรงยกย่องแต่งตั้งเขาเป็นมหาเสนาบดี  เป็นใหญ่เหนือเหล่าเสนาบดี

 

และขุนนางทั้งมวล

 

           

 

            องครักษ์ยืนประจำจุดต่างๆรอบนอกท้องพระโรง   ทุกใบหน้านิ่งเฉย   ยืนตรงแน่ว

 

ไม่ไหวติง   หากดวงตาเท่านั้นที่กลอกไปมาระแวดระวังรอบตัว   ฉับพลันเสียงฟาดพนักไม้

 

ลั่นปัง   เหล่าองครักษ์สะดุ้งเหลียวดูข้างในอย่างตกใจระคนอยากรู้

 

            เสนาบดีผู้หนึ่งยืนตัวเกร็งกลางท้องพระโรง   สีหน้าตกตะลึง

 

                      " อะไรกันพะย่ะค่ะ!? "

 

            ราชาจวงหยูพระพักตร์บึ้งตึง   ขุนนางทั้งห้องดูสับสนวุ่นวาย  

 

                      " ท่านจะมีอะไรอธิบายไหม "

 

                      " ไม่เป็นความจริงพะย่ะค่ะ   กระหม่อมไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นแน่ "

 

                      " ทูลฝ่าบาท  จู่ๆมาทรงกล่าวหาว่าทุจริตได้อย่างไร   หลักฐานล่ะพะย่ะค่ะ "

 

ขุนนางใหญ่พวกเดียวกันรีบปกป้อง

 

            ราชาจวงหยูถอนพระทัยยาว " ข้าจวงหยู  เป็นถึงพระราชาซู่ซิน   ไม่ทางกล่าวหาผู้ใด

 

ลอยๆ   เพราะมีหลักฐานชี้มา   ข้าถึงได้มาถามหาคำแก้ต่าง   ไปเอามานี่ซิ "

 

            มหาดเล็กขานรับ  แล้วถวายถาดซึ่งวางสมุดกองสูง   พระองค์ทรงหยิบเล่มหนึ่งชูขึ้น

 

                       " นี่คือบัญชีรายการและจำนวนสิ่งของที่มีอยู่ในกองคลัง " ราชาจวงหยูตรัส

 

" ที่น่าสงสัยที่สุดคือข้าว   จำนวนกระสอบที่บันทึกไว้เมื่อแรกเข้ากับจำนวนจริงในโกดังมัน

 

ต่างกัน   จำนวนที่มีอยู่จริงน้อยกว่าจำนวนที่บันทึกไว้   ข้าวที่หายไป  หายไปไหน "

 

                       " อ..เอ่อ... " เสนาบดีละล่ำละลัก

 

                       " ข้าส่งคนไปตรวจโกดังที่บ้านพักท่านพบกระสอบข้าวมากมาย   ทำไมล่ะ?

 

ทั้งที่ช่วงนี้มีข้าวมากมายออกสู่ตลาดเพราะการทำนาได้ผลดี   หรือถ้าจะเก็บไว้เลี้ยงคนในบ้าน

 

ก็มากเกินไป   สามารถเลี้ยงทหารได้เป็นกองทัพเชียว   มีความจำเป็นอะไรต้องตุนข้าวไว้

 

เยอะขนาดนั้น "

 

                        " ทูลฝ่าบาท " เขารีบพูดเสียงลั่น " ช่วงนี้ราคาข้าวในตลาดเริ่มพุ่งสูง

 

อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดนิ่ง   เงินเท่าเดิมกลับซื้อข้าวได้จำนวนน้อยกว่าเดิมมาก   กระหม่อม

 

เกรงว่าจะต้องสิ้นเปลืองเงินมาก   เลยตัดสินใจสั่งกว้านซื้อมาเก็บไว้มากๆ   เป็นปกตินี่พะย่ะค่ะ 

 

ใครๆก็ทำกันทั้งนั้น "

 

                         " ความกลัวเมื่อราคาของขึ้นสูงทำให้อยากกักเก็บไว้ก่อนราคาจะขึ้นไป

 

มากกว่านี้   ข้าเข้าใจ  แต่ทำไมบัญชีรายจ่ายเรื่องข้าวของบ้านท่านถึงไม่สอดคล้องกับจำนวน

 

ข้าวที่หลั่งไหลเข้ามาเลยล่ะ "

 

                         " หา " เขาอ้าปากค้าง   ราชาจวงหยูเอี้ยวองค์ไปหยิบสมุดอีกเล่มขึ้นมา

 

                         " นี่คือบัญชีรายรับรายจ่ายของบ้านท่าน   เขียนไว้ว่าท่านซื้ออะไรมาบ้าง

 

และจำนวนเท่าไร   จำนวนข้าวในโกดังกับที่ซื้อเข้ามาไม่ตรงกันอีกแล้ว   จำนวนที่มีน้อยกว่า

 

ที่ซื้อ   ส่วนต่าง...ข้านับดูเท่ากับที่หายไปจากกองคลังพอดี "

 

                         " ฝ..ฝ..ฝ่าบาท " เสนาบดีแทบทูลไม่เป็นภาษา   พระองค์เงยพักตร์

ไปทางประตู

 

                         " ไปพาเข้ามา "

 

            ประตูท้องพระโรงเปิดออก   เหล่าทหารคุมตัวชายคนหนึ่งเข้ามา   เสนาบดีหันไปเห็น

 

ก็เบิ่งตาโต   ชายคนนั้นเดินกล้าๆกลัวๆไม่กล้าสบตาเขา   กระทั่งมาถึงเบื้องพระพักตร์

 

                          " ท่านน่าจะรู้จักเขา   ผู้ดูแลกองคลัง "

 

                          " ถวายบังคมฝ่าบาท "

 

                          " เกี่ยวกับจำนวนข้าวที่หายไป   เจ้าบอกว่ามีผู้มีอำนาจเกี่ยวข้องด้วย   เป็นใคร "

 

            ผู้ดูแลกองคลังชี้ไปที่เสนาบดีสุดแขน " ท่านเสนาบดีพะย่ะค่ะ "

 

                          " อะไรกัน  นี่เจ้า! " อีกฝ่ายถลึงตาโวยวายลั่น

 

                          " ท่านเสนาบดีสั่งให้กระหม่อมขนข้าวจากกองคลังไปไว้ที่บ้านพักส่วนตัว

 

จำนวนที่บันทึกไว้กับจำนวนจริงแม้ต่างกันก็ไม่เป็นไร   ถึงจะมีคนตรวจก็ไม่มีปัญหา "

 

                          " ท่านเอาข้าวไปไว้ที่บ้านพักของตัวเองเพื่ออะไร "

 

                          " ไม่จริงพะย่ะค่ะ   เขาโกหก   กระหม่อมจะขนข้าวไปบ้านตัวเอง

 

เพื่ออะไรกัน   เจ้าทำของเจ้าเอง   แล้วปัดเป็นความผิดข้า! " เสนาบดีชี้หน้าเขา

 

                          " ใครปัดความผิดใส่ใครกันแน่   ไม่มีทางที่เขาจะทำด้วยตัวเอง   ถ้าไม่มี

 

ผู้มีอำนาจภายในสั่ง   ที่สำคัญต้องมีอำนาจขนาดแม้จะมีคนตรวจก็ไม่มีปัญหา   ก็มีแต่ท่าน...

 

เท่านั้น "

 

             เสนาบดีฟังคำตรัสนั้น  ผวาร้อนรน

 

                         " ท่านเอาข้าวไปไว้บ้านตัวเองเพื่ออะไร " ทรงเค้นเสียง " จะไม่ตอบ

 

ก็ไม่เป็นไร  ข้าพอรู้เหตุผล   เพื่อทำกำไรไงล่ะ "

 

                         " หา " เขาตาเหลือก

 

                         " ด้วยตำแหน่งของเจ้าอาจได้พบปะกับพ่อค้ามากมาย   พวกเจ้าสมคบคิด

 

หาผลประโยชน์ร่วมกัน   ด้วยการกักตุนข้าวไม่ปล่อยออกสู่ท้องตลาดตามปกติ   เพื่อบีบราคา

 

ให้สูงขึ้นจะได้กำไรมากๆ   รอจนข้าวขาดแคลน   พวกเจ้าค่อยปล่อยขายแล้วโขกสับราคา

 

เอาตามใจชอบ   เจ้าเองก็ร่วมกักตุนข้าวไว้   แต่ยังโลภอยากได้กำไรเพิ่มเลยมาลักเอาข้าว

 

จากกองคลังไปอีก "

 

             เสนาบดีพูดไม่ออก   หน้าซีดเผือด

 

                          " จากนี้มีอะไรจะแก้ตัวค่อยคุยกัน   พร้อมกับพยานปากเอกอีกมาก

 

ซึ่งเป็นพวกพ่อค้าที่ร่วมมือกับเจ้า "

 

             ราชาจวงหยูแย้มโอษฐ์อย่างมีชัย   เสนาบดียืนตะลึงกับที่   พลันเข่าอ่อน

 

                          " ทหารมาเอาตัวออกไป "

 

            กลุ่มทหารที่รออยู่เข้าจับตัวทั้งเสนาบดีและผู้คุมกองคลัง   แล้วคุมตัวออกไป

 

ท่ามกลางเสียงวิจารณ์จอแจของขุนนางที่เหลือ

 

                      " ไม่ต้องตื่นเต้นตกใจกันนักหรอก   ข้าก็มีเรื่องสงสัยจะถามท่านเหมือนกัน "

 

ราชาจวงหยูตรัสเสียงเยือกเย็น   ขุนนางใหญ่ผู้ออกมาปกป้องเสนาบดีเมื่อครู่เสียวสันหลังวาบๆ

 

" กับคนอื่นๆอีกมาก... "

 

             

 

             ทหารกลุ่มหนึ่งย่ำเร็วๆผ่านฝูงชนที่รีบแหวกทางพัลวัน   คนหนึ่งทากาวบนกำแพง  

 

อีกคนแปะกระดาษทับ   รีดให้เรียบและติดแน่น   เสร็จแล้วถอยออกไป   ประชาชนรอบนอก

 

แย่งเบียดเข้าไปดูอย่างอยากรู้

 

                            " ประกาศอะไรกันน่ะ " พวกเขาถามกัน " ข้าอ่านไม่ออก "

 

                            " นี่ๆ  ข้าอ่านออก! " ชายคนหนึ่งเอ็ดตะโรพลางเบียดทุกคนเข้ามา

 

" ถอยไปหน่อย  ถอยไป  ข้าอ่านให้ฟังเอง...หา!? "

 

                            " มีอะไรหรือ " ทุกคนแย่งถามเซ็งแซ่ไปหมด

 

                            " นี่มันประกาศปลดแะลงโทษขุนนางทุจริต  อู้หู  เยอะขนาดนี้เชียว "

 

                            " ถ้ามันเยอะอย่างเจ้าว่าแล้วใครจะทำงานล่ะ "

 

 

 

                            " เรื่องนี้จะไม่มีปัญหา " ราชาจวงหยูจรดขอบถ้วยชากับพระโอษฐ์

 

" ถึงการลงโทษและปลดขุนนางจำนวนมากในเวลาเดียวกันจะทำให้ขาดคนไม่น้อยก็ตาม  

 

ตำแหน่งใหญ่ที่ว่างอยู่ก็เลื่อนคนที่อยู่ระดับล่างถัดไปขึ้นแทน   แต่ให้เลือกจากความสามารถ

 

และสุจริต  ส่วนตำแหน่งอื่นที่ว่างเพราะคนเดิมถูกเลื่อนขึ้น   ก็ให้เลื่อนคนที่อยู่ระดับล่างถัดๆไป

 

ขึ้นตามลำดับ   ที่เหลือตำแหน่งเล็กๆถ้าคนไม่พอก็ให้ประกาศรับใหม่ "

 

             พระองค์กระแทกถ้วยชาปึง   จ้องตรงไปเบื้องหน้าด้วยแววพระเนตรมุ่งมั่น

 

                          " กำจัดพวกปลวกตัวร้ายที่คอยกัดกินแคว้นซู่ซินได้แล้ว   หลังจากนี้ข้า

 

ต้องการคนดีมีความสามารถเข้ามาช่วยบริหารบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองไม่แพ้เฟิงโจว...ท่านมีชื่อ

 

ผู้ใดในใจจะเสนอบ้างไหม "

 

                          " พะย่ะค่ะ " มหาเสนาบดีเฉิงซู่ยิ้มน้อยๆ " กระหม่อมมีชื่อผู้สมควรรับ

 

ตำแหน่งจะทูลเสนอ "

 

 

 

              ชายคนหนึ่งสวมชุดไหมแวววาวเดินผ่านแนวอาคารและตำหนักต่างๆเพียงลำพัง  

 

ยามหัวค่ำความมืดครอบคลุมทุกพื้นที่   เบื้องฟ้าปราศจากหมู่ดาวสุกสกาว   มีเพียงดวงจันทร์

 

งามเด่นทอแสงอร่ามระปุยเมฆสีเรือง   เขาสาวเท้าเร็วๆมาครู่หนึ่งก็หยุดยืนพัก   เงยหน้า

 

เห็นเฉลียงใหญ่ตระหง่านอยู่ไม่ไกล   ที่ราวระเบียงและลานกว้างอาบแสงเงิน   เงาร่างหนึ่ง

 

นั่งสงบอยู่เดียวดาย

 

                             " ถวายบังคมฝ่าบาท "

 

               ราชาจวงหยูหันพักตร์มา   ท่าทางแจ่มใส

 

                           " มาแล้วหรือ   เร็วดี "

 

                           " ทรงเรียกกระหม่อมมาตอนค่ำ   ทรงมีอะไรให้กระหม่อมถวายรับใช้

หรือพะย่ะค่ะ "

 

                           " เปล่าเลย  ไม่มีอะไรหรอก " พระองค์ตรัสเสียงอ่อนโยน " เห็น

 

ดวงจันทร์คืนนี้งามเด่น   ทั้งลมก็พัดเย็นสบายตัวออกอย่างนี้   ข้าเลยคิดอยากดื่มชาชมจันทร์

 

ขึ้นมา   แต่ถ้าดื่มคนเดียวกลัวจะเหงาหงอยไป   เลยอยากหาเพื่อนมาร่วมดื่มด้วยกัน "

 

                            " พะย่ะค่ะ " เฉิงซู่เข้าใจความหมาย   ค้อมรับด้วยใบหน้าเจือรอยยิ้ม

 

                            " มานี่สิ  เชิญนั่ง " ราชาจวงหยูผายพระพักตร์ " ส่งถ้วยชามาสิ   ข้า

รินให้ "

 

                            " ขอบพระทัยพะย่ะค่ะ " เขานอบน้อม " ได้โปรดทรงอนุญาตให้

 

กระหม่อมรินให้พระองค์ "

 

                            " ได้สิ " พระองค์ยื่นถ้วยชาให้

 

                            " เมื่อครู่ก่อนกระหม่อมมาถึง   เห็นพระองค์เหม่อทอดพระเนตร

 

ดวงจันทร์เหมือนทรงคิดใคร่ครวญสิ่งใดอยู่ "

 

                            " อ้อ  ข้าแค่คิดถึงอนาคตของซู่ซิน " ราชาจวงหยูตรัสพลาง

 

ทอดพระเนตรถ้วยชาในพระหัตถ์ " แค่คิดถึงวันที่ซู่ซินรุ่งเรืองอย่างที่ข้าเคยฝันไว้ "

 

                           " อย่างที่ทรงคิดไว้? "

 

                           " วันที่ซู่ซินเป็นอิสระจากเฟิงโจว "

 

                           " ฝ่าบาท... " เสนาบดีสูงวัยอุทานเสียงแหบ   ความกังวลหวาดหวั่น

 

พลันฉายออกมาทางสีหน้าและแววตา

 

                           " ข้าก็รู้ดีว่ายังไม่พร้อม " พระองค์แค่นยิ้มทั้งแววพระเนตรเจ็บปวด

 

" ซู่ซินยังต้องพัฒนาอยู่   แต่เมื่อไรที่พร้อมต้องมีวันนั้นแน่! "

 

              พระองค์วางถ้วยชา  ลุกยืน  พลันฉวยมีดสั้นซึ่งอยู่ไม่ไกล   ประกายโลหะสะบัดวาบ

 

มันปลาบ   แล้วปลายมีดคมก็เบือนไปทางตะวันตก

 

                           " เฟิงโจว... "

 

              ราชาจวงหยูเพ่งตามแนวมีด   กกระทั่งสุดขอบฟ้าทิศตะวันตก   แววพระเนตรมุ่งมั่นมาดร้าย

 

 

 

               ฟู่หลานเดินหิ้วห่อยาสูงเป็นตั้งผ่านตลาดเพื่อจะกลับบ้าน   แสงแดดจัดยามบ่าย

 

ไม่ร้อนแรงมากนักหากเทียบกับเมื่อหน้าร้อน   ผู้คนมากมายสวนผ่านไปมาจอแจ   ทั้งเกวียน

 

ขนสินค้า  เกวียนเทียมวัววิ่งขวั่กไขว่   นางคอยหลบหลีกทั้งคนและรถชวนให้รำคาญใจไม่น้อย  

 

แต่ก็อยู่มานานจนชินกับบรรยากาศวุ่นวายเช่นนี้แล้ว

 

               ทันใดเกิดเสียงตะโกนเอะอะ  แล้วชาวบ้านต่างก็รีบถอยเปิดช่องกลางถนน  

 

ขบวนเกี้ยวใหญ่โตผ่านทางมา   ฟู่หลานจำเลี่ยงไปคอยริมทางเช่นคนอื่น   เกี้ยวหลังใหญ่

 

ตกแต่งอย่างงดงามหรูหรา   รายล้อมด้วยแถวผู้ติดตามและคนคุ้มกันไม่น้อย   ข้างตัวเกี้ยวเจาะ

 

ช่องหน้าต่างไว้รับลม   มองลอดกรอบไม้ฉลุลายเข้าไปเห็นผู้หญิงชั้นสูงวัยกลางคนเชิดคอ

 

ระหง   เสื้อผ้าไหมสีสดวาวระยับ   ใบหน้าแต่งแต้มจัดจ้าน   ผมเกล้ามวยปักปิ่นเลอค่างาม

 

เฉิดฉาย   เพียงนางเบือนใบหน้ามาเลยครึ่งซีก   ฟู่หลานก็สะดุ้งผวาในใจ   นางคือเวยฮูหยิน

 

              นางหวังว่าเวยฮูหยินจะไม่เห็นนางแล้วผ่านไป   แต่ไม่เป็นเช่นนั้น   เวยฮูหยินหันมา

 

ทางช่องหน้าต่างฝั่งนาง   มองแถวชาวบ้านที่หลบตนมายืนข้างทาง   พลันชะงักงันเมื่อเห็น

 

เด็กสาวหน้าตาคุ้นเคย   ใบหน้าอ่อนหวานตีสีหน้าไม่ถูก   ยืนแข็งทื่อ   ครั้นระลึกได้ว่าอีกฝ่าย

 

เป็นใคร   ดวงตาคมก็ถลึงลุกวาวด้วยเหยียดหยามและจงเกลียดจงชัง

 

              ฟู่หลานตัดสินใจค้อมหัวให้   เวยฮูหยินเม้มปากจนเห็นเป็นเส้นเดียวแล้วยกแขน

 

สะบัด   บานหน้าต่างเลื่อนปิดเสียงสนั่น   ขบวนเกี้ยวเริ่มพ้นไป   ชาวบ้านบางส่วนคลายตัว

 

ออกมาเดินตามปกติ   เว้นแต่ฟู่หลานที่ยังยืนตะลึงกับที่   รู้สึกย่ำแย่ในใจเอาการ   พอข่ม

 

อารมณ์ได้  ก้มดูห่อยาในมือ   คิดถึงพ่อที่กำลังรอนางก็จะเดินไป

 

                          " แม่นางเฉิน "

 

            แม่นางเฉินหยุดกึกด้วยความงุนงง   หันรอบๆเห็นหญิงสาวสองคนจ้องอยู่   เพราะ

 

ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน   จึงเหลียวหลังด้วยคิดว่ามองคนอื่น

 

                          " แม่นางฟู่หลาน "

 

                          " เจ้านั่นแหละ! "

 

             น้ำเสียงสุภาพตามด้วยเสียงแหลมลั่นอย่างไม่สบอารมณ์   สองนางก้าวเร็วๆมาหยุด

 

เบื้องหน้าฟู่หลาน   คนแรกที่เดินนำมาเป็นหญิงสาวงามสง่า   สวมเสื้อผ้าเนื้อดีอย่างคนมีตระกูล

 

อีกคนเดินหน้าตาบูดบึ้งมาแต่ไกล   เสื้อผ้าที่ใส่และท่าทางน่าจะเป็นสาวใช้

 

                           " ข้าเคยรู้จักพวกท่านด้วยหรือ "

 

                           " ไม่หรอก " สาวงามส่ายหัวน้อยๆพลางยิ้มสุภาพ " เจ้าไม่รู้จักพวกข้า   แต่พวกข้ารู้จักเจ้า "

 

            แม่นางเฉินยิ่งประหลาดใจหน้าฉงน

 

                        " เจ้าคือเฉินฟู่หลาน   ว่าที่เจ้าสาวของแม่ทัพยิน "

 

            ฝ่ายสาวใช้ปราดมายืนด้านหน้านายฉับพลัน   จ้องฟู่หลานหัวจรดเท้า  เท้าจรดหัว 

 

ก่อนเบะปากหยันเหยียด

 

                          " นี่คือคุณหนูหวางไฉ่เหลียง   อดีตคู่หมั้นหมายของแม่ทัพยินที่เจ้า

 

ไปยั่วยวนแล้วแย่งเขาไปแต่งงานกับเจ้าแทนไงล่ะ! "

 

            ฟู่หลานตกตะลึง   ไม่เคยรู้ว่าแม่ทัพยินมีคู่หมั้นหมายอยู่แล้ว

 

                         " หยู่เฟย " ไฉ่เหลียงปรามด้วยสายตา   หยู่เฟยทำหน้าหงอแล้วยอม ถอยออกไป

 

                         " ขอโทษแทนคนของข้าด้วย   แล้วก็ไม่ต้องตกใจไป   ข้าแค่อยากมา

 

ทักทายเจ้าอย่างเป็นทางการ   และอยากแสดงความยินดีด้วยเท่านั้น "

 

             คำว่า ' แสดงความยินดี ' จากปากอดีตคู่หมั้นหมายที่ถูกชิงผู้ชายไป   ฟู่หลาน

 

ฟังแล้วผวาแทนที่จะดีใจ   แต่เมื่อดูแววตาอ่อนโยนไร้สิ่งใดเคลือบแฝงก็ค่อยใจชื้นขึ้น

 

                           " ไม่มีใครบังคับหัวใจเขาได้   พี่ยินเป็นผู้ชายที่ดีมากคนหนึ่ง   เขา

 

เลือกเจ้า   นับว่าเจ้าเป็นผู้หญิงที่โชคดี   ยินดีด้วยนะ   ขอให้ดูแลเขาให้ดีแล้วงานแต่งของเจ้า

 

ถูกกำหนดเมื่อไร "

 

                           " ข้าก็ไม่ทราบค่ะ " นางเริ่มอึดอัดที่คุณหนูหวางมีรอยยิ้มบางๆฉาบ

 

บนใบหน้า   ในขณะที่สาวใช้จ้องนางราวจะกินเลือดกินเนื้อ

 

                           " เช่นนั้นเมื่อพี่ยินกลับมาก็คงบอกเจ้าสินะ   ส่วนเรื่องงานแต่งจะไปได้

 

หรือไม่   ข้าค่อยดูอีกทีตอนนั้น "

 

                           " ค่ะ " ฟู่หลานไม่รู้จะตอบอะไรมากกว่านี้

 

                           " ข้ารู้จักพี่ยินตั้งแต่จำความได้ตระกูลเราเป็นมิตรต่อกันผูกพันแน่นแฟ้น  

 

ข้าเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ได้ใกล้ชิดกับเขามาตลอด   แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ใจเขาไป   แต่เจ้า

 

เพิ่งรู้จักเพียงไม่กี่เดือนก็ทำให้เขารักเจ้าได้อย่างสุดหัวใจ   ข้ารู้สึกอิจฉาเจ้าจริงๆ! "

 

              ประโยคสุดท้ายน้ำเสียงเกรี้ยวกราดขึ้นมากะทันหัน   ฟู่หลานสีหน้าเครียดฉับพลัน  

 

ดวงตาคู่สวยกร้าว   เต็มไปด้วยความน้อยใจ  ริษยา  และต่อว่าต่อขาน   เรียวปากได้รูปเม้มระริก

 

กลั้นอารมณ์

 

                            " ข้ารบกวนเจ้าเท่านี้  ลาก่อน "

 

             นางหมุนร่างเดินลิ่วไปอีกทาง   หยู่เฟยร้องเรียกแล้วรีบตาม   ทิ้งให้ฟู่หลานตกอยู่ใน

 

สภาวะสับสน   แท้จริงแล้วคุณหนูหวางรู้สึกอย่างไรกันแน่

 

 

 

              ธงริ้วหลากสีโบกสะบัดกลางสายลม   ล้อมรอบแท่นบูชาใหญ่กลางแจ้งที่ตั้งอยู่บน

 

เนินเขา   วางสรรพเครื่องสังเวยเครื่องบูชาพรั่งพร้อม   ราชาจวงหยูในฉลองพระองค์ขาว

 

จุดเครื่องหอม   สายควันเทาอ่อนลอยล่อง   กลิ่นหอมกรุ่นอบอวลไปทั่วบริเวณ   พระองค์

 

หลับพระเนตรสงบนิ่งครู่ใหญ่   ค่อยถอยองค์ออกมาประทับยืนเกือบนอกเขตพิธี   เสนาบดีเฉิงซู่

 

เดินมาเข้าเฝ้า

 

                            " พิธีบูชาฟ้าดินปีนี้เป็นปีแรกที่ทรงจัดขึ้นนับแต่หลังทรงครองราชย์ "

 

                            " ใช่แล้ว " ราชาจวงหยูตรัสตอบ " พอฤดูใบไม้ร่วงมาถึง  ชาวไร่

 

ชาวนาก็ได้เก็บเกี่ยวผลผลิต   ผลแรกของฤดูต้องนำมาบูชาสวรรค์   เพราะเมื่อคราวลงมือ

 

เพาะปลูกเราได้บูชาขอฝน   ฝนตกลงมาตามคำขอ   พืชผลก็งอกงาม   ประชาชนได้เก็บ

 

ผลผลิตเต็มที่   มีความสุขกันถ้วนหน้า "

 

                             " พะย่ะค่ะ "

 

                             " ฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ช่างเงียบเหงาเหลือเกิน   ข้ารู้สึกอย่างนั้น "

 

                             " อาจเป็นเพราะเมื่อปีที่แล้วทรงเสด็จมาพร้อมกับพระบิดาด้วย

พะย่ะค่ะ "

                             " นั่นสินะ...ข้าอยากไปเดินเล่นสักหน่อย   ตรงนั้นท่าทางสงบดี "

 

             เฉิงซู่มองตามสายพระเนตร " ตรงนั้นเลยไปหลังแท่นพิธี   มีแต่ต้นไม้กับทุ่งหญ้า  

 

ได้โปรดทรงให้ทหารตามเสด็จไปด้วย "

 

              เสนาบดีสูงวัยพยักรับ   ราชาจวงหยูเสด็จไปหลังพิธีแต่ลำพัง

 

              ต้นไม้ที่เคยเขียวขจีคราวหน้าร้อนร่วงโรยตามฤดู   ใบไม้เหลืองส้มและแดง

 

พลิ้วโปรยปรายตกลงบนพื้นหญ้าเขียว   บางส่วนยังไม่หลุดจากต้น   ประดับประดากิ่งก้าน

 

ละลานตาราวกับโคมไฟในงานฉลอง   ยามลมพัดเอื่อยมาเกิดเสียงกรอกแกรกแผ่วเบา

 

คล้ายดนตรีขับขาน   ราชาจวงหยูทรงดำเนินมาถึงใกล้รอยต่อเขตป่า   แล้วหยุดแค่นั้น  

 

ทอดพระเนตรท้องฟ้าใสตัดกับสีสดชื่นของทุ่งหญ้าและแห้งแล้งของมวลใบไม้เปลี่ยนสี

 

              ลมพัดมาวูบใหญ่   หอบเศษใบไม้ปลิวว่อน  แล้วอ่อนลง  อ่อนลงจนหยุดเคลื่อน  

 

เหล่าใบไม้ร่อนลงทีละน้อยจนแน่นิ่งบนพรมหญ้า   พระหทัยราชาจวงหยูดำดิ่งสู่ห้วงคะนึง

 

              แผ่นดินที่กว้างขวางและอุดมสมบูรณ์ผืนนี้ควรที่จะถูกครอบครองและใช้ประโยชน์

 

ได้เต็มที่โดยชาวซู่ซิน   แต่กลับถูกเฟิงโจวครอบงำอยู่กลายๆ   ด้วยพลานุภาพอ่อนด้อยกว่า  

 

จำต้องขึ้นกับเฟิงโจวอย่างขัดขืนไม่ได้   ไม่ยึดแคว้นไม่ริบอำนาจบนบัลลังก์   แต่ต้องส่ง

 

บรรณาการแสดงความภักดีทุกปี   สิ่งใดเฟิงโจวปรารถนาแม้ไม่ปรารถนาก็ต้องให้  

 

เจ้าครองแคว้นมีอำนาจเต็มบริหารบ้านเมือง   แต่กับคนนอกแคว้นกลับต้องยอมไร้ข้อต่อรอง  

 

ให้มาสูบเอาทรัพยากรของล้ำค่าได้ตามใจชอบ   เช่นนี้ต่างจากถูกยึดครองแล้วตรงไหน

 

               แม้จะพยายามพัฒนาปรับปรุงแคว้นเต็มที่   แต่ก็ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไรจึงจะพร้อม  

 

ในอกอัดอั้นแทบระเบิดแล้ว

 

                            " สวรรค์  เมื่อไรซู่ซินจะเป็นอิสระจากเฟิงโจว  โอ้  สวรรค์  ได้โปรด

 

ช่วยให้เราสำเร็จความมุ่งหมาย "

 

             ฮะ ฮ่า ฮ่า  เสียงหัวเราะปริศนาก้องไปทั่วเนินเขา   ราชาจวงหยูพระพักตร์บึ้งตึง

 

ถนัดตา   ผู้ใดบังอาจมาหัวเราะเยาะพระองค์ทั้งที่กำลังทุกข์ตรมและเคร่งเครียดเช่นนี้

 

                         " นั่นใครน่ะ   ออกมาเดี๋ยวนี้ "

 

             เสียงหัวร่อยังสะท้านยาว   ลมเริ่มกระพือหอบมวลใบไม้ปั่นขึ้นสูง   พระองค์ต้องยก

 

พระกรป้อง   เสียงนั้นน่าขนลุกสิ้นดีต้องไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาแน่  

 

                           " ฮะ  ฮ่า  ฮ่า "

 

              ราชาจวงหยูสะดุ้งสุดองค์   คราวนี้เสียงมาดังอยู่ไม่ไกล   เหลียวพบร่างสูงทะมึน

 

นั่งบนคบไม้   ทรงดำเนินไปใกล้อีกเพื่อเพ่งพระเนตรให้ชัด   พลันตกตะลึงจังงัง

 

              รูปร่างสูงใหญ่ผิดมนุษย์   ผิวพรรณแดงก่ำดุจอาบโลหิตทั่วร่าง   เบ้าตาโตลึก  

 

ใบหน้าตอบ  เนื้อแนบกระดูกราวกะโหลกผี   ดวงตาสีอำพันวาวคล้ายงู   นิ้วมือยาวงุ้ม

 

เหมือนขาแมงมุมเกาะยึดกิ่งไม้ข้างเคียง   พอเห็นพระเนตรพระราชาจ้องมา   ดวงตาเจ้าเล่ห์

 

น่ากลัวก็จ้องตอบ   พร้อมกับเปล่งเสียงหัวเราะน่าขนลุกสะท้านไปทั่ว 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา